ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (fic exo) uppercut : chanbaek

    ลำดับตอนที่ #8 : chapter 7

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 60
      0
      30 มี.ค. 57

     photo logo_zpsc143684b.png


    7

     

                    ปัง! ปัง! ปัง!

                    “ไอ้หมาเปียก!!

                    ปัง! ปัง!

                    “ไอ้หมาเปียกโว้ยยยย!” ผมรู้สึกตัวหลังจากได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง ควานหาโทรศัพท์ที่โต๊ะหัวเตียงก่อนจะหยิบขึ้นมาดูเวลา...หกโมง...หกโมงเช้าเนี่ยนะ

                    “ไอ้หมาเปียกออกมา!

                    “ไปไกลๆคนจะหลับจะนอน!!” ผมตะโกนกลับไปก่อนจะล้มตัวลงนอนซุกหน้ากับหมอนแล้วเอาห่มคลุมโปง เมื่อคืนเล่นเกมจนดึกเลย ขอนอนต่อหน่อยเถอะ สิบโมงค่อยว่ากัน บายยยย

                    “ไอ้เตี้ย! ถ้าไม่เปิดกูจะพังแล้วนะ!” กูกำลังพลอตรักกับเตียงอยู่อย่ามายุ่งได้มั้ย เพราะได้แต่คิดในใจเพราะไม่มีแรงแม้แต่จะพูดออกไปแล้ว รู้สึกเหมือนโดนหมอนสูบวิณญาณ หรือว่าเตียงผมจะมีพลังวิเศษ เป็นผู้คุมวิณญาณของผมอะไรแบบนั้น

                    “กูจะนับแค่สามนะ!” เรื่องของมึงเห๊อะ...

                    “สาม!

                    ปัง!

                    “เอ้า ทำไมไม่พังวะ! สาม!

                    ปัง!

                    “สาม!

                    ปัง! ปัง!

                    “แม่ง! สะ...”

                    “พอแล้วโว้ยยย!” สุดท้ายผมก็ทนไม่ไหวต้องแคะตัวเองออกจากที่นอนแสนนุ่มออกมาเปิดประตู รำคาญเสียงไอ้แว๊นซ์มันนับสาม ผมว่าถ้าไม่มาเปิดมันคงได้นับแค่สามไปยันชาติหน้าแน่ๆ

                    “มึงมีอะไร?” ผมกระชากประตูออกก่อนจะมองหน้ามันอย่างหาเรื่องแต่เพราะไฟทางเดินเปิดอยู่ทำให้ผมปรับสายตาไม่ทันและต้องหยีจนหาโฟกัสให้ตาตัวเองไม่ถูก เลยได้แต่มองอะไรซักอย่างของมันโดยที่ไม่รู้ว่าใช่หน้าหรือไม่

                    “หูย...สภาพมึงตอนตื่นนี่อย่างกับศพหมาที่นอนตายเป็นรูปตัวยูอยู่กลางสี่แยกเลยว่ะ” ผมไม่รู้ว่ามันกำลังทำหน้ายังไงอยู่รู้แค่ว่าผมกำลังแยกเขี้ยวใส่มัน

                    “แล้วนั่นอะไร?...มึงแยกเขี้ยวใส่กำแพงทำไม?” ผมหุบปากโดยอัตโนมัติ

                    “มึงมีอะไรก็รีบๆพูด กูจะกลับไปนอนต่อ” ผมบอก

                    “ไปจ้อกกิ้งกัน” จ้อกกิ้งบ้านมึงสิ! จ้อกกิ้งตอนนี้มึงไปคนเดียวเถอะ! กูจะไปจ้อกกิ้งในฝันกูล่ะ!

                    “เห้ยๆ มึงจะไปไหน พ่อมึงสั่งมานะ รีบๆออกมาเลย” ไอ้แว๊นซ์เอามือยันประตูทันทีเมื่อเห็นผมทำท่าจะปิด ผมฮึดฮัดก่อนจะมองหน้ามันอย่างขุ่นเคือง มึงเห็นมั๊ยว่าขี้ตากูบังตาจนจะมิด ยังจะให้กูไปวิ่งอีกหรอ! เวลาแบบนี้ใครเขาจะไปวิ่งกับมึงงง!

     

                    สุดท้ายผมก็ใส่ชุดนอนออกมาวิ่งหลับตาอยู่กับไอ้แว๊นซ์มัน ผมวิ่งชนรถที่คนอื่นจอดไว้มาตลอดทาง โดนกระโปรงรถอัดจุกจนตื่นไปหลายรอบแต่พอวิ่งต่อก็จะหลับอีกอยู่ดี

                    ผลั่ก!

                    “วิ่งดีๆไม่เป็นไง๊อิหมาเปียก?” ไอ้แว๊นซ์ผลักหัวผมอย่างแรงและด้วยความที่ผมกำลังวิ่งอย่างไม่มีสติทำให้ผมทรงตัวไม่อยู่ล้มลงไปกลิ้งก่อนจะนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้น พอได้ล้มตัวลงนอนก็รู้สึกง่วงหนักเข้าไปอีก

                    “ไอ้หมาเปียกลุก มานอนโชว์ความเตี้ยอยู่ข้างถนนไม่อายคนเขารึไง?” ไอ้แว๊นซ์เอาเท้าเขี่ยๆผม ผมเลยต้องยอมลุกขึ้นมาขยี้ตาตัวเองสองสามทีก่อนจะมองไปรอบๆ อ้าว...นี่กูวิ่งมาที่ไหนเนี่ย?

