ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (fic exo) uppercut : chanbaek

    ลำดับตอนที่ #9 : chapter 8

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 73
      0
      24 เม.ย. 57

     photo logo_zpsc143684b.png



    8

     

                    “ฮยอนอากินนี่สิ อร่อยมากกกกกกกกก เขาเรียกว่า...เอ่อม เฟอร์รารี่”

    ...มันเรียกว่าเฟอเรโร่โว้ย! เฟอเรโร่ รอชเชอร์

    “โอ้ย! ไอ้พี่แว๊นซ์มันบ้านนอก ฮยอนอาไม่ต้องไปฟังมัน ฮุนฮุนว่ากินของฮุนฮุนดีกว่า นี่ฮุนฮุนแหกขี้ตาไปยืนต่อแถวรอซื้อส้มตำร้านเจ๊บูดมาให้เลยนะ ฮุนฮุนว่าเจ๊ดิบนางคุณค่าทางโภชนาการไม่ดีเท่าไหร่ เดี๋ยวก็ผมเดี๋ยวก็น้ำลาย เวลาเจ๊แกเจอเพื่อนทีไรนี่เม้ากันจนขี้หูแทบจะไหลใส่จานข้าว ฮุนฮุนรับไม่ได้ ยึ๋ย~

    ผมนั่งกุมขมับตัวเองอย่างระอาถึงวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของเทอม แต่ไอ้สองคนนี้ก็ยังคงตามระรานจนถึงที่สุด ที่จริงผมกะว่าวันนี้ผมกับฮยอนอาจะมาสวีทกันในโรงอาหารโชว์เพื่อจะกลบข้อสงสัยของไอ้แว๊นซ์ซักหน่อย แต่พอไอ้สองคนนั้นเห็นผมทำท่าจะสวีทกับฮยอนอาเมื่อไหร่มันก็ย้ายมาร่วมวงด้วยทันที

    ผมหันไปมองจงแดที่นั่งหลับตาเจริญสมาธิภาวนาอยู่ข้างๆ ก่อนจะหันไปมองจงอินที่นั่งทำหน้าพะอืดพะอมกับจานข้าวตัวเองอยู่เงียบๆ จงอินหันมาทางผมก่อนจะค่อยเลื่อนหน้าเข้ามากระซิบ

    “พี่...ผมเพิ่งเคยสัมผัสประสบการณ์อย่างนี้เป็นครั้งแรก...มันแบบ”

    “เห้ย! พวกมึง! / กรี๊ด! ทำอะไรกัน!” ผมกับไอ้จงอินสะดุ้งเด้งตัวออกห่างกันไปคนละทิศละทาง ก่อนจะมองหน้ากันอย่างงงๆ ไอ้เด็กเซฮุนลุกพรวดพาดขึ้นมาแยกผมกับจงอินออกจากกัน

    “ประเจิดประเจ้อไม่อายฟ้าอายดิน! บัดสี บัดดินสอ! ฮุนฮุนรับไม่ได้!!!

    กู...ทำอะไรครับ?

    ระหว่างที่ผมกำลังคิดหาคำตอบอยู่ ก้อนวัตถุไปทราบชื่อก้อนลอยมาใส่ผม จากหนึ่งอัน เป็นสองอัน สาม สี่ ห้า และต่อไปเรื่อยๆ ผมเงยหน้ามองไอ้แว๊นซ์ที่กำลังจกข้าวเหนียวมาปั้นเป็นก้อนแล้วปาใส่ผมอย่างเมามัน ผมเริ่มทนไม่ไหวจึงค่อยเอื้อมมันไปจกข้าวเหนียวมาปั้นเป็นก้อนแล้วปากลับไปบ้าง

    “เดี๋ยวมึงเจอๆ” ไอ้แว๊นซ์เงยหน้ามามองผมตาเขียวปั้ด! ก่อนจะปั้นเข้าเหนียวในมือตัวเองอย่างโกรธเกรี้ยวแล้วปากลับมา ผมคว้าฝากล่องข้าวมากันได้ทันท่วงทีแต่โชคร้ายที่ข้าวเหนียวมันดันกระเด็นไปกระแทกหน้าไอ้เด็กเซฮุน...

    “กรี๊ดดดดดดด! ใครปาข้าวเหนียวใส่หน้าฮุนฮูนนนนนน~ แม่ไม่สอนหรอว่าอย่าท๊ามมม!” ลุกขึ้นยืนโวยวายก่อนจะคว้าข้าวเหนียวปาใส่ทุกคนในโต๊ะบ้าง

    “เห้ย! ปากูทำไมเนี่ย!!

    “กูไม่เกี่ยวโว้ยยยยยยยยย โอ้ย!

    ครับ...

    แล้วหลังจากนั้นโต๊ะผมก็เริ่มสงครามปาข้าวเหนียวขึ้น ทุกคนลุกขึ้นมาเขวี้ยงข้าวเหนียวใส่กันอย่างรุนแรง ซักพักก็เริ่มลามไปที่อาหารอย่างอื่นบนโต๊ะ

    แหมะ!

    ฟิ้ววววววววว!

    แผละ! โครม!

    ปึก!

    และอีกสารพัดเสียงการขว้างปาอาหาร ผมก้มหลบขนมปังที่ไอ้จงอินขว้างมา...มึงมาขว้างกูทำไมวะ!? ด้วยความโมโหผมจึงคว้าบล็อคโคลี่ในจานไอ้จงแดเขวี้ยงกลับไป แต่ดันโดนเข้าที่กลางหัวของฮยอนอาแทน...กูขอโทษนะไม่ได้ตั้งใจ

    “ไอ้แบค!!” จ้ากูขอโทษ

    “ทุกคนพอเถอะ อ่อก!” ไอ้จงแดที่ยืนขึ้นเป็นฮีโร่กลับโดนไอ้เด็กเซฮุนขว้างอะไรซักอย่างเข้าปากไปเต็มๆ ไอ้จงแดอ้าปากค้างก่อนจะหันมาให้ผมช่วย

    “ตะ ติดคะ คอ คอ” ผมลุกลี้ลุกลนทำอะไรไม่ถูกเลยทุบหลังมันดังอั่ก แล้วก็สำเร็จครับ...ข้าวโพดเกือบครึ่งฝักหลุดออกมาจากปากมัน

    ปัก!

