ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ
    แดนดาราศักดิ์สิทธ์ สถานที่ที่เต็มไปด้วยความลึกลับและโหดร้าย แม้แต่ทางรัฐบาลยังเพิกเฉยด้วยความกลัวเกรงที่จะเข้ามาควบคุมดูแล ดินแดนที่อยู่ทางตะวันออกของเมืองใหญ่ซ่อนตัวในป่าอย่างเร้นลับ ถึงแม้ว่าจะเป็นสถานที่ที่ดูป่าเถื่อนไร้อารยะธรรม แต่ที่นี่ก็เป็นบ้านหลังสุดท้ายของคนที่ไม่มีแผ่นดินที่จะอยู่ พวกที่ถูกสังคมของ ‘โลกภายนอก’ ผลักไส
    เขตทั้งสี่ทิศภายในแดนศักดิ์สิทธิ์นี้ แม้จะอยู่ในพื้นที่ใกล้ๆแต่ก็ดูจะเป็นเอกเทศต่อกัน แต่สิ่งเดียวที่เหมือนกันคือความภักดีที่ขึ้นตรงต่อ - - แกนกลาง พื้นที่เล็กๆที่อยู่ตรงใจกลางสุด สถานที่เล็กๆอันเป็นที่ประทับของจักรพรรดิผู้ซึ่งทรงอำนาจและการปกครอง ณ จุดสูงสุดของที่นี่ และเหล่าผู้บริหารระดับสูงอีกมากมาย หลายครั้งที่เขตต่างๆทั้งสี่อาจจะมีการแข็งข้อ...
หลังจากสงครามและการปราบปรามจากพวกแกนกลางสงบลง ทุกคนที่อาศัยในเขตตะวันตกเริ่มทยอยกลับกันเข้ามาในเมืองอีกครั้ง ไม่มีใครแยแสว่าต้องใช้ชีวิตอย่างหลบๆซ่อน เบื้องหลังประตูลงกลอนที่แน่นหนา เพราะที่นี่คือ‘บ้าน’หลังเดียวของพวกเขา ในโลกภายนอกที่เต็มไม่ด้วยพวกใจบาปที่เห็นแก่ตัวนั้นไม่สามารถเป็นที่อยู่ให้แก่พวกเขาเหล่านี้ได้ ถึงที่นี่จะเป็นนรกแห่งการฆ่าของพวกแกนกลาง แต่ทุกคนที่นี่ก็อยู่กันได้ตัวความไว้เนื้อเชื่อใจ
    “วาโย จากนี้ไปเธอคือ...นักสู้”
    “นักสู้...เหรอ” วาโย เด็กน้อยวัยเพียงสิบสามปีที่ถูกทอดทิ้ง แม้จะเป็นเด็กแต่สำหรับที่นี่เรื่องอายุเป็นแค่เพียงตัวเลข ขอให้แข็งแกร่งก็สามารถมีชีวิตอยู่ที่นี่ได้ “ผมเป็นนักสู้”
    ชายผู้เป็นอาจารย์หัวเราะ “ฮึ ฮึ อย่าลำพองไปนักนะเจ้าหนู วิชาที่ฉันมีฉันก็สอนนายเท่าที่ฉันจะสอนได้หมดแล้ว ต่อจากนี้ไปคือสิ่งที่เธอต้องเรียนรู้เอาเอง”
    “เรียนรู้เอาเอง? นายจะไปไหน”
    กวินทำสีหน้าไม่พอใจ แล้วขยี้หัวเจ้าลูกศิษย์ “นายงั้นเหรอ ฉันเป็นอาจารย์สอนแกนะ หัดสำนึกบุญคุณซะมั่ง” แต่วาโยก็หลุดออกจากรัศมีการแกล้งของผู้เป็นอาจารย์แล้วทำหน้าเซ็ง
    “ให้ตายฉันก็ไม่เรียกนายว่าอาจารย์”
    “อย่าห่วงๆ ต่อไปนี้ฉันก็จะไม่อยู่ให้นายเรียกแล้วละ” เขาว่า “ชื่อของ ‘กวิน’ มันเริ่มจะทื่อแล้วละ ก็ฉันห่างเหินการต่อสู้จริงๆมาตั้งหลายปีแล้วนี่นะ...มาจมปรักอยู่กับแก ต่อไปนี้ฉันจะกลับสู่ชีวิตของฉันแบบเก่าๆสักที”
    กวินเดินล่วงหน้าไปโดยมีวาโยไล่ตาม “เดี๋ยวก่อน! นายจะไปไหน”
    “ไปตามที่ใจอยากไป” กวินไม่หันกลับมาแต่ก็หยุดเดิน “นายเองก็จำเป็นต้องมีประสบการณ์ วิถีชีวิตของใครก็ของมัน แกเลือกทางเดินของตัวเองก็แล้วกัน”
    “ฉันจะแก้แค้น!”
