คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ 7 เรื่องน่ายินดี
บทที่ 7
เรื่องน่ายินดี
“สุ่ยเซียน…นี่ก็ยามเว่ยจะเข้ายามเซินแล้วเหตุใดอาคุนถึงยังไม่กลับมาอีก”
เฉินซูหนิงเอ่ยถาม ในใจเริ่มเป็นกังวล แรกๆ นางก็สอนตำราเด็กๆ ตามปกติจนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงตอนนี้ นี่ก็ผ่านมาหลายชั่วยามแล้วแต่โม่คุนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับมาเสียทีจนนางอดเป็นห่วงไม่ได้
“คุณหนูเฉิน ท่านอย่าได้กังวลนักเลยอีกเดี๋ยวก็คงกลับมาแล้ว”
โม่สุ่ยเซียวตอบเฉินซูหนิงพลางนึกในใจเมื่อถึงเวลาที่โม่คุนนั้นกลับมาพร้อมกับสิ่งที่เขาตั้งใจทำคุณหนูเฉินผู้นี้จะรู้สึกเช่นไรกันนะ
“สรุปแล้วอาคุนไปไหนกันแน่ ไยเจ้าถึงเอาแต่ปกปิดข้า”
โม่สุ่ยเซียวไม่ตอบคำถามของคุณหนูเฉิน แต่กลับยิ้มอย่างเบิกบานใจ เมื่อย้อนนึกถึงครั้งแรกที่ได้รู้จักกับคุณหนูเฉินนั้นนางช่างแตกต่างจากตอนนี้เสียเหลือเกิน รวมถึงข่าวลือมากมายที่ให้ความรู้สึกว่ามันเป็นเพียงเรื่องปั้นแต่งขึ้นมาเพื่อว่าร้ายนางเท่านั้น แต่จะไม่เชื่อก็ไม่ได้เพราะข่าวลือให้ร้ายพวกนั้นล้วนมีความจริงอยู่เกินครึ่งจริงๆ แต่เรื่องที่นางช่วยเหลือผู้อื่นนั้นกลับเงียบสงัดมิมีผู้ใดรับรู้ถึงสิ่งดีๆ ที่คุณหนูเฉินผู้นี้ได้กระทำเลยสักนิด
…ช่างน่าเสียดายเสียจริง…
“ท่านพี่ซูหนิง”
จู่ๆ ก็มีเสียงนุ่มลึกของเด็กหนุ่มวัยสิบห้าปีเอ่ยเรียกเฉินซูหนิง นางจึงหันไปตามเสียงเรียกทัก ภาพตรงหน้าปรากฏเป็นเด็กชายรูปร่างสูงโปร่งสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์คุณภาพดีดูสะอาดสะอ้าน ใบหน้าหล่อเหลานั้นประดับรอยยิ้มละมุน ภายในมือถือประคองม้วนผ้าไหมชั้นสูงม้วนหนึ่ง
“อาคุน…เจ้าไปไหนมา”
เฉินซูหนิงเอ่ยถามเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน นางรู้สึกดีใจระคนโล่งใจที่เขามิได้มีบาดแผลและกลับมาในสภาพที่ดีเยี่ยม
“ได้โปรดรับสิ่งนี้ไว้ด้วยขอรับ”
โม่คุนมิได้ตอบคำถามของเฉินซูหนิงแต่โค้งตัวใช้มือทั้งสองข้างประคองม้วนผ้าไหมขึ้นเหนือศีรษะแล้วยื่นไปตรงหน้าผู้เป็นบุคคลที่เขาเคารพรักและนับถือเป็นที่สุด
