ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Erasers II

    ลำดับตอนที่ #2 : เยี่ยมบ้าน

    • อัปเดตล่าสุด 21 เม.ย. 48


        ในช่วงต้นฤดูร้อน อากาศเริ่มทรหดมากขึ้น แสงแดดสาดส่องลงมาอย่างไม่ปรานีแม้จะยังไม่เที่ยงก็ตามที  แต่แม้ความร้อนจะแผดเผามากเพียงใดก็ไม่สามารถหยุดภาระหน้าที่ในการทำงานไปได้

        “คิดว่าทำงี้แล้วจะได้ผลเหรอ”

        คู่หญิงชายวัยรุ่นเดินจูงมือเคียงกัน มองดูผ่านๆก็ดูเหมือนคู่เดทปกติ แต่ถ้าสังเกตดีๆแล้วฝ่ายสาวดูออกจะห้าวกว่ามากและฝ่ายชายดูเหมือนจะสนใจสภาพแวดล้อมรอบข้างมากกว่าคุยกับคู่เดท ที่ตรงนี้คือย่านการค้าที่ว่าไม่ว่าจะเป็นที่เมืองไหนๆก็มีเรื่องแปลกให้ผจญอยู่เสมอๆ

        “วาโย เราเดินไปเดินมาตรงนี้หลายรอบแล้วนะ” ฝ่ายหญิงว่า “ถึงเราจะดูเหมือนคู่รักหวานแหววแค่ไหนเจ้านั่นก็น่าจะรู้ตัวบ้างละนะ”

        วาโยโบกมืออย่างไม่ใสใจ “อันนา เงียบๆหน่อยสิ เดี๋ยวคิรินสั่งอะไรมาก็ไม่ได้ยินหรอก ทำตัวตามธรรมชาตินี่ละดีที่สุด”

        วันนี้เป็นวันแรกที่อันนามารับทำงานเป็นอีเรเซอร์อย่างจริงจังเป็นครั้งแรกหลังจากลังเลใจอยู่นาน ถึงแม้ว่าวาโยกับคิรินคู่หูของเขาบอกแล้วว่าจะไม่รับงานลอบสังหารก็ตามที แต่งานของอีเรเซอร์นี่มันเสี่ยงและยากเอาการอยู่เหมือนกัน

        ความคิดกังวลของอันนาหยุดลงเมื่อมีเสียงอื่นเข้ามาแทรก ชายแก่ที่เดินผ่านไปกระซิบอย่างรวดเร็ว “ยืนยันเป้าหมายเดิม ลงมือได้”

        วาโยหยิบการ์ดออกมาจากเสื้อนอก เพียงครู่หนึ่งภาพก็ปรากฏออกมา เขาอ่านให้อันนาฟังเบาๆ “เคน – ฆาตกรข้อหาฆาตกรรมพี่น้องร่วมสายเลือดมากกว่าสองคน ไม่มีข้อมูลอื่นๆ”

        “น่าแปลกนะ ฆาตกรบ้าแบบนี้จะออกมาเดินเพ่นพ่านอยู่ในเมืองได้ไง” อันนาออกความเห็น

        “มันปลอมตัวมา ดูสิ สีผิวก็คล้ำขึ้น โกนหนวดเคราทิ้ง บวกกับการแต่งตัวก็กลบเกลื่อนสถานะเก่าของตัวเองได้แล้วละ เอาละลงมือเถอะ”

        “ลงมือ?”

        วาโยเดินเข้าไปหาเป้าหมายตรงๆในร้านอาหารกลางแจ้ง ท่ามกลางความแปลกใจและตกใจของอันนาที่อยู่ใกล้ๆในระยะไม่เกินห้าเมตร เจ้านั่นดูจะแปลกใจพอๆกันที่อยู่ๆก็มีเด็กวัยรุ่นมายืนตรงหน้าเขา เพียงอีกฝากหนึ่งของโต๊ะ จึงมองหน้าอย่างหาเรื่องแต่ไม่ทันทีจะว่าอะไร วาโยก็ชิงพูดขึ้นก่อนแต่เป็นการพูดเพื่อให้คนทั้งลานได้ยินด้วย

        “ฉันเป็นอีเรเซอร์ ขอจับคุณเคนตามประกาศจับ!”