                    “นี่วิ่งมาแถวไหนแล้ววะ?” ผมถาม

                    “วิ่งจนจะถึงจีนอยู่แล้ว” ไอ้แว๊นซ์ตอบอย่างกวนส้นตึ้ด! ผมหันไปมองหน้ามองมันหน่ายๆ ก่อนจะเอาเท้ายันหน้าแข้งมันเบาๆด้วยความหมันไส้ แต่ไอ้แว๊นซ์กลับเตะก้นผมกลับมาดังปั่ก

                    “ไป ซื้อไอศกรีมกินกัน มึงจะได้ตาสว่างซักที ตอนนี้หน้าตามึงมืดมัวอย่างกับโดนราหูอม ป่านนี้ราหูกลืนมึงลงไปอยู่ในไส้ติ่งแล้วมั้ง ไปเร็ว วิ่ง!” ไอ้ชานยอลพูดจบก็นตบไหล่ผมสองทีอย่างเต็มแรง ผมจำต้องสะลึมสะลือวิ่งตามมันไปที่ร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ

                    หลังจากที่รอไอ้ชานยอลเลือกไอศกรีมอยู่นานสองนานสุดท้ายก็ได้ไอศกรีมรสช็อคโกแลตมาหนึ่งแท่ง ผมยื่นไอศกรีมสตรอเบอร์รี่ในมือให้กับมันก่อนจะบอกให้มันเอาไปจ่ายด้วยเพราะผมไม่ได้เอากระเป๋าตังค์มา พูดจบก็ชิ่งครับ รีบวิ่งออกมายืนรอหน้าร้าน

                    โป๊ก!

                    “คืนตังกูด้วยนะมึง! คิดดอกเบี้ยชั่วโมงละหมื่นวอน!” ไอ้แว๊นซ์เอาไอศกรีมมาเคาะหัวผมดังโป๊กก่อนจะวางที่ไว้บนนั้น มันเย็นหนังหัวนะเว้ย!

    “กูไม่คืน ถือว่ามึงซื้อให้กูแล้วกันเนาะ”ผมคว้าไอศกรีมมาแกะห่อออก ก่อนนะหันไปยักคิ้วกวนๆใส่มัน

    “เรื่องอะไรล่ะ ของมันหลายตังกูให้ฟรีไม่ได้หรอก! งั้นแท่งนั้นต้องเป็นของกูเอาคืนมา!!” ผมเอี้ยวตัวหลบไอ้แว๊นซ์ที่ทำท่าจะเข้ามาแย่งไอศกรีมไปจากมือ ผมเลียไอศกรีมทั้งแท่งก่อนจะแลบลิ้นปิ้นตาใส่มันแล้ววิ่งหนีออกมา กล้ามาเอากลับไปก็แย่แล้วมึง!

    “ไอ้หมาเปียกเอามานี่เลย!”  ไอ้แว๊นซ์วิ่งตามมาดึงแขนผมไว้ก่อนจะพยายามแย่งไอศกรีมในมือไป ผมเอนตัวมาบังไอศกรีมของตัวเองไว้พลางออกแรงแกะมือของมันออกไป ไอ้แว๊นซ์จับแขนผมแน่นขึ้นจะรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ มันเอื้อมมืออีกข้างมาข้างหน้าเพื่อที่จะแย่งไอศกรีมไปจากมือผม ผมก็เขย่งเอาหัวบังทัศนียภาพของมัน

    แค่ไอศกรีมแท่งเดียวมึงต้องทำขนาดนี้เลยหรอ! เอาหนังหัวกูไปดูก่อนแล้วกัน!

    คิดแล้วก็เอนหัวกระแทกหน้ามันเข้าให้ ไอ้แว๊นซ์ร้องโอ๊ยก่อนจะปล่อยมือจากผมทั้งสองข้าง มันกุมจมูกตัวเองแล้วลงไปนั่งร้องโอ๊ยๆ จนผมเริ่มจะรู้สึกผิด

    “มึง...ดั้งหักป้ะน่ะ?” ผมลงไปนั่งยองๆข้างๆมันก่อนจะก้มหน้าไปถามไถ่อาการ

    “ไม่หัก! หักบ้านมึงสิ ดั้งกูแข็งแกร่งยิ่งกว่าไอ้มดเขียวอีก!

    “อ่อมิน่าล่ะ ดั้งมึงบูดๆเบี้ยวๆขอเป็นมดเขียววีสาม เก่งกว่ามดเขียวธรรมดาหน่อย”

    “ตลกหรอไอ้หมาเปียก! ดั้งกูเป็นสมบัติล้ำค่าของประเทศชาติเลยนะเว้ย!” ไอ้แว๊นซ์หันมามองค้อนผม มันอาศัยจังหวะที่ผมกำลังสนใจดั้งมันอยู่พุ่งตัวเข้ามาจับข้อมือผมไว้แล้วอมไอศกรีมในมือผมไปครึ่งแท่ง!!!

    “ไอ้...ไอ้แว๊นซ์มึงอ้าปากเลย!” พูดรู้สึกตัวผมก็ใช้มืออีกข้างบีบแก้มเพื่อบังคับให้มันอ้าปากเอาไอศกรีมคืนมาแต่ก็ไม่ได้ผล เลยเปลี่ยนเป็นพยายามจะหักไอศกรีมท่อนที่เหลือรอดจากปากมันมาแทน ผมเหวี่ยงแท่งไอศกรีมไปมาพยายามให้โดนฟันมันให้เยอะที่สุด

    เสียวฟันให้ตายไปเลยนะมึง!!!