เฉินซูหนิงรับมาด้วยความงุนงง นางพิจารนาลักษณะม้วนผ้าไหมในมืออย่างละเอีอด ซึ่งไม่ว่าจะมองมุมไหนหรือมองอย่างไรมันก็คือม้วนผ้าไหมคุณภาพดีที่ใช้เฉพาะในงานราชการเท่านั้น นางมองหน้าโม่คุนที่ยิ้มจนตาหยีอย่างมีความสุขแล้วได้แต่เก็บงำความสงสัยไว้ในใจก่อนจะค่อยๆ คลี่ม้วนผ้าไหมออกอย่างระมัดระวังและอ่านเนื้อความด้านใน แต่แล้วนางก็ต้องตกใจเป็นอย่างมากรีบลดม้วนผ้าไหมในมือลงแล้วก้มมองเด็กหนุ่มที่บัดนี้นั่งคุกเข่าคำนับศีรษะชิดพื้นที่ปลายเท้าของนาง หยาดน้ำสีใสค่อยๆ ไหลรินลงบนแก้มขาวเนียน ภายในอกเต็มเปี่ยมไปด้วยความตื้นตันใจจนความปิติมันท่วมท้นล้นทะลักออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
“ข้าน้อยโม่คุนขอขอบพระคุณในความกรุณาของคุณหนูเฉินที่เมตตาช่วยชีวิตเด็กใกล้ตายเช่นข้าน้อย มอบโอกาสให้ข้าน้อยได้มีชีวิตที่ดี คอยดูแลเอาใจใส่ ให้ที่พัก ให้เสื้อผ้าอาภรณ์ และอาหารการกินที่ดียิ่ง อีกทั้งยังสอนให้ข้าน้อยรู้หนังสือทั้งวิชาศิลป์และวิชาทหาร คอยชี้นำการใช้ชีวิตของข้าน้อยไปในทางที่ดี แต่…ข้าน้อยก็ยังโง่เขลายิ่งนักที่ไม่รู้ว่าควรตอบแทนบุญคุณอันใหญ่หลวงนี้เช่นไร คุณหนูเฉิน…โปรดอภัยให้แก่คนโง่เง่าเช่นข้าน้อยด้วยเถิดขอรับ”
โม่คุนเอ่ยกล่าวเสียงดังฟังชัดแม้จะสั่นเครือบ้างเล็กน้อยแต่มันก็เป็นความปิติมากมายที่อัดอั้นอยู่ภายในใจ เขารู้สึกขอบคุณคุณหนูเฉินจากใจจริงที่ทำให้เขามีทุกวันที่ดีเช่นนี้ และอยากตอบแทนบุญคุณที่มากล้นพวกนี้ให้ได้ในสักวันหนึ่ง
“โม่คุน…ลุกขึ้นเถิด ตัวข้ามิได้ต้องการสิ่งใดตอบแทน แค่เจ้ามีชีวิตที่ดีข้าก็ดีใจมากแล้ว”
เฉินซูหนิงย่อตัวลงประคองเด็กหนุ่มให้ลุกขึ้นก่อนจะปัดเศษดินบนหน้าผากของเขาออกอย่างเบามือ
“ท่านพี่ซูหนิง…ข้าขอสาบานต่อสวรรค์ว่าข้าจะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวัง! ฮึก!”
โม่คุนโผเข้ากอดเฉินซูหนิงและเอ่ยคำสัตย์ออกมาจากใจก่อนจะร้องไห้โยเยไม่ต่างจากเด็กน้อยวัยสามปี
“เหตุใดเจ้าถึงได้ร้องไห้เป็นเด็กเช่นนี้กัน”
เฉินซูหนิงโอบกอดเด็กหนุ่มตัวโตตรงหน้าพลางลูบศีรษะปลอบประโลมด้วยความอ่อนโยน แต่ยิ่งปลอบก็เหมือนยิ่งทำให้เขาสะอื้นไห้หนักกว่าเดิมหาได้สนใจสายตาของเด็กน้อยมากมายที่จ้องมองมาที่เขาไม่ เป็นภาพที่ช่างน่าเอ็นดูเสียจริง
“ฮึก! ฮึก!”
