ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (fic exo) uppercut : chanbaek

    ลำดับตอนที่ #5 : chapter 4

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 89
      1
      8 มี.ค. 57

     photo logo_zpsc143684b.png

    4

     

                     “โอเซฮุน ออกมาคุยกันหน่อย!” ผมโผล่หน้าเข้าไปตะโกนเรียกเซฮุนที่กำลังนั่งเม้ามอยกับเพื่อนสาวอย่างสนุกปาก ไอ้เด็กตุ๊ดผงะไปเมื่อเห็นหน้าผม ที่จริงน่าจะต้องพูดว่าตกใจจนถึงกับเอามือทาบอกนิ่งค้างเป็นอนุสาวรีย์ตุ๊ดผงะไปเลย

    เห็นท่าทางก็รู้แล้วว่ามีความผิดติดตัว!

    พอรู้สึกตัวปุ๊บไอ้เด็กตุ๊ดก็หันหน้าหนีไปเลยครับ แกล้งทำเป็นหูทวนลมไม่ได้ยินผม ทั้งๆที่เพื่อนมันก็สะกิดยิกๆอยู่ตรงท้องแขนของมัน โอเซฮุนกรอกตาขึ้นฟ้าพลางถอนหายใจด้วยความหงุดหงิดแล้วก็บ่นอุบอิบๆใส่เพื่อนของตัวเอง

    “เห้ย!

    “...”

                    “ย่าห์! เซฮุน!” ผมตะโกนอีกครั้งเริ่มทนไม่ไหวอยากรีบเอาช้างคืนแล้วรีบๆไปจากที่นี่ซักที ห้องเรียนนี้กลิ่นเหมือนที่ฉีดปรับอากาศเวลาเข้าห้องน้ำเสร็จเลยครับ ผมไม่รู้ว่าพวกคุณจะเคยได้กลิ่นไหม อันที่มันเป็นที่ฉีดฟิดๆรูปหมีสีชมพู ผมได้กลิ่นทีไรมึนหัวทุกที

                    “มีอะไร!” เสียงของไอ้เด็กตุ๊ดที่ตะโกนกลับมาทำเอาผมกับจงแดสะดุ้งไปตามๆกันครับ ไอ้เด็กตุ๊ดดันตะโกนกลับมาด้วยเสียงเข้มสุดๆที่ผมคาดว่าน่าจะเป็นเสียงที่ต่ำที่สุดเท่าที่มันจะทำได้พร้อมกับทำท่าขู่แฮร่ๆ ผมไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่มองหน้ามันนิ่งๆและพยายามทำหน้าให้ขรึมๆแบบที่พ่อชอบสอนให้ผมทำ ไอ้เด็กตุ๊ดทำหน้ายักษ์ใส่ผมแต่ก็ยอมลุกออกมาแต่ก็ยังไม่วายด่าผมว่าไอ้บ้าแบบไม่มีเสียงแถมหน้านี่เหวี่ยงสุดๆ

                    สุดท้ายผม จงแด และไอ้เด็กตุ๊ดก็ออกมายืนกันอยู่ข้างนอกห้องเรียนครับ นักเรียนบางส่วน(โดยเฉพาะแก๊งค์เพื่อนของไอ้เด็กเซฮุน)มาเกาะกระจกดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น จงแดกำลังยืนสวดมนต์ด้วยความตั้งใจ ส่วนไอ้เด็กตุ๊ดก็ยืนเอายาดมอุดจมูกของตัวเองไว้

                    “มีอะไรก็ว่ามา แต่ถ้าคิดจะมาทำร้ายฮุนฮุนเหมือนที่ทำกับไอ้พี่แว๊นซ์เมื่อวันก่อน ฮุนฮุนบอกเลยว่าฮุนฮุนไม่ยอมแน่ เห็นเพื่อนฮุนฮุนที่ยืนหน้าสลอนอยู่ตรงนั้นมั๊ย? พวกมันมีอีโต้นะ! ฮุนฮุนจะเตือนไว้ก่อนเลย! ถ้าคิดจะทำร้ายฮุนฮุนเมื่อไหร่พวกนางจะรีบวิ่งเอาอีโต้ออกมาไล่ฟันมึงแน่ไอ้พี่แบคฮยอนแล้วก็ฟันเพื่อนของมึงด้วย! พี่คนนั้นที่อาราธนาศีลอยู่น่ะ” หลังจากที่ถอดยาดมออกจากจมูกแล้วร่ายประโยคยาวยืดใส่ผมเสร็จไอ้เด็กตุ๊ดก็ยัดยาดมเข้าจมูกตามเดิม

                    “ฮุนฮุนไม่ได้ขโมยอะไรด้วย! พูดจริงๆไม่ได้โม้!!!” พอพูดจบก็ดึงยาดมออก

                    “รู้ได้ยังไงว่าพี่มาเรื่องนั้น?” ผมถามกลับ เหวอครับ ไอ้เด็กเซฮุนเหวอไปเลย ทำปากพะงาบๆอึกอักเหมือนคนทำความผิดแล้วถูกจับได้แต่พอมันเอายาดมยัดเข้าจมูกตัวเองปุ๊บอาการก็กลับมาเป็นคนปกติทันที

                    “ก็แค่เดา แล้วก็ไม่ต้องมาแทนตัวเองว่าพี่ ฮุนฮุนไม่มีพี่ชายแบบมึง ตัวเล็กง้องแง้งปกป้องอะไรฮุนฮุนไม่ได้หรอกจะเอามาทำพี่ชายทำไม! แล้วก็ไม่ต้องมาเรียกฮุนฮุนว่าไอ้เซฮุนด้วยนะ มันหยาบคาย! และฟังดูเหมือนฮุนฮุนมีร่างกายที่ใหญ่ยักษ์และล่ำสัน ฮุนฮุนรับไม่ได้! ฮุนฮุนอนุญาติให้มึงเรียกฮุนฮุนว่าไอ้ฮุนฮุนแล้วแทนตัวเองว่าอิบ้าได้แค่นั้น เข้าใจป้ะ!” แล้วก็ร่ายยาวมาอีกหนึ่งที ผมสงสัยมากว่ามีใครเอาผงพูดมากไปใส่ไว้ในยาดมของไอ้เด็กตุ๊ดรึป่าว ทำไมพอดมแล้วมันถึงพูดเอาๆ ไอ้เซฮุนมันจะรู้มั๊ยครับว่าคำว่าฮุนฮุนฟังมากๆก็น่าปวดหัว ผมอยากจะเอาไปฝากใครซักคนแขวนคอไว้ก่อนรอให้ไอ้เด็กนั่นพูดจบค่อยเอากลับมาใส่เข้าที่เดิม

                    “เออๆ เอาเป็นว่าเอาช้างพี่ชายฉันคืนมาได้แล้ว” ผมรีบชิงพูดก่อนเมื่อเห็นว่าไอ้เด็กตุ๊ดมันทำท่าจะพูดอะไรซักอย่างออกมาอีก

                    “ช้างอะไร? ฮุนฮุนไม่ได้เอาไป่ ไม่หมี่” และเป็นอีกครั้งที่โอเซฮุนเอายาดมแยงจมูก พูดพร้อมกับกดเสียงต่ำสุดๆครับ ไอ้เด็กตุ๊ดพยายามทำหน้าตาไม่รู้ไม่เห็นแถมยังพยายามหลบตาผมด้วยการเหลือกตามองเพดาน...เพื่ออะไร?

