คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : บทที่ 8 งานมงคล
บทที่ 8
งานมงคล
สายลมยามพลบค่ำในปลายสารทฤดูพัดผ่านร่างบางที่กำลังเดินไปยังห้องหนังสือของผู้เป็นบิดา ดวงตาสวยฉายแวววิตกระคนเศร้าหมอง แต่เพียงพริบตาเดียวกลับผันเปลี่ยนเป็นนิ่งงันดูเย็นชาไร้ความรู้สึกใดๆ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ท่านพ่อ…หนิงเอ๋อร์เองเจ้าค่ะ”
สิ้นคำพูดของร่างบางบานประตูก็ถูกเลื่อนเปิดโดยคนที่อยู่ด้านใน เผยให้เห็นว่าภายในห้องมิได้มีเพียงใต้เท้าเฉินเท่านั้น
“หนิงเอ๋อร์…ลูกมาทำอะไรที่นี่ เวลานี้ลูกควรเตรียมตัวอยู่ที่เรือนของลูกสิ”
แม้จะกล่าวเช่นนั้นแต่ใต้เท้าเฉินก็โอบประคองบุตรสาวสุดที่รักเข้ามาในห้องที่แสนอบอุ่น
“ลูกมีเรื่องอยากคุยกับท่านพ่อและท่านแม่เจ้าค่ะ”
นางตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบภายในใจพยายามข่มความรู้สึกของตนไว้มิให้เอ่อล้นออกมา
“หืม…กับแม่ด้วยหรือ”
ฮูหยินเฉินที่นั่งอยู่ก่อนแล้วลุกขึ้นมายืนข้างใต้เท้าเฉิน ทั้งสองมองหน้ากันก่อนจะหันกลับไปมองบุตรสาว
ท่ามกลางความเงียบงันเฉินซูหนิงสูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อคุมอารมณ์ที่แสนเศร้าระคนรู้สึกผิด ตลอดระยะเวลาที่เกิดและเติบโตในครอบครัวนี้…ท่านทั้งสองเป็นบิดาและมารดาที่ดีมากเหลือเกิน เพราะรู้ว่าท้ายที่สุดชีวิตนางจะจบลงเช่นไร นางจึงไม่อยากให้คนทั้งตระกูลเฉินต้องมาลำบากกับการกระทำของนางในอนาคต ดังนั้นวันนี้นางจึงต้องเลือกที่จะทำให้พวกเขาเจ็บปวด…แม้ว่านางจะไม่อยากทำก็ตาม…
เฉินซูหนิงคุกเข่าลงก่อนจะก้มคำนับหน้าผากชิดพื้น การกระทำดังกล่าวสร้างความตกอกตกใจแก่สองสามีภรรยา
“หนิงเอ๋อร์! ลูกทำอะไรน่ะ! รีบลุกขึ้นเถอะ”
“…ท่านพ่อ…ท่านแม่…วันนี้…เมื่อลูกก้าวเท้าออกจากจวนสกุลเฉิน…ได้โปรด…ลบชื่อของลูกออกจากผังตระกูลด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
แม้นจะพยายามอดกลั้นเพียงใดท้ายที่สุดเฉินซูหนิงก็เอ่ยออกมาด้วยเสียงสั่นเครือพร้อมน้ำตาเม็ดเล็กที่หยดลงพื้นอย่างไม่ขาดสาย
แรกเริ่มนางไม่คิดจะผูกสัมพันธ์รักใคร่กับใคร แต่เมื่อวันและเวลาค่อยๆ ผ่านไป การได้รับความรักจากพวกเขาทำให้นางมิอาจปฏิเสธได้ นางยอมรับและเลือกที่จะรักพวกเขาตอบ เพราะรู้ว่าตอนจบจะเป็นเช่นไรสิ่งที่นางทำได้จึงมิใช่การดิ้นรนมีชีวิตรอด แต่เป็นการทำให้คนที่นางรักไม่เดือดร้อนต่อการกระทำของนาง เมื่อนางตาย…พวกเขาจะได้ไม่เศร้าโศกกันมากนัก กาลเวลาผันเปลี่ยนมันก็จะกลายเป็นเพียงความทรงจำที่ครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นร่วมกัน…
