ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เมื่อผู้ดูแลวิญญาณขอร้องให้ฉันเป็นตัวร้ายที่ต้องตายในตอนจบ

    ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ 7 เรื่องน่ายินดี

    • อัปเดตล่าสุด 30 พ.ค. 67


    บทที่ 7

    เรื่องน่ายินดี

    “สุ่ยเซียน…นี่ก็ยามเว่ยจะเข้ายามเซินแล้วเหตุใดอาคุนถึงยังไม่กลับมาอีก”

    เฉินซูหนิงเอ่ยถาม ในใจเริ่มเป็นกังวล แรกๆ นางก็สอนตำราเด็กๆ ตามปกติจนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงตอนนี้ นี่ก็ผ่านมาหลายชั่วยามแล้วแต่โม่คุนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับมาเสียทีจนนางอดเป็นห่วงไม่ได้

    “คุณหนูเฉิน ท่านอย่าได้กังวลนักเลยอีกเดี๋ยวก็คงกลับมาแล้ว”

    โม่สุ่ยเซียวตอบเฉินซูหนิงพลางนึกในใจเมื่อถึงเวลาที่โม่คุนนั้นกลับมาพร้อมกับสิ่งที่เขาตั้งใจทำคุณหนูเฉินผู้นี้จะรู้สึกเช่นไรกันนะ

    “สรุปแล้วอาคุนไปไหนกันแน่ ไยเจ้าถึงเอาแต่ปกปิดข้า”

    โม่สุ่ยเซียวไม่ตอบคำถามของคุณหนูเฉิน แต่กลับยิ้มอย่างเบิกบานใจ เมื่อย้อนนึกถึงครั้งแรกที่ได้รู้จักกับคุณหนูเฉินนั้นนางช่างแตกต่างจากตอนนี้เสียเหลือเกิน รวมถึงข่าวลือมากมายที่ให้ความรู้สึกว่ามันเป็นเพียงเรื่องปั้นแต่งขึ้นมาเพื่อว่าร้ายนางเท่านั้น แต่จะไม่เชื่อก็ไม่ได้เพราะข่าวลือให้ร้ายพวกนั้นล้วนมีความจริงอยู่เกินครึ่งจริงๆ แต่เรื่องที่นางช่วยเหลือผู้อื่นนั้นกลับเงียบสงัดมิมีผู้ใดรับรู้ถึงสิ่งดีๆ ที่คุณหนูเฉินผู้นี้ได้กระทำเลยสักนิด

    …ช่างน่าเสียดายเสียจริง…

    “ท่านพี่ซูหนิง”

    จู่ๆ ก็มีเสียงนุ่มลึกของเด็กหนุ่มวัยสิบห้าปีเอ่ยเรียกเฉินซูหนิง นางจึงหันไปตามเสียงเรียกทัก ภาพตรงหน้าปรากฏเป็นเด็กชายรูปร่างสูงโปร่งสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์คุณภาพดีดูสะอาดสะอ้าน ใบหน้าหล่อเหลานั้นประดับรอยยิ้มละมุน ภายในมือถือประคองม้วนผ้าไหมชั้นสูงม้วนหนึ่ง

    “อาคุน…เจ้าไปไหนมา”

    เฉินซูหนิงเอ่ยถามเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน นางรู้สึกดีใจระคนโล่งใจที่เขามิได้มีบาดแผลและกลับมาในสภาพที่ดีเยี่ยม

    “ได้โปรดรับสิ่งนี้ไว้ด้วยขอรับ”

    โม่คุนมิได้ตอบคำถามของเฉินซูหนิงแต่โค้งตัวใช้มือทั้งสองข้างประคองม้วนผ้าไหมขึ้นเหนือศีรษะแล้วยื่นไปตรงหน้าผู้เป็นบุคคลที่เขาเคารพรักและนับถือเป็นที่สุด