                    “หรอ” ทำตัวมีพิรุธขนาดนี้ใครเชื่อก็แย่แล้วครับ

                    “จงแดจับมันไว้!” ผมบอกจงแดที่ยืนอยู่ข้างๆ จงแดเข้าไปจับไอ้เด็กตุ๊ดล็อกไว้ตามที่ผมบอกทั้งๆที่มันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมสั่งให้มันไปจับไว้ทำไมเพราะเราไม่ได้เตี๊ยมกันมาก่อนล่วงหน้า ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับว่าสั่งให้จงแดไปจับมันไว้ทำไม แค่คิดว่าถ้าขู่ให้กลัวไอ้เด็กเซฮุนต้องยอมบอกแน่ๆเพราะมันหลุดเฉลยอะไรออกมาด้วยตัวเองหลายอย่างแล้ว

                    “กรี๊ดดดด! มาจับฮุนฮุนไว้ทำไม! ปล๊อยยยยย!” ไอ้เซฮุนดิ้นแด่วๆ พยายามจะสบัดตัวเองให้หลุดออกจากจงแด

                    “แบค มึงให้กูมาจับไว้ทำไมวะ?”

                    “กูจะซ้อมจนกว่ามันจะยอมบอกกูว่าเอาช้างไปซ่อนไว้ที่ไหน” ผมพูดพร้อมกับหักนิ้วดังกร๊อบๆเป็นการขู่ เห็นแบบนั้นไอ้เด็กตุ๊ดก็ยิ่งดิ้นหนักกว่าเดิมครับ จงแดร้องโอ๊ยๆอยู่หลายรอบเพราะโดนไอ้เด็กนั่นเหยียบเท้าและพยายามเอานิ้วยิกสะดือของมันแต่ด้วยความที่มีสปิริตอย่างแรงกล้า ไอ้จงแดยังคงไม่ยอมปล่อยมือออกจากเซฮุนง่ายๆ ถึงปากจะยังคงบ่นว่า กูบอกให้คุยกันอย่างสันติไงไอ้แบค แต่มันก็ยังคงล็อกตัวไอ้เด็กเซฮุนไว้

                    “จะบอกไม่บอก!” ผมถามไอ้เด็กตุ๊ดด้วยเสียงที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นที่น่าเกรงขามที่สุด เริ่มมีเสียงฮือฮามาจากผู้คนแถวนั้นเด็กในห้องเซฮุนวิ่งออกมาจากห้องด้วยท่าทางอยากรู้อยากเห็นก่อนจะวิ่งผ่านพวกผมไปชะโงกดูที่ระเบียงแทน รู้สึกเหมือนจะมีอย่างอื่นเกิดขึ้นที่ด้านล่างซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร

                    “ใจเย็นๆสิอย่าเพิ่งต่อย! อย่าเพิ่งต๊อยยยยยยยย! ฮุนๆไม่อยากเสียโฉมๆ”

                    ผลั่ก!

                    “อร๊ายยยย!

                    “กรี๊ดดดดดดด! มีคนต่อยกัน!!!

                    ยัง

                    ผมยังไม่ได้ต่อยไอ้เด็กตุ๊ด...แล้วเสียงใครต่อยกัน...?

    เสียงดังโวยวายเกิดขึ้นที่ระเบียงและเสียงโวยวายก็ดังมาจากข้างล่างเช่นกัน นักเรียนคนอื่นๆเริ่มกรูกันออกมามุงดูอะไรซักอย่างที่เกิดขึ้นด้านล่าง ผม จงแดและไอ้เด็กเซฮุนที่ดูจะไม่ใช่จุดสนใจของนักเรียนคนอื่นๆเริ่มเกิดอาการสงสัยจนต้องมองหน้ากัน

    “อย่า! อย่าต่อยช้างงงงงงงงงง!

    “กรี๊ดดด!

    แต่แล้วก็มีเสียงหนึ่งที่ทำให้ผมต้องแทรกตัวเข้าไปท่ามกลางฝูงชนเพื่อเกาะระเบียงและชะโงกลงไปดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้านล่าง

    ผมชะโงกหน้ามองลงไปชั้นล่างสุดก็เจอกับนักเรียนโขยงใหญ่ที่กำลังมุงดูเหตุการณ์อยู่ รวมทั้งนักเรียนคนอื่นที่ต่างก็พากันชะโงกหน้าออกมาดู ตรงกลางวงเป็นลานน้ำพุขนาดใหญ่มีพี่คริส พี่ซูโฮ ลู่หาน และมาสคอตช้างที่ตอนนี้ล้มลงไปนอนกองอยู่กับพื้น...อะไรวะเนี่ย

    “เกิดอะไรขึ้นวะ?” จงแดแทรกตัวเข้ามายืนดูข้างๆกับผมแต่ยังคงล็อกตัวไอ้เด็กตุ๊ดมาด้วย ทำหน้าที่ได้ดีจริงๆครับ

    “ไม่รู้ว่ะ” ผมส่ายหน้า

    ลู่หานกำลังโวยวายอะไรอยู่ซักอย่างที่ผมฟังไม่ทันก่อนจะถลาเข้าไปต่อยมาสคอตช้างจนหัวมาสคอตหมุนติ้วๆอย่างกับลูกข่างกว่าจะหยุดหมุนงวงก็แทบจะหลุดกระเด็นออกมากองบนพื้น งาช้างก็เริ่มจะบูดๆเบี้ยวๆแต่คนในมาสคอตยังคงทำหน้าที่มาสคอตได้อย่างดี เขาพยายามทำท่าทางให้เหมือนมาสคอตในสวนสนุกทั่วไปด้วยการหมุนหัวตัวเองกลับมาด้วยท่าทางแอ๊บแบ๊วถึงแม้จะโดนลู่หานซัดล้มลงไปจนชุดเริ่มดำแล้วก็ตาม พี่ซูโฮทำท่าเหมือนจะร้องไห้รีบเข้าไปแยกลู่หานออกมาจากช้างแต่ด้วยแรงที่ผมคิดว่าพี่ซูโฮไม่น่าจะมี ทำให้โดนลู่หานเหวี่ยงกระเด็นไปไกลหลายเมตร

    “ป่าเถื่อนจะเลย ฮุนฮุนรับไม่ได้จะเป็นลมขอดมหัวหน่อย” ไอ้เด็กตุ๊ดพูดก่อนจะหันมาดมหัวผมดังซื้ดดดดด!

    “ตลกแล้วมึง” ผมหันไปทำหน้าโหดใส่มันก่อนจะชี้หน้าคาดโทษ เซฮุนบ่นอุบอิบๆที่พอจะจับความได้ว่าฮุนฮุนทำแบบนี้เป็นปกตินิ่ ไอ้คนใจทราม นิสัยไม่ดีเลยไอ้คนเห็ดหูหนู แล้วอีกคำด่าแปลกๆมากมายที่มันสันหามาด่าผม ซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจฟัง ผมหันไปดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้านล่างต่อ

    พี่คริสรีบวิ่งเข้าไปช่วยพยุงพี่ซูโฮขึ้นและดูเหมือนว่าจะกำลังต่อว่าอะไรซักอย่างลู่หานอยู่ ลู่หานเตะช้างที่นอนอยู่กับพื้นซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าช้างล้มลงไปอีกทีตอนไหน มองหน้าพี่คริสและพี่ซูโฮอย่างเอาเรื่อง ช้างค่อยๆลุกขึ้นมาจัดระเบียบตัวเองใหม่อีกทีจึงโดนลู่หานตบหัวหมุนติ้วๆสวิงงวงอย่างสวยงามอีกครั้ง