เด็กหนุ่มร่ำไห้ในอ้อมกอดของเฉินซูหนิงพักใหญ่ก่อนจะค่อยๆ สงบลงและผละตัวออกจากอ้อมกอดช้าๆ ด้วยความเขินอาย
“วันนี้ช่างน่ายินดียิ่งนัก พวกเรามาจัดงานเลี้ยงฉลองให้กับซิ่วไฉคนแรกของสกุลโม่กันเถอะ”
เด็กๆ ได้ยินดังนั้นต่างก็โห่ร้องด้วยความดีใจอย่างที่สุด เฉินซูหนิงมองภาพตรงหน้าแล้วระบายยิ้มออกมาพลางใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเช็ดหยดน้ำตาให้โม่คุนเบาๆ
“สิ่งนี้เจ้าควรเก็บไว้ให้ดีๆ เพราะมันคือหลักฐานความสำเร็จของเจ้า”
เฉินซูหนิงคืนม้วนผ้าไหมให้กับโม่คุน เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญกับเขามากกว่านาง มันคือหลักฐานยืนยันว่าเขาใช้ความพยายามมากมายเพียงใดกว่าจะได้มันมา
แม้เฉินซูหนิงจะเป็นสตรี แต่นางก็รู้ดีว่าในเมืองหลวงมีการแข่งขันที่สูงยิ่งกว่าหัวเมืองอื่นๆ เพราะในเมืองหลวงนั้นบุคคลที่เข้าการสอบเป็นบัณฑิตหรือขุนนางส่วนใหญ่ล้วนเป็นบุตรหลานจากตระกูลขุนนางด้วยกันทั้งสิ้น และบุตรหลานจากตระกูลขุนนางพวกนั้นย่อมได้รับการศึกษาที่ดีตั้งแต่ยังเล็ก
หากอยากเห็นตัวอย่างก็มิต้องไปดูที่ไหนไกล...คนใกล้ตัวเฉินซูหนิงที่เก่งกาจยิ่งกว่าใครอย่างเฉินซีห่าวผู้เป็นน้องชายของนางที่สอบได้ทั้งซิ่วไฉและจวี่เหรินในปีเดียวกันตั้งแต่อายุสิบสองปีหาใครเทียบได้ยากและถือว่าเป็นประวัติศาสตร์ของรัชสมัยนี้เลยทีเดียว ในปีนั้นเป็นที่ฮือฮาอย่างมาก จะกล่าวหาว่าโกงการสอบก็มิได้เสียด้วย เพราะกฎและผู้คุมสอบเคร่งครัดเกินกว่าผู้ใดจะสามารถทำเช่นนั้นได้
ในขณะที่หลายตระกูลพยายามผลักดันบุตรหลานของตนให้ทำได้อย่างคุณชายน้อยสกุลเฉินจนเวลาล่วงเลยมาถึงปัจจุบันคุณชายเฉินสอบผ่านเป็นก้งเซิงแล้วก็ยังมิมีผู้ใดมีความสามารถเทียบเคียงได้และในฤดูใบไม้ร่วงปีหน้าคุณชายเฉินจะเข้าร่วมการสอบเตี้ยนชื่อ หากใครที่ไม่รู้จักตระกูลเฉินมาได้ยินว่าเด็กอายุสิบห้าได้เข้าสอบเตี้ยนชื่อคงพากันหัวเราะเยาะและคงบอกว่ามันเป็นเรื่องปาหี่แน่นอน
“ข้าตั้งใจนำสิ่งนี้มามอบให้ท่าน แต่ท่านกลับปฏิเสธ”
โม่คุนใช้แขนเสื้อปาดเช็ดน้ำตาที่ยังหลงเหลือของตนเอง แม้จะบ่นอิดออดแต่ก็ยอมรับกลับคืนแต่โดยดี
“ข้าดีใจที่เจ้าทำได้ยอดเยี่ยมเช่นนี้ แต่สิ่งนี้สำคัญกับเจ้ามากกว่าข้า เข้าใจหรือไม่”
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับอย่างจำใจพลางส่งสายตาออดอ้อนหวังให้เฉินซูหนิงเปลี่ยนใจรับกิตติกรรมประกาศฉบับนี้ เห็นเช่นนั้นนางก็หัวเราะออกมาเล็กน้อยด้วยความเอ็นดูและยื่นมือไปลูบศีรษะคนตรงหน้า ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“จริงสิ…ที่ข้ามาวันนี้นอกจากจะมาหาพวกเจ้าเพราะความคิดถึงแล้วยังมีเรื่องต้องบอกให้พวกเจ้ารู้กันด้วย”