“…หนิงเอ๋อร์…”
ฮูหยินเฉินเอ่ยเรียกบุตรสาวของตนพลางมองร่างบางที่คุกเข่าหมอบคำนับแทบเท้าด้วยตัวที่สั่นเทาและเสียงสะอื้นที่พยายามอดกลั้นแว่วมาให้ได้ยินเบาๆ ผู้เป็นมารดารู้สึกเจ็บปวดแทบขาดใจ นางมิรู้เลยว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับบุตรสาวที่นางรัก มิรู้ว่าบุตรสาวของตนกำลังแบกรับสิ่งใดไว้ในใจ นางหันมองหน้าสามีและกุมมือเขาแน่นพร้อมทั้งประสานสายตากันก่อนที่ใต้เท้าเฉินจะพยักหน้าตัดสินใจอย่างขมขื่น ทั้งสองคุกเข่าลงตรงหน้าบุตรสาวแล้วช่วยกันประคองนางให้เงยหน้าขึ้นมองพวกเขา
“ตกลง…เมื่อลูกก้าวเท้าออกจากจวนสกุลเฉินลูกจะมิใช่คนของตระกูลเฉินอีกต่อไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับลูกในอนาคตก็จะไม่มีผลต่อตระกูลเฉิน และในทางกลับกัน…ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลเฉินก็จะไม่มีผลต่อลูกเช่นกัน…เราจะไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป”
ใต้เท้าเฉินกล่าวออกมาไม่เต็มคำ มือหนึ่งลูบใบหน้าของบุตรสาว ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเช็ดหยดน้ำตาให้แผ่วเบา ดวงตาสั่นไหวด้วยความเศร้าและความเจ็บปวด
“แม้ว่าแม่จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูก แต่แม่เชื่อว่าทุกสิ่งที่ลูกทำล้วนมีเหตุผลเสมอ”
ฮูหยินเฉินลูบศีรษะบุตรสาวเพื่อปลอบประโลม นางเองก็รู้สึกเศร้าและเจ็บปวดไม่ต่างจากสามีของนาง
“หนิงเอ๋อร์…ถึงพ่อจะพูดเช่นนั้น แต่ถ้าลูกไม่ไหวก็กลับมาบ้านของเรานะลูก พ่อจะเปิดประตูรอต้อนรับลูกเสมอ”
เฉินซูหนิงมิสามารถเอ่ยคำขอบคุณและคำขอโทษต่อทั้งสองออกมาได้เลย นางได้แต่กลืนก้อนคำพวกนั้นที่จุกอยู่ในลำคอให้หายลงไป น้ำตาของนางหลั่งไหลออกมามากมายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หัวใจดวงน้อยบีบรัดจนเจ็บแปลบไปทั่วทั้งอก ก่อนจะพุ่งเข้าสวมกอดผู้เป็นบิดามารดาอย่างแนบแน่นด้วยความรู้สึกที่หลากหลายยากเกินกว่าจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
…นี่คงจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ชั่วชีวิตนี้จะได้สัมผัสอ้อมกอดแสนอบอุ่นเช่นนี้ ไม่แปลกเลยที่เฉินซูหนิงอยากตักตวงมันเอาไว้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งสามสวมกอดกันแน่น ต่างกัดฟันกลั้นสะอื้นกันพักใหญ่
เมื่อทุกอย่างสงบลงสองสามีภรรยาสกุลเฉินก็พาบุตรสาวของตนกลับเรือนพักของนางและคอยอยู่เคียงข้างตั้งแต่เริ่มแต่งตัวจวบจนเสร็จสรรพ…
“เสร็จแล้วล่ะ…หนิงเอ๋อร์”