    พี่ซูโฮทำท่าจะร้องห้ามแต่จู่ๆก็ล้มพับลงไปซะก่อน ยังดีที่พี่คริสเข้าไปรับไว้ได้ทัน ผมตกใจเมื่อเห็นพี่ซูโฮเป็นลมไปต่อหน้าต่อตา ผมร้อนใจและเริ่มจะยืนไม่ติด คาดว่าพี่คริสก็เช่นกัน พี่คริสเขย่าตัวพี่ซูโฮสองสามครั้งก่อนจะตัดสินใจอุ้มพี่ซูโฮวิ่งผ่าดงนักเรียนที่มามุงดูออกไป ลู่หานตะโกนไล่หลังและทำท่าจะวิ่งตามแต่มาสคอตช้างทำงานดีคุ้มราคาจ้างก็กระโดดมาขวางทางไว้ก่อน ผมคิดว่ามาสคอตตัวนั้นพี่คริสน่าจะเป็นคนจ้างมาเพื่อที่จะปลอบใจพี่ซูโฮเรื่องวูดี้ซึ่งคนข้างในมาสคอตคงไม่รู้ว่าตัวเองต้องมาเจอลู่หานซ้อมเขาเลยยอม ลู่หานถีบยอดอกช้างจนล้มลงไปกองอยู่กับพื้น แสดงให้เห็นถึงพลังน่องที่น่าเกรงขามของตัวเอง ยังไม่ทันที่ช้างจะได้ลุกหนีลู่หานก็กระโดดลงไปนัวกับช้างเสียก่อน ผมละสายตาจากภาพลู่หานที่กำลังตะลุมบอลกับช้างมาที่จงแดแทน

    “มึง! ทวงวูดี้คืนมาจากไอ้เด็กตุ๊ดให้ได้”

    “บอกให้เรียกไอ้ฮุนฮุนไง!” ไอ้เด็กฮุนฮุนรีบตะโกนแทรกขึ้นมา

    “มึง! เอาวูดี้คืนมาแล้วตามไปให้กูด้วย” ผมพูดจบก็ไม่รอฟังอะไรจากปากจงแดแล้วรีบวิ่งออกไปทันที ถึงแม้จะมีพี่คริสอยู่ด้วยผมก็ยังแน่ไม่แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าพี่ซูโฮจะโอเค เพราะฉะนั้นรีบตามไปดูก่อนน่าจะเป็นการดีที่สุด

    …………………………………

     

    “เห้ย! ไอ้แบคเดี๋ยวก่อน แล้วกูจะทำไงอ่ะ! กูไม่ใช้ความรุนแรงนะมึงงงง! ไอ้แบค! โถ่ ไม่ฟังกันเลย!” ผมได้แต่มองตามแบคฮยอนวิ่งหายไป อยากจะกร่นด่าแต่ก็จะเป็นการไม่งาม จะวิ่งตามก็ไม่ได้ น้องเซฮุนเขาขวางทางอยู่ข้างหน้าผมเลยไม่อยากวิ่งชนอีกอย่างแขนเราก็พันกันอยู่ด้วยครับ...หรือผมควรจะวิ่งถอยหลัง?

    “มึง! ไอ้พี่อาราธนาศีล ปล่อยฮุนฮุนเดี๋ยวนี้ถ้าไม่อยากเจ็บตัว!!!” น้องเซฮุนขู่ผมด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยมแต่ก็ยังเหี้ยมไม่เท่าเท้าของน้องเขาที่กระทืบเท้าของผมยิกๆ น้องยังไม่ให้เวลาพี่ปล่อยเลยน้องก็ทำร้ายพี่แล้ว ถึงจะปล่อยไม่ปล่อยตอนนี้พี่ก็เจ็บตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ

    ผมควรจะทวงช้างด้วยวิธีไหนดีครับที่มันจะไม่รุนแรง ไม่มีการขู่กรรโชกและสันติที่สุด

    “ยังปล่อยไม่ได้ ส่งช้างมาให้พี่ก่อนแล้วถึงจะยอมปล่อยไป”

    “ทำไมฮุนฮุนต้องยอมเอาช้างให้แกด้วย? มีปัญญารู้แจ้งเห็นแจ้งไม่ใช่หรอไอ้พี่อาราธนาศีล นั่งสมาธิถอดจิตไปตามสิ! เข้าฌานไปเลย! บารมีกล้าแกร่งไม่ใช่หรอ!!!” พูดไปก็เหยียบเท้าผมไป ผมก็ได้แต่ร้องโอ๊ยๆ จะเหยียบคืนก็ไม่ได้ ไม่อยากจ้องเวรกัน แต่จะให้ทนโดนเหยียบต่อไปผมก็อาจจะต้องไปใส่เท้าเทียม

    “ใช่! รู้ก็รีบเอาช้างมาเลย”

    “ไม่ให้!

    “อย่าทำให้พี่ไม่มีทางเลือกนะ”

    “ทำไม! มึงจะทำอะไรฮุนฮุนได้! คิดว่าสวดมนต์ใส่แล้วฮุนฮุนจะกลัวหรอ? หรือจะลักพาตัวฮุนฮุนไปทำพิธีกรรมทางศาสนาล่ะ? ฮุนฮุนเห็นชอบสวดมนต์นิ อย่างนี้พี่ก็น่าจะรู้นะว่าศีลข้อสองเขาห้ามมึงทำร้ายร่างกายฮุนฮุนอ่ะ โถ่! ที่จริงมึงก็คนบาปป้ะ! พี่คิดว่าสวดมนต์บังหน้าแล้วจะปกปิดความบาปที่ทำได้หรอ” ข้อสองห้ามลักทรัพย์ครับ น้องนั่นแหละที่กำลังทำบาป

    “อ๋อๆ หรือจริงๆแล้วอยากจะเอาพระเครื่องมาขายฮุนฮุนแล้วกลัวฮุนฮุนวิ่งหนีเลยต้องมาจับตัวไว้? ทำเป็นเอาช้างมาบังหน้า! ช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวปิดไม่มิด! มึงจะมาหลอกขายพระเครื่องก็เอาช้างปิดไม่มิดเหมือนกัน! นี่ไอ้พี่แบคฮยอนหน้าตาขี้เหร่เหมือนปลาร้าแช่แข็งก็เป็นเพื่อนร่วมขบวนการใช่มั๊ย!!! ร้ายนะ! ก็แค่คนตัวเตี้ยกว่าฮุนฮุนสองคนเอง คิดว่าจะทำอะไรฮุนฮุนได้! ตัวเตี้ยแบบที่มองไม่เห็นจากระยะสองร้อยเมตรแบบนี้จะทำอะไรฮุนฮุนได้! ตอบ!!!

    “เสกหนังควายเข้าท้อง!

    “กะอีแค่...เดี๋ยวอะไรนะ? เสกหนังควาย ปล่อยๆ ขอดมยาดมหน่อย ฮุนฮุนขาอ่อน” ผมยอมปล่อยเซฮุนตามคำขอของเขา เซฮุนลงไปนั่งอยู่กับพื้น ยัดยาดมเข้าจมูกก่อนจะสูดเข้าไปแรงๆ ผมเห็นแล้ว...

    รู้สึกผิด!

