ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Andria the Empire - บทนำ -
- Andria the Empire -
บทนำ
A.E. 1024 ตอนต้นแห่งมหาสงครามแอนเดรีย-ฟิวดรอน ...สงครามระหว่างสองในสามราชอาณาจักรใหญ่แห่งแผ่นดินโคลเวียร์
ณ. กลางราชอาณาจักรฟิวดรอน คฤหาสน์เอสเดคอลเวีย
เด็กชายตัวเล็กกระโดดลงมาจากกำแพงสูงลิ่วแห่งหนึ่งสู่พื้นได้อย่างคล่องแคล่วสวยงามก่อนจะเดินกึ่งวิ่งตรงไปยังเป้าหมายเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว แรงลมที่ปะทะจากการเคลื่อนไหวส่งผลให้เรือนผมสีน้ำทะเลบางพลิ้วไหวน้อยๆจนเกือบยุ่งแต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก ...อย่างไรก็ตามภารกิจที่ผู้มีสถานะเป็นทั้งพ่อและกษัตริย์ของตนมอบหมายให้สำเร็จโดยเร็วมาย่อมสำคัญกว่าเป็นไม่รู้กี่เท่านัก
ดวงตาสีเดียวกับเรือนผมทั้งสองข้างเหลียวซ้ายขวาเพื่อสำรวจว่าจะมีใครอยู่แถวนี้บ้างรึไม่ ก่อนจะพบว่าไม่มีแล้วจึงผ่อนลมหายใจออกอย่างช้าๆอย่างโล่งอก
“แล้วว่าแต่.. นี่มันส่วนไหนกันล่ะ?” เด็กชายพึมพำเบาๆอย่างวิตกเล็กน้อยกับปัญหาที่เกิดขึ้น
...
“จะรับอะไรเป็นหารว่างดีคะ ..คุณหนูทั้งสาม” สาวรับใช้ร่างท้วมเอ่ยถามเด็กน้อยสามคนที่กำลังคุยโน่นนี่อย่างสนุกสนานในห้องนอนโอ่โถของลูกสาวคนเล็กของตระกูลเอสเดคอลเวีย
“ของผมขอเป็นชาเหมือนเดิมครับ” เด็กชายคนเดียวตอบไปอย่างสุภาพที่สุดพลางขยับแว่นตากรอบบางบนใบหน้าเนียนขาว
“หนูขอแค่น้ำส้มละกันค่ะ” พี่สาวคนโตของกลุ่มว่าก่อนจะหันไปถามแม่น้องสาวคนสุดท้อง “อย่าบอกนะว่าจะเอากาแฟ?” อีกฝ่ายยิ้มตอบก่อนหันไปสั่งบ้าง
“ลาเต้ปั่นผสมนมเยอะๆค่ะ”
“เอาเป็นว่าคุณหนูทั้งสามรับแบบทุกทีนะคะ เดี๋ยวป้าไปเตรียมไว้ให้นะคะ” หญิงสาวว่าแล้วจึงขอตัวไปเตรียมของว่างให้เด็กๆที่กำลังสนุกสนานกันต่อไป
“ป้าเมธีนนี่รู้ดีจังนะคะ”
“เหอๆ ก็พวกเราเล่นสั่งกันแต่แบบเดิมๆมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่นา... ว่าแต่ วีน่า เธอน่ะกินกาแฟมากๆไม่ได้นะ”
“พี่เวนเทียอ่ะ ดุวีน่าทุกทีเลย” เด็กสาวทำท่างอนแก้มป่องเล่นเอาผู้เป็นพี่อดที่จะยื่นมือไปหยิกแก้มนิ่มๆของแม่น้องสาววัย 4 ปีตรงหน้าไม่ได้ ผู้เยาว์กว่าร้องบ่นว่าเจ็บน้อยๆแต่เธอก็ไม่ได้หยุดการกระทำลงซักนิด
ฝ่ายผู้เป็นพี่คนรองที่นั่งอ่านหนังสือในมือเงยหน้ามามองน้องสาวคนเล็กอย่างขำๆก่อนจะช่วยพูดให้พี่สาวคนโตของบ้านเลิกแกล้งน้องสาวเล็ก “พี่ก็หยุดเถอะครับ แบบนี้... หน้าของวีน่าจะยืดเป็นโมจิได้นะครับเนี่ย”
“จริงด้วย! พี่ไม่อยากมีน้องสาวเป็นโมจินะ!!” เด็กสาวรีบปล่อยมือทันใดแล้วจึงหลุดหัวเราะออกมาในประโยคถัดมาของแม่น้องสาวตรงหน้า
“วีน่าจะเป็นโมจิได้ไงเล่า ..ในเมื่อ ...ในเมื่อ ...ในเมื่อวีน่าไม่ใช่โมจิซักหน่อย ไม่ใช่แล้วก็ไม่ชอบด้วย!!”