    เฉินซูหนิงรับมาด้วยความงุนงง นางพิจารนาลักษณะม้วนผ้าไหมในมืออย่างละเอีอด ซึ่งไม่ว่าจะมองมุมไหนหรือมองอย่างไรมันก็คือม้วนผ้าไหมคุณภาพดีที่ใช้เฉพาะในงานราชการเท่านั้น นางมองหน้าโม่คุนที่ยิ้มจนตาหยีอย่างมีความสุขแล้วได้แต่เก็บงำความสงสัยไว้ในใจก่อนจะค่อยๆ คลี่ม้วนผ้าไหมออกอย่างระมัดระวังและอ่านเนื้อความด้านใน แต่แล้วนางก็ต้องตกใจเป็นอย่างมากรีบลดม้วนผ้าไหมในมือลงแล้วก้มมองเด็กหนุ่มที่บัดนี้นั่งคุกเข่าคำนับศีรษะชิดพื้นที่ปลายเท้าของนาง หยาดน้ำสีใสค่อยๆ ไหลรินลงบนแก้มขาวเนียน ภายในอกเต็มเปี่ยมไปด้วยความตื้นตันใจจนความปิติมันท่วมท้นล้นทะลักออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

    “ข้าน้อยโม่คุนขอขอบพระคุณในความกรุณาของคุณหนูเฉินที่เมตตาช่วยชีวิตเด็กใกล้ตายเช่นข้าน้อย มอบโอกาสให้ข้าน้อยได้มีชีวิตที่ดี คอยดูแลเอาใจใส่ ให้ที่พัก ให้เสื้อผ้าอาภรณ์ และอาหารการกินที่ดียิ่ง อีกทั้งยังสอนให้ข้าน้อยรู้หนังสือทั้งวิชาศิลป์และวิชาทหาร คอยชี้นำการใช้ชีวิตของข้าน้อยไปในทางที่ดี แต่…ข้าน้อยก็ยังโง่เขลายิ่งนักที่ไม่รู้ว่าควรตอบแทนบุญคุณอันใหญ่หลวงนี้เช่นไร คุณหนูเฉิน…โปรดอภัยให้แก่คนโง่เง่าเช่นข้าน้อยด้วยเถิดขอรับ”

    โม่คุนเอ่ยกล่าวเสียงดังฟังชัดแม้จะสั่นเครือบ้างเล็กน้อยแต่มันก็เป็นความปิติมากมายที่อัดอั้นอยู่ภายในใจ เขารู้สึกขอบคุณคุณหนูเฉินจากใจจริงที่ทำให้เขามีทุกวันที่ดีเช่นนี้ และอยากตอบแทนบุญคุณที่มากล้นพวกนี้ให้ได้ในสักวันหนึ่ง

    “โม่คุน…ลุกขึ้นเถิด ตัวข้ามิได้ต้องการสิ่งใดตอบแทน แค่เจ้ามีชีวิตที่ดีข้าก็ดีใจมากแล้ว”

    เฉินซูหนิงย่อตัวลงประคองเด็กหนุ่มให้ลุกขึ้นก่อนจะปัดเศษดินบนหน้าผากของเขาออกอย่างเบามือ

    “ท่านพี่ซูหนิง…ข้าขอสาบานต่อสวรรค์ว่าข้าจะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวัง! ฮึก!”

    โม่คุนโผเข้ากอดเฉินซูหนิงและเอ่ยคำสัตย์ออกมาจากใจก่อนจะร้องไห้โยเยไม่ต่างจากเด็กน้อยวัยสามปี

    “เหตุใดเจ้าถึงได้ร้องไห้เป็นเด็กเช่นนี้กัน”

    เฉินซูหนิงโอบกอดเด็กหนุ่มตัวโตตรงหน้าพลางลูบศีรษะปลอบประโลมด้วยความอ่อนโยน แต่ยิ่งปลอบก็เหมือนยิ่งทำให้เขาสะอื้นไห้หนักกว่าเดิมหาได้สนใจสายตาของเด็กน้อยมากมายที่จ้องมองมาที่เขาไม่ เป็นภาพที่ช่างน่าเอ็นดูเสียจริง

    “ฮึก! ฮึก!”