    ขอโทษครับ! พี่ขอโทษจริงๆน้องเซฮุน พี่ไม่อยากโกหกเลย มันเป็นเหตุสุดวิสัย พี่ไม่ได้อยากโกหกไม่อยากผิดศีลข้อสี่เลย เพิ่งจะอาราธนามาเมื่อเช้าเอง ที่จริงแล้วพี่อยากจะคิดดีทำดีทั้งกาย วาจา ใจ แต่วันนี้มันจำเป็นจริงๆ วันนี้พี่จะกลับไปนั่งสมาธิทำจิตใจให้ผ่องใสตามพุทธพจน์คาถาที่สองข้อสามของโอวาทปาติโมกข์แล้วจะแผ่ส่วนบุญให้น้องเซฮุนด้วยนะ ถ้าเราเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันก็ขอให้อภัยให้กันไปนะครับ เราจะได้ไม่ต้องมีเรื่องไม่ชอบใจกันนะ อโหสิกรรมให้พี่ด้วยแล้วกัน พี่ไม่อยากเป็นสาเหตุที่ทำให้น้องจิตใจเศร้าหมองไม่ผ่องใสเลยครับ พี่กลัวทุกขติจะเป็นที่ไปของน้อง ขอโทษจริงๆ

    “รีบๆเอาช้างมาคืนได้แล้ว” ผมพูดย้ำอีกครั้ง

    “ฮะ ฮุนฮุนไม่กลัวหรอก มะ ไม่กลัว หนังควาย หนังควาย หนังควาย” เซฮุนพูดพร้อมกับเอามือกุมท้องตัวเองแล้วมองไปด้านหน้าเหมือนคนไม่มีสติ ผมเห็นสภาพเซฮุนแล้วความรู้สึกผิดก็ตีกลับขึ้นมาอีกครั้ง

    “ถ้าไม่กลัวหนังควายก็จะเสกเข้าไปเพิ่ม ตะปู! น็อต! ผม! เล็บขบ! กิ้งกือ! เห็ด! หมู! หมา! กา! ไก่! มีอะไรพี่จะเสกเข้าไปให้หมดเลยนะ! ชอบช้างนักใช่มั๊ย? เอาเข้าท้องไปด้วยเลยดีมั๊ย! เอาแบคฮยอนเข้าท้องไปอีกคนแล้วกัน!” ผมพูดพร้อมกับทำท่าปาอากาศใส่ท้องเซฮุน ผมไม่ได้อยากจะทำแบบนี้เลยครับแต่ว่าแบคฮยอนมันบอกให้ผมเอาวูดี้ไปให้ได้และด้วยความที่ผมอยากจะทำความดีให้พี่ซูโฮมีความสุขบ้าง เมื่อเช้าพี่เขารับพวงมาลัยอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่ แต่ถ้าผมเอาช้างไปคืนได้ พี่เขาอาจะยอมยกโทษให้

    “มึงจะบ้าหร๊ออออออ!” เซฮุนระเบิดเสียงสุดพลัง

    “นี่มึงใฝ่ธรรมะหรือไสยศาสตร์กันแน่ไอ้พี่อาราธนาศีล!!! ฮุนฮุนเกลียดมึงงงง! มึงรออยู่นี่เลยนะ! เดี๋ยวฮุนฮุนจะเข้าไปเอาช้าง มึงรออยู่นี่ห้ามขยับเขยื้อน อย่าคิดจะเล่นสกปรกตอนฮุนฮุนเข้าไปเอาอิช้างบ้านั่นเข้าใจมั๊ย!!! ถ้าฮุนฮุนออกมาไม่เจอมึงนะ ฮุนฮุนจะไปตามจับมึงมานั่งเล่นบาร์บี้เป็นเพื่อนฮุนฮุนแน่คอยดู!!!” เซฮุนพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืนพลางมองผมตาเขียวปั้ด ผมว่าถ้าเขาฆ่าผมได้เขาคงทำไปแล้วล่ะครับ

    “ห้ามไปไหนเลยนะ! ทำไมคนเราต้องมีท้องด้วยวะ...โอ๊ย! เกลียดมึงจริงๆ” เขาหันกลับมาชี้หน้าผมอีกทีก่อนจะหันไปบ่นอุบอิบกับตัวเองแต่ผมก็ยังคงได้ยินอยู่ดี

    ระหว่างรอเซฮุนผมก็ได้แต่ยืนจิตใจหม่นหมองอยู่คนเดียว นี่ผมกลายเป็นคนจิตใจมัวหมองไปแล้วนะครับ ใครมีวิธีที่จะทำให้ผมจิตใจสบายขึ้นมาได้ช่วยบอกผมเลยนะครับ นอกจากนั่งสมาธิปฏิบัติธรรมแล้วผมก็อยากจะทำอย่างอื่นร่วมด้วยเผื่อว่ามันจะช่วยให้ใจผมสงบเร็วขึ้น  ช่วงนี้ใจผมเกิดแรงริษยาขึ้นเล็กน้อยน่ะครับ รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะก้าวเข้าใกล้ความใคร่เข้าไปทุกที ผมไม่อยากเป็นคนที่มีกิเลสตัณหาเลยครับ โลภะ โทสะ โมหะ จงแดไม่เอา!

    ปั่ก!

    วัถตุบางอย่างลอยเข้ามากระแทกหน้าผมอย่างแรง แรงจนแว่นเบี้ยว แว่นเอียงกะเท่เล่ไม่เป็นท่า แต่ยังโชคดีที่ผมรับวัตถุนั้นไว้ได้ทัน ผมเห็นสีชมพูบานเย็นก็รู้ทันทีว่านี่คือวูดี้อันเป็นที่รักของพี่ซูโฮ

    “ได้แล้วก็ไปเลยนะ! ฮึ่ย! อย่าให้รู้นะว่าซื้อมาจากไหน สีสวยชิปเป๋งเลย! ฮุนฮุนโมโหจริงๆ” เซฮุนพูดก่อนจะปิดประตูใส่หน้าผมแรงๆและสะบัดผมแรงจนผมนึกเป็นห่วงคอของเขา ผมถอนหายใจกับตัวเองก่อนจะก้มมองวูดี้ที่ยิ้มแป้นแล้นอยู่ในอ้อมแขนของผม

    เฮ้อ...ผมได้ช้างไปคืนพี่ซูโฮแล้วครับ

    ...แต่วิธีมันไม่สันติเลย

    ผมรีบมุ่งหน้าไปที่ห้องพยาบาลทันทีหลังจากที่โทรไปถามแบคฮยอนเรียบร้อยแล้วว่าอยู่ที่ไหน พอเปิดประตูเข้าไปก็เจอพี่ซูโฮนอนดมยาดมหมดสภาพอยู่บนเตียง ข้างเตียงมีแบคฮยอนที่นั่งทำหน้ายุ่งและพี่คริสที่ทำหน้าตาเคร่งเครียดเหมือนกำลังรอลุ้นอะไรซักอย่างอยู่ในใจ  บรรยากาศมัวหมองไม่ผ่องใสมากครับ ถ้าผมเอาบทเทศนาเข้าไปเปิดตอนนี้ ทุกคนจะอารมณ์ดีขึ้นมั๊ย?

    “มึง...” ผมเรียกแบคฮยอนอย่างกล้าๆกลัวๆ บรรยากาศในห้องแลดูตึงเครียดมากและมันทำให้ผมกดดันมากกว่าเดิมเมื่อทุกคนหันมามองผมเป็นตาเดียว

    “กูได้ช้างมาแล้ว!” ผมชูวูดี้ขึ้นเหนือหัวพร้อมกับยิ้มให้ทุกคน

    .

    .