    ผมโดนประทุษร้ายระหว่างที่กำลังยืนอึ้งกับข้าวโพดที่เพิ่งจะออกมาจากปากจงแด พอหันไปมองก็พบว่า...มันคือไอ้โต๊ะขว้างๆ ลามไปถึงนั่นเมื่อไหร่วะ!

    แล้วเหตุการณ์ก็เริ่มบานปลายเรื่อยๆ เมื่อโต๊ะอื่นในโรงอาหารลุกขึ้นมาปาข้าวของใส่เช่นกัน ผมได้แต่มุดขึ้นมุดลงโต๊ะเพื่อหลบจานข้าวที่ลอยไปมาในขณะที่ไอ้จงอินนั้นโดนจานข้าวสอยหน้าแล้วไม่ต่ำกว่าห้ารอบ ไอ้เด็กเซฮุนกับซากสปาเก็ตตี้บนหัวกรีดร้องไปมาเมื่อถูกโต๊ะข้างๆรุมจับตัวก่อนที่จะป้ายมันฝรั่งบดใส่หน้ามันอย่างเมามัน

    “มึง...มานี่!” ผมเรียกฮยอนอาให้เข้ามาหลบใต้โต๊ะด้วยกัน

    “ส่วนมึงอ่ะ มานี่!” พอฮยอนอามุดเข้ามาปุ๊บ! ผมก็ถูกดึงออกจากใต้โต๊ะปั๊บ! ผมพยายามสะบัดมือไอ้แว๊นซ์ที่ดึงคอเสื้อผมอยู่ออก หันไปเผชิญหน้ามันก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้

    มันมีเส้นมาม่าห้อยออกมาจากหูอ่ะ

    “หัวเราะอะไรไอ้หมาเปียก!” ไอ้ชานยอลคว้าเค้กบนโต๊ะมาโป่ะหน้าผมเข้าจังๆ ผมปาดครีมเย็นๆบนหน้าออกก่อนจะพยายามเอาไปป้ายหน้ามันบ้าง ป้ายไปป้ายมากลายเป็นว่าหัวที่ไอ้แว๊นซ์อุตส่าห์เซ็ตมาอย่างดีถูกเคลือบไปด้วยครีมเค้กแทน

    เหมือนมันจะยิ่งหัวเสียหนักเมื่อเห็นผมหัวเราะชอบใจ ไอ้แว๊นซ์ดันให้ผมนอนราบลงบนโต๊ะก่อนจะขึ้นมาคร่อมแล้วกำผัดผักขึ้นมาและขยี้หน้าไปกับหน้าผม กลิ่นอย่างกับปลูกกระเทียมบนหน้ากูเลยจ้า!

    ปี๊ดดดดดดดดดดดด!

    เสียงนกหวีดดังขึ้นพร้อมทำให้สงครามในโรงอาหารหยุดชะงัก ทุกคนหันมองหาต้นเสียง สุดท้ายก็พบกับไอ้จงแดที่มีนกหวีดห้อยอยู่ที่คอและยืนจังก้าอยู่บนโต๊ะกินข้าวโต๊ะหนึ่ง

    “ทุกคนครับ!!! ผมไม่อยากให้เราต้องมีเรื่องบาดหมางกันเพราะงั้น...” ไอ้จงแดตะโกน ทั้งโรงอาหารหยุดอยู่ในความเงียบ ทุกคนมองจงแดเป็นตาเดียวเลยครับ ผมไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่าวันหนึ่งไอ้จงแดจะได้มาเป็นฮีโร่

    .

    .

    “นั่งขัดสมาธิให้ดี~ สองมือวางทับกันทันที~

    ไอ้จงแดร้องออกมาก่อนจะนั่งลงทำท่าเป็นตัวอย่าง...กริบครับบอกเลย

    “หลับตาตั้งตัวตรงซี~ ตั้งสติให้ดี ภาวนาในใจ~

    ทุกคนเริ่มเก็บข้าวของ

    “พุทโธ พุทโธ พุทโธ กำหนดลมหายใจเข้าออกนะครับ หายใจเข้า พุท หายออก โธ”

    จงแดนั่งหลับตาเจริญสมาธิภวานาในขณะที่ทุกคน

    สลายตัวด้วยความรวดเร็ว...

     

    …………………………………

     

     

    “จงอิน~ ฮุนฮุนขี้เกียจรอแล้วอ่ะ” ฮุนฮุนหันไปกระตุกชายเสื้อจงอินที่ยืนตัวดำอยู่ข้างๆ พร้อมกับทำท่าสำออยเหมือนคนจะล้มทั้งยืน

    “ก็บอกแล้วว่ามันนาน เสียเวลานายเปล่าๆ” จงอินเป็นห่วงเค้าด้วยอ่ะแกรรรรรรรร~ ฮุนฮุนเริ่มเอียงตัวไปพิงจงอินไว้ก่อนจะแอบกระแซะเล็กๆน้อยๆพอเป็นกำไรให้ชีวิต

    “ที่จริงแล้วเรามาคนเดียวก็ได้” ไม่โว้ย! เรื่องอะไรฮุนฮุนจะปล่อยให้แกมาดู๋ดี๋กับเพื่อนแกสองต่อสองเล่า! เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อน่ะรู้ไหม!! ฮุนฮุนต้องมาเป็นไม้กันหมาไว้ก่อนล่ะ! จะไม่ยอมให้แกกินกันเองเด็ดขาด!