        ความเงียบลงปรกคลุมทั่วบริเวณทันที ไม่เสียทีเดียวเพราะเพลงเบาๆที่เปิดคลอให้ลูกค้าฟังก็ยังคงเล่นอยู่ เจ้าฆาตกรดูเหมือนว่าจะตั้งสติได้ในชั่วพริบตาเดียว

        “ไอ้บ้า!” เสียงคิรินกับอันนาดังเป็นเสียงเดียวกัน

        ช่วงเวลาที่วาโยหันไปมองสายตาคุกกรุนของเพื่อนทั้งสอง เจ้าตัวร้ายก็ออกวิ่งทันที

        วาโยดูไม่แปลกใจเลยสักนิดกลับมีความสุขมากขึ้นเมื่อเห็นเป้าหมายวิ่งหายไปในฝูงชน “มันต้องแบบนี้สิ ถึงจะมีรสชาติ”

        เจ้าวายร้ายวิ่งโดยไม่หันกลับมามองข้างหลังเลยด้วยซ้ำแต่วาโยก็ตามทันได้ในชั่วครู่เดียวท่ามกลางฝูงชนที่วิ่งแตกตื่นไปทุกทิศทุกทาง ตามติดมาด้วยเพื่อนอีกสองคนคือชายแก่ในตอนแรก กับคู่เดทจำเป็นที่ฝืนใจทำ

        “เจ้าบ้าเอ๊ย”

        “เจ้าทึ่มสมองนิ่ม”

        ฆาตกรที่เข้าตาจนคว้ามีดออกมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ท เป็นมีดสปาต้าเล่มโตพอที่จะฟันหัวคนให้ขาดเป็นสองซีกได้ในดาบเดียว

        ชะอุ๋ย

        วาโยหยุดฝีเท้าลงทันที “ท่าทางจะเอาจริงสินะ”

        เป้าหมายไม่พูดอะไรแต่ดูเหมือนว่าเหตุการณ์ตรงนี้แม้ไม่พูดก็เข้าใจดี วาโยเรียกดาบไร้สภาพออกมาไว้ในมือ ขณะที่ฆาตกรอำมหิตจับเด็กคนหนึ่งเอาเป็นตัวประกัน “เฮ้ย! อย่าเข้ามานะ”

        ฉึก

        เลือดไหลทะลักออกมาจากมือโดยไม่รู้ตัว มีดหล่นลงจากคอของเด็กน้อยที่ยังไม่ทันได้ร้องสักแอะ  คมดาบที่เปื้อนไปด้วยเลือดทำให้เห็นปลายดาบได้ไม่ยากสามารถอธิบายได้ดีในเหตุการณ์นี้ แต่อันนากับคิรินที่ตามมาทีหลังไม่ได้ดีใจกับผลงานเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะคิรินที่ส่ายหน้าอย่างปลงๆก่อนเข้าจับเป้าหมายที่ยังกุมมือที่ชุ่มไปด้วยเลือด

        “ไอ้บ้า!”

