คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 0 - สู่ขุมนรก
"จิตใจอันบอบบางของมนุษย์... มักถูกล่อลวงเสมอ"
__________________________________________________
Chapter 0
Into The Hell
สู่ขุมนรก
แองจีล่า วิลสัน นั้นเป็นชื่อของฉัน ฉันเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในอังกฤษ สาขาวรรณคดีภาษาอังกฤษ ชั้นปีที่หนึ่ง และตอนนี้กำลังเดินอยู่ในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินที่มีผู้คนเดินพลุกพล่านไปมาไม่ขาดสาย วันนี้ฉันกำลังจะเดินทางไปหาแม่ของฉันที่ชานเมือง ฉันรู้สึกไม่ค่อยชินกับการเดินทางสักเท่าไหร่ ก็แหงละ ชีวิตของฉันมันวนเวียนอยู่แค่มหาวิทยาลัยกับห้องพักเล็กๆ หรือบางครั้งบางคราวก็แวะไปที่ร้านหนังสือ อ่อ ลืมไปร้านอาหารที่ฉันทำงานพาร์ททามอยู่ด้วย ชีวิตฉันมันก็ไม่ต่างจากเด็กทั่วไปสักเท่าไหร่
ฉันยืนต่อแถวยาวเหยียด ก่อนที่รถไฟฟ้าเวลาสี่โมงเย็นจะมาหยุดตรงหน้า ผู้คนต่างเดินเข้าไปอย่างมีระเบียบ ฉันค่อยๆ เบียดตัวเข้าไปและนั่งลงใกล้ๆ กับประตู บรรยากาศในรถดูปกติดี ทุกอย่างก็ดำเนินไปเหมือนทุกครั้งที่ฉันจะไปหาแม่ ฉันยิ้มให้กับคุณยายที่อยู่ตรงกันข้ามก่อนที่หล่อนจะส่งยิ้มมาให้ฉันเช่นกัน
มันก็ค่อนข้างจะน่าเบื่อที่จะต้องนั่งแบบนี้เป็นเวลาเกือบสี่สิบห้านาที ฉันจึงหยิบหนังสือนิยายเล่มหนึ่งจากกระเป๋าผ้าของฉัน มันมีชื่อเรื่องว่า ‘เมโทไดซ์ นครคนบาป’ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับบาปและปิศาจมากมาย ฆ่าเวลาได้ดีที่เดียว เมื่อถึงสถานีแรกเป็นปกติที่ผู้โดยสารกว่าหนึ่งส่วนสี่จะพร้อมใจกันลง หายไปเยอะทีเดียว ฉันเงยหน้ามองผู้คนที่เดินลงรถไป ก่อนที่ฉันจะสะดุดเข้ากับหญิงชราคนเดิม หล่อนกำลังมองฉันอยู่ ฉันยิ้มให้หล่อนอีกครั้ง
“แม่หนูชอบนิยายเรื่องนี้เหรอจ่ะ?” หล่อนถาม
“เล่มโปรดเลยล่ะค่ะ” ฉันตอบไปตามตรง ก็มันจริงหนิ... หล่อนอาจจะคิดว่าฉันเป็นยัยเพี้ยนไปแล้วก็ได้ แต่ไม่ใช่ ปฏิกิริยาหล่อนที่หล่อนมีต่อฉันทำเอาคิ้วกระตุก หญิงชราตรงหน้าฉันยิ้มหวานซะจนน่าขนลุก ฉันยิ้มแก้เก้อก่อนที่จะสนใจนิยายตามเดิม
น่ากลัวพิลึก...
เวลาผ่านไปสถานีที่สามแล้วตอนนี้คนในรถเหลือน้อยเต็มที่ อีกไม่กี่อึดใจฉันก็จะได้เจอแม่ของฉันแล้ว แต่ก็นะ... มันยังต้องต่อรถประจำทางเข้าไปหาแม่ฉันอีก ค่อนข้างยุ่งยากเลยล่ะ แต่ไม่เป็นไร สำหรับฉันแล้วทุกครั้งที่อยู่กับแม่มันวิเศษและมีความสุขมากๆ แลกกับความยุ่งยากสักนิดคงไม่เป็นไร ในระหว่างที่ฉันคิดอะไรเพลินๆ คนเดียว ก็ดูเหมือนมีอะไรแปลกไป ในรถคันเดิมที่แถบจะไม่เหลือผู้คน ฉันรู้สึกเหมือนโดนสายตาปริศนาจับจ้องอยู่ แต่เมื่อมองไปรอบๆ กลับเห็นเพียงแค่ผู้โดยสารที่ก้มหน้ากับหนังสือ หรือผล็อยหลับไปเท่านั้น
แล้วความรู้สึกแปลกๆ เมื่อกี้ละ?