    “ไอ้อ๋าเอียก! อึงอายอ้ะเอ่อะ!(ไอ้หมาเปียก! มึงตายซะเถอะ!) ไอ้แว๊นซ์เค้นเสียงขู่จากลำคอ ถึงแม้จะฟังไม่ออกแต่ก็พอจะรู้ว่ามันต้องด่าอะไรผมซะอย่างแน่ๆ ระหว่างที่ผมกำลังแปลความหมายของประโยคนั้นอยู่ ไอ้แว๊นซ์ก็เอามือมาแหกปากผมแล้วยัดไอศกรีมรสช็อคโกแลตของมันเข้ามา

    อื้อหืออ! มึงอมมาแล้วนะ! เอามาใส่ปากกูทำไม!!!

    ผมอ้าปากค้างไว้พยายามถอยปากออกจากไอศกรีม พอไอ้แว๊นซ์เห็นว่าผมจะหนีมันก็แยงตามมาเรื่อยๆ มันใช้มือของหนึ่งจับคอผมไว้ก่อนจะออกแรงดันให้กลับเข้ามาหาไอศกรีมช็อคโกแลตของมัน

    เราสู้กันอยู่พักใหญ่ จนผมเริ่มรู้สึกว่าเหงือกและลิ้นชาจนทำหน้าที่ของมันต่อไม่ได้ ลิ้นผมนี่แทบจะดิ้นออกจากปากแล้วหนีไปอยู่ทะเลทราย พอต่างคนต่างเหนื่อยเราก็เลยเลิกสู้กัน ผมกับมันต่างคนต่างเอาไอศกรีมออกจากากตัวเองแล้วส่งคืนให้อีกคนอย่างเงียบๆ

    ผมรับไอศกรีมสตอเบอร์รี่คืนมาจากไอ้แว๊นซ์ก่อนจะมองมันอย่างชั่งใจ...สภาพสึกหรอกว่าตอนแรกที่ซื้อมาเยอะแต่ยังพออยู่ในสภาพที่กินได้ ด้วยความเสียดายผมเลยเอาไอศกรีมสตอเบอร์รี่ใส่ปากตัวเอง

    ไอ้แว๊นซ์กับผมต่างคนต่างเดินกินไอศกรีมของตัวเองเงียบๆมาตลอดทางกลับบ้าน

     

    197…198

    “เอ้า หยุดทำไมล่ะ ทำต่อไปสิมึง”

    “แฮ่กๆ 198 เอ้ย! 199 แล้ว....โห่ยยยยย” ไอ้แว๊นซ์ทำหน้าเหมือนจะตาย กอดกระสอบทรายไว้แน่นเพราะหมดแรงจะยืนด้วยตัวเอง

    “เร็วๆ”

    200 โอ้ยยยยยยยยย...หมดแรงเลยกู” มันยกขาขึ้นมาเตะกระสอบทรายครั้งสุดท้ายและทิ้งตัวลงนอนกับพื้นอย่างหมดสภาพ ผมหัวเราะก่อนจะเดินเข้าไปจับกระสอบทรายให้หยุดแกว่ง

    “กูให้มึงพักก่อนแล้วกัน” ผมพูดแล้วนั่งลงข้างๆมัน

    “มึงควรให้กูพักตั้งแต่สิบนาทีที่แล้วแล้วโว้ย!” มันมองค้อนผมแล้วเบ้ปากใส่ ผมยักไหล่ไม่สนใจ ทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้จนไอ้ชานยอลทนไม่ไหวต้องลุกขึ้นมาต่อยไหล่ผมหนึ่งที

    เหมือนจะแรงนะ แต่โคตรไม่เจ็บเลย

    ผมจำต้องแกล้งกุมไหล่พร้อมกับทำสีหน้าเจ็บปวดเพื่อที่จะไม่เป็นการทำให้ไอ้แว๊นซ์เสียหน้าเกินไป มันหัวเราะชอบใจโดยหารู้ไม่ว่า กูไม่ได้เจ็บเลยครับ!

    “มึงๆ กูคิดค้นท่าใหม่ได้เมื่อวาน รับรองท่านี้เอามึงอยู่แน่!” พูดด้วยหน้าตาระรึกระรื้น ลุกขึ้นกระโดดเหยงๆพร้อมกับเอาเท้าเขี่ยให้ผมลุกขึ้นยืนตาม ลืมไปเลยครับว่าตัวเองเคยเหนื่อย

    “ไหน? โชว์ดิ” ผมจำใจต้องลุกขึ้นยืนตามพร้อมทำไม่ไหวกับท่าทางตื่นเต้นเป็นหมีพูห์เห็นน้ำผึ้งของมัน

    หมับ!