    “เฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮออออ!!!!!!!” เสียงโห่ร้องอย่างดีใจของทุกคนในห้องพยาบาลดังขึ้นแทบจะทันทีที่ผมพูดจบ แบคฮยอนถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ส่วนพี่คริสนี่ถึงกับตบมือแล้วร้องเยสออกมาเลยครับ

    “วูดี้!” พี่ซูโฮอาการซึมเศร้าหายเป็นปลิดทิ้ง รีบกระโจนลงมาจากเตียงแล้วรีบตรงเข้ามาเอาวูดี้ไปจากมือผมทันที ยาดงยาดมนี่ปาไปไว้มุมห้องเลยครับ พี่ซูโฮกล่าวขอบคุณผมรัวๆก่อนจะหันไปฉลองกับพี่คริส นักเรียนที่ป่วยอยู่เตียงข้างๆก็ลุกขึ้นมากอดคอกันเป็นวงกลมแล้วพากันหมุนไปรอบๆครูในห้องพยาบาลนี่หันไปกอดกันร้องไห้โฮ คนที่มาขอยาแก้ปวดหัวก็ลืมไปเลยว่าตัวเองมาทำไม หมุนหัวติ้วๆอย่างกับมีคอนเสิร์ตวงร็อคอยู่ในห้องพยาบาล บางคนก็เอาผลไม้ที่หัวเตียงมาปาเฉลิมฉลองกันอย่างสนุกสนาน เห็นอย่างนี้แล้วผมก็ดีใจ รู้สึกเหมือนได้เป็นฮีโร่เลยครับ

    แบบนี้แหละครับที่เขาเรียกว่าทำดีได้ดี รู้สึกภูมิใจจริงๆครับที่ได้ทำให้คนอื่นมีความสุข

    สา~ธุ

    …………………………………

     

    หลังจากที่เอาช้างมาคืนพี่ซูโฮได้จงแดมันก็เดินยิ้มอารมณ์ดีหน้าตาดูอิ่มบุญทั้งวันเลยครับ มันบอกว่ารู้สึกดีที่ได้ช่วยคนอื่น ครับ มันช่วยพวกผมไว้ได้จริงๆ เพราะก่อนที่มันจะเอาวูดี้มาให้พี่ซูโฮ ห้องพยาบาลนี่แทบแตก จากที่เฮิร์ทเรื่องวูดี้อยู่แล้วพอมาเจอมาสคอตช้างที่พี่คริสไปจ้างมาโดนซ้อมนี่ปี่แตกเลยครับ คนในห้องพยาบาลนี่ต้องกรูกันเข้ามาช่วยกันยึดพี่ซูโฮไว้กับเตียง ใครปวดหัวคิดจะมานอนพักนี่ต้องลืมไปก่อนเลยครับ นาทีนั้นทุกคนต้องช่วยกันพูดให้พี่ซูโฮใจเย็นๆ บางคนปวดอ้วกจนหน้าเขียวยังมาช่วยจับพี่ซูโฮไว้เลย

    หลังจากที่อาจารย์ปล่อยให้ไปพักกลางวัน ทุกคนก็เริ่มทยอยออกจากห้อง ฮยอนอาหันมาวางกล่องข้าวไว้ตรงกลางโต๊ะตรงกลางระหว่างผมกับจงแด แล้วมันก็ไม่พูดอะไรครับ หันไปเก็บของใส่กระเป๋าตัวเองเงียบๆ ทิ้งให้ผมกับจงแดนั่งงงกันอยู่สองคน คือเอามาวางหมายความว่ายังไงครับ? จะให้หรอ? ใช่หรอ? ปกติต้องแอบงุบงิบไว้กินคนเดียวนี่นา

    พอฮยอนอาหันมาเห็นผมสองคนนั่งมองกล่องข้าวสีชมพูหวานแหววด้วยสายตางุนงงจึงยอมเฉลยออกมา

    “เอามาให้พวกแกกินไง”

    “ห้ะ?/หืมม?”

    “จะงงอะไรเล่า ฉันให้ก็เอาๆไปเถอะหน่า” ฮยอนอาพูดด้วยน้ำเสียงติดจะหงุดหงิดเล็กน้อย

    “ไม่งงก็แย่และ อย่างแกจะเอาอะไรมาให้พวกฉันกินวะ? ปกตินี่ขอชิมยังไม่ให้เลย นี่เอามาให้เลยเนี่ยนะ...ใส่ยาพิษมาป้ะเนี่ย?” ผมบอก จงแดพยักหน้าหงึกๆเห็นด้วยก่อนจะมองกล่องข้าวด้วยสายตาผวานิดๆ

    “เอาหน่า วันนี้ฉันใจดีไง”

    “ไม่เชื่ออ่ะ/ไม่เชื่ออ่ะ” เป็นอีกครั้งที่ผมกับจงแดพูดออกมาพร้อมกัน ฮยอนอาเบ้ปากและเลือกที่จะเปลี่ยนประเด็นแทน

    “วันนี้ฉันไปซ้อมนะ พวกแกไปกินข้าวเลยไม่ต้องรอไม่ต้องไปเฝ้า ไปและ หลังพักเจอกัน” พูดเสร็จก็โบกมือบ๊ายบายแล้ววิ่งปรู๊ดออกจากห้องไปเลย

    “เอาไงดีวะ?” ผมถามจงแดพร้อมกับมองกล่องข้าวตรงหน้าด้วยสายตาไม่ไว้วางใจสุดๆ

    “ทำไงได้ล่ะ เอาๆไปเหอะ” พูดจบก็หยิบกล่องข้าวเดินนำออกไป...เออ ขี้แตกก็อย่ามาเสียใจแล้วกัน

     

    สรุปแล้วผมกับจงแดก็สั่งข้าวอย่างอื่นในโรงอาหารมาวางไว้เผื่อฉุกเฉินไอ้ของในกล่องมันกินไม่ได้ นั่งจ้องไอ้กล่องข้าวสีชมพูที่อยู่ตรงกลางโต๊ะจนมันแทบจะพรุนก็ยังไม่มีใครเอื้อมมือไปเปิดกล่อง

    “มึงเปิดดิ” ผมบอกจงแด

    “มึงแหละ”

    “มึงดิ”

    “มึงก็เปิดดิ” หลังจากที่เถียงกันไปมาอยู่ซักพักเราก็ตัดสินกันด้วยการเป่ายิ้งชุบ และสรุปว่าคนที่ต้องเปิดกล่องก็คือผม...ผมเป่ายิ้งชุบแพ้มันอ่ะ ฮึ่ม!

    ผมกลั้นใจนับหนึ่ง สอง สาม แล้วเปิดกล่องโช้ะ! ปรากฏว่าข้างในเป็นลาซานย่าหน้าตาโคตรน่ากินครับ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไว้ใจไม่ได้อยู่ดี มันเป็นของกินจากฮยอนอานะ ถ้าไม่ตกพื้นแล้วก็เป็นชนิดที่ว่าหมาเมินล่ะครับ ผมวางฝากล่องลงข้างๆแต่สายตายังจับจ้องอยู่ที่ลาซานย่า

    “ลองกินดิ้” ผมบอกจงแด

    “เรื่องอะไรเล่า ลองพร้อมกันดิ” ผมกับจงแดใช้ส้อมตัดลาซานย่าออกมาชิ้นเล็กก่อนที่ต่างคนต่างเอาไปจ่อปากตัวเองไว้แต่ไม่ยอมกินเข้าไป ผมกับมันมองหน้ากันเหมือนเป็นการถามกันประมาณว่าพร้อมนะมึง จงแดพยักหน้ากลับมาประมาณว่าลุย! แดกเลย! ตายแน่!

