คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : เสียงโอดครวญ ณ โรงตีเหล็ก
ตอนที่ 1 เสียงโอดครวญ ณ โรงตีเหล็ก
เป็นเวลาเช้ามืดของคืนที่ดวงจันทร์ส่องสว่างราวกับแสงแห่งสุริยะ เสียงเหล็กกระทบกันยังคงดังกลบสายลมที่กำลังโหมกระหน่ำทำให้ยอดหญ้าเรียดไปกับพื้นอย่างกับน้อมคำนับให้ใครบางคนที่กำลังควบม้าเข้ามา บ้านหลังน้อยๆหลังหนึ่งซึ่งเปรียบเสมือนแมลงตัวกระจิดริดกำลังต่อสู้สุดชีวิตกับพายุร้ายเหล่านั้น แสงไฟจากตะเกียงเทียนเผยให้เห็นเงาบางอย่างอยู่ไกลๆ หน้าต่างหลายบานกำลังเปิดปิดอย่างบ้าคลั่ง กระจกหลายบานพังเสียหาย ฝุ่นคลุ้งกระจายไปทั่วบริเวณนั้นราวกับหมอกควันแห่งสงคราม และก่อนที่มันจะกระจายบางลง เสียงควบม้านับสิบก็เข้ามาใกล้บ้านหลังนั้นแล้ว ชายคนหนึ่งกระโดดลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็ว พร้อมกับวิ่งตรงเข้าไปทุบประตูบ้านหลังนั้นจนแทบจะกลบเสียงพายุ โดยทิ้งเหล่าผู้ติดตามนับสิบที่อยู่บนหลังม้าไว้เบื้องหลัง ผ่านไปราว 2-3 นาทีชายอีกคนหนึ่งก็เปิดประตูออกมาอย่างช้าๆ แสงไฟภายในบ้านเผยให้เห็นหญิงสาวอีกคน ซึ่งอยู่บนแขนของชายผู้มาเยือนซึ่งคลุมศีรษะด้วยเสื้อสีดำกันฝน
"ขอร้องหล่ะ เธอใกล้จะคลอดแล้ว ข้าหวังว่าท่านจะเมตตา ได้โปรด" ชายผู้มาเยือนอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงน่าเวทนา
ชายผู้เป็นเจ้าของบ้านก้มลงมองหญิงสาวที่กำลังร้องโอดครวญอย่างทุกข์ทรมาน ก่อนที่จะกระแทกประตู
ทันทีที่สิ้นเสียงประตู เหล่าผู้ติดตามหลายคนที่อยู่บนหลังม้าต่างขยับดาบที่เหน็บอยู่ข้างกายอย่างรวดเร็ว เพียงแต่ก่อนที่จะเกิดอะไรขึ้น ชายผู้มาเยือนก็ยกมือขวาขึ้นอย่างเยือกเย็น ทำให้พวกเขาเหล่านั้นค่อยๆลดดาบลง
"ข้าขอสักครั้งเถอะ เงินทองข้ามี แต่ช่วยกรุณา..." ชายผู้มาเยือน อ้อนวอนอีกครั้ง
ประตูเปิดอีกครั้ง ก่อนที่ชายผู้เป็นเจ้าของบ้านจะกล่าวอย่างห้วนๆว่า
"ก็ได้เข้ามาก่อน"
"ข้าคิดว่าพวกเจ้าคงต้องการคนทำคลอดสินะ ข้าว่าเมียข้าช่วยได้นะ" เขาเสริมอีกนิด
ผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมง ชายคนนั้นกำลังเดินวนไปวนมาอย่างร้อนรนหน้าห้องเก่าๆห้องหนึ่งในบ้านหลังนั้น ในขณะที่เหล่าผู้ติดตามกำลังนั่งดื่มน้ำชาที่เจ้าของบ้านจัดเตรียมมาให้ พายุยังคงโหมกระหน่ำอย่างไม่หยุดหย่อนท่ามกลางเสียงร้องอย่างเจ็บปวดรวดร้าวของหญิงที่อยู่ในห้อง ในขณะที่หญิงวัยกลางคนอีกคนหนึ่งก็ยังวิ่งเข้าวิ่งออกห้องนั้นอย่างไม่ลดละ เธอมีสีหน้าไม่ค่อยดีนักโดยที่มือข้างหนึ่งยังคงกำผ้าเปื้อนเลือด เสียงโอ๊กอ๊ากยังคงดังมาเป็นระยะๆ บ้างก็มีเสียงลั่นของตะปูที่ตอกยึดบ้านอย่างลวกๆ หน้าต่างเกือบทุกบานแตกลงอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว จะว่าไปที่นี่ก็ดูไม่เหมือนบ้านสักเท่าไรนัก ผนังถูกปูด้วยไม้เก่าๆในขณะที่เครื่องเรือนก็ดูไม่ต่างกับเอาเศษท่อนไม้มาวางไว้ตามมุมห้อง หยากไย่มีให้เห็นโดยทั่วไปราวกับบ้านร้างที่ไม่ได้รับการดูแลมานับสิบๆปี มองถัดลงไปที่พื้นก็ไม่ต่างอะไรนัก พรมสีเลือดหมูเก่าๆผืนหนึ่งถูกวางลงอย่างไม่เป็นระเบียบบนพื้นปูนที่ถูกปูขึ้นอย่างหยาบๆหน้าเตาผิงเก่าๆที่ดูไม่ได้เลยเช่นกัน
"ท่านสุภาพบุรุษ" ชายเจ้าของบ้านตรงเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว ก่อนจะยกถ้วยน้ำชาเป็นเชิงชวนดื่ม
"ขอบคุณ" ชายผู้มาเยือนตอบอย่างสั้นๆก่อนที่จะรับถ้วยน้ำชามา
เขายังคงเดินวนไปวนมาอย่างร้อนรน ในมือถือถ้วยน้ำชาพลางจิบดื่มคลายหนาวเป็นระยะๆ บ้างก็แหงนมองนาฬิกาเรือนใหญ่อย่างกระวนกระวาย
"ภรรยาท่านจะต้องช่วย ภรรย... น น้องสาว ข ข้าได้ใช่ไหม" เขาพูดด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีนัก ก่อนที่จะหันไปสบตากับผู้เป็นเจ้าของบ้าน
"ข้าไม่แน่ใจ แต่ข้าเชื่อในภรรยาข้า เขาจะต้องทำอย่างสุดความสามารถแน่นอน"
"เมื่อสักครู่ข้าต้องขอโทษ ยุคนี้ไว้ใจใครไม่ค่อยได้หน่ะนะ" เขารีบกล่าวขอโทษ
"ข้า อาเทอร์ แล้วท่านหล่ะ" ชายผู้มาเยือนถามด้วยความสุภาพ
"เรเว่น" ชายผู้เป็นเจ้าของบ้านตอบอย่างห้วนๆ ก่อนที่เขาจะเพิ่งรู้สึกตัวว่าได้แสดงอาการหยาบคายออกไป
"ยินดีที่ได้รู้จัก" เขายังคงพูดด้วยน้ำเสียงเช่นเดิม
ก่อนที่ทุกอย่างจะเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง ตอนนี้ลมเริ่มสงบลงแล้ว ทิ้งต้นไม้ต้นใหญ่ที่ถูกถอนรากถอนโคนให้อยู่หน้าบ้าน รวมถึงเศษกิ่งไม้ที่กระจัดกระจายเลอะเทอะอยู่บริเวณนั้น ในขณะที่แสงจากดวงอาทิตย์กำลังสาดส่องเข้ามาในบ้าน ไล่ตั้งแต่ยอดภูเขาลงมาถึงตีนเขาตลอดจนชายป่าและทุ่งหญ้าที่ถูกลมพายุพัดจนราบเรียบ ผ่านหน้าต่างเข้ามายังจุดที่อาเทอร์ยืนอยู่ หลายชีวิตกำลังดำเนินไปอีกครั้งในเช้าวันใหม่ที่มาถึงนี้ เหล่านกน้อยมากมายกำลังลุกฮือทะยานขึ้นจากชายป่าไปบนท้องฟ้าเพื่อออกหาอาหาร ในขณะที่ชายผู้เขาเอามือป้องหน้าเมื่อแสงแห่งอรุณรุ่งพุ่งเข้าปะทะ