    ไอ้ชานยอลคว้าข้อมือผมทั้งสองข้าง มือซ้ายของมันจับข้อมือขวาขอผม มือขวาของมันก็จับอยู่ที่ข้อมือซ้ายของผม ก่อนที่มันจะเอามือผมไขว้กันเป็นรูปกากบาทแล้วดันแขนผมมาชิดกับลำตัวของตัวเอง

    มันอาจจะฟังดูซับซ้อนแต่ที่จริงก็แค่มันจับผมเอามือไขว้กันแล้วดันมือผมให้ชิดกับตัวเองแค่นั้นแหละ

    “ฮ่าๆ เป็นยังไงล่ะ! ถ้ามึงเจอแบบนี้ก็หมดทางสู้!” ผมมองแขนของผมกับมันที่พันกันอย่างยุ่งเหยิงก่อนจะบอก

    “แต่แขนมึงก็พันกับแขนกูอยู่นี่” ไอ้แว๊นซ์ทำหน้าตาตื่นมองแขนของมันอย่างงงๆก่อนจะบ่นกับตัว

    “ได้ไงวะ? กูอุตส่าห์คิดมาทั้งคืน ไม่! กูยังมีหัวมีขาเหลือ โขกมึงได้ เตะมึงได้ ไง? เก๋อ่ะดิ” มันพูดพร้อมกับยักไหล่ หัวกับขามึงเหลือ...แต่หัวกับขากูก็มีเหมือนกันป้ะวะ? กูก็สู้มึงได้อยู่ดีอ่ะ!

    ผมส่ายหัวอย่างหน่ายใจก่อนจะสะบัดมือมันออก ผมใช้มือซ้ายจับมือซ้ายของมันและใช้มือขวาจับมือขวาของมันก่อนจะไขว้แขนของมัน กลายเป็นว่าแขนของมันไขว้กันอยู่แต่ของผมไม่...เออ มึงต้องทำแบบนี้แขนมึงถึงจะไม่ติดไปด้วย

    “เห้ยมึง...” ไอ้ชานยอลมองหน้าผมแบบอึ้งๆ ในขณะที่ผมยังคงพยายามหาเหตุผลให้ตัวเองอยู่ว่าท่านี้จะทำให้ผมจัดการมันได้ยังไง?

    “มึงทำได้ไงวะ! มึงขี้โกงงง!” มันดิ้นสุดฤทธิ์เพื่อที่จะสลัดมือผมให้หลุด ในจังหวะนั้นผมก็คิดอะไรขึ้นมาได้พอดี

    ผมเอาขาไขว้หลังขามันออกแรงดันไปข้างหลังอย่างแรงพร้อมกับเหวี่ยงแขนไปด้านหน้าเพื่อให้มันเสียหลัก

    “เห๊ยยยย!

    โครม!

    แล้วก็ได้ผล ตอนนี้ไอ้แว๊นซ์นอนหงายอยู่กับพื้นโดยมีผมคร่อมทับอยู่ด้านบน ผมกดมือของมันไว้กับพื้น แต่เราไม่ได้อยู่ใกล้กันเหมือนพวกพระเอกนางเอกในละครนะครับ หน้าห่างกับเป็นวา

    “มะ มึง...”

    “ที่จริงมันก็ใช้ได้อยู่นี่หว่า ขึ้นอยู่กับว่ามึงจะทำยังไงต่อถ้ามึงจับคู่ต่อสู้ได้แล้วเท่านั้นแหละ” ผมบอกพร้อมกับนึกภาพในหัวว่าจะสามารถทำอะไรกับมันต่อไปได้บ้าง ผมมองไอ้แว๊นซ์ที่นอนตาค้างแน่นิ่งอยู่ข้างล่าง อืม...บางทีอาจจะเข่าท้องมัน

    “ไอ้หมาเปียกมึงลุ๊กกกกกก! มึงลุกเลย!!!” อยู่ไอ้แว๊นซ์ก็สติแตก ดิ้นไปดิ้นมาจนผมเริ่มจะทรงตัวไม่อยู่

    “ทำไมอ่ะ กูกำลังคิดอยู่เนี่ย มึงอย่าเพิ่งดิ้นดิ!

    “ไม่! ไม่! มึงลุก! ลุก!

    “มึงก็หยุดดิ้นก่อนกูทรงตัวไม่อยู่ แล้วมึงหน้าแดงทำไมนั่น?”

    “ม๊ายยยย! อย่าพูด!” ไอ้แว๊นซ์ดิ้นเป็นปลาขึ้นบก สะเปะสะปะไปมาจนกระแทกมือผมทำให้ผมเสียความทรงตัวและล้มลง

    “เห้ยยยย!

    ตึง!

     

    ปัง!

    “พี่แบคมีข่าวใหญ่ข่าวร้ายโว้ยยยย! อุ่ย...ตรงนี้ข่าวใหญ่กว่า” ผมล้มลงทับไปใส่ไอ้แว๊นซ์เต็มเปา ข้อศอกกระแทกกับพื้นทำเอาเจ็บแปล๊บ ในจังหวะเดียวกันกับตอนที่ผมค่อยๆยันตัวลุกขึ้นไอ้จงอินก็เปิดประตูเข้ามาอย่างเต็มแรง มันผงะทำหน้าตกใจพร้อมกับสายตาล้อเลียน...จะตกใจจะแซวก็เลือกซะอย่างเหอะ ทำสองอย่างพร้อมกันมันทุเรศ

    “เซฮุนนนน! มาดูนี่เร๊วววว!” ไอ้จงอินหันไปป้องปากตะโกนเรียกไอ้เด็กตุ๊ด ผมกับไอ้ชานยอลต่างผลักกันออกไปคนละทิศละทาง ยังโชคดีที่ผมลุกออกมาได้ทันเวลาก่อนที่ไอ้เด็กตุ๊ดจะปรี่มาถึง

    “มึงมีข่าวอะไรก็ว่ามา!

    “หูยพี่~ ผมแค่มาผิดจังหวะนิดหน่อยทำไมต้องโกรธกันด้วยนะ กิ๊วๆ” ผมอยากจะตะโกนกลับไปว่ามึงไม่ได้มาขัดจังหวะโว้ยยย! กูไม่ได้ทำอะไรโว้ยยยย! ไอ้แว๊นซ์มันลุกขึ้นมานั่งกอดตัวเองทำไมก็ไม่รู้โว้ยยย!