    ถ้าทำได้ผมคงอยากจะหยุดประสาทสัมผัสที่ลิ้นตัวเองไม่ให้รับรู้รสชาติ แต่พอกินเข้าผมก็ได้รับรู้ว่า มันอร่อย...แบบโคตรอร่อยอ่ะ แบบ เห๊ยยยยยย! ฮยอนอาเอามาจากไหนวะครับ!!

    ระหว่างที่ผมกำลังหลงระเริงกับรสชาติที่อร่อยของมันอยู่นั้นผมดันเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างที่ด้านในของฝากล่อง

    “หะ แค่ก แค่ก”

    “เห้ย เป็นไรมึง?” จงแดที่กำลังระรื่นอยู่กับของกินตรงหน้าหันมาถามผมก่อนจะส่งแก้วน้ำให้

    “กูว่า แค่ก หยุดกินเหอะมึง แค่ก แค่ก”

    “เอ้า! ทำไมวะ? มันก็อร่อยดีนี่หว่า ดูจากสภาพแล้วมันยังไม่น่าจะตกพื้นหรืออะไรนะเว้ย”

    “เลิกกินเหอะ”

    “อะไรของมึงวะ?” ก็...รูปไอ้แว๊นซ์ชานยอลแม่งแปะเด่นหราอยู่บนกล่องขนาดนั้นนะมึง!!!

    .

    .

    “มึงงงงงงง! ไอ้หมาเปียก!” ยังไม่ทันที่จะได้บอกอะไรไอ้จงแด ไอ้เจ้าของกล่องข้าวสุดหวานแหววมัน ก็เดินปรี่เข้ามากระชากคอเสื้อผม ผมลุกขึ้นยืนตามแรงดึงของมันท่ามกลางสายตาของทุกคนในโรงอาหารและเสียงส้อมร่วงของจงแด

    คิมฮยอนอาหาเรื่องให้กูอีกแล้วครับ!

    “มึงกล้าดียังไงมากินของที่พ่อกูอุตส่าห์ทำให้ยอดรักของกูห้ะ!

    “ใจเย็นๆคือ...” คือกูก็เพิ่งรู้เมื่อกี้ครับว่าเป็นของมึง เพิ่งรู้ว่าพ่อมึงตั้งใจทำให้ฮยอนอา

    “ใจเย็นหรอ! มึงรู้ไหมว่ากว่ากูจะขอให้พ่อทำให้ได้ กว่าพ่อกูจะมีเวลาว่างมาทำให้เนี่ยมันยากขนาดไหน!!! ไอ้อ้วนเอ๊ย! ไอ้ขี้เหร่! ไอ้ตะกละ!” ไอ้แว๊นซ์ตะโกนเสียงดังพลางเขย่าผมแรงๆจนลาซานย่าเมื่อกี้จะออกมากองอยู่กับพื้นให้ได้ คือกูไม่ได้กินคนเดียวป้ะครับ กูชิมไปคำเดียวนะ ไอ้จงแดเขมือบไปจะครึ่งกล่องทำไมไม่ด่ามันด้วยครับ!

    “มึง...สันตินะท่องไว้ สันติ” เสียงจงแดกระซิบบอกผมเบาๆจากด้านหลัง มึงเป็นพรายกระซิบส่วนตัวกูหรอครับ! มึงช่วยดูหน้ามันด้วยว่ามันพร้อมจะสันติกับกูมั๊ยยยยย! มันโกรธจนหูเหอสั่นพั่บๆๆขนาดนั้นมันคงจะสันติกับกูหรอกเนอะ ไม่ตุ๊ยกูล้มลงไปกองกับพื้นก็ดีแล้ว!

    “เอ่อ พ่อมึงทำอร่อยดีนะ...ฝากขอบคุณด้วยแล้วกัน เอิ่ม...อร่อยมาก” ผมพยายามใช้วิธีสันติประนีประนอมกับไอ้แว๊นซ์อย่างที่จงแดบอก แล้วไอ้แว๊นซ์ก็ยอมปล่อยมือออกจากคอเสื้อผมครับ

    “อร่อยหรอ...”มันพูดด้วยเสียงเย็นเฉียบจนผมถึงกับเสียวสันหลังวาบ

    “แหงล่ะ พ่อกูเป็นเชฟ” มันจ้องหน้าผมนิ่งแต่เอื้อมมือไปคว้าแก้วโค้กจะโต๊ะข้างๆมาไว้ในมือก่อนจะยิ้มเย็นๆ

    “อะ อ่อ...วันนี้อากาศดีเนาะ” คือกูไม่มีอะไรจะพูดครับพูดอะไรได้ก็พูดไปก่อน สงสัยวิธีประนีประนอมจะได้ผลมันถึงยอมปล่อยคอเสื้อผม

    “ที่จริงกูก็มีของจะให้มึงนะ” พูดไปก็ตักเครื่องปรุงจากโต๊ะข้างๆใส่แก้วโค้กไปเรื่อยๆ พริกนิด น้ำตาลหน่อย น้ำปลาค่อนขวด น้ำส้มสายชูอีกนิด น้ำมะนาวหน่อย เอาพักชีโรยหน้า ก่อนจะใช้ช้อนคนให้เข้ากัน...

    บ้านมึงนี่...วิธีกินแปลกดีนะ

    “หระ หรอ ฮ่ะๆ”

    “ใช่...”

     

    ซ่า!

    โค้กพุ่งเข้าใส่หน้าผมโดยไม่บอกไม่กล่าว...ครับ โค้กที่อยู่ในมือของไอ้แว๊นซ์ชานยอลเมื่อกี้ย้ายมาอยู่บนตัวผมทั้งหมด โดยเฉพาะบนหน้า แถมกลิ่นยังทะแม่งๆไม่น่าพิสมัยสุดๆ ถ้าใครไม่รู้ว่าผมโดนสาดน้ำเขาคงคิดว่าผมเดินตกถังขยะทิ้งเศษอาหารล่ะมั้งครับ

    “มึง...ใจเย็นไว้ พุทโธ พุทโธ” จงแดกระซิบบอกผมอีกครั้งพร้อมกับบอกให้ผมกำหนดลมหายใจเข้าออกไปด้วย...คิดว่ากูยังมีใจมาพุทโธอีกหรอวะ?

    ผมเงยหน้ามองไอ้แว๊นซ์ที่กำลังหัวเราะชอบใจและยักคิ้ววอนเกิบ(ร้องเท้า)ผมสุดๆ ผมพยายามท่องพุทโธในใจเหมือนที่จงแดบอกและพบว่ามันช่วยได้มาก...ถ้าคนๆนั้นไม่ใช่ผมน่ะนะ พุทโธอะไรล่ะ! แค่หยุดตัวเองไม่ให้เข้าไปประเคนหมัดใส่หน้ามันก็ดีแล้ว เห็นหน้าแล้วหมั่นไส้ อยากทำให้มันฟันล้มให้หมดปาก!

    แต่ครั้งนี้ก็ดูเหมือนผมจะผิดจริงๆล่ะมั้ง ดูเหมือนมันจะตั้งใจทำมาให้ฮยอนอาจริงๆ เป็นผมคงจะเสียใจแต่ก็ไม่ควรทำงี้ป่ะวะ! ไอ้คนมีรูปขาเป็นครึ่งวงกลม!