    “จงอินต้องมารอเพื่อนทุกวันเลยหรอ?” ฮุนฮุนเปลี่ยนหัวข้อเพราะไม่อยากให้จงอินผลักไสไล่ส่งให้ฮุนฮุนกลับบ้านอีกต่อไป ฮุนฮุนไม่เหนื่อยหรอกถ้าจะมาเป็นก้างขวางคอคนอื่นน่ะ ต่อให้ต้องคว่ำนักเพาะกายร้อยคนฮุนฮุนก็ทำได้! ถ้ารั้งให้จงอินไม่ไปได้ ฮุนฮุนยอมจ้า~

    “ใช่”

    “สนิทกันมากหรอ?”

    “อืม...ก็มากอยู่” จงอินตอบพร้อมกับยิ้มเคลิ้มๆ เดี๋ยวๆ เดี๋ยวพ่อตีปากเจ่อ! หยุดยิ้มเลยนะมีความสุขมากหรอ!

    “เพื่อนจงอินหล่อไหม?” อะไร? อย่ามามองฮุนฮุนด้วยสายตาแบบนั้นนะ ไม่ใช่อย่างที่คิดโว้ย!

    “ไม่หล่อ...แต่น่ารักมาก”

    กรี๊ดดดดด! เพื่อนจงอินต้องเป็นพวกเคะน้อยๆแน่! ฮุนฮุนจะไม่ยอมให้มันมากล้ำกลายจงอินได้อีกเด็ดขาด! ฮุนฮุนคือตัวแทนแห่งดวงจันทร์จะบูดๆเบี้ยวๆขอเป็นโคนันจัดการแกเองไอ้เคะเพื่อนจงอิน!

    “จงอิน!

    “อ้าว...คยองซู” ฮุนฮุนเงยหน้าขึ้นมาจากไหล่จงอิน คนกำลังไซร้เพลินๆ เปล่าๆ ฮุนฮุนไม่ได้ความว่าอย่างนั้น อย่ามองหน้าฮุนฮูนแบบนั้นสิ รู้สึกเหมือนตัวเองโรคจิตเลย ฮุนฮุนไม่รู้จริงๆว่าไปไซร้จงอินได้ยังไง รู้สึกตัวอีกทีหน้าก็ทิ่มอยู่กับไหล่ลงอินแล้ว...พูดจริงๆ(เสียงต่ำสุดอะไรสุด)

    อะไร...ไอ้เหลือกนี่น่ะหรอเพื่อนจงอิน!

    แหม! ตาขาวกินพื้นที่ไปสิบไร่เลยนะ! ไม่กลัวตาดำน้อยใจหรอให้พื้นที่ตาขาวอยู่เยอะขนาดนั้น?

    ฮุนฮุนไม่ถูกชะตา! อยากเอาหัวโหม่งให้มันสลบหน้าจิ้มขี้ไปเลยอ่ะ!

    “รอนานไหม? เราขอโทษนะพอดีเราไปต่อคิวซื้อเค้กมาให้” ไอ้เหลือกชูเค้กขึ้นมาพร้อมกับยิ้มตาหยี จงอินก็ยิ้มละมุนกลับไป...

    เดี๋ยวพ่อจกตาร่วง!!!

    “รอไม่นานหรอก ขอบใจนะ” จงอินรับเค้กมาถือไว้ก่อนจะดึงกระเป๋าของไอ้เหลือกนั่นมาสะพายไว้แทน

    ไม่นานกับผีสิ! ฮุนฮุนเหน็บกินไปยันถุงน้ำดีแล้วโว้ยยย!

    “อะ แฮ่มมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม!” ขอกระแอมไอยาวๆไล่บรรยากาศสีชมพูที่ดูจะเป็นพิษสำหรับฮุนมากไป

    ไอ้เหลือกหันมาเหลือกตาใส่ฮุนฮุนจนตาเหลือก ฮุนฮุนอดตกใจไม่ได้ในความเหลือกจึงเหลือกตากลับปรากฏว่ามันตายิ่งเหลือกไปมากกว่าเดิม

    “อ้าว จงอินพาเพื่อนมาด้วยหรอ?” กูเป็นม้ามั้งไอ้เหลือก!

    “อ๋อใช่! นี่เซฮุน เซฮุนนี่คยองซู” คยองซูส่งยิ้มตาเหลือกมาในฮุนฮุน ในขณะที่ฮุนฮุนส่งยิ้มเริ่ดๆกลับไปให้ มันคนละชั้นกันโว้ย ฮุนฮุนบอกเลย!

    “เรากลับจงอินจะไปดูหนัง...เซฮุน เอ่อ จะไปด้วยกันไหม?”

    “ไป!” ฮุนฮุนตอบกลับด้วยความรวดเร็ว เรื่องอะไรจะยอมให้แกสองคนไปจีบกันในห้องมืดล่ะ! โบราณเขาบอกว่าชายหญิงอยู่กันสองต่อสองมันไม่งามไม่รู้หรอ? อ๋อ! ฮุนฮุนลืมไปว่าแกไม่ใช่ผู้หญิงนี่นา...งั้นให้จงอินเป็นผู้หญิงแทนแล้วกัน โอ้ย นี่ฮุนฮุนเอาแต่พูดอะไรเนี่ย

    “เราอยากดูเรื่องนั้นอ่ะจงอิน” ไอ้เหลือกชี้โปสเตอร์หนังรักโรแมนติกที่เป็นสไตล์ฮุนฮุนสุดๆ จงอินพยักหน้าเห็นดีเห็นงามด้วยแต่ฮุนฮุนไม่! ฮุนฮุนไม่ให้แกดูหรอก เกิดแกดูๆอยู่แล้วมีอารมณ์จะมาทำมิดีมิร้ายจงอิน ฮุนฮุนยอมไม่ได้!

    “ฮุนฮุนอยากดูเรื่องนี้!” ฮุนฮุนชี้โปสเตอร์ที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด ก่อนหมัดมือชกด้วยการเดินไปซื้อตั๋วหนังมาสามที่ทันที สุดท้ายไอ้เหลือกกับจงอินก็ต้องยอมเข้าไปดูกับฮุนฮุน

    พอเดินเข้าไปถึงฮุนฮุนก็ที่ตัวนั่งตรงเบาะกลางเพื่อที่จะกันสองคนนั้นออกจากกันโดยอ้างว่า ฮุนฮุนอยากเป็นเพื่อนกับยองซูเลยจะขอนั่งข้างคยองซูให้จงอินไปนั่งอีกข้างแทน

    พอหนังเริ่มฉายๆฮุนฮุนก็เพิ่งรู้ตัวว่าฮุนฮุนจิ้มหนังผีมาจ้า~

    “กรี๊ดดดดดดดดดดดด!