    “กูเปล่า! มึงมีอะไรก็พูด!” ไอ้จงอินหัวเราะลั่นก่อนจะเท้าแขนไว้บนไหล่ไอ้เด็กตุ๊ดที่เพิ่งวิ่งมาถึง

    “มันคือข่าวร้ายสุดๆพี่”

    “อะไรล่ะ?”

    “อีกสองอาทิตย์โรงเรียนเราจะปิดเทอมใช่มะ?” ข่าวร้ายตรงไหนวะ?

    “แล้ว?”

    “พอปิดเทอมปุ๊บ...พี่ซิ่วหมินก็จะมาเป็นโค้ชให้พวกเราปั๊บ”

    “กูถามจริง!” ผมถลาเข้าไปเขย่าตัวไอ้จงอินจนไอ้เด็กตุ๊ดที่ยืนอยู่ข้างๆทนดูไม่ได้ต้องมาจับผมแยกออกไป มึง มึงจะบ้าหรอ? พี่ซิ่วหมิน! พี่ซิ่วหมินสุดโหดเนี่ยนะ! พี่ซิ่วหมินที่บ้าพลังหรอ!!! พี่ซิ่วหมินที่สั่งกูวิ่งจนสายตัวแทบขาดนั่นนะ...ไม่เอาได้มั๊ย!

    ไอ้จงอินพยักหน้ากลับมารัวๆว่ามันไม่ได้โกหก ผมถอนหายใจก่อนจะยอมปล่อยมือออกจากมัน ผมต้องเจอพี่ซิ่วหมินอีกแล้วหรอ!

    นรกเถอะ!

     

    ผมใช้ชีวิตสองอาทิตย์ก่อนปิดเทอมได้แห้งเหี่ยวมาครับ ทั้งๆที่ผมต้องเจอพี่ซิ่วหมินทุกซัมเมอร์อยู่แล้วแต่ก็ยังทำใจลำบากอยู่ดี ถ้าคุณไม่เคยสัมผัสกับตัวเองคุณจะไม่รู้เลยว่าคำว่าโหดบรรลัยอย่างน้อยไปสำหรับพี่เขา

    ผมเดินเตะอากาศอย่างเซ็งๆ พรุ่งนี้จะเป็นวันสุดท้ายของการเปิดเรียนแล้วครับ นักเรียนหลายคนหน้าตามีความสุขยิ้มแย้มแจ่มใส บางก็นัดกันไปเลี้ยงฉลอง บางคนก็บอกจะนอนให้ลืมโลก ส่วนผมนะหรอ...หึ...หึหึ

    “นักเรียน!

    “ครับ?” ผมหันไปตามเสียงเรียกจากทางด้านหลัง อาจารย์มีอายุท่านหนึ่งกำลังแบกสมุดกองพะเนินอยู่ ผมเห็นดังนั้นจึงเดินเข้าไปช่วยยกสมุดทั้งกองนั้นแทน อาจารย์กล่าวขอบใจผมก่อนจะบอกให้ช่วยยกไปที่ห้องพักครู

    ผมวางสมุดกองพะเนินลงบนโต๊ะของอาจารยท่านนั้นแล้วโค้งลา แต่ก่อนที่จะได้เดินออกไปอาจารย์ก็พูดขัดไว้เสียก่อน

    “ขอบใจจ่ะ...ปาร์ค ชานยอล”

    “ครับ?” ผมหันไปมองหน้าอาจารย์ท่านนั้นแบบงงๆ และพบว่าเธอเองก็กำลังยิ้มให้ผมอยู่ แต่...ปาร์คชานยอลเกี่ยวอะไรครับ?

    “อาจารย์...ขอบใจใครนะครับ?”

    “ครูก็ขอบใจเธอไง”

    “แต่ผมไม่ได้ชื่อปาร์คชานยอลนะครับ”

    “อ้าว แต่ป้ายชื่อเธอเขียนแบบนั้นนี่” ผมก้มลงมองป้ายชื่อตัวเองก่อนจะพบว่ามันเขียนไว้ว่าปาร์คชานยอลจริงๆครับ แต่ว่าผมมั่นใจมาว่าสูทตัวที่ผมใส่อยู่เป็นของผมเองไม่ใช่ของไอ้แว๊นซ์แน่ๆ แต่ทำไมป้ายชื่อมันถึง...

    “ผมชื่อบยอนแบคฮยอนครับ”

    “อ๋อ งั้นหรอ งั้นครูก็ขอบใจอีกรอบแล้วกันนะแบคฮยอน” ผมโค้งให้อีกทีก่อนจะเดินออกมาจากที่นั่น ระหว่างทางที่ผมเดินไปที่ห้องก็มีคำถามมากมายลอยอยู่เต็มหัว ทำไมป้าชื่อของผมถึงสลับกับมันได้ ทั้งๆที่เมื่อวานป้ายชื่อของผมเองก็อยู่บนสูทของผม และผมก็ไม่ได้เอาสูทไปวางทิ้งไว้ที่ไหนนอกจากแขนไว้ที่ราวสังเวียนตอนขึ้นไปซ้อมกับไอแว๊นซ์แล้วก็ไม่น่าจะมีใครมายุ่ง...นอกจากไอ้จงอิน!

    ย่าส์! ต้องเป็นคิม จงอินแน่ๆ!