    “ดูจากท่าแล้วมึงหน้าจะชอบของที่กูให้นะเนี่ย หน้าแดงใหญ่เลยอ่ะ ฮ่าๆ” กูแสบพริกที่มึงใส่ลงไปหรอกเว้ย!

    ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไรกลับไป ไอ้แว๊นซ์ก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้หน้าผม ใกล้ในระยะที่ว่าเห็นทะลุเยื่อโพรงจมูกกันเลย มันทำจมูกฟุดฟิดแถวๆแก้มก่อนจะค่อยๆเลื่อนไปดมที่หน้าผาก ส่วนผมได้แต่ยืนนิ่ง รู้สึกเหมือนถูกแช่แข็งไปแล้วครับ มึงเอาหน้าเข้ามาใกล้ไปป้ะ! จมูกจะกระแทกหน้ากูอยู่แล้วโว้ย!

    “กลิ่นมึงเหมือนก๋วยเตี๋ยวเลย ไอ้หน้าก๋วยเตี๋ยว” มันพูดก่อนจะหัวเราะหึหึในลำคออย่างสะใจ หารู้ไม่ว่าเสียงทุ้มๆของมึงทำกูขนหน้าแข้งลุกซู่ หลังจากด่าว่าผมหน้าก๋วยเตี๋ยวเสร็จไอ้แว๊นซ์ก็เปลี่ยนมาดมผมของผมแทน ในระดับสายตาของผมเห็นแต่ปากกับคางของมันแค่นั้น แต่ก็พอจะเห็นว่ามันเบ้ปากอย่างไม่พอใจเท่าไหร่ ได้ยินมันบ่นอุบอิบว่าอะไรวะเบาๆก่อนจะเปลี่ยนมาดมแถวขมับของผมแทนแล้วจู่ๆก็ผละออกไปอย่างไม่บอกกล่าว...เออ ก็แค่คนจะผละออกไปมันจะบอกทำไมเนาะ!

    “หัวมึงยังไม่เหม็น” มันพูดหน้ายับ...ที่จริงก็แค่หน้ายุ่งไม่ถึงกับยับ

    ไม่เหม็นบ้าอะไรล่ะ! มึงอยู่ห่างไปสิบเมตรยังได้กลิ่นก๋วยเตี๋ยวของกูเลย!!

     

    แผละ!

    ผมจบปุ๊บมันก็คว้าจานข้าวผัดจากไหนไม่รู้มาโปะเข้าที่หัวผมก่อนจะหัวเราะชอบใจ

    พุทโธ พุทโธ

    “ไปก่อนนะจ๊ะ อิหน้าก๋วยเตี๋ยว!” ปากยิ้มหวานแต่ชูนิ้วกลางให้กูคืออะไรครับ? มันแลบลิ้นแถมให้อีกหนึ่งทีก่อนจะสะบัดหน้าเดินแท่ดๆออกไปจากโรงอาหาร

    พุทโธ พุทโธ

    “แบคมึงโอเคมั๊ย?”

    พุทโธ พุทโธ...พุทโธมึงไม่เห็นทำให้กูใจเย็นลงเลยจงแดดดดดด!

     

    หลังจากเหตุการณ์เมื่อกลางวันผมก็ไม่ได้ไปเข้าเรียนคาบต่อจากนั้นเพราะมัวแต่ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ตอนแรกผมกับจงแดก็คิดกันอยู่ว่าจะทำยังไงดี โชคดีที่ผมมีชุดบอลอยู่ในล็อกเกอร์ ผมไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดที่ห้องอาบน้ำของสระว่ายน้ำเสร็จก็กลับมานั่งเรียนในชุดบอลต่อจนเลิกเรียน แต่ความซวยของผมไม่ได้จบอยู่แค่นี้หรอกครับ

    หลังจากเลิกเรียนผมก็ค้นพบว่าร้องเท้าผมหาย...ถ้าจะพูดให้ถูกคือโดนขโมยไปมากกว่า ตอนแรกผมก็คิดว่าจะไปเอารองเท้าบอลในล็อกเกอร์ใส่กลับบ้านแต่พอไปถึง...ครับ รองเท้าสุดที่รักที่ผมอุตส่าห์เก็บตังซื้อเองหายไปกับสายลม รองเท้าที่หายไปของผมถูกแทนที่ด้วยรองเท้าส้นสูงสีชมพูแปร๋นอย่างกับเรืองแสงได้ ไม่ต้องเดาก็รู้จริงๆครับว่าใครทำ

    พี่ซูโฮไปฉลองที่ได้วูดี้คืนมากับพี่คริส พอเลิกเรียนปุ๊บพี่คริสก็หิ้วพี่ชายผมออกจากโรงเรียนไปโดยไม่มีการชักชวนหรือเอ่ยลาเลยซักคำ พี่ซูโฮโทรมาถามผมเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วว่าถึงบ้านรึยัง ด้วยความที่ผมไม่อยากให้พี่เขาเป็นห่วงเลยบอกไปว่าอยู่บ้านแล้วแต่พี่ซูโฮไม่เชื่อจะขอฟังเสียงจงอิน ผมเลยต้องโทรหาจงอินแล้วประชุมสายเพื่อหลอกพี่ซูโฮ

    สุดท้ายแล้วผมก็บังคับให้จงอินขี่มอเตอร์ไซค์มารับเพราะไม่อยากเดินกลับบ้านเท้าเปล่าเพราะถนนมันร้อนและตอนนี้สภาพผมเหมือนคนจรจัดสุดๆ จงอินบอกให้นั่งรอไปก่อนอาจจะไปช้าเพราะมันเที่ยวกับคยองซูอยู่ ผมได้ยินเสียงคยองซูลอดโทรศัพท์ออกมาว่าให้จงอินมารับผมก่อนก็ได้แต่ไอ้จงอินดันบอกว่า รอไปก่อนนะพี่ แค่นี้แหละ ตู้ด!

    สุดท้ายผมก็มานั่งแง่วอยู่คนเดียวหน้าโรงเรียน...รู้งี้ผมหน้าจะไปคาเฟ่ประจำของพวกผมพร้อมกับจงแด เฮ้อ

    “มึง ไอ้หน้าก๋วยเตี๋ยว!” ผมหันหลังกลับไปมองคนที่กำลังเดินมาหา ไอ้ชานยอลถือหมวกกันน็อคไว้ในมือพร้อมกับทำหน้ามุ่ย

    “ทำไมมึงต้องเปลี่ยนชุด!

    “ก็เพราะมึงนั่นแหละ”

    “ทำไมมึงถึงมีชุดเปลี่ยนวะ! กูอุตส่าห์ตั้งใจจะให้มึงเดินตัวเหม็นไปมา ยอดรักกูจะได้ไม่ต้องเข้าใกล้มึง” มันทิ้งตัวลงนั่งข้างๆผมก่อนจะวางหมวกกันน็อคไว้ระหว่างกลาง

    “เสียใจ แฟนกูเขารักกูมากขึ้นเพราะกูอาบน้ำระหว่างวัน” ผมยักไหล่

    “ไอ้หมาเปียก! เงียบไปเลย! ยอดรักของพี่ปาร์คเห็นมึงเป็นแค่ของเล่นเท่านั้นล่ะโว้ย ไม่ได้อยู่ในสายตายอดรักกูหรอกไอ้ตัวสั้น ไอ้ขี้เหร่ ไอ้บ้า ไอ้เป็ดปักกิ่ง ไอ้ลิงปักตะไคร้ ไอ้คนไซส์โดเรมอน!!!” พอด่าผมเสียหายเป็นที่เรียบร้อยมันก็ชะโงกเข้ามาดมๆผมเหมือนเมื่อตอนกลางวัน ใครสั่งใครสอนให้ดมคนอื่นเขาท่านี้วะเดี๋ยวมึงเจอเข่าหรอกเดี๋ยวก่อน!