    “ว้ากกกกก ไม่อ๊าววววววววววววววววว!” ฮุนฮุนหันไปกอดคอข้างๆแน่นๆ ผีก็กลัว จงอินก็อยากลวนลาม

    เอาวะ! ถือโอกาสนี้ลวนลามเลยแล้วกัน!

    ตึงง!

    กรี๊ดดดดด! แม่ ผีหลอกกกกก!@^*#%(_+$@$&+$*(/)_+&&^5=*$#%&#%!!@$^*#$#()”]}{>/!!!!!!

     

    พรึ่บ!

    ไฟในโรงกลับมาติดอีกครั้ง ผู้คนเริ่มทยอยออกไปแล้ว แต่ฮุนฮุนรู้สึกได้ว่าหัวโกร๋นสุดๆ ฮุนฮุนกอดอีกคนไว้แน่นเพื่อหาความอบอุ่น ตัวจงอินหอมนะแต่ฮุนฮุนรู้สึกเหมือนจงอินตัวเล็กลงยังไงไม่รู้ แบบเล็กๆพกพาได้เลยอ่ะ

    ฮุนฮุนเลยแอบหรี่ตาขึ้นมาดูก่อนจะพบว่า...

    .

    .

    ฮุนฮุนกำลังกอดอยู่กับไอ้เหลือก!

    คุณพระ! กอดกันตัวกลมเลยจ้า! ไอ้เหลือกกระโดดขึ้นมานั่งตักฮุนฮุนเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ นางกอดคอฮุนฮุนแถมยังเอาขามาเกี่ยวเอวฮุนฮุนไว้แน่น ส่วนฮุนฮุนก็กำลังกอดมันแน่นหน้าซุกอยู่กับซอกคอของไอ้เหลือก

    อุกรี๊ดดดดดด! ไม่อ๊าวว! ฮุนฮุนจะเอาจงอินไม่เอาไอ้เหลือกโว้ยยย!

    “อะ เอ่อๆ คือ...คยองซูลุ๊กกกกกกกกว์!” ฮุนฮนพยายามจะยกไอ้เหลือกออกจะตัวแต่มันก็เกาะไม่ปล่อย จึงต้องหันไปสะกิดจงอินที่นอนน้ำลายยืดอยู่ข้างๆให้ตื่นมาช่วยกัน

    “อย่าทำเรา เรากลัวแล๊วววววว!” กูไม่ได้ทำอะไรโว้ยย! แต่มึงอ่ะทำกู๊! ปล่อยฮุนฮุนนนนนนนน หนังมันจบไปแล้วโว้ย! ฮุนฮุนทนไม่ไหวจะถีบกลิ้งไปดาวอังคารแล้วนะ! อย่ามามากอดฉันนนน! ฮุนฮุนคันอย่ามาโดนนนนน! จ๊ากกกกกก!

    “เอ่อๆ คยอง ลุกออกมาก่อน คือ...เอ่อ” จงอินลุกขึ้นมายืนมองอย่างงงๆ พยายามจะช่วยแกะไอ้เหลือกออกไปแต่ก็หาไม่ได้ว่าควรจะเริ่มแกะจากตัวไหนเพราะมันพันกันมั่วไปหมด

    สุดท้ายฮุนฮุนก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะเหวี่ยงไอ้เหลือกกลับลงไปที่เก้าอี้ คยองซูกระพริบตาปริบๆเรียกสติตัวเองอยู่หลายครั้งจนจงอินต้องเข้าไปช่วยพยุงให้ลุกขึ้น ฮุนฮุนอยากจะเข้าไปตบบ้องหูให้รู้สึกตัวแล้วบอกว่าเลิกทำแอ๊บแบ๊วใส่จงอินได้แล้วโว้ยยย!

     

    หลังจากนั้นฮุนฮุนก็ได้ไปเดินช้อปปิ้งกับจงอินอย่างสนุกสนาน...ที่ไหนล่ะ อิบ้า!

    ฮุนฮุนต้องพยายามเดินแทรกกลางไอ้สองคนนี้ตลอดเวลาจนเมื่อยน่องไปหมดแล้วเนี่ย! เผลออีกก็ไปเดินตัวติดกันอีกแล้ว รู้ไหมว่าฮุนฮุนต้องลำบากกับการพยายามยามเนียนเข้าไปแทรกมากแค่ไหนห้ะ! ฮุนฮุนล่ะเบื่อกับความนุ่มนิ่มไร้เดียงสาของไอ้เหลือกมันจริงๆ จงอินเราอย่างนั้น จงอินเราอย่างนี้ จงอินนี่น่ารักไหม จงอินดูนี่สิ จงอินดูนั้นสิ ยอดไปเลยเนาะ จงอิน...ดร่อกส์! เลิกเรียกจงอินได้แล้วโว้ยยยยยยยยยยยยย!

    กูหมันไส้!

    ฮุนฮุนจะตบะแตกแล้วนะไอ้เตี้ยตูดตำตูด!

    รู้จักแต่คนชื่อจงอินหรอออออ! สภาพทางกายภาพของกูมันไม่แบ๊วบุ๊บิ๊เหมือนมึงไงกูเลยไปน่อมแน้มใส่จงอินไม่ได้เหมือนมึง! ไม่งั้นกูจะเหมือนกระเทยถึกไงอิบ้า! กูล่ะหมันไส้ไอ้พวกตัวเล็กจริงๆ พวกมึงจะแย่งทุกคนไปจากกูเลยเรอะ! ไอ้พวกเพื่อนโคนันนนน!