“เอ้า เครื่องดื่มพร้อมขนมมาเสิร์ฟแล้วค่ะ” ป้าเมธีนคนเดิมเดินมาพร้อมชายในชุดพ่อบ้านที่เข็นรถขนมสีเงินตามหลังมา
“ชามิ้นท์หรอครับวันนี้ กลิ่นหอมมากเลยครับ”
“ ค่ะ เพิ่งส่งมาเมื่อเช้านี้เองค่ะ หวังว่าคุณหนูราครอสจะชอบ”
“อย่างพี่ราครอสน่ะไม่มีบ่นหรอกค่ะ” น้องสาวคนเล็กเหน็บ
“ค่ะ” สาวรับใช้ของบ้านยิ้มก่อนส่งถ้วยอีกใบให้เด็กสาวอารมณ์ดีตรงหน้า “อันนี้ลาเต้ปั่นผสมนมเยอะๆของคุณหนูเรวีน่าค่ะ แล้วก็ใบนี้ของคุณหนูเรเวนเทียค่ะ แล้วก็ขนมนี่สำหรับคุณหนูทั้งสามค่ะ”
“ช็อตเค้ก!! “
“ค่ะ”
“รักป้าเมธีนที่สุดเลยค่า..!!!” สองสาวตะโกนขึ้นพร้อมกันพลางโผกอดหญิงสูงวัยใจดีก่อนทั้งหมดจะหลุดหัวเราะออกมาพร้อมๆกันอย่างอดไม่ได้
เสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานดังเล็ดลอดประตูหินอ่อนสีกุหลาบถึงทางเดินทอดยาวภายนอก ผู้บุกรุกเยาว์วัยขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะย่องเท้าหลบไปทางอื่นซะก่อน
“นี่.. เรวีน่า”
“ขา...” ผู้ถูกเรียกลากเสียงยานคางรับ
“เดี๋ยวพี่กับราครอสว่าจะขอตัวซักหน่อย วีน่าอยู่เองได้ใช่ไหม?” ผู้ได้ชื่อว่าเป็นบุตรสาวคนโตของบ้านถามอย่างไม่แน่ใจนัก เพราะใจหนึ่งก็ยังเป็นห่วงน้องสาว
“พี่จะไปไหนหรอคะ?” เด็กสาวเอียงคอถามอย่างสงสัย ดวงตาสีท้องฟ้าสดใสกระพริบไปมาอย่างใคร่หาคำตอบจากผู้เป็นพี่ทั้งสอง
“พี่เวนเทียจะไปซ้อมดาบน่ะ ส่วนพี่ว่าจะไปอ่านหนังสือระหว่างรอพี่เวนเทีย วีน่านอนพักไปเถอะนะ” เด็กชายตอบ
“นอนพักอีกแล้วหรอคะ?” เด็กสาวบนเตียงทำหน้ามุ่ย
“เราน่ะ ร่างกายไม่แข็งแรงอยู่นะ เจียมตัวให้มากๆ พักผ่อนให้เยอะๆเถอะ” เด็กชายพูด ว่าแล้วก็เดินมาขยี้เรือนผมสีเงินเป็นประกายของแม่น้องสาวไปอีกทีหนึ่ง
“วีน่าหายแล้วนี่นา วีน่าอยากไปกับพี่ทั้งสองบ้าง” เด็กสาวตัวเล็กยังไม่หายตื้อ คราวนี้ลุกเดินมาเขย่าตัวผู้เป็นพี่ทั้งสองอีกต่างหาก
“น่านะ.. นอนพักไปก่อนเถอะน่า ไว้หายสนิทจริงแล้วจะพาไปเที่ยวไกลๆเลยเอ้า” คำพูดส่งมาเหมือนพยายามเกลี้ยกล่อมให้เด็กสาวยอมนอนเฉยๆเหมือนทุกที แต่เด็กสาวกลับไม่คิดจะสนใจอีกเช่นเคยแต่กลับทำหน้ามุ่ยใส่แทน
“พี่ๆก็ว่าอย่างนี้ทุกที วีน่าเองอยากออกไปข้างนอกบ้าง ตั้งแต่วีน่าจำความได้วีน่ายังไม่เคยแม้แต่ออกไปนอกบ้านสักครั้ง หรือกระทั่งในบ้านตนเอง วีน่าเองก็ยังไม่เคยผ่านประตูห้องนอนออกไปเดินเล่นในบ้านถึงห้าครั้งเสียด้วยซ้ำเลยนะคะ”