“อะไรหรือคุณหนูเฉิน”
โม่สุ่ยเซียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“อีกสิบห้าวันข้าจะเข้าพิธีสมรส”
สิ้นประโยคของนางทุกคนต่างตกตะลึงนิ่งค้างไป ลูกหนังที่เด็กชายตัวน้อยวัยห้าปีเคยถือไว้หลุดออกจากมือหล่นกระทบพื้น ใบหน้าของพวกเขาตกใจกันถึงขีดสุด ท่ามกลางบรรยากาศตื่นตกใจมีเพียงเฉินซูหนิงที่ระบายยิ้มระรื่นและหญิงหั่วฉงที่นั่งมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความเฉยเมยไร้อารมณ์
“ชะ…เช่นนั้น…ข่าวลือที่ว่า…”
โม่สุ่ยเซียนเป็นคนเริ่มเอ่ยขึ้นมาก่อน ใบหน้าของนางมีความวิตกผุดขึ้นมาเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยจบประโยคเฉินซูหนิงก็เอ่ยยืนยันคำพูดของนางทันที
“เรื่องสมรสน่ะเป็นเรื่องจริง แต่เรื่องอื่นที่เจ้ากำลังคิดนั้นมิใช่เรื่องจริง”
เมื่อได้ฟังคำตอบก็ถึงกับโล่งอกที่อย่างน้อยข่าวฉาวคาวโลกีย์ที่ได้ยินมาก็มิใช่เรื่องจริง
“ถ้าเช่นนั้น! ต่อจากนี้ไปพวกเราต้องเรียกท่านพี่ซูหนิงว่าฮูหยินหรือเจ้าคะ”
เด็กหญิงตัวน้อยวิ่งเข้ามาเกาะขาเฉินซูหนิงแล้วเงยหน้าถามด้วยความไร้เดียงสา
“ฮ่ะฮ่าๆ พวกเจ้าเรียกข้าเช่นเดิมนั่นแหละดีแล้ว”
เฉินซูหนิงหัวเราะตอบเด็กๆ และขยับมือลูบกลุ่มผมน้อยๆ อย่างแผ่วเบา
“แล้วพวกเราจะได้เจอท่านพี่ซูหนิงอีกหรือไม่ขอรับ”
“นั่นสิขอรับ ข้าเคยได้ยินมาว่าหากออกเรือนแล้วการจะออกมาข้างนอกนั้นเป็นเรื่องมิควร”
“แล้วจวนสามีของท่านพี่ซูหนิงอยู่ไกลหรือไม่เจ้าคะ”
คำถามและสายตาจากเด็กๆ ถูกส่งให้เฉินซูหนิงผู้เดียว นางเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ยิ้มเอ็นดูในความไร้เดียงสาของพวกเขา
“พวกเจ้ามิต้องกังวลหรอก ถึงข้าจะแต่งออกจากเมืองหลวงไป แต่ก็มิได้ไปไกลจากที่นี่มากนัก แม้นจะมิได้เจอกันบ่อยเท่าเมื่อก่อนแต่ข้าก็จะพยายามมาหาพวกเจ้าบ่อยๆ แน่นอน”
เฉินซูหนิงตอบเด็กๆ พลางต้อนพวกเขาเข้าไปนั่งในศาลา
“สามีของท่านพี่ซูหนิงเป็นขุนนางใหญ่เหมือนตระกูลของท่านพี่ซูหนิงหรือเจ้าคะ”
“เขาเป็นท่านแม่ทัพใหญ่น่ะ”
“ว้าว~ ยอดไปเลย! อนาคตข้าเองก็จะเป็นแม่ทัพให้ได้!”
“แต่มันอันตรายนะอาหลง”
“ข้าก็ต้องแข็งแกร่งจนไม่มีใครมาทำอะไรข้าได้ยังไงล่ะ ใช่หรือไม่ท่านพี่ซูหนิง”
“อื้อ แต่เจ้าจะเก่งแค่วิชาทหารมิได้นะ เจ้าต้องเก่งวิชาศิลป์ด้วย เพราะมันก็สำคัญไม่น้อยไปกว่ากันเลย”
“ขอรับ!”