        “อะไรกันอันนา ฉันก็ทำได้ดีไม่ใช่เหรอ”

        อันนาถอนใจทั้งที่ยังยิ้มร่า “ไว้คุยกับท่านหัวหน้าเองละกัน”

        คิรินสั่งในทุกคนกลับไปที่ร้านนาทาสก่อนระหว่างที่เขาจัดการกับเป้าหมายในครั้งนี้ วาโยที่โดนหมายหัวเอาไว้จึงยอมทำตามโดยดี

        “จากที่นี่กลับไปที่เมืองมันนานพอดูอยู่นะ” วาโยบ่นเรื่อยๆขณะเดินทางกลับ บ่อยครั้งที่พวกเขาทั้งสามต้องออกเดินทางไปต่างเมืองเพื่อจับคนร้ายที่มีค่าหัวแพงๆ

        อันนาหยิบการ์ดของตัวเองขึ้นมาใบหนึ่ง “ฉันยังไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวอะไร แล้วการ์ดเปล่าๆนี่มันอะไรเหรอ”

        “อ้อ นี่ก็เป็นอุปกรณ์อย่างหนึ่งนะ” วาโยหยิบการ์ดของตัวเองออกมา จับอยู่ครู่หนึ่ง “...นี่นะ นี่ไงมีรูปออกมาแล้วใช่ไหม อันนี้ก็เป็นรูปนะ ส่วนข้างล่างก็เป็นรายละเอียดปลีกย่อย” วาโยส่งให้อันนาเอาไปถือไว้ “แล้วมันก็หายไปถ้าไม่ใช่มือเจ้าของ”

        “อืม...เอ๋?”

        “อะไรเหรอ”

        อันนาชี้ไปที่มุมหนึ่งของถนนลูกรัง “นั่นมัน...บ้านคนไม่ใช่เหรอ ทำไมมาสร้างอยู่แถวนี้ละ”

        ที่ที่อันนาชี้ไปคือบ้านสองชั้นหลังเล็กน่าอยู่มาก ท่ามกลางหมู่ธรรมชาติทำให้บรรยากาศเย็นสดชื่น รั้วกั้นระยะสั้นๆที่กันระหว่างตัวบ้านกับถนนมีสนามหญ้าปูอย่างสวยงาม

        “นั่นสินะ ขามาไม่ยักเห็นแหะ”

        “บ้านฉันเอง”

        เสียงข้างหลังดังขึ้น ทั้งสองหันกลับไป ทันทีที่สายตาของคนข้างหลังประสานกับตาของอันนา “เอ๋ นี่เธอ...อันนาใช่ไหมนี่”



        บ้านเย็นเฉียบผิดกับอากาศภายนอกที่ร้อนระอุ ห้องเล็กๆแต่ดูกว้างขวางมากในสายตาของผู้มาเยือน “ที่นี่เคยเปิดเป็นร้านมาก่อน แต่ช่วงนี้สุขภาพของฉันไม่ค่อยจะดีก็เลยเลิก”

        “รู้จักหนูด้วยหรือคะ” อันนาถามทันที เป็นเวลานานมากแล้วที่เธออยู่มาโดยไร้ความทรงจำ ตั้งแต่เธอลืมตาตื่นขึ้นมา เมื่อสองปีก่อนเห็นจะได้ “คุณเป็นใครเหรอคะ”

        “นั่งก่อนสิ ฉันชื่ออริส มีคนคนหนึ่งเขาอยากพบเธอ” อริสหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากตู้ เป็นหนังสือปกหนังเก่าคร่ำครา และดูคุ้นตา “ออกมาหน่อยสิ เฟาสท์”

        “เฟาสท์เหรอ” อันนาว่า

        “อริสเหรอ” วาโยว่า

        ร่างร่างหนึ่งลอยออกมาจากหนังสืออย่างรวดเร็ว อันนาจำได้ดี กับร่างวิญญาณของเขา ร่างที่ยังคงสีสันเอาไว้แม้จะตายไปนานกว่าห้าร้อยปีกว่าแล้ว “โฮ่ สบายดีไหมขอรับเพื่อนของอดีตนายท่าน”

        “เฟาสท์! ฉันชื่ออันนา แล้วก็เลิกเรียกฉันด้วยคำยาวๆสักที”

        “คุณคืออริสเหรอ” วาโยร้อง “คนที่คิรินมาซื้อข่าวที่แพงหูฉี่นั่นใช่ไหม”