    เด็กหนุ่มร่ำไห้ในอ้อมกอดของเฉินซูหนิงพักใหญ่ก่อนจะค่อยๆ สงบลงและผละตัวออกจากอ้อมกอดช้าๆ ด้วยความเขินอาย

    “วันนี้ช่างน่ายินดียิ่งนัก พวกเรามาจัดงานเลี้ยงฉลองให้กับซิ่วไฉคนแรกของสกุลโม่กันเถอะ”

    เด็กๆ ได้ยินดังนั้นต่างก็โห่ร้องด้วยความดีใจอย่างที่สุด เฉินซูหนิงมองภาพตรงหน้าแล้วระบายยิ้มออกมาพลางใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเช็ดหยดน้ำตาให้โม่คุนเบาๆ

    “สิ่งนี้เจ้าควรเก็บไว้ให้ดีๆ เพราะมันคือหลักฐานความสำเร็จของเจ้า”

    เฉินซูหนิงคืนม้วนผ้าไหมให้กับโม่คุน เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญกับเขามากกว่านาง มันคือหลักฐานยืนยันว่าเขาใช้ความพยายามมากมายเพียงใดกว่าจะได้มันมา

    แม้เฉินซูหนิงจะเป็นสตรี แต่นางก็รู้ดีว่าในเมืองหลวงมีการแข่งขันที่สูงยิ่งกว่าหัวเมืองอื่นๆ เพราะในเมืองหลวงนั้นบุคคลที่เข้าการสอบเป็นบัณฑิตหรือขุนนางส่วนใหญ่ล้วนเป็นบุตรหลานจากตระกูลขุนนางด้วยกันทั้งสิ้น และบุตรหลานจากตระกูลขุนนางพวกนั้นย่อมได้รับการศึกษาที่ดีตั้งแต่ยังเล็ก

    หากอยากเห็นตัวอย่างก็มิต้องไปดูที่ไหนไกล...คนใกล้ตัวเฉินซูหนิงที่เก่งกาจยิ่งกว่าใครอย่างเฉินซีห่าวผู้เป็นน้องชายของนางที่สอบได้ทั้งซิ่วไฉและจวี่เหรินในปีเดียวกันตั้งแต่อายุสิบสองปีหาใครเทียบได้ยากและถือว่าเป็นประวัติศาสตร์ของรัชสมัยนี้เลยทีเดียว ในปีนั้นเป็นที่ฮือฮาอย่างมาก จะกล่าวหาว่าโกงการสอบก็มิได้เสียด้วย เพราะกฎและผู้คุมสอบเคร่งครัดเกินกว่าผู้ใดจะสามารถทำเช่นนั้นได้

    ในขณะที่หลายตระกูลพยายามผลักดันบุตรหลานของตนให้ทำได้อย่างคุณชายน้อยสกุลเฉินจนเวลาล่วงเลยมาถึงปัจจุบันคุณชายเฉินสอบผ่านเป็นก้งเซิงแล้วก็ยังมิมีผู้ใดมีความสามารถเทียบเคียงได้และในฤดูใบไม้ร่วงปีหน้าคุณชายเฉินจะเข้าร่วมการสอบเตี้ยนชื่อ หากใครที่ไม่รู้จักตระกูลเฉินมาได้ยินว่าเด็กอายุสิบห้าได้เข้าสอบเตี้ยนชื่อคงพากันหัวเราะเยาะและคงบอกว่ามันเป็นเรื่องปาหี่แน่นอน

    “ข้าตั้งใจนำสิ่งนี้มามอบให้ท่าน แต่ท่านกลับปฏิเสธ”

    โม่คุนใช้แขนเสื้อปาดเช็ดน้ำตาที่ยังหลงเหลือของตนเอง แม้จะบ่นอิดออดแต่ก็ยอมรับกลับคืนแต่โดยดี

    “ข้าดีใจที่เจ้าทำได้ยอดเยี่ยมเช่นนี้ แต่สิ่งนี้สำคัญกับเจ้ามากกว่าข้า เข้าใจหรือไม่”

    เด็กหนุ่มพยักหน้ารับอย่างจำใจพลางส่งสายตาออดอ้อนหวังให้เฉินซูหนิงเปลี่ยนใจรับกิตติกรรมประกาศฉบับนี้ เห็นเช่นนั้นนางก็หัวเราะออกมาเล็กน้อยด้วยความเอ็นดูและยื่นมือไปลูบศีรษะคนตรงหน้า ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

    “จริงสิ…ที่ข้ามาวันนี้นอกจากจะมาหาพวกเจ้าเพราะความคิดถึงแล้วยังมีเรื่องต้องบอกให้พวกเจ้ารู้กันด้วย”

    “อะไรหรือคุณหนูเฉิน”

    โม่สุ่ยเซียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย

    “อีกสิบห้าวันข้าจะเข้าพิธีสมรส”