    “อ้าวไอ้แบค เป็นอะไรวะหน้าเครียดเชียว? ทำวัตรเช้ากับกูซักรอบมั๊ย? เพื่อใจจะผ่องใสขึ้น” ไอ้จงแดเอ่ยทักเมื่อผมเดินไปถึงที่นั่ง ผมส่ายหัวก่อนจะโบกปัดๆ

    “เอ้า แล้วทำไมชื่อปาร์คชานยอลวะนั่น?”

    “ก็ไอ้จงอินอ่ะดิ เล่นอะไรแผลงๆอีกแล้ว” ผมโยนกระเป๋าลงบนโต๊ะก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งอย่างไม่สบอารมณ์

    อย่าให้กูเจอตัวนะ ไอ้ดำ! ไอ้มืด! ไอ้ทึบ!

    “ไปมึง! เข้าหอประชุมกัน” ไอ้จงแดเก็บหนังสือธรรมะของมันกระเป๋าก่อนจะเอ่ยชวนผม ผมมองหน้ามันอย่างงงๆ

    “จะไปทำไมวะ? มีประชุมหรอ?”

    “เออดิ ชั้นเรามีนัดประชุมสรุปผลแล้วก็คุยเรื่องแคมป์ด้วย” ผมร้องอ๋อ พยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะลุกตามไอ้จงแดไป

     

    ผมกับจงแดนั่งอยู่ต้องมุมห้องประชุม ผมเอนหลังพิงกำแพงพร้อมกับฟังสิ่งที่อาจารย์พูดไปเรื่อยๆ เข้าหัวบ้าง ไม่เข้าหัวบ้าง แต่สุดท้ายสิ่งที่เข้าไปก็กลับออกมาทั้งหมดอยู่ดี ผมงีบไปหลายรอบจนไอ้จงแดต้องสะกิดให้ตื่นเพราะสัปหงกแรงไปจนอาจารย์หันมามองหลายครั้ง ผมนั่งปรือตามองอาจารย์พูดอะไรซักอย่างที่ฟังไม่เข้าใจสักนิด

    น่าเบื่อชะมัด...

    กริ๊ง....ปึ่ก

    ผมหันไปมองวัตถุที่กลิ้งมาชนกับต้นขาก่อนจะหยิบมันขึ้นมา ผมมองลูกแก้วในมืออย่างสงสัยก่อนจะหันไปมองหาต้นเหตุที่ทำลูกแก้วกลิ้งมา

    ผมมองไอ้แว๊นซ์ที่นั่งอยู่ข้างๆแต่เพราะมีประตูหอประชุมกั้นกลางระหว่างผมกับมันอยู่ทำให้ผมไม่ได้นั่งติดกับมันเพราะต้องเว้นระยะตรงประตูไว้ มันกำลังดีดลูกแก้วอันที่สองมาทางผม ลูกแก้วกลิ้งมาชนกับหน้าขาของผมอีกครั้ง ผมหยิบลูกแก้วขึ้นมาดูก่อนจะมองหน้ามันอย่างสงสัย ไอ้แว๊นซ์มองหน้าผมก่อนจะชี้มาที่ลูกแก้วในมือผม

    ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่แต่ก็ก้มมองตามไป หมุนๆลูกแก้วเล็กน้อยก็เจอกับตัวอักษร

    มึง

    ผมเงยหน้ามองไอ้แว๊นซ์ที่กำลังกลิ้งลูกแล้วลูกที่สามมาทางผม ตามมาด้วยลูกที่สี่ ห้า หกและเจ็ด

    กั

    ผมเงยหน้ามองไอ้แว๊นซ์ที่นั่งพยักหน้าหงึกๆพร้อมกับส่งสายตาบังคับมาให้ ผมเพยิดหน้ากลับไป ดีเหมือนกันครับผมกำลังเบื่ออยู่พอดี

    “จงแด โดดกันป่ะ?” ผมหันไปชวนไอ้จงแดที่นั่งยืดอกฟังอย่างตั้งใจ มันหันมาถลึงตาใส่ผมก่อนจะบอกว่า

    “มึงมันไอ้เด็กไม่ดี โดดไปคนเดียวเถอะ” ก่อนจะหันกลับไป

    “เออๆ กูไปก่อนนะ” พอเห็นไอ้จงแดพยักหน้าเบาๆเป็นเชิงว่ารู้แล้ว(หรือไม่ก็คงประมาณว่า เรื่องของมึงเถอะ) ผมก็หันไปแง้มเปิดประตูหอประชุมที่อยู่ใกล้ๆ ก่อนจะคลานออกมาด้วยความรวดเร็ว ไอ้แว๊นซ์ตามออกมาติดๆ ก่อนจะลากผมให้วิ่งตามมันไป

    “เดี๋ยวๆ มึงรีบจะไปไหนเนี่ย?”

    “ไม่ต้องพูดมาก มึงไปเอากระเป๋ามึงมาเร็วๆ” พูดจบมันก็ผลักผมเข้ามาในห้องเรียนที่ไม่รู้ว่าวิ่งมาถึงเมื่อไหร่ ผมขยี้หัวตัวเองอย่างงงๆแต่ก็เดินเข้าไปหยิบกระเป๋าตัวเองออกมา

    “เห้ย! เร็วๆสิไอ้หมาเปียก ชักช้าอยู่นั่นขามึงมันหนักมากรึไง?”

    “เออๆ กูรู้แล้วหน่า!!