ผู้เป็นพี่ทั้งเหลือบมองน้องสาวอย่างอ่อนใจ ถึงจะสงสารมากก็ตาม แต่ความปรารถนาของเจ้าหล่อนนั้นยากที่จะให้เป็นจริง ทั้งสองจึงได้แต่ส่ายหน้าน้อยๆแล้วยิ้มกลับไป “...นอนพักไปก่อนแล้วกันนะ พวกพี่ขอตัว”
จบประโยคทั้งเรวนเทียและราครอสจึงรีบแข็งใจออกจากห้องนอนน้องสาวสุดรักสุดหวงในทันทีก่อนจะมีหนึ่งในสองยอมอ่อนใจให้แม่น้องสาวเสียก่อน ประตูสีกุหลายถูกปิดลงช้าๆก่อนบทสนทนาจะถูกเอื้อนเอ่ยขึ้นอีกครั้งเมื่อมั่นใจว่าบุคคลในห้องจะไม่ได้ยินการสนทนาครั้งนี้
“เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างนะ...ราครอส มีอะไรก็ว่ามาสิ” น้ำเสียงสดใสเลือนหายไปเมื่อพ้นประตูทิ้งไว้เพียงน้ำเสียงสงบเยือกเย็นแสดงความน่าเกรงขามทุกคราที่ได้ฟังเช่นเคย
“ครับ” ราครอสตอบ ก่อนจะเล่าสิ่งที่ตนคิดไว้อย่างไม่คิดปิดบัง “ข้าวิตกถึงบางอย่าง แม้ตอนนี้สงครามดูเหมือนจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี แต่ข้ากับกังวลถึงบางอย่าง มันอาจเป็นแค่ลางสังหรณ์ แต่ข้ากำลังหวั่นใจ บอกตามตรงข้าไม่ไว้ใจพวกแอนเดรียเลยซักนิดว่าจะพ่ายแพ้ไปได้ง่ายๆแบบนี้ทั้งๆที่ตั้งแต่แอนเดรียกับอัลดรอสจุดไฟแห่งสงครามขึ้นมาบนแผ่นดินโคลเวียร์ที่เคยสงบสุขมาตลอด การล่าจักรวรรดิของทั้งสองก็ยังไม่เคยแพ้แก่ใครเลยซักครั้ง”
“พี่เห็นด้วยกับราครอสนะ แต่ตอนนี้ที่ข้าเป็นห่วงและเครียดที่สุดคือวีน่าที่นับวันอาการก็ยิ่งทรุดถึงจะไม่มาก แต่วีน่าก็ผอมลงทุกที แล้วยังจะท่านแม่ของพวกเราซึ่งกำลังตั้งครรภ์ เรื่องสงครามของเจ้าก็น่าคิดอยู่ใช่น้อยเพราะพี่เองก็คิดอยู่บ้างแต่อย่างไรก็ทำอะไรไม่ได้เนี่ยสิ เลยว่าจะไปซ้อมดาบให้มากๆซักหน่อย ถึงจะเพราะยังเด็กพ่วงความเป็นผู้หญิงซะอีกอาจทำให้พี่เข้าทัพไม่ได้ ทว่าอย่างน้อยในยามคับขัน พี่ก็ยังอยากจะปกป้องคนที่พี่รักไว้ก็ยังดี” เด็กสาวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงและท่าทีที่เงียบสงบก่อนจะเดินผ่านหน้าน้องชายไป เรือนผมสีเงินเป็นประกายอันเป็นเอกลักษณ์ของตระกูลซึ่งถูกสยายไว้สะบัดตามแรงลมอ่อนๆจากหน้าต่างบันใหญ่ข้างทางเดิน ก่อนจะหายวับไปตามทางเดินทอดยาว
ฝ่ายผู้เป็นน้องลอบมองพี่สาววัยห่างกันเพียงปีเดียวที่จากไปอย่าภูมิใจ และชื่นชม เหลือบมองตัวเองจากหน้าต่าง ก่อนจะเผลอยิ้มออกมาเมื่อนึกได้ถึงสิ่งที่ตนเองก็ควรทำบ้างก่อนหลุดหัวเราะคิกก่อนเดินตามไปตามทาง
...พี่ๆหายตัวไปอีกแล้ว