    กวินเกือบจะหันกลับมาแต่ก็ไม่ วาโยมองด้านหลังของกวินแล้วแววตาก็เปลี่ยนเป็นความมุ่งมั่น มือกำดาบที่ได้รับมาจากเขาแน่นแล้วตัดสินใจหันหลังให้
    “ตอนนี้ฉันคือนักสู้ ไม่คิดจะเป็นอย่างอื่น หลังจากพี่สาวถูกฆ่าไปชีวิตฉันก็อยู่มาเพื่อเหตุนี้และถ้าจะตาย...ฉันก็จะตายเพื่อสิ่งนี้เท่านั้น”
    กวินนิ่งเงียบ ยอมรับความพ่ายแพ้ของตัวเองที่ไม่สามารถปลดวาโยออกจากวังวนแห่งความแค้นได้ “เจอกันครั้งหน้า หวังว่าฉันจะได้เห็นรอยยิ้มบนหน้าแกสักครั้งนะ”
    คำพูดนั้นทำเอาวาโยสะดุ้ง แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้น วาโยก็เอ่ยปากก่อนวิ่งหายเข้าไปในตัวเมือง “อืม”
    “ฝีมือแค่นี้เองเหรอ”
    เหล่ายอดฝีมือแต่ละคนบาดเจ็บไปตามๆกัน นักสู้หน้าใหม่ที่เพิ่งเข้ามาที่เมืองคนบาปนี้แข็งแกร่งเกินกว่าที่จะรับไหว ทุกคนถอยห่างจากวาโยด้วยแววตาพรั่นพรึง
    “นี่นะเหรอเมืองคนบาปที่ลือชื่อของเขตตะวันตก สถานที่รวบรวมคนที่ต่อต้านแกนกลาง ถ้ามีฝีมือแค่นี้ละก็พวกนายก็แค่แมลงตัวเล็กๆที่รอความตายเท่านั้นแหละ” วาโยเงื้อดาบไร้สภาพขึ้น
    วินาทีเผด็จศึก ก้อนกรวดก้อนเล็กๆก็พุ่งตรงมาด้วยความเร็ว สกัดดาบของวาโยเอาไว้ได้ เป็นช่วงเวลาที่เครียดเขม็ง เมื่อมียอดฝีมือคนหนึ่งปรากฏกายออกมา
    “นายใช่ไหม เด็กที่กล้ามาหาเรื่องพวกเราที่นี่”
    ผู้หญิง...ความคิดแรกที่แล่นเข้ามาในใจของวาโย เรือนผมสีม่วงเข้มเกือบดำโผล่ออกมาจากกลุ่มคนที่พร้อมใจกันเปิดทางให้ แต่เมื่อเข้ามาใกล้ๆจึงได้รู้ว่า คนคนนี้เป็นผู้ชาย แต่สิ่งที่ติดใจที่สุด...คนคนนี้ปาก้อนหินสกัดดาบที่มองไม่เห็นของเขาได้ วาโยเหยียดยิ้มเย็นๆ
    ต้องอย่างนี้สิ
    “ฝีมือใช่ย่อย แต่ยังกล้าเข้ามาที่นี่อีกนะ เพื่ออะไร”
    “ไม่มีความจำเป็นต้องบอกนาย” วาโยว่า “เอาเป็นว่าฉันมาเพื่อล้มคนที่เก่งที่สุดของที่นี่ เพื่อวัดฝีมือของตัวเอง เรื่องอื่นนายไม่ต้องสนใจ”
    ชายผู้เป็นหัวหน้าที่นี่เรียกง้าวใหญ่คู่กายขึ้นมา “ฉันคือคนที่เก่งที่สุดตอนนี้”
    “งั้นก็ เริ่มเลยละกัน”