ในที่สุดเสียงแห่งความหวังสุดท้ายของเหล่ามนุษยชาติก็ได้เปล่งขึ้น ท่ามกลางความปิติยินดี ประตูห้องเปิดขึ้นในขณะที่นกหลายตัวบินรี่เข้ามาในบ้าน และต่างพากันจับจองพื้นที่ราวกับจะชื่นชมทารกน้อยที่ได้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีนี้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รวมถึงเหยี่ยวสีน้ำตาลเข้มตัวหนึ่งที่โฉบผ่านหน้าต่างเก่าๆ ตรงมุมห้องเข้ามา มันบินวนรอบตัวทารกซึ่งอยู่ในอ้อมกอดของชายผู้มาเยือนก่อนที่ตรงไปเกาะอยู่ที่ขอบเก้าอี้ไม้โยกตัวหนึ่งที่กลางห้อง มันสยายปีกออกอย่างสง่างามก่อนที่จะหุบลงและเฝ้ามองดูอย่างใจจดใจจ่อ
"เพศชาย!!" อาเทอร์ตะโกนร้องด้วงความดีใจ ในขณะที่คนอื่นๆกำลังวิ่งเข้ามาสมทบ
"ให้ตายสิ นานมากแล้วนะที่ข้าไม่ได้..." เรเว่นผู้เป็นเจ้าของบ้านหยุดกึก ก่อนที่จะเข้าไปอุ้มเด็กคนนั้น จากมือของอาเทอร์ รวมทั้งอีกหลายๆคนที่ต่างกรูเข้ามาในห้อง
"น่ารักจริงๆ" เขาเอ่ยขึ้นก่อนที่จะตามชายผู้มาเยือนเข้าไป
ภรรยาของเขาเดินสวนออกมาพร้อมกับหอบผ้าเปื้อนเลือดหลายผืน พลางส่ายหัว ตบบ่าผู้เป็นสามี ก่อนที่จะเดินออกไป เขามองอย่างสงสัยก่อนที่จะรี่เข้าไปในห้อง แล้วบรรยากาศแห่งความปิติยินดีก็ได้สิ้นสุดลง น้องสาวของชายผู้มาเยือนกำลังนอนแผ่ร่างอยู่บนเตียงอย่างไร้จิตวิญญาณ ในขณะผู้เป็นพี่กำลังกอดร่างนั้นด้วยความรักที่เต็มไปด้วยความขมขื่น
"ลูกชายของเธอจะต้องภูมิใจแน่" ชายผู้เป็นเจ้าของบ้านได้เพียงแต่กล่าวคำนี้เท่านั้น
ผ่านไปหลายวันทีเดียว ที่อาเทอร์พักอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ โดยให้ผู้ติดตามเหล่านั้นล่วงหน้าไปก่อน ต้นไม้ได้ถูกเคลื่อนย้ายออกไปจากหน้าบ้านแล้ว เรเว่นยังคงขลุกอยู่กับการตีดาบท่ามกลางเตาเผาที่ร้อนระอุ อาคารตีดาบถูกสร้างต่อเติมออกมาจากบ้านอย่างหยาบๆ โดยมีเตาเผาขนาดใหญ่ตั้งอยู่บริเวณกลางอาคาร ด้วยพรสวรรค์ที่เขาได้รับจากบรรพบุรุษ เขาให้ความสำคัญกับทุกการตี ทุกการหลอมรวมถึงการขึ้นรูปหรือแม้กระทั่งการทำด้ามเขาก็ยังให้ความสำคัญในการเลือกไม้ ดาบทุกเล่มที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นอย่างปรานีตและเอาใจใส่นั้นถูกส่งไปขายให้กับอาณาจักร "เซาโรล" ที่อยู่ข้างๆนี้