เด็กสาวคนเดียวในชุดเดรสสีท้องฟ้าอ่อนๆยามบ่ายเหม่อมองออกไปน้องบานกระจกใสเหมือนอย่างทุกทีที่เคยทำทุกครั้งเมื่อเหงา ลมหายใจอ่อนๆลอบถอนอย่างแผ่วเบาจากริมฝีปากสวยได้รูป ดวงตากลมใสแสดงความเบื่อหน่ายกับชีวิตที่ราวกับถูกกักขังตั้งแต่จำความได้แต่กลับส่องประกายเจิดจรัสอย่างหรูหราดุจมณีน้ำงามไว้ได้เช่นเคย
จากสายลมเอื่อยแผ่วเบาเย็นสบายพัดผ่านใบหน้าเนียนสวยราวตุ๊กตาเริ่มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นจนกระทั่งร่างเล็กอดไม่ได้ที่จะต้องหลับตาลงพลางเอามือเล็กทั้งสองมาบังแรงลมไว้ เศษใบไม้ยามฤดูใบไม้ร่วงมากมายพัดตามแรงลมก่อนสายลมทั้งหมดจะหมุนพัดเป็นวงและหยุดลงที่ระบียงเล็กๆนอกหน้าต่าง
เด็กหญิงวัย 4 ปีลอบมองเหตุการณ์ประหลาดตรงหน้าอย่างฉงน เปลือกตาบางเปิดขึ้นก่อนจะเบิกโพงอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตตรงหน้า
...อันที่จริงสิ่งมีชีวิตตรงหน้าก็ไม่ได้หน้าประหลาดใจอะไรเท่าไรนักหรอก เพราะเขาก็คือมนุษย์เหมือนๆกับเธอและคนในบ้านหลังนี้ทั้งนั้นแหละ แต่ที่หน้าแปลกคือการที่เขาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเธอต่างหาก! ตามหลักแล้วไม่น่าจะมีใครเข้ามาในห้องนอนเธอได้ ไม่สิ แม้แต่คฤหาสน์เอสเดคอลเวียหลังนี้เอง ถ้าไม่ใช่คนในตระกูล หรือพวกคนใช้ที่ได้รับการไว้วางใจอย่างดีแล้ว แม้แต่แขกของตระกูลถ้าไม่ใช่เชื้อพระวงศ์แล้วล่ะก็ยังต้องไปต้อนรับที่คฤหาสน์รับรองเลยด้วยซ้ำ แต่นี่นอกจากจะเล็ดลอดเข้ามาได้แล้ว เพื่อนใหม่ของเธอคนนี้ยังดูอายุห่างจากเธอไม่ถึงสองปีหรืออาจห่างกันแค่ปีเพียงเดียวเองด้วยซ้ำ แถมยังโผล่มาทีถึงระเบียงชั้นสามของคฤหาสน์อีกต่างหาก
เด็กชายในชุดลำลองทะมัดมะแทงสีน้ำตาลอ่อนปัดกางเกงตัวเล็กน้อยๆราวกับไม่ใส่ใจนักเช่นเคยกับที่เขาไม่เคยคิดที่จะใส่ใจอะไรซักอย่างตั้งแต่จำความได้อย่างไม่สนใจสายตาฉงนที่ส่งมา แต่เด็กผู้หญิงวัยพอๆกับเขาที่เอาแต่มองเขาอยู่ได้อย่างไม่มีทีท่าว่าจะเลิกราทำให้ตัวเขาเองก็อดไม่ได้ที่จะรำคาญนิดหน่อย ดวงตาสีน้ำทะเลเงยขึ้นมาสบตาดวงตากลมแป๋วสีท้องฟ้าเป็นประกายสดใสของอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนจะเป็นการคิดผิด เพราะนั่นทำให้เขาเองอดไม่ได้อีกครั้งที่จะไม่ละจากดวงตากลมโตเหมือนตุ๊กตาของเด็กสาวตรงหน้า
“จ้องฉันทำไมหรอ?” เด็กสาวร่างเล็กเอียงคอถามเมื่อเวลาผ่านมาได้นานพอควรแล้ว
จ้องฉันทำไมหรองั้นรึ ..หล่อนเองไม่ใช่รึไงที่มาจ้องข้าเอาจ้องข้าเอาก่อน
...