    ไอ้จงอินก็ช่วยเลือกมองต่ำแล้วเงยมองกูบ้าง หัวกูสูงกว่าระดับสายตามึงเรอะ! ไม่เห็นหัวกูเลยสิ เอาแต่มองหาไอ้เหลือกตัวเท่าไหล่นั่นน่ะ! ถ้าฮุนฮุนเอาไอ้เหลือกมาขี่คอให้มันสูงทะลุหลังคาไปมึงยังจะเงยมองมันอีกไหม! รักเขามากสินะ! พวกมึงคือเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อใช่ไหม? ตอบบบบบบบ!

    ฮุนฮุนเกลียดบรรยากาศสีชมพูววววววว!

    ฮุนฮุนเหมือนเป็นส่วนเกิน!!!

    ไม่อยากจะพูด!

    บรัยส์!!!

     

    …………………………………


    เจ็ดโมงสี่สิบห้า...

    ให้ทายว่าผมอยู่ที่ไหน....

    ....

    ครับ...โรงยิมฝึกซ้อม

    อยู่กับคนทั้งค่าย..........และ

    .

    .

    พี่ซิ่วหมิน

     

    “ดีมาก! ทุกคนต้องขยันขันแข็งกันแบบนี้สิเก๋กู้ด!” พี่ซิ่วหมินปรบมือสามครั้งพอเป็นพิธี ผมหันมองทุกคนรอบตัวที่ยืนหน้าตาโทรมกึ่งคนกึ่งศพกันอยู่ทั้งโรงยิมก่อนจะถอนหายใจ

    ไม่แปลกหรอกครับ...ลุกมาวิ่งกันตั้งแต่ตีห้า ไม่ตายก็บุญแล้ว

    “ไอ้แบค!

    “คะ ครับพี่?”

    “ถอนหายใจทำไม! เอ็งเหนื่อยหรอ?”

    “ไม่ใช่พี่ ผม...เอ่อ แข็งแรง ครบร้อย ฟิตปั๋งพลังสูงเลยพี่” ผมพยายามทำหน้าตามีชีวิตชีวาแบบพลังชีวิตเต็มร้อยเพราะว่าเมื่อครั้งก่อนผมบอกพี่เขาไปว่าเหนื่อย...ผมเลยโดนวิ่งเพิ่มอีกชั่วโมงเพื่อเป็นการกระตุ้นให้ตื่นตัวกว่าเดิม

    “ก็ดี...งั้นทุกคนจับคู่” แต่เหมือนว่าครั้งนี้การตอบว่าเหนื่อยอาจจะดีกว่า...

    “ซิทอัพ! 500! ปฏิบัติ!!!

    บรรลัยครับ!

    ทุกคนหันมาส่งสายตาเคียดแค้นใส่ผมแต่ก็จำใจต้องทำตามคำสั่งพี่ซิ่วหมิน ผมถูกคนข้างๆดึงมาประชิดตัวก่อนจะกดให้นั่งลงกับพื้น

    “ไอ้หมาเปียก! มึงแม่งตัวซวยจริงๆ” กูขอโทษ ถ้าเลือกได้กูก็ไม่อยากเป็นหรอกมึงเอ๊ย

    “ก็ใครจะไปรู้วะ ครั้งที่แล้วมันไม่ใช่หยั่งงี้นี่หว่า!” ผมแยกเขี้ยวกลับไปหามัน กูเป็นตัวซวยแต่กูก็ซวยไปด้วยป้ะวะ!

    “พี่แบค! ชู่วว!” ผมหันหน้าไปมองจงอินที่กำลังยกนิ้วบอกให้ผมเงียบๆ ลืมไปเลยว่าถ้าพูดมากต้องโดนเพิ่ม สงบเสงี่ยมไว้จะเป็นการดีครับ ผมพยักหน้ารับก่อนจะส่งยิ้มให้พี่แดฮยอนที่คู่กับจงอิน พี่เขาเพิ่งเข้ามาเมื่อไม่กี่วันก่อนแล้วต้องมาเจอพี่ซิ่วหมินนี่ถือว่าซวยครับ เลือกเวลามาผิดไปหน่อย โชคดีนะพี่!

    “เอ้า! ไอ้คู่ดำกับคู่ไอ้แบคคุยอะไรกัน! อยากโดนเพิ่มหรอ!!

    “เปล่าครับ! / เปล่าครับ!” ตอบพร้อมกันอย่างขยันขันแข็ง ผมยิ้มแห้งๆก่อนจะหันหน้าเข้าหาไอ้แว๊นซ์ เอาขาหนีบกันไว้แล้วนอนลงเตรียมพร้อมจะซิทอัพ พี่ซิ่วหมินมักสั่งให้พวกเราซิทอัพพร้อมกันสองคนเพราะถ้าทำแยกรอบจะเสียเวลาและพี่เขาจะทรมานเราด้วยวิธีอื่นได้ไม่มากเท่าที่ควร

    ปี๊ดดดด!

    หลังจากที่พี่ซิ่วหมินเป่านกหวีด พวกเราก็ซิทอัพกันอย่างเอาเป็นเอาตายครับ

    “มึง เราต้องโดนแบบนี้ไปอีกนานไหม?” ไอ้แว๊นซ์ถามผมพลางซิทอัพไปด้วย

    “ประมาณสองอาทิตย์ แค่วันแรกมึงก็จะร้องไห้กลับบ้านแล้วหรอ?”

    “ใครบอก! กูก็แค่ถาม” ไอ้แว๊นซ์ซิทอัพขึ้นมาในจังหวะเดียวกับผมพอดี มันเลยผลักหัวผมให้กลับลงไปนอนที่พื้นด้วยความหมั่นไส้ กูเจ็บโว้ย!

    “ไอ้ชานยอล!” ผมลุกขึ้นไปชี้หน้ามันแล้วทำท่าเหมือนจะต่อย ฝากไว้ก่อนเถอะมึง!!

    “ต่อด้วยวิทพื้น 500เลยนะ!” นี่ก็อีกคน!

    .

    .