        อริสส่งสายตาดุดันมาให้วาโย “เจ้าหนู นึกว่านายเป็นใครถึงกล้ามาต่อปากต่อคำกับฉัน ข่าวของฉันถูกต้องแล้ว แต่พวกนายผิดเอง” อริสว่าแล้วก็ถาม “แล้วหัวหน้าไปไหนซะละ”

        “คิรินจัดการเป้าหมายอยู่ที่หมู่บ้านข้างๆ” วาโยว่า น้ำเสียงดูดีขึ้นมาทันตา

        “งั้นเหรอ” อริสยักไหล่ “คนเป็นหัวหน้าก็ดีอย่างนี้ละ ได้หน้าไปหมด เออ...แล้วพวกนายจะไปหากวินกันเมื่อไหร่ละเนี่ย”

        วาโยประหลาดใจ “คุณรู้ได้ยังไง!”

        อริสยิ้ม “ไม่มีอะไรที่ฉันไม่รู้ ตัวกวินเองฉันก็รู้จักดีเป็นการส่วนตัว แต่ที่ฉันสงสัย...ทำไมนายยังไม่ไปหา ทั้งๆที่นัดกันมาตั้งนานแล้ว”

        “คิรินนะซี” อันนาฟ้อง “บอกว่าไม่ต้องรีบ ไม่รู้เป็นอะไร”

        “อดีตนายท่านอาจจะมีเหตุผลของท่าน” เฟาสท์ออกความเห็น “เท่าที่นายหญิงให้กระผมติดตามรับใช้ อดีตนายท่านเป็นคนมีหัวคิดมากทีเดียวเชียวละขอรับ”

        อริสไม่ได้ว่าอะไรแต่นั่งนิ่ง สายตาที่แสดงความครุ่นคิดอะไรบางอย่างสะท้อนออกมาจากดวงตาอย่างแจ่มชัด เจ้าหนูคิรินคิดอะไรอยู่กันนะ เรื่องแบบนี้จะเรียกว่าคอขาดบาดตายก็ไม่ผิดนัก

        “ว่าแต่ท่าทางเฟาสท์อาการแย่มากเลยเมื่อตอนอยู่ในแดนดารา คุณรักษาเขาเหรอ” อันนาถามอริส

        อริสออกจากความคิดชั่วขณะ “อืม ร่างของเฟาสท์เกิดจากพลังของฉัน ถ้าพลังที่ฉันให้หมด เฟาสท์เองก็จะหายไป แต่ก็เกือบไปแล้วละ”

        อันนาหันมาพูดกับเฟาสท์ “คนตายแล้วนี่ก็ยังลำบากเลยเนอะ”

        “ไม่หรอกขอรับ กระผมคิดว่ามันเป็นหน้าที่ที่ดีของผู้ที่ได้รับมอบหมายภารกิจอันใหญ่หลวง ที่จะคุ้มครองและดูแลจนสุดความสามารถ กระผมเองก็เป็นเช่นนั้นและอาจจะมากกว่านั้นถ้าเป็นนายหญิงของกระผม”

        วาโยไม่สนใจบทสนทนาดังกล่าวกลับเดินดูรอบๆบ้านแทน ที่นี่คงเป็นร้านแบบเดียวกับมาสเตอร์มาก่อน แต่ดูดีและน่าจะมีลูกค้ามากกว่าร้านนาทาสของมาสเตอร์ที่พวกเขาไปประจำ วาโยหันไปมองอริสที่ยังคงนั่งเคร่งขรึมตลอดแล้วอดแปลกใจไม่ได้

        “ไม่เห็นต้องซีเรียสเลยนี่ครับ ถ้าคิรินบอกว่าไม่ต้องรีบก็คือไม่ต้องรีบ ผมน่ะ เชื่อใจคิรินนะครับ”

        อริสเงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็ถอนใจ “เฮ่อ ตามใจละกัน จะว่าไปถึงรีบไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา”