ฉันส่ายหัวไล่ความคิดแปลกๆ ออกไปก่อนที่จะก้มอ่านหนังสือต่อ
‘ในการประลองครั้งแรกที่เหล่าลูกแกะต้องเผชิญคือการส่งตัวแทน เข้าปะทะกัน และจะต้องมีเลือดสังเวยให้กับตราชั่งในทุกๆ ครั้ง’
ฉันปิดหนังสือเพราะถึงตอนไคล์แมกซ์ของเรื่องแล้ว เก็บไว้อ่านต่อดีกว่า ฉันเก็บหนังสือใส่กระเป๋าคู่ใจพลางมองออกไปนอกหน้าต่างที่มีเพียงพนังสีทึบของอุโมงค์เท่านั้น
คุณยายคนนั้นหายไปแล้ว สงสัยลงไปตั้งแต่สถานีแรกๆ แล้วมั้ง – แต่ช่างมันเถอะ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันสักหน่อย แม้จะรู้สึกแปลกๆ กับหล่อนก็เถอะ ฉันมองพนังสีทึบไปเรื่อยๆ ก่อนที่จะเผลอหลับไป
ประมาณสิบห้านาทีเห็นจะได้ที่หลับไป ตอนนี้ไม่เหลือใครแล้ว... ไม่สิยังเหลือชายหนุ่มร่างโต แล้วก็เด็กสาวคนนั้นอยู่ แต่หน้าแปลกสิบห้านาทีเอง ลงกันไปหมดแล้วเหรอ – คิดไปก็ปวดหัวเปล่า ทำไมฉันต้องชอบหาเหตุผลกับเรื่องที่ไร้คำตอบด้วยนะ
ฉันหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะหยิบหนังสือเล่มเดิมขึ้นมาอ่านฆ่าเวลา
นานเกินไป นานจนผิดปกติ
สัญชาตญาณของฉันมันส่งเสียงบอก มันนานเกินไปแล้ว ฉันมองออกไปนอกหน้าต่างแต่มันก็ยังเป็นพนังทึบอยู่ดี ฉันวางหนังสือไว้ข้างๆ ก่อนที่จะเดินผ่านชายหนุ่มและเด็กสาวที่กำลังผล็อยหลับอยู่ ค่อยๆ เดินไปที่ห้องคนขับ
สิ่งที่ทำให้ฉันอึ้งไปได้หลายวินาทีคือภาพตรงหน้าฉันตอนนี้
ไม่มีวี่แววของคนควบคุม เหมือนสั่งระบบอัติโนมัติ... บ้าน่ะ ใครจะปล่อยให้ผู้โดยสารอยู่ในรถที่กำลังเร่งไปด้วยความเร็วสูงผิดปกติ ไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ
ฉันรีบวิ่งไปที่ร่างที่หลับอยู่ก่อนที่จะเขย่าเพื่อให้มาช่วยกันคิดหาทางออก ทั้งสองมองหน้าฉันก่อนที่จะค่อยๆ ดันตัวขึ้นนั่ง
“ยังไม่ถึงอีกเหรอ” ชายหนุ่มเรือนผมสีบลอนประบ่าเอ่ยถามฉัน
“หาว... นานไปแล้วนะเนี่ย” เขาบิดขี้เกียจก่อนที่จะหาวปากกว้าง ฉันส่งสายตาค้อนใส่ก่อนที่จะหันไปทางเด็กสาวอีกคน
“นั่นสินะ...” หล่อนก้มหน้าก่อนจะหลบสายตาฉัน
ใครพึ่งพาได้บ้างนะ – ไม่มีเวลาแล้ว
“พวกเรากำลังจะตาย” ฉันเอ่ยเสียงสั่น
“เธอว่ายังไงนะ ล้อเล่นน่ะ” ชายหนุ่มท่าทางกระล่อนยังคงยิ้มยียวน ดูเหมือนเขาจะไม่เชื่อฉันสักนิด
“เกิดอะไรขึ้น?” เด็กสาวเอ่ยถาม – ค่อยยังชั่ว
“ที่ส่วนควบคุมไม่มีคนขับเหมือนตั้งระบบอัตโนมัติ....” เมื่อฉันพูดจบทั้งสองตาค้าง ก่อนที่ชายร่างหนาจะรีบวิ่งไปดูด้วยความลนลานและวิ่งกลับมา
“ทำยังไงกันดีละทีนี้!!!” ชายหนุ่มตรงหน้าฉันดูเหมือนควบคุมสติไม่อยู่ ในช่วงวินาทีที่พวกเราทั้งสามคนไม่ทันสังเกต สีของพนังอุโมงค์เริ่มเปลี่ยนไป มันกลายเป็นสีแดงคล้ายสีของเลือด และมันค่อยๆ เคลือบคลานจากจุดเล็กๆ กระจายไปรอบๆ อุโมงค์
นั่นมันบ้าอะไรน่ะ!