“นี่... วีน่าถามทำไมไม่ตอบล่ะ” เด็กสาวเค้นถามอีกครั้งเมื่อคนตรงหน้าได้แต่เงียบไม่ตอบสักที แต่เด็กชายหน้าตาไร้อารมณ์อย่างไรก็ยังคงเป็นเช่นนั้น เพราะเขาก็ยังเงียบงันอยู่เช่นเคย
“นี่ๆๆ วีน่าคุยกับคุณอยู่นะคะ ทำคุณไม่ตอบวีน่าล่ะคะ”
แล้วทำไมข้าต้องตอบเจ้า? เด็กชายคิดในใจอย่างไม่ค่อยจะสบอารมณ์นัก
“ก็เพราะว่าที่บ้านของวีน่า คุณพ่อ คุณแม่ พี่เวนเทีย แล้วก็พี่ราครอส มักจะสอนวีน่าอยู่เสมอน่ะสิคะว่าการที่คนอื่นมาถามอะไรเราเราก็ควรตอบเขาอย่างมีมารยาท เพราะนั่นคือการแสดงให้เห็นว่าเราเป็นคนมีมารยาทและได้รับการอบรมมาค่ะ” เด็กสาวตอบอย่างใสซื่อตามความคิดพลางชี้นิ้วประกอบ หารู้ไม่ว่าคำพูดนั่นกับน้ำเสียงเจียวจาวนั่นกำลังค่อยๆทำให้จุดเดือดต่ำๆของเด็กชายใกล้ปะทุขึ้นมาถึงขีดสุดเต็มทีแล้ว
ฝ่ายถูกถามสะบัดหน้ากลับอย่างไม่ใส่ใจท่าทางของบุคคลน่ารำคาญด้านหลัง ทิ้งให้คนที่ถูกเมินปล่อยสีหน้าไม่พอใจออกมา
“ถ้างั้น... ถ้าจะไปจากตรงนี้ล่ะก็... พาวีน่าไปด้วยได้มั๊ยคะ?”
ฝ่ายผู้ฟังชายตามามองเด็กสาวชั่วครู่ ก่อนจะสะบัดหน้ากลับไปอย่างไม่สนใจ
แล้วเรื่องอะไรข้าต้องให้เจ้าไปกับข้าด้วยกัน...
“ก็เพราะว่าวี่น่าอยากแอบออกไปข้างนอกบ้างน่ะสิคะ แล้วถ้าวีน่าคาดไม่ผิด คุณคงจะเป็นคุณผู้บุกรุกสินะคะ ไม่งั้นถ้าวีน่าเผลอโวยวายเพราะคุณไม่สนใจวีน่าจนมีคนมากมายรีบเข้ามาหาวีน่าแน่ล่ะค่ะ” เด็กสาวตอบอย่างถือดีน้อยๆ แต่เด็กชายกลับฉงนมากกว่าว่าแม่คุณมาล่วงรู้สิ่งที่เขาคิดได้อย่างไร และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกแล้วด้วยที่ดูเหมือนแม่คนตรงหน้านี่จะอ่านใจเขาออก
“มีคนบอกว่าวีน่าเป็นคนเข้าใจสิ่งที่คนอื่นคิดได้ง่ายค่ะ ดูจากท่าทางของคุณแล้ว นิสัยของคุณทำให้วีน่าอดไม่ได้ที่จะคิดว่าคุณกำลังคิดอะไรทำนองนี้อยู่แน่นอนค่ะ”
“แล้วยังไง?” น้ำเสียงราบเรียบอย่างไม่สนใจอะไรเหมือนกับสีหน้าถูกส่งมาอีกครั้งเรียกความประทับใจชั้นเลิศเสียจริง
“ก็ไม่แล้วยังไงหรอกค่ะ วีน่าอยากขอร้องให้คุณพาวีน่าออกไปนอกคฤหาสน์น่ะค่ะ อย่างน้อยไปที่สวนริมกำแพงในนี้ก็ได้ค่ะ ลีน่าอยากลองออกไปเดินเล่นดูค่ะ”
ลอง...? แล้วทำไมต้องลอง? เขาคิดในใจ ก็นี่มันบ้านเธอไม่ใช่รึไง?