        “คุณรู้เรื่องที่จะคุยเหรอ”

        “ทำนองนั้น”

        อันนากำลังเล่าเรื่องราวต่อจากนั้นให้วิญญาณผู้กระตือรือร้นฟัง ซึ่งก็นั่งฟังอย่างใจเย็นและเก็บความตื่นเต้นเอาไว้ภายใน “เป็นเรื่องราวผจญภัยที่น่าพิศวงมากที่สุดเรื่องหนึ่ง ตั้งแต่กระผมได้รับเมตตาให้ช่วยนายหญิงหาข่าว” เฟาสท์อุทานเมื่อเล่าจบ “...ซึ่งนั่นก็นายมากพอดู”

        “อริสนะเหรอ...ทำไมนักค้าข่าวถึงมาหลบมุมอยู่ในป่าแบบนี้ละ”

        “เพราะเลิกแล้วนะสิขอรับ เลิกทำงานแล้ว ยกเว้นบางทีที่คุณมาสเตอร์ที่เป็นคู่หูเก่าของนายหญิงมาขอให้ช่วย”

        อันนาแปลกใจ “ผู้หญิงคนนี้เป็นคู่หูกับมาสเตอร์เหรอ”

        “นายหญิง!” เฟาสท์เน้นคำ “เป็นจอมเวทที่เก่งกาจมาก ถ้าไม่มาชิงป่วยไข้เสียก่อน ก็เพราะ...”

        “เฟาสท์!!” อริสตะโกนขึ้น ทำให้ทั้งห้องเงียบทันที เฟาสท์เองก็คงจะรู้ตัวว่าเริ่มพูดจาเรื่อยเปื่อยจึงยกมือขึ้นปิดปากแล้วลอยอย่างช้าๆกลับเข้าไปในหนังสือ อริสยกหนังสือไปเก็บอย่างมิดชิด อันนาค่อนข้างแน่ใจว่า หลังจากเธอกลับไป เฟาสท์อาจจะถูกเทศนาครั้งใหญ่

        “ขอโทษคะ”

        อริสหันมามอง “ขอโทษ ? มาขอโทษฉันทำไม?”

        “ข้อหาถามเรื่องไม่เป็นเรื่อง”

        “เธอไม่ได้ถาม ฉันฟังอยู่ เฟาสท์ก็มีนิสัยพูดเรื่อยๆแบบนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วละ อาการป่วยของฉันมันไม่น่าสนใจขนาดที่เธออยากรู้หรอก”

        “เอ่อ...” อันนาพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย วาโยเองก็คงคิดแบบเดียวกันจึงเลิกเดินไปเดินมาแล้ว “มาสเตอร์ไม่ได้พูดถึงคุณบ่อยนัก เราเลยไม่รู้จักคุณสักเท่าไหร่”

        อริสยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่อบอุ่นมากที่สุดเท่าที่วาโยเคยพบ “เราเป็นเพื่อนและคู่หูเก่า เรื่องจบลงอย่างไม่น่าพิสมัยจึงไม่ค่อยอยากจะพูดถึง ตั้งแต่นั้นพวกเราก็หันมาค้าข่าวแทน ลูกค้าเยอะแยะ อย่างคู่หูของพวกเธอก็ให้ฉันช่วย แต่ตอนนี้ก็เลิกแล้ว”

        “เพราะป่วยเหรอครับ” วาโยหลุดถาม

        “อืม” อริสตอบเฉยๆ หลับตาเพื่อนึกภาพความทรงจำในอดีต “อดีตของฉันไม่มีตรงไหนที่น่าจะจำสักนิด ถ้าลืมมันได้เสียคงจะดีไม่น้อย”