    ชายคนนี้เก่งมาก สมกับที่กล้าเข้ามาในเมืองคนบาปเพียงลำพัง ไม่เคยมีใครสามารถสู้กับเขาและหลงฟาได้นานขนาดนี้มาก่อน คนที่อยู่รอบๆอาจจะคิดว่าฝีมือเหมือนจะใกล้เคียงกัน แต่เจ้าหมอนี่...นำอยู่หน่อยหนึ่งด้วยซ้ำ
    “เก่งเหมือนกันนี่”วาโยเอ่ยชม
    “นายด้วยนั่นแหละ” แต่เพราะอะไรนะ รู้สึกเหมือนว่าเจ้านี่จะดูคุ้นตาชอบกล ที่การต่อสู้ยืดเยื้อก็อาจจะเป็นเพราะเขาเองที่ยั้งมือในบางจังหวะ และเจ้านี่เองก็เหมือนว่าจะออมมืออยู่นิดหน่อย
    วาโยกระโดดออกห่างจากคู่ต่อสู้ ความลังเลในใจเพิ่มมากขึ้นจนตั้งสติไว้ไม่ได้ “หมดเวลาหยอกเล่นแล้ว ก่อนตายช่วยบอกสักหน่อยจะได้ไหม นายชื่ออะไร”
    “เหยาหมิง”
    วาโยชะงักลดดาบลงทันที นัยน์ตาเบิกกว้างแสดงความแปลกใจเป็นล้นพ้น แม้แต่เหยาหมิงเองก็รู้สึกได้ว่าดาบไร้สภาพก็ดูเหมือนว่าจะเก็บหายไปแล้ว “เหยา เหรอ”
    เหยาหมิงจำเสียงนั่นได้ทันที ไม่น่าแปลกใจที่เขาไม่ได้นึกถึงเพราะไม่ได้ยินมานานเกือบสิบปีแล้ว “วาโย...ใช่ไหม”
    การต่อสู้จบลงอย่างง่ายดาย
    ท้องฟ้าเปิด ก้อนเมฆสีขาวลอยเอื่อยอย่างขี้เกียจ สองพี่น้องนั่งคุยกันอย่างเงียบๆบนหลังคาบ้านใครสักคน หลังจากที่จบการต่อสู้ไปเมื่อคืน
    “ฉันคิดว่านายตายไปแล้วรู้ไหม”
    วาโยหัวเราะอย่างมีความสุข ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่ได้ทำมานานหลังจากพี่ตายไป “ฮะ ฮะ ฉันเองนึกว่านายถูกพ่อขังลืมอยู่ในห้องใต้ดินของบ้านซะอีก”
    “ฉันหนีออกมา” เหยาหมิงเล่า “ตั้งนานแล้วละ”
    วาโยเปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งขรึม “เรื่องพี่สาว...”
    “ฉันเองก็ไม่เคยลืมนะ แต่ว่าวันนี้ช่วยทำเป็นลืมไปหน่อยจะได้ไหม ฉันไม่ได้รู้สึกมีความสุขขนาดนี้มาตั้งนานแล้วละ”
                “ฉันเอง...ก็เหมือนกัน”
   
[ Next Chapter ]
    เขตทั้งสี่ทิศภายในแดนศักดิ์สิทธิ์นี้ แม้จะอยู่ในพื้นที่ใกล้ๆแต่ก็ดูจะเป็นเอกเทศต่อกัน แต่สิ่งเดียวที่เหมือนกันคือความภักดีที่ขึ้นตรงต่อ - - แกนกลาง พื้นที่เล็กๆที่อยู่ตรงใจกลางสุด สถานที่เล็กๆอันเป็นที่ประทับของจักรพรรดิผู้ซึ่งทรงอำนาจและการปกครอง ณ จุดสูงสุดของที่นี่ และเหล่าผู้บริหารระดับสูงอีกมากมาย หลายครั้งที่เขตต่างๆทั้งสี่อาจจะมีการแข็งข้อ...