ฮูหยินเฉินเอ่ยหลังจากปักปิ่นทองชิ้นสุดท้ายบนมวยผมของบุตรสาวพลางมองด้วยสายตาอ่อนโยน
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ ท่านแม่”
เฉินซูหนิงละสายตาจากคันฉ่องหันไปมองใบหน้างามสมวัยของผู้เป็นมารดาด้วยสายตาและรอยยิ้มแห่งความผูกพัน
“เราออกไปให้พ่อเจ้าดูกันเถิด”
“เจ้าค่ะ”
เฉินซูหนิงพยักรับเบาๆ ด้วยรอยยิ้มละมุนก่อนจะลุกขึ้นเดินตามหญิงรับใช้ออกไป โดยมีมารดาของตนคอยโอบประคองอย่างทะนุถนอมทุกย่างก้าว ทั้งสองจับมือกันและกันแน่นปานมิอยากแยกจากกัน ต่างสัมผัสทุกความรู้สึกของกันและกันอย่างเงียบเชียบผ่านฝ่ามือคู่นี้ด้วยความอ่อนโยนและอบอุ่น
เมื่อประตูเรือนพักของเฉินซูหนิงถูกเปิดออกได้ปรากฏร่างบางของหญิงสาวงามเหนือมวลหมู่ดอกไม้สวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์สีแดงสดปักด้วยดิ้นทองลายหงษ์และดอกหมู่ตาน ตั้งแต่ศรีษะจรดปลายเท้าประดับประดาไปด้วยเครื่องประดับทองคำและอัญมณีมีค่าหลากสีสมฐานะตระกูลใหญ่ เมื่อต้องแสงยามรุ่งอรุณความสง่างามของนางที่แต่เดิมมีมากมายอยู่แล้วกลับมียิ่งขึ้นไปอีก ไม่ว่าใครที่มองมาที่นางก็มิอาจละสายตาได้
“หนิงเอ๋อร์ วันนี้ลูกช่างงดงามเสียยิ่งกว่าวันไหนๆ งดงามยิ่งกว่าใครๆ แม้แต่มวลหมู่ดอกไม้ยังต้องหุบหนีด้วยความอับอายเมื่อพบเจ้า”
ใต้เท้าเฉินเอ่ยชมบุตรสาวมิหยุดปาก เขามิอาจหาคำใดมาเปรียบเปรยความงามของนางได้เลยจริงๆ
“ท่านพี่…”
แม้แต่เฉินซีห่าวเองก็ยังตกตะลึงเมื่อเห็นพี่สาวของตนในวันนี้ แม้เขาจะรู้อยู่แล้วว่าผู้เป็นพี่งดงามมากเพียงใดแต่ในยามปกตินางมิค่อยปรุงแต่งมากนัก ขนาดพิธีการใหญ่อย่างงานเลี้ยงในวังหลวงก็มิต่างจากยามปกติ แต่ครานี้กลับต่างออกไป…อาจเป็นเพราะวันนี้เป็นงานมงคลของนางและเรื่องที่เขาได้คุยกับบิดาเมื่อเช้ามืดด้วยกระมัง…คงเป็นสาเหตุว่าทำไมท่านแม่ถึงเป็นคนลงมือแต่งตัวให้นางด้วยตนเองทุกขั้นตอน
“ซีห่าว”
เฉินซูหนิงหันไปมองน้องชายด้วยรอยยิ้มบางอย่างอ่อนโยน
“…ข้าจะเป็นคนแบกเกี้ยวให้ท่านพี่เอง”
“ฮ่ะๆๆ เจ้ามิใช่พี่ชายพี่เสียหน่อย”
นางหลุดหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี ไม่คิดว่าน้องชายวัยสิบสี่ปีของตนจะคิดการใหญ่เช่นนี้
“มะ…มิได้หรือขอรับ!”
“มิได้”
เฉินซีห่าวหันไปถามผู้เป็นบิดามารดา แต่ก็ได้คำตอบที่ทำให้หัวใจดวงน้อยต้องเหี่ยวเฉา
“ซีห่าว…มานี่มา”
เฉินซูหนิงอ้าแขนโอบกอดผู้เป็นน้องชาย เขาเองก็กอดนางตอบเช่นกัน
“ข้า…ข้าไม่อยากให้ท่านพี่ไป…ไม่อยาก…”
น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อยเอ่ยอย่างเอาแต่ใจ เฉินซูหนิงทำได้เพียงลูบศีรษะปลอบประโลมเบาๆ