    สิ้นประโยคของนางทุกคนต่างตกตะลึงนิ่งค้างไป ลูกหนังที่เด็กชายตัวน้อยวัยห้าปีเคยถือไว้หลุดออกจากมือหล่นกระทบพื้น ใบหน้าของพวกเขาตกใจกันถึงขีดสุด ท่ามกลางบรรยากาศตื่นตกใจมีเพียงเฉินซูหนิงที่ระบายยิ้มระรื่นและหญิงหั่วฉงที่นั่งมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความเฉยเมยไร้อารมณ์

    “ชะ…เช่นนั้น…ข่าวลือที่ว่า…”

    โม่สุ่ยเซียนเป็นคนเริ่มเอ่ยขึ้นมาก่อน ใบหน้าของนางมีความวิตกผุดขึ้นมาเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยจบประโยคเฉินซูหนิงก็เอ่ยยืนยันคำพูดของนางทันที

    “เรื่องสมรสน่ะเป็นเรื่องจริง แต่เรื่องอื่นที่เจ้ากำลังคิดนั้นมิใช่เรื่องจริง”

    เมื่อได้ฟังคำตอบก็ถึงกับโล่งอกที่อย่างน้อยข่าวฉาวคาวโลกีย์ที่ได้ยินมาก็มิใช่เรื่องจริง

    “ถ้าเช่นนั้น! ต่อจากนี้ไปพวกเราต้องเรียกท่านพี่ซูหนิงว่าฮูหยินหรือเจ้าคะ”

    เด็กหญิงตัวน้อยวิ่งเข้ามาเกาะขาเฉินซูหนิงแล้วเงยหน้าถามด้วยความไร้เดียงสา

    “ฮ่ะฮ่าๆ พวกเจ้าเรียกข้าเช่นเดิมนั่นแหละดีแล้ว”

    เฉินซูหนิงหัวเราะตอบเด็กๆ และขยับมือลูบกลุ่มผมน้อยๆ อย่างแผ่วเบา

    “แล้วพวกเราจะได้เจอท่านพี่ซูหนิงอีกหรือไม่ขอรับ”

    “นั่นสิขอรับ ข้าเคยได้ยินมาว่าหากออกเรือนแล้วการจะออกมาข้างนอกนั้นเป็นเรื่องมิควร”

    “แล้วจวนสามีของท่านพี่ซูหนิงอยู่ไกลหรือไม่เจ้าคะ”

    คำถามและสายตาจากเด็กๆ ถูกส่งให้เฉินซูหนิงผู้เดียว นางเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ยิ้มเอ็นดูในความไร้เดียงสาของพวกเขา

    “พวกเจ้ามิต้องกังวลหรอก ถึงข้าจะแต่งออกจากเมืองหลวงไป แต่ก็มิได้ไปไกลจากที่นี่มากนัก แม้นจะมิได้เจอกันบ่อยเท่าเมื่อก่อนแต่ข้าก็จะพยายามมาหาพวกเจ้าบ่อยๆ แน่นอน”

    เฉินซูหนิงตอบเด็กๆ พลางต้อนพวกเขาเข้าไปนั่งในศาลา

    “สามีของท่านพี่ซูหนิงเป็นขุนนางใหญ่เหมือนตระกูลของท่านพี่ซูหนิงหรือเจ้าคะ”

    “เขาเป็นท่านแม่ทัพใหญ่น่ะ”

    “ว้าว~ ยอดไปเลย! อนาคตข้าเองก็จะเป็นแม่ทัพให้ได้!”

    “แต่มันอันตรายนะอาหลง”

    “ข้าก็ต้องแข็งแกร่งจนไม่มีใครมาทำอะไรข้าได้ยังไงล่ะ ใช่หรือไม่ท่านพี่ซูหนิง”

    “อื้อ แต่เจ้าจะเก่งแค่วิชาทหารมิได้นะ เจ้าต้องเก่งวิชาศิลป์ด้วย เพราะมันก็สำคัญไม่น้อยไปกว่ากันเลย”

    “ขอรับ!”