หลังจากสงครามและการปราบปรามจากพวกแกนกลางสงบลง ทุกคนที่อาศัยในเขตตะวันตกเริ่มทยอยกลับกันเข้ามาในเมืองอีกครั้ง ไม่มีใครแยแสว่าต้องใช้ชีวิตอย่างหลบๆซ่อน เบื้องหลังประตูลงกลอนที่แน่นหนา เพราะที่นี่คือ‘บ้าน’หลังเดียวของพวกเขา ในโลกภายนอกที่เต็มไม่ด้วยพวกใจบาปที่เห็นแก่ตัวนั้นไม่สามารถเป็นที่อยู่ให้แก่พวกเขาเหล่านี้ได้ ถึงที่นี่จะเป็นนรกแห่งการฆ่าของพวกแกนกลาง แต่ทุกคนที่นี่ก็อยู่กันได้ตัวความไว้เนื้อเชื่อใจ
    “วาโย จากนี้ไปเธอคือ...นักสู้”
    “นักสู้...เหรอ” วาโย เด็กน้อยวัยเพียงสิบสามปีที่ถูกทอดทิ้ง แม้จะเป็นเด็กแต่สำหรับที่นี่เรื่องอายุเป็นแค่เพียงตัวเลข ขอให้แข็งแกร่งก็สามารถมีชีวิตอยู่ที่นี่ได้ “ผมเป็นนักสู้”
    ชายผู้เป็นอาจารย์หัวเราะ “ฮึ ฮึ อย่าลำพองไปนักนะเจ้าหนู วิชาที่ฉันมีฉันก็สอนนายเท่าที่ฉันจะสอนได้หมดแล้ว ต่อจากนี้ไปคือสิ่งที่เธอต้องเรียนรู้เอาเอง”
    “เรียนรู้เอาเอง? นายจะไปไหน”
    กวินทำสีหน้าไม่พอใจ แล้วขยี้หัวเจ้าลูกศิษย์ “นายงั้นเหรอ ฉันเป็นอาจารย์สอนแกนะ หัดสำนึกบุญคุณซะมั่ง” แต่วาโยก็หลุดออกจากรัศมีการแกล้งของผู้เป็นอาจารย์แล้วทำหน้าเซ็ง
    “ให้ตายฉันก็ไม่เรียกนายว่าอาจารย์”
    “อย่าห่วงๆ ต่อไปนี้ฉันก็จะไม่อยู่ให้นายเรียกแล้วละ” เขาว่า “ชื่อของ ‘กวิน’ มันเริ่มจะทื่อแล้วละ ก็ฉันห่างเหินการต่อสู้จริงๆมาตั้งหลายปีแล้วนี่นะ...มาจมปรักอยู่กับแก ต่อไปนี้ฉันจะกลับสู่ชีวิตของฉันแบบเก่าๆสักที”
    กวินเดินล่วงหน้าไปโดยมีวาโยไล่ตาม “เดี๋ยวก่อน! นายจะไปไหน”
    “ไปตามที่ใจอยากไป” กวินไม่หันกลับมาแต่ก็หยุดเดิน “นายเองก็จำเป็นต้องมีประสบการณ์ วิถีชีวิตของใครก็ของมัน แกเลือกทางเดินของตัวเองก็แล้วกัน”
    “ฉันจะแก้แค้น!”
    กวินเกือบจะหันกลับมาแต่ก็ไม่ วาโยมองด้านหลังของกวินแล้วแววตาก็เปลี่ยนเป็นความมุ่งมั่น มือกำดาบที่ได้รับมาจากเขาแน่นแล้วตัดสินใจหันหลังให้
    “ตอนนี้ฉันคือนักสู้ ไม่คิดจะเป็นอย่างอื่น หลังจากพี่สาวถูกฆ่าไปชีวิตฉันก็อยู่มาเพื่อเหตุนี้และถ้าจะตาย...ฉันก็จะตายเพื่อสิ่งนี้เท่านั้น”
    กวินนิ่งเงียบ ยอมรับความพ่ายแพ้ของตัวเองที่ไม่สามารถปลดวาโยออกจากวังวนแห่งความแค้นได้ “เจอกันครั้งหน้า หวังว่าฉันจะได้เห็นรอยยิ้มบนหน้าแกสักครั้งนะ”
    คำพูดนั้นทำเอาวาโยสะดุ้ง แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้น วาโยก็เอ่ยปากก่อนวิ่งหายเข้าไปในตัวเมือง “อืม”
    “ฝีมือแค่นี้เองเหรอ”
    เหล่ายอดฝีมือแต่ละคนบาดเจ็บไปตามๆกัน นักสู้หน้าใหม่ที่เพิ่งเข้ามาที่เมืองคนบาปนี้แข็งแกร่งเกินกว่าที่จะรับไหว ทุกคนถอยห่างจากวาโยด้วยแววตาพรั่นพรึง
    “นี่นะเหรอเมืองคนบาปที่ลือชื่อของเขตตะวันตก สถานที่รวบรวมคนที่ต่อต้านแกนกลาง ถ้ามีฝีมือแค่นี้ละก็พวกนายก็แค่แมลงตัวเล็กๆที่รอความตายเท่านั้นแหละ” วาโยเงื้อดาบไร้สภาพขึ้น