    ผมไหว้ล่ะ...เลิกโหดเถอะพี่

     

    หลังจากที่ถูกทรมานแทบตายพี่ซิ่วหมินก็ให้เวาลาพัก 5 นาที เย้!...ก่อนจะกลับมาลงสนามรบอีกครั้งครับ พวกเราถูกสั่งให้จับคู่อีกครั้งพร้อมกับได้เชือกกระโดดกันคู่ล่ะอัน

    พี่ซิ่วหมินสั่งให้กระโดดเชือกคู่ สามร้อยครั้ง สะดุดเริ่มนับหนึ่งใหม่...ฟังดูไม่ยากเท่าไหร่ถ้าไม่ติดว่าไอ้แว๊นซ์มันกระโดดเชือกไม่เป็น เจริญกูครับ! กระโดดไปจะหกร้อยอยู่แล้วยังไม่เสร็จสักที!

    “มึง แฮ่กๆ ช่วยทำดีเหอะกูขอล่ะ”

    “ก็กู แฮ่ก กระโดด แฮ่กๆ ไม่เป็น แฮ่กๆ โอ่ย เหนื่อยชิบหาย!” ซวยกูจริงๆที่ต้องคู่กับมึงเนี่ย! จะแกล้งกูกูไม่ว่านะแต่อย่าใช้พี่ซิ่วหมินเป็นเครื่องมือในการแกล้งกู ไม่งั้นกูตายแน่มึง!

    ผมเห็นคู่อื่นรอบตัวเริ่มจะนั่งลงเพราะกระโดดกันเสร็จหมดแล้ว เห็นแล้วก็นึกแค้นใจ ปกติผมจะคู่กับไอ้จงอินแล้วพวกเราจะนั่งลงเป็นคู่แรกตลอด

    “โอเค กูนับหนึ่ง สอง สาม แล้วกูกับมึงหยุดโดดพร้อมกันโอเคป้ะ?” ไอ้แว๊นซ์พยักหน้ารัวจนหัวแทบจะหลุดมากองอยู่ตรงหน้า เนียนๆไปพี่ซิ่วหมินคงไม่รู้

    “หนึ่ง” ผมนับเบาๆพอให้ได้ยินกันสองคน

    “สอง”

    “สาม” ผมกับไอ้แว๊นซ์หยุดกระโดด ก่อนจะนั่งลงอย่างพร้อมเพรียงและทำสีหน้าเนียนๆเหมือนว่าพวกเรากระโดดครบแล้ว ทั้งที่จริงๆยังไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ หลังจากนั้นไม่นานทุกคนก็นั่งลงหมด สภาพจะเป็นจะตายไม่ต่างจากโดนระเบิดมาสิบลูก

    “คนที่เป็นคู่ของไอ้แบคยืนขึ้น!

    “คะ ครับ?” เสียงของพี่ซิ่วหมินทำผมกับไอ้แว๊นซ์สะดุ้งกันสุดตัว มันมองหน้าผมอย่างเลิ่กลั่ก ผมจึงสั่งให้มันยืนๆตามที่พี่เขาสั่งไปก่อน...คงจะไม่โดนจับได้ใช่ไหม...?

    “เมื่อกี้เอ็งกระโดดไปกี่รอบ!!

    “สามสิบ เอ้ย...ร้อย ผะ ผมหมายถึง” ไอ้แว๊นซ์หันหน้ามาขอความช่วยเหลือจากผมอย่างโจ่งแจ้ง...มึงเอ้ย! รอดก็ปาฏิหารย์แล้วโว้ย!

    “สามร้อย” ผมกระซิบบอก

    “สะ สามร้อย!” พี่ซิ่วหมินหรี่ตามองอย่างพิจารณา ในขณะที่ทุกคนนั่งกุมขมับเพราะรู้ชะตากรรมที่จะเกิดกับไอ้แว๊นซ์...และผม

    “ดี...” พี่ซิ่วหมินพยักหน้าท่ามกลางความกดดันขอทุกคน ผมว่าถ้าไอ้จงแดอยู่ที่นี่มันคงสวดบทอะไรซักอย่างที่จะทำให้ผมไปสู่สุขติให้

    “พักกินข้าว! อีกชั่วโมงมาเจอกัน!” แต่แล้วปาฏิหาร์ยก็เกิดขึ้น! พี่ซิ่วหมินทำเพียงแค่พยักหน้าและเดินไปแต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ฉลองให้กับตนเอง พี่ซิ่วหมินก็หันกลับมาพูดประโยคที่ทำให้โลกทั้งโลกของผมดับวูบลง

    “ยกเว้นไอ้แบคฮยอนกับคู่ของมัน! ห้ามเข้าไปกินข้าวจนกว่าจะทำครบ!!!

     

    สุดท้ายแล้วผมก็ต้องนั่งไส้กิ่วอยู่นอกบ้านเพราะกระโดดไปเท่าไหร่ก็ไม่ครบซักที จนไอ้แว๊นซ์มันก็ไม่ยอมกระโดดอีกเป็นอันว่ามื้อนี้ผมอดกินข้าว...โมโหมากครับ! แค่กระโดดๆไปมึงไม่ตายหรอก! ไอ้กระจอกกกกก! อย่าให้กูทนไม่ไหวลุกขึ้นมาต่อยมึงนะ!

    “มึงจะไปไหน?” ผมถามไอ้แว๊นซ์ที่ลุกขึ้นยืนทำท่าจะเดินไปที่ไหนซักที่

    “ไปเอาข้าว”

    “มึงจะไปเอาข้าวที่ไหน? นี่มึงไม่เข้าใจหรอว่ากูกับมึงจะไม่ได้กินข้าวมื้อนี้เพราะมึงกระโดดไม่ได้เนี่ย! ใครมันจะกล้าขัดพี่ซิ่วหมินเอาข้าวมาให้มึง!

    “กูมีวิธีของกูหน่า!” ไอ้แว๊นซ์ไม่สนคำผมก่อนจะเดินลิ่วออกไป เดี๋ยวๆ เดี๋ยวมึงรู้!