“ก็เพราะเป็นบ้านของวีน่าน่ะค่ะ ทุกคนเลยบอกว่าที่นี่ปลอดภัยกับวีน่าค่ะ ร่างกายของวีน่าคุณแพทย์ที่ดูแลตระกูลบอกว่าไม่ดีนัก ไม่ควรออกไปนอกห้องนอกให้บ่อยมากนัก ไม่ควรออกมาเลยด้วยซ้ำค่ะ”
เด็กชายจ้องมองเด็กสาวอย่างชั่งใจ หากเขาไม่พาไปแม่คุณคงได้ทำอย่างที่ขู่ตอนแรก แต่หากพาไปเขาคงได้เรื่องกวนใจเข้ามาในชีวิตเพิ่มมาอีกเป็นแน่ แถมแม่คุณยิ่งไม่ค่อยสบายอยู่ด้วย
ถ้ามันไม่ดีแล้วจะออกมาทำไมกัน นอนพักไม่ดีกว่าหรืออย่างไร
เด็กชายขมวดคิ้วเล็กๆทั้งสองข้าง แต่พอสบตาเข้ากับดวงตากลมใสน่ารักมีเสน่ห์คู่เดิมก็อดไม่ได้ที่จะใจอ่อน ไม่สิ ถ้าเธอเป็นลูกสาวตระกูลเอสเดคอลเวียจริงล่ะก็... ภารกิจของเขาอาจทำได้ง่ายขึ้นกว่าที่คิดก็ได้ ว่าแล้วพอถูกสายตาเหมือนลูกสุนัขคาดคั้นเข้ามากๆจึงได้แต่พยักหน้าตอบรับส่งๆไป
“จริงๆนะคะ! คุณสัญญากับวีน่าแล้วนะ ต้องพาวีน่าไปทุกๆวันเลยนะ!!” เด็กหญิงยิ้มร่าอย่างพอใจกับคำตอบก่อนโผกอดเด็กชายไร้อารมณ์ตรงหน้าอย่างลืมตัว
“จะว่าไป... ยังไม่ได้แนะนำตัวเลยค่ะ วีน่าจริงๆชื่อเรวีน่าค่ะ” เด็กหญิงจับชายกระโปรงยาวกรอมพื้นก่อนย่อตัวลงอย่างสง่างามที่สุด “เรวีน่า เอสเดคอลเวีย ปัจจุบันเป็นบุตรสาวคนสุดท้ายของลอร์ดเอสเดล แห่งตระกูลเอสเดคอลเวียค่ะ แต่เรียกว่าวีน่าเหมือนกับที่ท่านพ่อ ท่านแม่ และพี่ๆเรียกก็ได้ค่ะ ส่วนคุณ...?”
เด็กชายนิ่งงันไม่ตอบอะไรหลังการแนะนำตัวของแม่หญิงตรงหน้าจบลงเพียงพยักให้รับรู้ว่าทราบก็เพียงพอ
“ไม่แนะนำอย่างที่คิดไว้จริงๆด้วยสินะคะ ดีจังค่ะที่วีน่าไม่ได้คาดหวังอะไรกับการแนะนำตัวของคุณ.. แต่วีน่าดีใจนะคะที่คุณรับปากจะพาวีน่าไปเที่ยวทุกๆวัน วีน่าจะรอคุณตรงนี้ทุกๆวันเลยล่ะค่ะ” เด็กหญิงยิ้มเริงร่าเหมือนทุกที แต่กลับเป็นรอยยิ้มที่ส่องประกายและสดใสที่สุด เป็นรอยยิ้มที่ประดุจราวแสงแรกเริ่มของวันเลยทีเดียว ดวงตาสีน้ำทะเลของเด็กชายมองเด็กสาวอย่างไม่อยากจะละสายตา ก่อนจะอดไม่ได้ที่จะเผลอยิ้มตอบพลางลูบหัวร่างเล็กน้อยๆ
หรือบางทีท่ามกลางห้วงท้องทะเลที่เงียบสงัดและมืดมิด แสงแดดอบอุ่นอาจต้องประกายผิวน้ำเย็นเยียบขึ้นมาบ้างแล้วกระมัง...