     

    สุดท้ายผมกับไอ้แว๊นซ์ก็มาอยู่ที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่งที่ไม่ไกลจากโรงเรียนมากนัก

    “มึงไม่ชวนลู่หานมาวะ?” ผมถามไอ้แว๊นซ์ที่กำลังจัดการถอดเสื้อสูทตัวเองออกมาปูไว้กับพื้นหญ้า

    “ไอ้ลู่แม่งไม่มาโรงเรียนอ่ะดิ แม่งนอนไม่สบายอยู่บ้าน มันบอกว่าเมื่อคืนโดนไอ้พี่คริสด่ามา เจ็บหัวใจลุกไม่ขึ้น สำออยชิบหาย” พูดพลางเบ้หน้าเบ้ตาด้วยความหมันไส้เพื่อนตัวเอง

    ผมไม่ได้ตอบอะไรแต่ทิ้งตัวลงนั่งบนเสื้อสูทที่ไอ้แว๊นซ์ตั้งใจปูไว้เมื่อกี้แทน ไอ้แว๊นซ์มองหน้าผมอย่างเอาเรื่องก่อนจะชี้หน้า

    “ไอ้หมาเปียกมึงลุก!” ผมยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจก่อนจะลอยหน้าลอยตานั่งบนเสื้อของต่อไปพลางตบพื้นหญ้าข้างๆเป็นเชิงว่าให้มันมานั่งตรงนี้ ไอ้แว๊นซ์เห็นก็โมโหควันออกหูเลยครับ

    “มึงจะลุกไม่ลุก?”

    “ไม่ลุกหรอก ตรงนี้ทำเลดี กูชอบ” ว่าแล้วก็แลบลิ้นกวนตีนมันไปทีหนึ่ง

    “ไม่ลุกก็ได้ งั้นมึงถอดสูทมึงมาเลย!

    “เรื่องอะไรล่ะ?”

    “ไอ้หมาเปียกถอด!!!” ว่าแล้วก็ถลาเข้ามาจับคอเสื้อสูทผมทันทีครับ ไอ้แว๊นซ์พยายามจะถอดเสื้อสูทผมออก ในขณะที่ผมก็ไม่ยอมครับ จับแขนมันและพยายามดึงออกไป

    “ไอ้หมาเปียกถอด!

    “ไม่ถอด!” ไอ้แว๊นซ์โถมตัวตัวมาอย่างเต็มแรงก่อนจะพยายามดึงสูทของผมออกมาให้ได้ ผมสะบัดตัวหนีพร้อมกับใช้ไหล่ดันมันออกไป

    “ไอ้แบค เอาสูทมึงมา!

    “ไม่โว้ย!” ไอ้ชานยอลเปลี่ยนเป้าหมายจากสูทของผมมาขยี้ผมของผมแทน พอผมพยายามจะเอามือมันออก มันก็เอามืออีกข้างมาอุดจมูกผมไว้

    “ไอ้ชานยอลปล่อยกูหายใจไม่ออก!

    “ไม่ปล่อย!” มันตอบพร้อมกับเพิ่มแรงมากขึ้นก่อนจะออกแรงดันให้ผมหงายหลัง จนสุดท้ายผมกับมันก็ลงมานอนทั้งคู่ ผมนอนราบอยู่บนหญ้าในขณะที่ไอ้ชานยอลนอนทำตัวแข็งแพลงกลิ้งอยู่บนตัวผม

    ...อายป้าคนนั้นที่เดินผ่านจังครับ

    แต่สุดท้ายผมกับไอ้ชานยอลก็ระเบิดหัวเราะออกมาอย่างไม่ได้เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองเล่นอะไรกันอย่างๆกับเป็นเด็กๆ

    “ลุกได้แล้วกูหนัก” ผมบอกไอ้แว๊นซ์ที่นอนแน่นิ่งอยู่ด้านบน มันส่ายหัวจนผมปลิวมาทิ่มหน้าผม คันชิบหาย!

    “มึงถอดเสื้อมาก่อน” มันตอบ เสียทุ้มที่ดังอยู่ใกล้ๆหูทำให้ผมรู้ตัวขึ้นมาได้ว่าตอนนี้เราอยู่ใกล้กันขนาดไหน

    ใกล้เกินไปครับ...

    “เออ เดี๋ยวกูถอด มึงลุกออกไปก่อนเร็ว”

     

    ฟอด...

    .

    .

    .

    “ทำไมหัวมึงไม่มีกลิ่นก๋วยเตี๋ยวแล้ว...”

    ฟอด...

    “หน้ามึงด้วย...”

     แล้วจะมาดมหาอะไรเล่า!!! มึงจะบ้าหรอออออออ! มึงบ้าหรอ!?

    “ก..ก็กูอาบน้ำสระผม ผ่านมาหลายวันแล้วด้วย มันจะยังอยู่ได้ไงเล่า ลุก! จะเอามั๊ยเสื้อน่ะ!” หลังจากที่ได้สติกลับผมก็ดิ้นๆเพื่อให้ไอ้แว๊นซ์มันหล่นลงไป ไอ้แว๊นซ์จิ๊ปากไม่พอใจเล็กแต่ก็ยอมลุกขึ้นไป ผมเด้งตัวลุกตามก่อนจะถอดสูทปาใส่มันด้วยความรวดเร็ว

    ขอกูตั้งสติก่อน มึง มึง มึง มึง....