    “ทำไรมึงเนี่ย?” ผมผลักมันออกไปก่อนจะถามเสียงขุ่น เอาหน้ามาใกล้ๆแล้วมันขนลุกอ่ะเข้าใจป้ะ?

    “ทำไมหน้ามึงไม่เหมือนก๋วยเตี๋ยวแล้ววะ? โอ้ย เกลียดมึงจัง!

    “เรื่องของมึง! เลิกมาดมหน้าดมหัวกูได้แล้ว”

    “กูก็ไม่ได้อยากดมหรอกไอ้หน้าเหม็น!” คือมันจะเอายังไงกับผมวะ? ตอนนี้ไอ้จงแดไม่อยู่ผมต่อยมันได้นะ!

    “แล้วมึงจะนั่งถอดรองเท้าโชว์กลิ่นอับทำไมวะ? เห็นใจคนรอบข้างบ้างเหอะ เหม็นชิบหาย”

    “ถ้ารองเท้ากูไม่หายกูก็ไม่มานั่งโชว์เท้าขาวๆกูหรอกโว้ย”

    “ไอ้หลงตัวเอง! เท้ามึงสวยสู้พี่ปาร์คคนหล่อไม่ได้ซักนิดมึงยังจะกล้ามาอวดอีกหรอ? แค่สภาพเท้ามึงก็ไม่คู่ควรกับยอดดวงใจกูและยังจะมาแย่งของกูไปอีก! มึงคิดว่าแน่ก็เข้ามาเลยดีกว่า เดี๋ยวกูโทรเรียกพี่กูมาแล้วมึงอย่าหนีนะ!” ไอ้ชานยอลไม่รู้ไปอัดอั้นตันใจมาจากไหนมันด่าผมแทบทุกประโยคที่พูดออกมา แต่ก็แปลกดีครับ ตั้งแต่คุยกันมาผมกับมันยังไม่ได้มองหน้ากันเลย ต่างคนต่างนั่งมองอะไรไปเรื่อยเปื่อยแต่ปากก็ทะเลาะกันไปอย่างนั้น

    ผมว่ามันแปลกจริงๆนะ

    ปี๊นๆ!

    ผมเงยหน้ามองรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดห่างไปร้อยเมตร ถึงจะอยู่ไกลแต่ผมก็พอจะดูออกว่ามันคือจงอิน คือผมจะกลับแล้ว ผมควรจะพูดอะไรกับไอ้แว๊นซ์มันมั้ยวะ? แต่ผมก็ไม่ใช่เพื่อนมันอ่ะ

    “กู...กลับบ้านและ เอ่อ บ๊ายบาย” มันเป็นประโยคที่กระดากปากที่สุดในชีวิตครับ

    “อะไร บอกกูทำไมเรื่องของมึงดิ” มันพูดก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วกดโทรศัพท์โทรหาใครซักคนที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นลู่หานเพราะผมได้ยินมันเรียกชื่อ แล้วมันก็วิ่งออกไปเลยครับ วิ่งไปถึงมอเตอร์ไซค์สภาพแว๊นซ์สุดๆแต่งเครื่องเต็มสตรีมที่จอดอยู่ไม่ไกลแล้วก็ขับออกไปทั้งๆที่คุยโทรศัพท์อยู่...แล้วมันจะคุยกันรู้เรื่องหรอ ขี่ไปคุยไป??

    “อ้าว ไอ้แว๊นซ์หมวกมึงอ่ะ!” ผมตะโกนไล่หลังไอ้ชานยอลที่ขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปไกลลิบๆ มอเตอร์ไซค์หรืออุตสาหกรรมเคลื่อนที่วะเสียงดังชิบเป๋ง!

    สุดท้ายผมก็ไม่มีทางเลือกต้องถือหมวกกันน็อคมันมาด้วย

    “อั่นแหน่~ ที่จริงคนแถวนี้ก็แค่หาข้ออ้างกลับบ้านเย็นเพราะจะมานั่งจู๋จี๋กับหนุ่มหน้อ~” จงอินลากเสียงยาวพร้อมกับทำหน้าตากรุ้มกริ่มสุดๆ พอเดินเข้ามาใกล้ๆผมก็เริ่มเห็นรอยช้ำกับพลาสเตอร์ยาบางที่บนหน้ามันแล้วก็อดนึกสงสัยไม่ได้

    “เดี๋ยวกูเตะ! ว่าแต่มึงเหอะไปเที่ยวกับคยองซูท่าไหนถึงได้แผลกลับมา? หรือว่าไอ้แว๊นซ์กับไอ้เด็กตุ๊ดมันส่งคนไปซ้อมมึง?” อย่าบอกนะว่าจงอินเป็นเป้าหมายรายต่อจากพี่ซูโฮ แต่จะมาทำร้ายร่างกายกันอย่างนี้ก็เกินไป

    “เปล่าพี่เปล่า ผมไปมีเรื่องมาเองไม่มีอะไรหรอก ไอ้พวกที่พี่เล่าให้ฟังมันจะรู้จักผมได้ไง” ว่าแล้วมันก็หัวเราะ

    “สมน้ำหน้า ถ้ามึงไม่โดดซ้อมไปเที่ยวกับคยองซูก็ไม่โดนซ้อมหรอก” ผมพูดด้วยความหมั่นไส้แต่จงอินพอเป็นเรื่องคยองซูก็เถียงผมกลับมาทันควัน

    “เพื่อนผมไม่ผิดเลยพี่”

    “ก็ไม่ได้ว่าอะไร๊~” ผมพูดก่อนจะขึ้นซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ของไอ้จงอิน

    “มีหมวกกันน็อคแล้วทำไมไม่ใส่วะพี่? หมวกกันน็อคเขาเอาไว้ใส่หัวกัน เอาไปนั่งอุ้มไว้อย่างงั้นมันจะกันน็อคได้หรอพี่?” ก็หมวกมันไม่ใช่ของกูนี่หว่ากูจะใส่หาอะไรล่ะ? ไอ้จงอินนี่วอนแล้วครับ! เจ้าของเป็นเหารึป่าวก็ไม่รู้ผมจะใส่ไปทำไมล่ะ? ไม่เสี่ยงหรอก!

    “พ่อหนุ่มคนนั้นเขาอุตส่าห์ทิ้งไว้ให้เลยนะ จะไม่ใส่จริงเร้อ?”

    โป๊ก!

    ผมเอาหมวกกันน็อคเคาะหัวไอ้จงอินหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้ ไอ้นี่ก็ชงจ๊างงงง! มึงจะชงทุกคนบนโลกให้ได้กับทุกคนบนโลกเลยมั้ยครับ? ไอ้แทน ไอ้คล้ำ ไอ้ดำ ไอ้ทึบ ไอ้คนไม่มีแสงในตัวเอง ไอ้สิ่งที่มืดที่สุดในประวัติการณ์!

    “หุบปากไปเลยครับไอ้จงอิน!








    ""
    ศึกนี้จงแดเขาวินนะแก 555555555555555555555
    หรือเราควรจะเปลี่ยนแท็กเป็นฟิคด่า
    เพราะตัวละครด่ากันเยอะละเกิน
    #ฟิคเสยคาง

     

    Minor!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×