ณ. กระโจมมหาทัพหลวงแห่งแอนเดรีย ทางตะวันตกของมหาราชอาณาจักรฟิวดรอน
“เสด็จพ่อตรึกตรองแล้วนะเพคะที่ส่งเขาไป” คำกล่าวจากร่างเด็กสาววัยแรกรุ่นซึ่งกำลังนั่งทำเล็บบนเก้าอี้แกะสลักสีทองคำอย่างประณีต
“ทำไมกล่าวราวกับดูถูกข้านักฟีอารอน ไม่ใช่เฉพาะข้า แต่ราวกับดูถูกน้องชายคนสุดท้องของเจ้าด้วย” ดำรัสไม่พอพระทัยจากชายสูงศักดิ์
“หามิได้เพคะ หม่อมฉันมิได้ดูถูกผู้ใด แต่ข้าสงสัยว่าเหตุใดเสด็จพ่อจึงไม่ส่งราฟไปแทนล่ะเพคะ ทูลตามตรงข้าว่าราฟเหมาะสมกับภารกิจนี้กว่าเขานะเพคะ”
“เขาเองก็ลูกข้าเหมือนๆกับราฟาเอลแล้วก็เจ้านั่นแหละ ข้าเชื่อใจว่าเขาจะทำภารกิจของข้าสำเร็จแน่”
“ไม่ใช่เรื่องของการเชื่อใจหรือไม่เชื่อใจหรือไม่หรอกเพคะ เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องปฏิบัติภารกิจสำเร็จเป็นแน่เพคะ” เด็กสาวว่าพลางนึกภาพถึงน้องชายคนสุดท้องของหล่อน ภาพสีหน้าไร้อารมณ์อย่างไม่คิดใส่ใจต่อสิ่งใดของเด็กชายในชุดเต็มยศปรากฏขึ้นในหัว “แต่เรื่องของความรู้สึกนึกคิดในขณะเยาว์วัยอาจเป็นเรื่องแยกแยะยาก หม่อมฉันเพียงแค่กังวลเรื่องนี้ต่างหากเพคะ” เด็กสาวว่าตามตรง ผู้เป็นทั้งพ่อและกษัตริย์ของเด็กสาวทอดสายตามามองก่อนใช้ความคิด
“เรื่องนั้นข้าก็ไม่รู้หรอกนะ แต่เหตุหนึ่งข้ามอบหมายราฟาเอลให้ทำสิ่งอื่นอยู่ด้วย จะว่าไปฟีอารอน เจ้าเองก็ยังไม่ได้โตสักหน่อยทำตัวราวคนแก่ อายุ 11 ปีเช่นเจ้ามานั่งคิดเรื่องสงครามน่ะดีแล้วหรืออย่างไร”
“ไม่หรอกเพคะ หม่อมฉันว่าสงครามน่ะสนุกดีเพคะ น่าเพลินกว่าเล่นหมากรุกกับพวกนักปราชญ์ที่ท่านพ่อส่งมาให้ตอนอยู่แอนเดรียเยอะเลยเพคะ”
ฝ่ายผู้สูงวัยได้ยินเข้าก็หัวเราะชอบใจก่อนดำรัส “หากมันสนุกอย่างเจ้าว่าจริงเจ้าก็เชิญเพลิดเพลินกับมันให้สมกับที่เจ้าเป็นถึงธิดาคนโตแห่งจักรพรรดิเลอเครดิลอสเสียแล้วกัน”
“เป็นอันตกลงว่า... “ น้ำเสียงขาดห้วงไปก่อนจะเอ่ยเรียบๆที่ความหมายมิได้เรียบตามเลยเสียน้อยเมื่อไหร่
“เกมนี้ หม่อมฉันขอเอาจริงละกันนะเพคะ”
จบบทนำ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น