    “อ้าว นี่มันป้ายชื่อกูนิ่” ไอ้แว๊นซ์เอ่ยขึ้นทำลายความคิดของผมที่ตีกันมั่วไปหมดในหัว

    “ไอ้จงอินมันทำอ่ะดิ มึงแกะป้ายชื่อมึงคืนไปเลย” ผมว่าแล้วก็ก้มลงไปแกะป้ายชื่อตัวเองออกมาจากสูทไอ้แว๊นซ์บ้าง

    “ทำไมช่วงนี้ยอดรักกูไม่มาที่ค่ายมวยเลยวะ?” ไอ้แว๊นซ์เอ่ยถามขึ้นในขณะที่ผมกำลังแกะป้ายชื่อตัวเองอย่างเก้ๆกังๆเพราะสติยังกลับมาไม่สมบูรณ์เท่าไหร่ ผมเกือบจะลืมไปแล้วครับว่าผมกับฮยอนอากำลังเล่นเป็นแฟนกันอยู่ จะว่าไปช่วงนี้ผมก็ไม่ค่อยได้เจอมันเท่าไหร่  ไม่ได้การแล้วครับ เดี๋ยวแผนแตกไอ้ตัวดีมันจะมาแหวกออกผมเอา

    “ก็...กูก็ต้องกันแฟนให้ออกห่างจากมึงไง มึงมันเป็นพวกไม่หวังดีจะเต๊าะแฟนกูนิ่ กูจะยอมได้ไงล่ะ” แถไปก่อน เอาให้ตัวเองรอด ไอ้แว๊นซ์หรี่ตามองผมอย่างไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ สงสัยว่าวันพรุ่งนี้ผมคงต้องไปเตี๊ยมกับยัยเพื่อนตัวดีใหม่แล้วล่ะครับ

     

    “ไอ้จงอิน!!” ผมโยนกระเป๋าไปกองไว้ข้างบันไดบ้านก่อนจะยืนจังก้ารอเอาเรื่องไอ้จงอินที่กำลังวิ่งหน้าระรื่นมาหาอย่างไม่รู้ชะตาชีวิตตัวเอง

    “จ๋า~ พี่แบคฮยอนของเค้า~

    อ่อก!

    ผมยกเท้ายันไอ้จงอินกำลังจะถลาเข้ามากอดผม น้องมืดมันเลยได้กอดเท้าผมซะเต็มรักเลยครับ ไอ้จงอินเซถอยหลังก่อนจะล้มลงไปกองอยู่กับพื้นทำหน้าตาเจ็บปวดเหมือนตัวร้ายในละครถูกยิง

    “พี่แบคทำไมโหดจังวะ! ท่าซิกแพ็กผมเบี้ยวจะทำยังไงเนี่ยพี่! ของมีค่าระดับโลกเลยนะเว้ย! ศาลโลกเขาสั่งให้รักษาและคงไว้ซึ่งความสวยงามของซิกแพ็กผมพี่ไม่รู้หรอ!

    “มึงสลับป้ายชื่อกูใช่ไหม?” ผมไม่สนใจคำโอดครวญของไอ้จงอินแต่อย่างใด

    “ป้ายชื่ออะไร? ผมไม่รู้เรื่อง” จากที่นอนสำออยอยู่ดีๆก็เด้งดึ๋งขึ้นมายืนเอามือไขว้หลังทำหน้าตาตื่น ไม่มีพิรุธเลยสิมึง

    “ไอ้ทืบแสง!

    “จ่ะๆ เค้ายอมแล้ว เค้าทำเองอ่ะตัว เค้าอยากเล่นด้วยเฉ๊ยๆ” ไอ้จงอินยกมือยอมแพ้ก่อนจะยิ้มแห้งๆ

    “มึง!

    “โอ๊ยๆ ใจเย็นๆอย่าเพิ่งทำเค้า!” ผมชี้หน้ามันอย่างคาดโทษแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรต่อหลังจากนั้น ไอ้จงอินหัวเราะแห่ะๆก่อนจะตีเนียนมากอดคอผม

    “พรุ่งนี้วันสุดท้ายแล้วพี่ พี่ซิ่วหมินเขาจะมาเอาเราขึ้นเขียงแล้วสภาพเราก็จะยับเยิบ ขายร้อยเก้าเก้ายังไม่มีใครเอา ชีวิตมันเศร้าเนาะ!” ไอ้จงอินกอดคอผมโยกไปมาเหมือนเล่นโยกเยกเอย น้ำท่วมเมฆ~ แต่เป็นเวอร์ชั่นที่ขืนข่มกว่าปกติ

    “ไอ้หมาเปียก! มาซ้อมดิวะกูรอนานแล้ว!” เสียงไอ้แว๊นซ์ตะโกนดังออกมาจากห้องซ้อม หึ! ไอ้คนไม่รู้ชะตาตัวเอง! เรากำลังจะขึ้นเขียงกันยกค่ายมึงไม่รู้เลยสิ! กูกับจงอินกำลังยืนไว้อาลัยให้พวกเราทุกคนอย่างเงียบๆมึงไม่รู้หรอ! กูล่ะอยากให้มึงเจอพี่ซิ่วหมินจริงๆ

    “ไปดีกว่า ตัวจริงเขาเรียกแล้ว ตัวสำรองอย่างผมควรจะไป~

    “ไอ้จงอิน! เดี๋ยวเถอะมึง!!!” ไอ้บ้านี่มันน่าโดนซักทีจริงๆ



     

     

     

     


    ""
    ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์นี้เราจะไปแคมป์ คงไม่ได้มาอัพนะคะ
    มาอัพอีกทีน่าจะวันอาทิตย์หน้าเลย
    #ฟิคเสยคาง

     

    Minor!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×