    ‘โม่หลง’ ตอบรับคำของเฉินซูหนิงด้วยความกระตือรือร้น ดวงตาเล็กแวววาวเป็นประกายของเขาทำให้เฉินซูหนิงยิ้มไม่หุบด้วยความเอ็นดู

    [ไม่ว่าจะทำอะไร เด็กพวกนี้ก็ช่างน่าเอ็นดูจริงๆ]

    คิดในใจเช่นนั้นก่อนจะหันไปคุยกับโม่คุนด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจังระคนเป็นห่วง

    “อาคุน…”

    “ขอรับ ท่านพี่ซูหนิง”

    “เจ้ารู้ใช่หรือไม่ ปีหน้าจะมีการสอบเซียงซื่อ”

    “ขอรับ”

    “เจ้ามิต้องกังวลมากไป หากสอบไม่ผ่านก็รอสอบครั้งถัดไป ข้าเป็นห่วงเกรงว่าเจ้าจะหักโหมมากเกินไป มันจะมิส่งผลดีต่อร่างกายและจิตใจของเจ้า”

    “ขอบพระคุณขอรับ แต่ถ้าปีหน้าข้าสอบไม่ผ่านก็ต้องรอไปอีกสามปีถึงจะมีโอกาสสอบเซียงซื่ออีกครั้ง ข้า…ข้าอยากสอบเตี้ยนชื่อให้ได้เร็วๆ ดังนั้น…ข้า…”

    โม่คุนก้มหน้าไม่กล้าสบตาเฉินซูหนิง เพราะกลัวโดนนางดุ

    เฉินซูหนิงเองพอได้ฟังคำตอบก็เข้าใจเจตนารม์ของเด็กหนุ่ม

    “ข้าเข้าใจแล้ว คราวหน้าข้าจะนำตำราที่ยากกว่าที่มีอยู่ตอนนี้มาให้และจะสอนเจ้าเท่าที่ข้าจะสามารถทำได้ แต่เจ้าต้องรับปากข้าว่าจะไม่ฝืนเกินไป”

    “ข้ารับปากขอรับ! ข้าจะไม่ฝืนจนเกินไป! ข้าจำคำสอนของท่านพี่ซูหนิงได้ทุกคำขอรับ! ‘อย่าพยายามมากเกินไป เพราะความพยายามที่มากเกินไปมักมิเคยส่งผลดีต่อผู้ใด’ ประโยคนี้ข้าจำได้ขึ้นใจขอรับ!”

    “ข้าก็จำได้ขอรับ!”

    “หมิงหมิงก็จำได้เจ้าค่ะ!”

    เสียงเด็กๆ ต่างแย่งกันพูดขึ้นมาว่าตนนั้นจำสิ่งที่เฉินซูหนิงเคยสอนได้ แม้ภาพตรงหน้าจะดูวุ่นวายแต่กลับสนุกสนานอย่างน่าประหลาดใจ

    เฉินซูหนิงสบายใจที่พวกเขามีความสุขมากกว่าเมื่อก่อนตอนที่เจอกันครั้งแรก…

    “ถังถัง…นี่เจ้าสอนอะไรให้เด็กๆ เนี่ย”

    หญิงหั่วฉงที่นั่งฟังถึงกับตะลึงค้างในสิ่งที่เด็กๆ พูดกันออกมา ก่อนจะหันไปมองเฉินซูหนิงด้วยสายตาที่เหมือนมองตัวประหลาดที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน เฉินซูหนิงเห็นดังนั้นก็ส่งรอยยิ้มหวานบาดใจไปให้จนเขารู้สึกขนลุกขนชันและรีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่น

    เสียงพูดคุยดังเจื้อยแจ้วไม่หยุดตั้งแต่นั่งเล่นกันที่ศาลาไปจนถึงมื้ออาหารเลี้ยงฉลองซิ่วไฉคนแรกของสกุลโม่ ทุกคนต่างมีความสุขและรื่นรมย์กันเป็นอย่างมาก เด็กๆ ผลัดกันเล่าเรื่องราวต่างๆ ในช่วงที่ไม่ได้เจอเฉินซูหนิงว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกับพวกเขาบ้าง และในค่ำคืนนั้นเองเฉินซูหนิงก็ได้พักค้างแรมกับพวกเขาอย่างที่เคยทำ เด็กๆ หลับไปพร้อมกับความสุขที่มากล้นกว่าวันไหนๆ และได้แต่อธิฐานต่อสวรรค์ให้ทุกๆ วันเป็นเช่นนี้ตลอดไป…

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×