    และแล้วไอ้ชานยอลก็วิ่งกลับมาพร้อมกับกล่องข้าวสีชมพูแจ๋นในมือ...ผมมองกล่องข้าวในมือมันพร้อมกับเครื่องหมายคำถามกว่าล้านอันในหัว มันไปเอามาจากไหนวะ?

    “ไงล่ะ!” ไอ้แว๊นซ์ยักคิ้วอย่างกวนตีนก่อนจะนั่งลงข้างๆผมอย่างอารมณ์ดี มันเปิดฝากล่องข้าวพร้อมกับโจ้อาหารข้างในอย่างไม่สนใจผมที่นั่งท้องร้องอยู่ข้างๆ ผมได้แต่มองข้าวในกล่องมันตาละห้อย จ้องอยู่อย่างนั้นเผื่อจะมีใครใจดีรู้สึกตัวแล้วแบ่งข้าวให้กินบ้าง

    “มองไร? มึงอยากกินอ่ะดิ” ไอ้แว๊นซ์เหมือนจะรู้สึกตัวว่าถูกมองอยู่ มันหันมาถามผม ซึ่งผมก็ไม่รีรอที่จะพยักหน้ากลับไป

    แต่ผมคงลืมไปว่าไอ้ชานยอลมันไม่ใช่คนดี...

    “เต้นให้กูดูก่อนดิ เดี๋ยวให้กิน”

    “กูเต้นเป็นที่ไหนเล่า!” ผมแหวกลับ มันยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจก่อนจะก้มหน้าก้มตากินต่อ

    ไอ้เลววว!

    ไอ้คนไม่มีจิตสาธารณะ!

    กูเต้นก็ได้!

    ครับ ด้วยความที่ผมยังไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เช้าทำให้ท้องไส้ผมปั่นป่วนสุดๆ แล้วเนื่องด้วยการเต้นไม่น่าจะทำให้ผมตายและการที่ผมไปขอพี่ซิ่วหมินกินข้าวจะทำให้ผมตายแน่ๆ ผมจึงเลือกที่จะลุกขึ้นเต้นเพื่อปากท้องแทน

    ผมเลือกที่จะเต้นท่ายอดฮิตของลุงๆป้าๆที่ผมจำมาจากงานวัดจากนั้นก็ต่อด้วยท่าเต้นแอโรบิกง่ายๆ ไอ้แว๊นซ์เงยหน้ามองผมอย่างงงๆ ก่อนจะหัวเราะลั่นเมื่อผมเริ่มเต้นไปเรื่อยๆ

    ขำหาพระแสงอะไรเล่า!

    ผมหยุดเต้นก่อนจะเอามือกุมหน้าตัวเองด้วยความอับอาย ในขณะที่ไอ้ชานยอลหัวเราะชอบใจจนสติแตกไปแล้ว นึกแล้วก็แค้นตัวเอง ทำไมผมต้องยอมทำอะไรน่าอายแบบนี้เพื่ออาหารนั่นด้วยนะ มันคุ้มหรออออ!

    “ฮ่าๆ มาๆ ให้กินคำนึง” ไอ้แว๊นซ์ตักข้าวขึ้นมาก่อนจะยื่นมาตรงหน้าผม...

    คำนึงกับผีสิ! กูไม่ได้เต้นบ้าๆเพื่อข้าวคำเดียวนะโว้ยยยย!

    “เอ้า! นี่กูก็เต้นแล้วนะ!

    “กูก็ให้กินแล้วไง” คำเดียวเนี่ยนะ! ผมขมวดคิ้วมองหน้ามันด้วยความไม่ชอบใจ

    ต่อยได้ไหม? หมั่นไส้เหลือเกิน!

    “โอ๋ๆ กูล้อเล่น~ อ่ะ มาๆมานั่งกินกับกูมา” ผมดึงกล่องข้าวจากมือมันมาก่อนจะเตะแข้งไอ้เจ้าของกล่องไปทีหนึ่งด้วยความหมั่นไส้ ทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นแล้วยัดข้าวคำโตๆเข้าปากไป

    อร่อย! กูจะแย่งให้หมด!

    หลังจากนั้นผมก็ตักคำที่สองและสามตามเข้าปากไปอย่างรวดเร็ว จนคนข้างๆต้องร้องให้หยุด ไอ้แว๊นซ์แย่งกล่องข้าวจากมือผมไปกอดไว้

    “ยัดซะ อร่อยอ่ะดิ!

    “เออดิ พ่อมึงทำหรอ?” ผมมองกล่องข้าวในมือมันด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ ถึงหน้าตาจะดูไม่เป็นผู้เป็นคนเท่าไหร่แต่รสชาติถือว่าอร่อยเลยครับ

    “ป่าว”

    “อ้าว งั้นมึงซื้อมาหรอ?”

    “ไม่ใช่...”

    “แล้วไปเอามาจากไหนวะ? โคตรอร่อยเลย หรือว่าเพราะกูหิวมันเลยอร่อย” ผมดึงกล่องข้าวกลับมาเนียนๆก่อนจะตักใส่ปากตัวเองอีกครั้ง

     “กูทำเอง”

    “แค่ก แค่ก ห้ะ? มึงทำไอ้...ไอ้ในกล่องเนี้ยะอ่ะหรอ?” ผมมองหน้ามันอย่างไม่เชื่อ หน้าอย่างไอ้แว๊นซ์ทำกับข้าวเป็นด้วยหรอ?

    ไอ้ชานยอลพยักหน้าหงึกๆแล้วยกยิ้มอย่างภูมิใจจนผมอดหมั่นไส้ไม่ได้ ถ้ารู้ว่ามึงทำกูจะไม่เสียแรงชมหรอกพูดจริงๆ ผมเบ้ปากใส่มันไปทีก่อนจะตักข้าวเข้าปากต่อไปอย่างไม่สนใจ

    “เห้ยๆ เยอะไปแล้ว! เอามากูจะกินบ้าง”

     

    หลังจากที่พักกินข้าวกันเสร็จเรียบร้อยพี่ซิ่วหมินก็เรียกรวมตัวอีกครั้งพร้อมกับคำสั่งใหม่ พี่ซิ่วหมินพาทุกคนออกมาที่หน้าบ้านผมพร้อมกับสั่งให้แต่ละคู่เดินไปประจำที่ล้อยางหนึ่งพวง ครับ ล้อยางประมาณสามอันผูกติดกันไว้ ดูจากสภาพก็พอจะรู้ครับว่าจะเจอกับอะไร...