"เซาโรล" เป็นหนึ่งในห้าของอาณาจักรมนุษย์ที่อยู่ภายใต้การปกครองของเหล่าผู้สืบเชื้อสายอัศวินในดินแดนที่เรียกว่า "กลอเรีย"เมืองนี้นับเป็นเมืองแห่งการค้าที่สำคัญของเขตนี้ ผู้คนมากมายจากอาณาจักรต่างๆต่างพากันมาซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากันอย่างคับคั่งราวกับฝูงมดที่แตกรัง อีกทั้งยังขึ้นชื่อเรื่องการทำและประดิษฐ์อาวุธที่ว่ากันว่าไม่แพ้เหล่าก๊อบลินเลยทีเดียว จึงไม่แปลกเลยที่จะเป็นศูนย์รวมของเหล่าผู้มีฝีมือในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ การประดิษฐ์ การหลอมอาวุธและยุทโธปกรณ์ต่างๆที่จำเป็นในการรบ
อาเทอร์กับหลานยังคงไปขลุกอยู่กับหลุมศพของน้องสาวที่ถูกฝังอย่างสมเกียร์ติใต้ต้นไม้ต้นใหญ่ต้นหนึ่งหลังบ้าน เขายังคงมีสีหน้าไม่สู้ดีและดูแก่ลงไปอย่างมากในรอบสองสามวันที่ผ่านมา เขากลับเข้ามาในบ้านด้วยอาการเศร้าสลด ก่อนที่จะส่งหลานชายให้กับภรรยาของเรเว่นซึ่งเตรียมตั้งโต๊ะอาหารรอไว้แล้ว เขานั่งลงบนเก้าอีไม้ผุๆตัวหนึ่งก่อนที่จะนำอาหารอันจืดชืดนั่นเข้าปาก ใน
"ข้าว่าข้าจะต้องไปแล้วหล่ะ" อาเทอร์กล่าวกับเรเว่น ส่วนเรเว่นนั้นก็ได้แต่เงยขึ้นมามองด้วยความงุนงง ก่อนที่จะตักเนื้อก้อนใหญ่เข้าปาก
"ก็แล้วแต่ท่าน" เขาพูดในขณะเนื้อยังถูกบดอยู่ในปาก
อาเทอร์รีบทานอาหารอย่างรวดเร็วกว่าที่เคยเป็นมาในรอบสองสามวันนี้ เขาลุกขึ้นหยิบเสื้อคลุมดำที่พาดอยู่บนเก้าอี้โยก เดินสวนภรรยาของเรเว่น
"ขอบคุณมาก" อาเทอร์ได้เพียงแต่กล่าวคำขอบคุณก่อนที่จะก้าวออกไปสู่ราตรี
คืนนี้เป็นอีกคืนที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดาวระยิบระยับมากมาย เขาก้าวย่ำผืนหญ้าเปียกจากน้ำค้างออกไป ลัดเลาะไปตามตัวบ้านตรงไปยังต้นไม้ ต้นที่เป็นสถานที่ฝังศพน้องสาวของเขา อาเทอร์ยืนพินิจหลุมศพนั้นอยู่ซักพัก แสงดาวเผยให้เห็นสายตาของเขาที่เป็นประกายราวกับจะหลั่งน้ำตา เรเว่นเดินตามมาและยินอยู่หน้าหลุมศพข้างอาเทอร์
"เด็กคนนั้นข้าให้ชื่อว่า แอตลาส" อาเทอร์กล่าวขึ้น
"ให้ใช้นามสกุลสเกเลียตามแม่" เขาเสริม
แสงสีขาวบางอย่างสว่างจ้าไปทั่วบริเวณนั้น เรเว่นเอามือปิดตาอย่างรวดเร็วก่อนที่ลืมตาขึ้นช้าๆ ดาบเล่มหนึ่งถูกเผยออกมาในมือขวาของอาเทอร์ที่ยกขึ้นมาระดับหน้าอกก่อนที่จะชูมันขึ้นเหนือหัว มันสว่างจ้าดุจแสงแห่งดวงอาทิตย์ สาดส่องไปทั่วท้องฟ้าที่มืดมิดก่อนที่จะบีบตัวลงจนเป็นแสงเส้นเดียว พุ่งผ่านทะลุมวยเมฆขึ้นไปบนท้องฟ้า จนราวกับว่าดวงดาวถูกลบออกไปจากฟากฟ้าชั่วคราว
"บอกความจริงทั้งหมดแก่เขา เมื่ออายุ 18 ปี" สิ้นเสียงดวงดาวต่างๆก็กลับมาระยิบระยับอีกครั้ง ท้องฟ้ากลับมามืดครึ้มอย่างเก่า ก่อนที่เขาจะควบม้าจากไปในความืดมิด
ความคิดเห็น