ฉันสบถในใจเพื่อไม่ให้ชายหนุ่มกับเด็กสาววิตกไปมากกว่าเดิม แต่นั้นก็แค่ชั่ววินาทีแรกเท่านั้นและ
“เกิดบ้าอะไรขึ้นวะเนี่ย!!!” นัยต์ตาสีน้ำตาลแอลมอนของเขาเบิกกว้างด้วยความกลัว เด็กสาวนั่งชันหัวเขาไม่ปริปาก และทันใดนั้นไฟทั้งรถก็ดับลง...
ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนถูกหยุดเวลา
ได้ยินเพียงเสียงหายใจหอบถี่ของพวกเราสามคน ดังสวนกันเท่านั้น แล้วไฟก็ติดๆ ดับๆ แบบในหนังสยองขวัญ ภาพที่เห็นค่อยๆ ชัดขึ้นเรื่อยๆ แม้มันจะขาดๆ หายๆ ก็ตาม ภาพของมนุษย์รูปร่างผิดปกติกำลังทะลุออกมาจากพนังสีเลือด
พวกเขาไม่มีดวงตามีเพียงปากที่มีฟันแหลมคม... นี่มันฝันร้ายชัดๆ
“กริ๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!”
แอรดดด....ตู้มมมม.....
ตึก..
ตึก...
ตึก....
ยินดีต้อนรับสู่ เมโทไดซ์....
เหตุการณ์น่าสลดใจที่เกิดขึ้นเมื่อ สามชั่วโมงก่อน รถไฟฟ้าจากเมือง XX พุ่งชนเข้ากับรถไฟฟ้าจากเมืองเบเลตันอย่างแรง บริเวณใต้อุโมงค์เขตนอกเมือง ส่งผลทำให้เกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ คาดว่าสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุเนื่องจากการคัดข้องของระบบภายใน อุบัติเหตุครั้งนี้จะเป็นเหตุการณ์ที่เราชาวเมืองเบเลตัน จะไม่มีวันลืม.... พระเจ้าได้โปรดเมตตา อาแมน
ขอบคุณรูปสวยๆ จาก google.com
และ zerochan.co.th
__________________________________________________
กุก กุก กู่... ไฮฮาย ม่ายรีดเดอร์ที่รักของอามูมู่
จบแล้วสำหรับบทศูนย์ เปิดตัวเป็นไงบ้าง อยากให้เม้นต์บอกนะครับ ติชมแนะนำ ให้กำลังใจ จัดเต็มได้เลย เป็นเรื่องที่สองของไรต์ยังไงก็มีผิดพลาดบ้างแต่ไรต์ก็ตั้งใจสุดๆ ละ ก็กลัวจะไม่สนุก T T แต่จะปั่นให้ได้อ่านอีกนะครับ เป็นการบรรยายมุมมองบุคคลที่หนึ่งครั้งแรก ยังไงก็ติดชมได้ คือการบรรยายแบบนี้ไรต์ไม่ถนัดมาก 5555 แต่อยากทำเพราะมันจะสื่ออารมณ์ตัวละครได้ดี แบบตอนไหนใครเด่นงี้ แต่ธีมหลักคือการบรรยายแบบบุคคลที่สามนะครับ ^^ ไม่ต้องกลัว เอ่าพล่ามซะยาว ยังไงก็รอตอนต่อไปเร็วๆ นี้ได้เลยฮ้าฟ
ความคิดเห็น