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ลูกขอคุยกับน้องตามลำพังสักครู่ได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ได้สิ พ่อกับแม่เองก็ต้องไปเตรียมตัวแล้วเช่นกัน”
“อีกครึ่งชั่วยามเจอกันที่โถงซิงฟูนะซีเอ๋อร์”
เฉินซีห่าวพยักหน้ารับทั้งที่ใบหน้ายังคงซุกลาดไหล่ของผู้เป็นพี่
“เราเข้าไปนั่งคุยกันข้างในเถอะ”
หลังจากบิดามารดากลับไปแล้วเฉินซูหนิงก็ผละตัวออกและโอบไหล่พาน้องชายเข้าไปนั่งด้านใน
“ท่านพี่…”
เขาเอ่ยเรียกพี่สาวเบาๆ สายตาเศร้าสร้อยมองมือที่กุมกันแน่นของเขากับผู้เป็นพี่ราวกับมิอยากปล่อยให้หายไปไหน
“ซีห่าว…เจ้าสัญญากับพี่ได้หรือไม่ว่าต่อจากนี้ไปไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นก็ตามเจ้าจะปกป้องตระกูลเฉิน ปกป้องท่านพ่อกับท่านแม่ และปกป้องตัวเจ้าเองให้ปลอดภัยจากทุกสรรพสิ่ง”
เฉินซูหนิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่ก็เต็มไปด้วยความอ่อนโยน มืออีกข้างที่ว่างก็จับประคองใบหน้าของน้องชายให้เงยขึ้นสบตา
“ท่านพี่…”
ดวงตาของเฉินซีห่าวมีน้ำใสคลอเต็มหน่วย ใบหน้าหล่อเหลาเศร้าหมองอยากจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
“เจ้ารู้แล้วใช่ไหม…เมื่อพี่ก้าวออกจากประตูจวนสกุลเฉิน…พี่จะมิใช่เฉินซูหนิงพี่สาวของเจ้าอีกต่อไป”
“ทำไม…เหตุใดถึง…”
“ซีห่าว…ผืนแผ่นดินที่มีผู้คนอาศัยอยู่มากมายล้วนอันตรายทั้งสิ้น ในวันนี้เจ้ายังมิต้องเข้าใจพี่ก็ได้ แต่ในวันข้างหน้า…”
เฉินซูหนิงสูดลมหายใจเข้าปอดก่อนจะพูดประโยคสุดท้ายพลางใช้นิ้วลูบเช็ดน้ำตาให้เฉินซีห่าวอย่างอ่อนโยน
“…เมื่อวันนั้นมาถึงเจ้าจะเข้าใจทุกอย่างเอง”
เขามองหน้าผู้เป็นพี่สาวก่อนจะจำยอมพยักหน้ารับคำ
[ใช่ อย่างที่ท่านพี่บอก…วันนี้ข้าไม่เข้าใจ แต่วันข้างหน้าข้าจะเข้าใจเอง ข้าเพียงแค่หวังให้วันที่ข้าจะเข้าใจมาถึงโดยเร็ว…]
ทั้งสองนั่งพูดคุยกันต่ออีกเล็กน้อยสักพักเฉินซีห่าวก็ขอตัวออกไปรอบิดามารดาที่โถงซิงฟู ภายในห้องจึงเหลือเพียงเฉินซูหนิงและหญิงรับใช้ข้างกายอีกสองคน
“ข้าขอโทษนะที่มิสามารถพาพวกเจ้าไปด้วยได้”
เฉินซูหนิงเอ่ยขึ้นขณะที่เสี่ยวเฟ่ยและซีเจิ้งกำลังช่วยนำผ้าผืนสีแดงมาคลุมใบหน้า
“เหตุใดคุณหนูจึงต้องเอ่ยขอโทษพวกเราด้วยล่ะเจ้าคะ”
“พวกเรามิเคยโกรธเคืองคุณหนูหรอกเจ้าค่ะ พวกเราแค่เป็นห่วงก็เท่านั้น”