        คำพูดนั้นจี้ใจอันนาอย่างแรงเพราะเธอกำลังตามหาความทรงจำของตัวเองอยู่ และมีคนจำนวนไม่น้อยที่บอกเธอว่า ‘ อย่ารู้จะดีกว่า’ เธอจึงเริ่มเอ่ยเบาๆ “แต่ว่าบางคนที่ไม่รู้อะไรเลยมันเศร้ายิ่งกว่านะ ถ้าคุณลืมทุกๆอย่างๆไป แล้วภาพความทรงจำที่เป็นสุขเพียงเล็กน้อยที่มีก็จะหายไปด้วย” แล้วน้ำเสียงก็มั่นคงและแข็งขึ้น “ความทรงจำที่ถึงจะเศร้าแต่ก็สำคัญทั้งนั้นเลยไม่ใช่เหรอ”

    “นั่นสินะ” อริสยิ้ม “เธอเองก็พยายามเข้าละ”

    “คิรินมาแนะ” วาโยว่า ดึงสายตาของทุกคนไปที่ประตูที่เป็นกระจกเสียครึ่งหนึ่ง เงาของใครบางคนทาบลงมาตามด้วยเสียงเคาะประตู

        “เข้ามาสิ” อริสว่า

        คิรินยังคงมาตรฐานเดิมของการแต่งตัวด้วยชุดดำทั้งชุด เพราะสีตากับผมเป็นสีดำด้วยทำให้ดูโดยรวมเหมือนพวกมีอิทธิพล หรือไม่ก็พวกนักฆ่า

        “พวกนาย...ฉันบอกให้ไปรอที่ร้านของมาสเตอร์ไม่ใช่เหรอ”

        “เรามาเยี่ยมบ้านอริส” อันนาตอบทันควัน “ฉันว่าที่นี่น่าอยู่กว่าร้านนาทาสอีกนะ แถมคุณอริสยังใจดีด้วย”

        คิรินไม่ตอบ แต่ก็ยอมนั่งลงที่โซฟารับแขก ท่าทางเหมือนมีเรื่องจะพูดแต่เพราะใครบางคนนั่งอยู่ตรงนี้จึงไม่อยากจะพูดให้เสียเรื่อง อริสเองก็น่าจะรู้ดีแต่ก็ทำเฉย กลับเดินไปหลังบ้านก่อนเดินกลับออกมากับแก้วสี่ใบพร้อมไวน์อีกขวดและพูดเรื่องอื่น “บ้านของหมอนั่นก็สวยดีไม่ใช่เหรอ แต่ก็สวยตามแบบฉบับเขาละ ฉันเองก็ไม่ได้ว่าอะไร ทำแบบไหนฉันก็อยู่แบบนั้นแหละ”

        “เคยอยู่บ้านมาสเตอร์เหรอครับ”

        “อืม เมื่อก่อนชั้นล่างยังไม่เปิดเป็นร้าน ก็เอาไว้ตั้งวงเลี้ยงฉลองอยู่บ่อยๆหลังภารกิจเสร็จ เพราะพวกเราไม่ค่อยอยู่ติดบ้านสักเท่าไหร่หรอก ตอนเปิดร้านวันแรกฉันก็ออกมาแล้วละ”

        อันนานึกทบทวนความจำ อริสเคยอยู่บ้านของมาสเตอร์งั้นก็หมายความว่า “ห้องนอนเก่าของคุณอยู่ที่ชั้นสองสุดทางเดินใช่ไหม” อริสไม่ตอบแต่ดูจากสีหน้าดูเธอแปลกใจอยู่ไม่น้อย “คือว่าตอนนี้หนูนอนอยู่ห้องนั้น...”