    วินาทีเผด็จศึก ก้อนกรวดก้อนเล็กๆก็พุ่งตรงมาด้วยความเร็ว สกัดดาบของวาโยเอาไว้ได้ เป็นช่วงเวลาที่เครียดเขม็ง เมื่อมียอดฝีมือคนหนึ่งปรากฏกายออกมา
    “นายใช่ไหม เด็กที่กล้ามาหาเรื่องพวกเราที่นี่”
    ผู้หญิง...ความคิดแรกที่แล่นเข้ามาในใจของวาโย เรือนผมสีม่วงเข้มเกือบดำโผล่ออกมาจากกลุ่มคนที่พร้อมใจกันเปิดทางให้ แต่เมื่อเข้ามาใกล้ๆจึงได้รู้ว่า คนคนนี้เป็นผู้ชาย แต่สิ่งที่ติดใจที่สุด...คนคนนี้ปาก้อนหินสกัดดาบที่มองไม่เห็นของเขาได้ วาโยเหยียดยิ้มเย็นๆ
    ต้องอย่างนี้สิ
    “ฝีมือใช่ย่อย แต่ยังกล้าเข้ามาที่นี่อีกนะ เพื่ออะไร”
    “ไม่มีความจำเป็นต้องบอกนาย” วาโยว่า “เอาเป็นว่าฉันมาเพื่อล้มคนที่เก่งที่สุดของที่นี่ เพื่อวัดฝีมือของตัวเอง เรื่องอื่นนายไม่ต้องสนใจ”
    ชายผู้เป็นหัวหน้าที่นี่เรียกง้าวใหญ่คู่กายขึ้นมา “ฉันคือคนที่เก่งที่สุดตอนนี้”
    “งั้นก็ เริ่มเลยละกัน”
    ชายคนนี้เก่งมาก สมกับที่กล้าเข้ามาในเมืองคนบาปเพียงลำพัง ไม่เคยมีใครสามารถสู้กับเขาและหลงฟาได้นานขนาดนี้มาก่อน คนที่อยู่รอบๆอาจจะคิดว่าฝีมือเหมือนจะใกล้เคียงกัน แต่เจ้าหมอนี่...นำอยู่หน่อยหนึ่งด้วยซ้ำ
    “เก่งเหมือนกันนี่”วาโยเอ่ยชม
    “นายด้วยนั่นแหละ” แต่เพราะอะไรนะ รู้สึกเหมือนว่าเจ้านี่จะดูคุ้นตาชอบกล ที่การต่อสู้ยืดเยื้อก็อาจจะเป็นเพราะเขาเองที่ยั้งมือในบางจังหวะ และเจ้านี่เองก็เหมือนว่าจะออมมืออยู่นิดหน่อย
    วาโยกระโดดออกห่างจากคู่ต่อสู้ ความลังเลในใจเพิ่มมากขึ้นจนตั้งสติไว้ไม่ได้ “หมดเวลาหยอกเล่นแล้ว ก่อนตายช่วยบอกสักหน่อยจะได้ไหม นายชื่ออะไร”
    “เหยาหมิง”
    วาโยชะงักลดดาบลงทันที นัยน์ตาเบิกกว้างแสดงความแปลกใจเป็นล้นพ้น แม้แต่เหยาหมิงเองก็รู้สึกได้ว่าดาบไร้สภาพก็ดูเหมือนว่าจะเก็บหายไปแล้ว “เหยา เหรอ”
    เหยาหมิงจำเสียงนั่นได้ทันที ไม่น่าแปลกใจที่เขาไม่ได้นึกถึงเพราะไม่ได้ยินมานานเกือบสิบปีแล้ว “วาโย...ใช่ไหม”
    การต่อสู้จบลงอย่างง่ายดาย
    ท้องฟ้าเปิด ก้อนเมฆสีขาวลอยเอื่อยอย่างขี้เกียจ สองพี่น้องนั่งคุยกันอย่างเงียบๆบนหลังคาบ้านใครสักคน หลังจากที่จบการต่อสู้ไปเมื่อคืน
    “ฉันคิดว่านายตายไปแล้วรู้ไหม”
    วาโยหัวเราะอย่างมีความสุข ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่ได้ทำมานานหลังจากพี่ตายไป “ฮะ ฮะ ฉันเองนึกว่านายถูกพ่อขังลืมอยู่ในห้องใต้ดินของบ้านซะอีก”
    “ฉันหนีออกมา” เหยาหมิงเล่า “ตั้งนานแล้วละ”
    วาโยเปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งขรึม “เรื่องพี่สาว...”
    “ฉันเองก็ไม่เคยลืมนะ แต่ว่าวันนี้ช่วยทำเป็นลืมไปหน่อยจะได้ไหม ฉันไม่ได้รู้สึกมีความสุขขนาดนี้มาตั้งนานแล้วละ”
                “ฉันเอง...ก็เหมือนกัน”
   
[ Next Chapter ]
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น