    “ทุกคนหยิบเชือกขึ้นมาสะพายไว้! ต่อไปนี้จะเป็นการวิ่งลากยาง1กิโลเมตร!” สิ้นเสียงพี่ซิ่วหมินก็มีเสียงโอดครวญดังขึ้นเบาๆจากชาวค่าย

    “พอวิ่งไปถึงโรงเรียนอนุบาลแล้วก็วิ่งกลับมาเข้าใจไหม! คู่ไหนที่กลับมาถึงก่อน กูจะให้สิทธิพิเศษในการอาบน้ำก่อน!

    ปี๊ดดด!

    “เริ่ม!!!

    หลังจากพี่ซิ่วหมินเป่านกหวีดผมกับไอ้แว๊นซ์ก็ออกแรงวิ่งด้วยความรวดเร็ว คู่ของจงอินอยู่ห่างไปประมาณร้อยเมตรได้ ผมหันไปยิ้มเยาะใส่ไอ้จงอินอย่างสะใจ  หึ! ไอ้น้องเลวไม่ยอมเอาข้าวมาแบ่งให้กิน! ขอแช่งให้สะดุดหิน กลับไปถึงเป็นคู่สุดท้ายไปเลยนะมึง!

    “ไอ้หมาเปียก! เราต้องถึคู่แรกนะเว้ย!

    “รู้แล้วหน่า!” ผมกับไอ้แว๊นซ์วิ่งกันอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ร่างกายพลาญพลังงานที่ได้จากข้าวกล่องเล็กๆเมื่อกลางวันไปอย่างรวดเร็ว แต่ถึงอย่างนั้นพวกเราก็ยังคงวิ่งกันด้วยความเร็วเท่าเดิมอยู่

    คู่ของผมวิ่งมาถึงโรงเรียนอนุบาลด้วยความรวดเร็วถึงจะมีปัญหาเล็กน้อยกับการกลับตัว แต่ก็ยังไม่มีคู่ไหนตามมาได้ทัน ขากลับผมสวนกับคู่ของไอ้จงอิน ที่แดฮยอนทำหน้าตาจะเป็นจะตายอย่างหน้าสงสารในขณะที่ไอ้จงอินยังคงวิ่งชิวๆอยู่ ผมจึงแอบยื่นขาออกไปขัดขาของมัน

    “เห๊ยยยยยยๆ!

    โครม!

    ไอ้จงอินที่กำลังวิ่งร้องเพลงอย่างชิวๆหน้าคะมำไปกับพื้น มันทำหน้าตาเหรอหราท่ามกลางเสียงหัวเราะชอบใจของผมกับไอ้ชานยอล ผมหันไปแลบลิ้นใส่จงอินก่อนจะหันกลับมาแท็คกับไอ้ชานยอล

    ในที่สุดผมก็กลับมาถึงเป็นคู่แรกตามความคาดหมายแต่สายตัวแทบขาดครับ ผมอยากจะถอดขาออกมาฝากพาดคอใครซักคนไว้มาก

    ผมกับไอ้ชานยอลทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง ผมสะบัดขานิดหน่อยเพื่อเป็นการคลายกล้ามเนื้อ

    “เยี่ยม! เยี่ยมมากไอ้แบค” พี่ซิ่วหมินยกนิ้วโป้งก่อนจะส่งยิ้มอย่างอารมณ์ดีมาให้ ผมชูนิ้วโป้งกลับไปอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง นิ้วโป้งแทบจะยกไม่ขึ้น

    “พวกเอ็งไปอาบน้ำก่อนเลย! กูเอาน้ำใส่โอ่งไว้ให้เรียบร้อย”

    “ขอบคุณครับพี่!” ผมลุกขึ้นยืนก่อนจะคว้าไอ้ชานยอลให้ลุกขึ้นตามมาอย่างรวดเร็ว

    “ทำไมต้องเอาน้ำใส่โอ่งวะ? เอาไปทำอะไร?” ไอ้แว๊นซ์ถามอย่างสงสัย

    “ก็อาบน้ำไง ตักอาบจากโอ่งอ่ะมึงไม่เคยทำหรอ?”

    “ห้ะ? ตักอาบ?”

    “เออดิ! มีโอ่งเดียวด้วยนะมึง! พวกเราต้องใช้น้ำเยอะๆเลยเว้ย พวกที่มาทีหลังจะได้ไม่มีน้ำอาบ” ว่าแล้วผมก็หัวเราะอย่างมีความสุข ทุกครั้งที่พี่ซิ่วหมินมาฝึกซ้อมเราก็จะต้องอาบน้ำแบบนี้เป็นประจำ พวกคนที่ได้อาบน้ำก่อนก็จะแกล้งใช้น้ำเยอะๆเพื่อแกล้งพวกที่ได้อาบทีหลัง ผมจำได้ว่าปีที่แล้วมีอยู่วันหนึ่งที่ไอ้จงอินมันฝึกเสร็จช้า ผมกับพี่คนอื่นๆในค่ายจึงแกล้งใช้น้ำเปลืองจนไอ้จงอินที่มาทีหลังแทบไม่มีน้ำจะอาบ สะใจชิบหาย!

    “มีโอ่งเดียวก็อาบนานตายเลยดิ!

    “อาบด้วยกันจะนานอะไร? เขาต้องแย่งกันอาบเว้ย!

    “อะ อาบพร้อมกันหมด?”

    “เออ! ไปเร็วไปอาบน้ำกัน!

     

     



    ""
    ขอโทษที่หายไปนานนะคะ น้อมรับความผิด 555
    #ฟิคเสยคาง

     

    Minor!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×