        อริสเปิดขวด “งั้นเหรอ น่าอยู่ใช่ไหมละ”

        “คะ”

        แล้วอยู่ๆคิรินก็พูดขึ้นมาไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย “การเยี่ยมบ้านจบแล้ว กลับกันเถอะ”

    ทุกคนมองดูคิรินราวกับว่าตัวเขาบ้าไปแล้ว “จะรีบไปไหนเจ้าหนูคิริน ไวน์นี่ฉันบ่มเองเชียวนะ จะไม่ลองชิมดูหน่อยเหรอ”

        “ไม่” คิรินยังยืนยันคำเดิม “กลับ”

        วาโยหันไปส่งสายตาเป็นคำถามให้อันนาที่ได้แต่ยักไหล่ตอบกลับมา ไม่รู้ว่าคิรินไปโกรธอะไรที่ไหนมาถึงได้บูดบึ้งเหมือนแตงเน่าแบบนี้ แล้ววาโยก็นึก - - ภารกิจเมื่อกี้

        “ฮะ ฮะ ฮะ นั่นสินะ กลับกันเถอะ ดื่มไวน์ก่อนข้าวเที่ยงคงไม่ดีแน่เลยเนอะ” วาโยเออออตามคิริน

        อริสไม่ได้ว่าอะไรที่แขกมาแล้วก็ไปอย่างตัดไมตรี ไวน์ขวดแค่นี้เธอดื่มเองหมดได้สบายอยู่แล้ว อีเรเซอร์สามคนจึงล่ำลาเจ้าของบ้านผู้ใจดีที่มาส่งหน้าประตู

        ขณะที่วาโยกับอันนาออกพ้นไป อริสแอบกระซิบกับคิริน “ซิสเตอร์รู้ทุกอย่าง ไปหาเธอแล้วนายจะรู้ทุกอย่างที่อยากรู้”

        “คิริน! ไหนว่าให้กลับไง”

        “อืม”

        ทั้งสามจะลากลับ อริสออกมาส่งถึงประตูรั้ว “อันนา ถ้าเธอนอนในห้องฉันเธอคงจะเห็น ช่วยเก็บเป็นความลับทีนะ”

        อันนางงแต่ก็นึกออกถึงอะไรบางอย่างที่อยู่ใต้เตียง ก่อนจะพยักหน้ารับปาก

        ทั้งคิรินกับวาโยก็แปลกใจไม่น้อยแต่อากาศข้างนอกร้อนเกินกว่าที่จะสนใจ อริสไม่ได้ดึงพวกเขาเอาไว้อีก ทั้งหมดจึงลากลับไป

        “ค่าหัวได้มาไหม” วาโยถาม

        “ได้” คิรินตอบ ยังขุ่นเคืองใจอยู่ไม่น้อย “เราจับเป็นได้ ก็เลยได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ว่า...” เสียงของคิรินก็เปลี่ยนไป “...นายทำบ้าอะไรของนาย ถ้าเกิดมันบ้าแล้วไล่ฆ่าคนในลานนั่นขึ้นมาละ จะทำไง”

        “แต่ก็ไม่มีอะไรนี่ เราก็ทำได้ดีนี่นา”

        คิรินหมดอารมณ์โกรธ อันนาแอบขำเล็กๆอยู่คนเดียว ตัวคนทำผิดไม่ได้รู้สึกอะไรมากมาย กลับเดินลงเขาอย่างเบิกบานใจ

        “แล้วนี่จะไปหากวินกันเลยไหม” วาโยถาม

        คิรินนิ่งเงียบ เป็นความเคยชินของวาโยที่เพื่อนของเขาต้องการสมาธิอย่างหนักเพื่อคำนวณอะไรสักอย่าง ถึงเขาจะไม่รู้แต่ผลที่คิรินได้ออกมามักจะดีเสมอ

        อันนาที่เก็บงำความสงสัยเอาไว้นานถามขึ้น “กวินนี่เป็นใครเหรอ”

        “เป็นคนที่สอนวิชาให้ฉันตลอดเวลาที่ฉันอยู่ที่เขตตะวันตก...” วาโยอธิบาย “กวินเป็นคนเก็บฉันมาเลี้ยง เขากับซิสเตอร์อีกคนที่อยู่ใกล้ๆกันเป็นคนดูแลฉัน โดยเฉพาะซิสเตอร์ เธอเอ็นดูราวกับว่าเธอเป็นแม่ของฉันเลยละ”