ทั้งคู่ย่อตัวลงตรงหน้าเฉินซูหนิงและกุมมือของนางแผ่วเบาเสมือนประคองสิ่งของล้ำค่ามิให้เสียหายพลางเอ่ยถอยคำจริงใจ พวกนางรักคุณหนูเฉินของพวกนางมาก แค่ข่าวลือไร้สาระเล็กน้อยเกี่ยวกับคุณหนูเฉินก็ทนแทบไม่ได้อยากจะตามหาคนที่กุเรื่องพวกนั้นมาลงโทษเสียให้เข็ดหลาบ ในสายตาพวกนาง…คุณหนูเฉินเป็นคนที่เปราะบางมากถึงมากที่สุดจึงอยากปรนนิบัติดูแลให้ดีสุดความสามารถ เมื่อถึงวันที่ต้องออกเรือนไปก็ทำให้พวกนางใจหายไม่น้อย ยิ่งผู้ที่จะมาเป็นสามีของคุณหนูตนคือชินอ๋องเป่ยผู้นั้นด้วยแล้วยิ่งน่าเป็นห่วงและเป็นกังวลเหลือเกิน หากกล่าวจากใจจริง…พวกนางมิชอบนิสัยของชินอ๋องผู้นี้เอาเสียเลย พบเจอคุณหนูเฉินของพวกนางแต่ละคราหากมิมองด้วยสายตารังเกียจและชิงชังก็จะแสดงกิริยาและกล่าววาจาหยาบคายใส่คุณหนูเฉินของพวกนาง ช่างเป็นที่น่าชิงชังสำหรับพวกนางเสียเหลือเกิน
“ขอบใจพวกเจ้ามากนะ”
“พวกเรายินดีเจ้าค่ะ มันเป็นเรื่องที่พวกเราควรทำ”
“คุณหนูมิต้องกังวลนะเจ้าคะ พวกเราอยู่ทางนี้จะช่วยดูแลนายท่าน ฮูหยิน และคุณชายน้อยให้เองเจ้าค่ะ”
เฉินซูหนิงก้มมองพวกนางแล้วระบายยิ้มออกมาบางๆ
“อย่างไรเสียพวกเจ้าก็อย่าลืมดูแลตัวเองด้วย”
“เจ้าค่ะ!/เจ้าค่ะ!”
ทั้งสามนั่งหัวเราะและพูดคุยกันอยู่พักใหญ่จนกระทั่งมีหญิงรับใช้นางหนึ่งเข้ามาแจ้งข่าวว่าขบวนแห่มาถึงหน้าประตูจวนสกุลเฉินแล้ว เสี่ยวเฟ่ยและซีเจิ้งจึงรีบตรวจสอบความเรียบร้อยให้คุณหนูของพวกนาง จัดชายผ้าและเครื่องประดับให้เข้าที่อย่างเหมาะสม มิให้ว่าที่สามีของคุณหนูกล้ามาติคุณหนูของพวกนางได้
ผ่านไปไม่นานบุรุษร่างกำยำในชุดสีแดงสดปักลายมังกรด้วยดิ้นทองมิต่างจากเจ้าสาวก็เดินเข้ามาในห้องและหยุดยืนตรงหน้าว่าที่ภริยา ก่อนจะยืนมือไปให้นางได้จับเพื่อประคองตัวลุกขึ้น
เฉินซูหนิงมองมือใหญ่อย่างชังใจก่อนจะยื่นมือเล็กของตนไปจับแผ่วเบาและลุกขึ้นตามแรงดึงกลั่นแกล้งของว่าที่สามี โชคดีที่นางทรงตัวได้มิคะมำล้มคว่ำดั่งใจหวังของอีกฝ่าย เพราะเป็นเช่นนั้นเขาจึงเดาะลิ้นไม่พอใจแม้สีหน้าจะนิ่งเฉยขัดกับอารมณ์ของเจ้าตัวก็ตาม
“จิ๊!”
ทั้งคู่เดินจับมือเคียงคู่กันออกไปยังหน้าจวน แม้ระยะทางจะมิได้ไกลมากนักแต่ก็สร้างความอึดอัดให้กับฝ่ายชายไม่น้อยจนเขาอดใจไม่ไหวเอ่ยวาจาเหน็บแนมฝ่ายหญิง
“เจ้าคงจะดีใจมากสินะที่ในที่สุดก็ได้สมดั่งปรารถนาแล้วน่ะ”
เฉินซูหนิงเหลือบมองด้วยหางตาแล้วทอดถอนหายใจยาวเหยียดอย่างเอือมละอา เพราะมีผ้าคลุมใบหน้าอยู่นางจึงมิต้องเก็บสีหน้าแต่อย่างใด
“หม่อมฉันหวังว่าพระองค์จะมิกระทำเรื่องขายหน้าเช่นเมื่อครู่อีกเพคะ”
“เจ้า!...”
“ขบวนแห่เกี้ยวเจ้าสาวเองก็คงจะยิ่งใหญ่สมดั่งเกียรติยศและชื่อเสียงอันดีงามของพระองค์ใช่ไหมเพคะ”
“เหอะ! ข้ามิทำเรื่องโง่เง่าพวกนั้นให้ท่านพี่เรียกข้าไปตำหนิหรอก!”