‘โม่หลง’ ตอบรับคำของเฉินซูหนิงด้วยความกระตือรือร้น ดวงตาเล็กแวววาวเป็นประกายของเขาทำให้เฉินซูหนิงยิ้มไม่หุบด้วยความเอ็นดู
[ไม่ว่าจะทำอะไร เด็กพวกนี้ก็ช่างน่าเอ็นดูจริงๆ]
คิดในใจเช่นนั้นก่อนจะหันไปคุยกับโม่คุนด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจังระคนเป็นห่วง
“อาคุน…”
“ขอรับ ท่านพี่ซูหนิง”
“เจ้ารู้ใช่หรือไม่ ปีหน้าจะมีการสอบเซียงซื่อ”
“ขอรับ”
“เจ้ามิต้องกังวลมากไป หากสอบไม่ผ่านก็รอสอบครั้งถัดไป ข้าเป็นห่วงเกรงว่าเจ้าจะหักโหมมากเกินไป มันจะมิส่งผลดีต่อร่างกายและจิตใจของเจ้า”
“ขอบพระคุณขอรับ แต่ถ้าปีหน้าข้าสอบไม่ผ่านก็ต้องรอไปอีกสามปีถึงจะมีโอกาสสอบเซียงซื่ออีกครั้ง ข้า…ข้าอยากสอบเตี้ยนชื่อให้ได้เร็วๆ ดังนั้น…ข้า…”
โม่คุนก้มหน้าไม่กล้าสบตาเฉินซูหนิง เพราะกลัวโดนนางดุ
เฉินซูหนิงเองพอได้ฟังคำตอบก็เข้าใจเจตนารม์ของเด็กหนุ่ม
“ข้าเข้าใจแล้ว คราวหน้าข้าจะนำตำราที่ยากกว่าที่มีอยู่ตอนนี้มาให้และจะสอนเจ้าเท่าที่ข้าจะสามารถทำได้ แต่เจ้าต้องรับปากข้าว่าจะไม่ฝืนเกินไป”
“ข้ารับปากขอรับ! ข้าจะไม่ฝืนจนเกินไป! ข้าจำคำสอนของท่านพี่ซูหนิงได้ทุกคำขอรับ! ‘อย่าพยายามมากเกินไป เพราะความพยายามที่มากเกินไปมักมิเคยส่งผลดีต่อผู้ใด’ ประโยคนี้ข้าจำได้ขึ้นใจขอรับ!”
“ข้าก็จำได้ขอรับ!”
“หมิงหมิงก็จำได้เจ้าค่ะ!”
เสียงเด็กๆ ต่างแย่งกันพูดขึ้นมาว่าตนนั้นจำสิ่งที่เฉินซูหนิงเคยสอนได้ แม้ภาพตรงหน้าจะดูวุ่นวายแต่กลับสนุกสนานอย่างน่าประหลาดใจ
เฉินซูหนิงสบายใจที่พวกเขามีความสุขมากกว่าเมื่อก่อนตอนที่เจอกันครั้งแรก…
“ถังถัง…นี่เจ้าสอนอะไรให้เด็กๆ เนี่ย”
หญิงหั่วฉงที่นั่งฟังถึงกับตะลึงค้างในสิ่งที่เด็กๆ พูดกันออกมา ก่อนจะหันไปมองเฉินซูหนิงด้วยสายตาที่เหมือนมองตัวประหลาดที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน เฉินซูหนิงเห็นดังนั้นก็ส่งรอยยิ้มหวานบาดใจไปให้จนเขารู้สึกขนลุกขนชันและรีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่น
เสียงพูดคุยดังเจื้อยแจ้วไม่หยุดตั้งแต่นั่งเล่นกันที่ศาลาไปจนถึงมื้ออาหารเลี้ยงฉลองซิ่วไฉคนแรกของสกุลโม่ ทุกคนต่างมีความสุขและรื่นรมย์กันเป็นอย่างมาก เด็กๆ ผลัดกันเล่าเรื่องราวต่างๆ ในช่วงที่ไม่ได้เจอเฉินซูหนิงว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกับพวกเขาบ้าง และในค่ำคืนนั้นเองเฉินซูหนิงก็ได้พักค้างแรมกับพวกเขาอย่างที่เคยทำ เด็กๆ หลับไปพร้อมกับความสุขที่มากล้นกว่าวันไหนๆ และได้แต่อธิฐานต่อสวรรค์ให้ทุกๆ วันเป็นเช่นนี้ตลอดไป…
ความคิดเห็น