        “เป็นซิสเตอร์ในโบสถ์เหรอ”

        “เปล่า ไม่สิ ไม่ผิดหรอก ซิสเตอร์อยู่แต่ในโบสถ์ไม่เคยไปไหนไกล บวกกับที่เธอเป็นคนใจดีทุกๆคนในชุมชนเขตเหนือที่รู้จักเธอดีก็เลยเรียกว่าซิสเตอร์...เอ๋ มีอะไรเหรอ?”

        “...”

        วาโยเลิกคิ้วแล้วก็ทำหน้าคิด “ถ้าไม่ใช่ที่ชุมชน ก็อาจจะเป็นพวกเด็กๆแถบนั้น”

        “ไม่ใช่เรื่องนั้น!” อันนาร้อง “ที่พูดเมื่อกี้น่ะ นายพูดว่า - - เขตเหนือใช่ไหม เขตเหนือ...อย่าบอกนะว่าบ้านของกวินที่เราจะต้องไปนี่อยู่ในเขตเหนือด้วยเหรอ”

        “ถูกเผง”

        “ฉันไม่เอาด้วยหรอกนะ” อันนาร้อง “ฉันไปเขตตะวันตกมาครั้งหนึ่งแล้ว ที่นั่นแย่ราวกับอะไรดี ถ้าจะต้องไปในอีกสองสามวันข้างหน้านี่ ฉันตายแน่”

        วาโยส่ายหน้า “ไม่หรอก เขตเหนือนะได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่สันติยิ่งกว่าเขตไหนๆเสียอีก วางใจเถอะที่นั่นไม่มีพวกอย่างที่เราเจอมาหรอก แล้วทางไปเขตเหนือก็ง่ายกว่าเขตตะวันตกด้วย”

        “ทำไมถึงง่ายละ”

        “ไม่รู้สิ คงเพราะที่นั่นคนไม่ค่อยกระด้างกระเดื่องหรือน่าเป็นห่วงมาก ก็เลยอิสระมากที่จะเข้าออก ฉันก็เลยอยู่อย่างสงบได้ไง ถึงจะแค่ช่วงสั้นๆก็เถอะ”

        อันนายังไม่หายกังวลใจ “แล้วฉันควรจะวางใจดีไหมนี่”

        คิรินที่ฟังบทสนทนาของเพื่อนทั้งสองตลอดเวลาที่ลงเขาจนเดินเข้าเมือง ตัดสินใจในใจเงียบๆหลังจากคิดมาหลายรอบ “เราจะไปกันพรุ่งนี้ วันนี้พักก่อน”

        “ไชโย!”

        “ดูนายดีใจมากเลยนี่ ตอนไปเขตตะวันตกไม่เห็นจะดีใจมากเท่านี้เลย ที่นั่นก็บ้านนายเหมือนกันนี่ ไม่ใช่เหรอ” อันนาถามแกมเหน็บแนม

        วาโยหน้าบึ้ง “ที่นั่นแย่”

        “คงไม่มีที่ไหนแย่ไปกว่าที่นั่นแล้วละ”คิรินที่เงียบตลอดการเดินทางเอ่ยขึ้นบ้าง“รู้สึกว่ากวินจะอยู่กับซิสเตอร์ตลอดช่วงนี้ เขตเหนือไม่ต้องมีอะไรหน้าเป็นห่วงมากนักหรอก”

        “ก็ดี”

        เสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลังคนทั้งสาม คิริน อันนา วาโยหันกลับไปมองด้านหลัง วาโยจำเด็กหญิงที่อยู่ในชุดกระโปรงกรุยกรายคนนี้ได้ทันทีโดยไม่ต้องอาศัยแรงกระแทกจากศอกคนข้างๆ

        “มุมิ!”



    [ Next Chapter ]
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×