“คิดได้เช่นนั้นก็ดีเพคะ”
เพียงประโยคสั้นๆ ของร่างบางก็ทำให้ชินอ๋องเป่ยรู้สึกเหมือนถูกดูหมิ่นเหยียดหยามและยิ่งตอกย้ำความคิดของเขาให้ชัดเจนว่านางหลงละเลิงในอำนาจของฮ่องเต้มากเพียงใด
[จิ๊! แค่มีท่านพี่ข้าให้ท้ายอย่าคิดว่าข้าจะทำอะไรเจ้ามิได้ ทันทีที่เจ้าเหยียบเข้าวังของข้า ข้าจะทำให้ความลำพอง ความหยิ่งผยองในเกียรติและศักดิ์ศรีของเจ้าต้องพังพินาศย่อยยับ!]
ชินอ๋องเป่ยตั้งปณิธานไว้ในใจอย่างแน่วแน่ ส่วนเฉินซูหนิงมิได้สนใจท่าทีของเขาเลยสักนิด
เมื่อทั้งคู่มาถึงประตูจวนเฉินซูหนิงก็หยุดนิ่งจนชินอ๋องเป่ยต้องหยุดตาม เขาหันมองนางด้วยความสงสัยแต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนเป็นตกใจเมื่อจู่ๆ ใต้เท้าเฉินก็ป่าวประกาศเสียงดัง
“ทุกท่านโปรดฟัง ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องแจ้งให้ทราบโดยทั่วกัน”
เหล่าเสียงที่เคยส่งเสียงกู่ร้องแสดงความยินดีกับคู่บ่าวสาวต่างพากันสงบเงียบและตั้งใจฟัง
“…ทันทีที่เฉินซูหนิงก้าวเท้าออกจากประตูจวนสกุลเฉินนางจะมิใช่คนของตระกูลเฉินและมิมีความเกี่ยวข้องใดกับตระกูลเฉินอีกต่อไป”
ใต้เท้าเฉินกัดฟันตะโกนก้อง สร้างเสียงฮือฮาแก่ผู้ที่ได้ฟังไม่น้อย คำประกาศนั้นมิต่างกับการตบหน้าบุตรสาวตนต่อหน้าสาธารณชนเลยสักนิด นั่นหมายความว่าหากคุณหนูเฉินเลือกที่จะสมรสกับชายผู้นี้ที่ถึงแม้จะเป็นถึงชินอ๋องก็ต้องตัดพ่อตัดลูกกันไม่มีวันกลับมาญาติดีกันได้ แต่หากคุณหนูเฉินเลือกที่จะไม่สมรสกับชินอ๋องเป่ยก็ถือว่าขัดราชโองการของฝ่าบาท อาจต้องโทษกบฏทั้งครอบครัวก็เป็นได้ ซึ่งไม่ว่าคุณหนูเฉินจะเลือกทางใดก็ไม่เกิดผลดีเลยสักทาง!
เฉินซูหนิงหันหลังกลับไปมองด้วยแววตาเศร้าสร้อย แม้นจะเป็นสิ่งที่ตกลงกันไว้แล้วแต่ก็อดปวดใจมิได้ นางคุกเข่าลงและหมอบคำนับท่านกลางเสียงซุบซิบนินทาของชาวบ้าน เมื่อเสร็จสิ้นนางจึงลุกขึ้นแล้วหันหลังก้าวเท้าออกจากจวนสกุลเฉินไปขึ้นเกี้ยวด้วยท่าทางนิ่งเงียบไร้คำพูดใดโดยไม่หันกลับมามองใครอีกเลย
ชินอ๋องเป่ยมองดูสถานการณ์เงียบๆ ไม่กล่าวสิ่งใดแล้วทำเพียงเดินไปขี่ม้าก่อนจะนำขบวนแห่ออกจากเมืองหลวงไปยังเมืองเป่ยของตนทันที เขาไม่คิดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น แม้ตอนที่ได้ยินคราแรกจะรู้สึกตกใจมากก็ตาม แต่ตอนนี้คิดเพียงว่ามันช่างเป็นเรื่องดีเหลือเกินที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น เพราะเขาจะได้รังแกนางได้สะดวกโดยที่ไม่มีใครเข้ามาขัดขวางเขาได้ มุมปากยกยิ้มร้ายอย่างเปิดเผยไปตลอดการเดินทางจวบจนถึงที่หมาย…
ความคิดเห็น