คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ 6 โค้งสุดท้ายก่อนแต่งงาน
บทที่ 6
โค้งสุดท้ายก่อนแต่งงาน
ณ โรงน้ำชาแห่งหนึ่งแถบชานเมืองของเมืองหลวง ภายในห้องส่วนตัวมีเพียงหญิงสาวใบหน้างดงามและชายหนุ่มที่รูปหน้างดงามพอๆ กับหญิงสาว ทั้งคู่นั่งดื่มชาและกินอาหารเช้ายามสายพร้อมทั้งพูดคุยกันอย่างอารมณ์ดี
“ถังถัง~ เธอส่งจดหมายที่ฉันให้เขียนไปแล้วใช่ไหม~”
“ส่งแล้วๆ~”
“ดีมากๆ ถ้าเธอว่าง่ายแบบนี้ทุกครั้งก็ดีสิ~”
หญิงหั่วฉงเบิกบานใจกับงานที่กำลังเป็นไปอย่างราบรื่น เขาไม่เคยรู้สึกอารมณ์ดีกับการทำงานมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาทำงานบรรลุเป้าหมายได้อย่างราบรื่นเช่นเดียวกับผู้อื่น
“เฮ้อ~ ฉันยอมทำเพราะมันเป็นเรื่องเล็กน้อยหรอก อีกไม่นานก็แต่งแล้วคงพอใจแล้วใช่ไหม”
“ใช่ๆ~”
“แล้วต่อจากนั้นต้องทำอะไรต่อล่ะ”
“ไม่ต้องทำอะไรแล้วล่ะ เธอแค่ใช้ชีวิตเป็นพระชายาไปเรื่อยๆ ประมาณสองปีพอถึงเวลาเดี๋ยวหลงเจียวหั่วก็กลับมาพร้อมกับลี่เหมยหลงเอง ถึงตอนนั้นค่อยเล่นบทนางร้ายขี้อิจฉาก็ได้”
“งั้นแสดงว่าเขาจะไม่อยู่ถึงสองปีเลยเหรอ”
“อื้ม! เขาจะได้รับคำสั่งด่วนให้ไปออกรบแถวชายแดนทางตอนเหนือหลังแต่งกับเธอได้สามวันน่ะ”
“โอ้ว~ เยี่ยมไปเลย~ นี่เป็นข่าวดีสำหรับฉันเลยนี่นา~”
“ใช่ไหมล่ะ คิดซะว่าเป็นพักร้อนก่อนลุยงานใหญ่ชิ้นสุดท้ายก็แล้วกัน เมื่อวันประหารมาถึง…นั่นก็จะเป็นวันสุดท้ายของการทำงานหนักอันแสนเหน็ดเหนื่อย!”
“มาคิดๆ ดูแล้วมันก็เหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่ปีเองไม่ใช่เหรอ”
“ก็ใช่…ทำไม! เกิดเสียดายชีวิตขึ้นมารึไง เธอจะผิดสัญญากับฉันไม่ได้นะ!”
หญิงหั่วฉงวางตะเกียบลงอย่างรวดเร็วพร้อมขึงตามองเฉินซูหนิง ท่าทางเช่นนั้นมิได้ทำให้นางกลัวเลยแม้แต่น้อย กลับกัน…มันช่างดูน่าขันเสียมากกว่า แต่เฉินซูหนิงก็ต้องกลั้นอารมณ์เอาไว้ มิเช่นนั้นคงต้องตามง้ออีกพักใหญ่เป็นแน่
“รู้แล้วน่า ไม่ผิดสัญญาหรอก แค่คิดว่าที่ผ่านมามันเร็วมากๆ เลยต่างหาก”
เฉินซูหนิงย้อนคิดถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา แม้จะมีอะไรหลายๆ อย่างเกิดขึ้นทั้งดีทั้งร้ายก็ตามแต่นางก็ยังคำนึงถึงแต่ความสัมพันธ์ดีๆ ที่ก่อตัวขึ้นกับผู้คน เมื่อนึกถึงคราวที่ต้องจากไปก็รู้สึกใจหายไม่น้อย มันคงจะดีหากพวกเขาจะมีชีวิตที่ดีต่อไปแม้นนางจะไม่อยู่บนโลกนี้แล้วก็ตาม…
“รีบกินเถอะ ฉันจะไปหาเด็กๆ ไม่ได้เจอกันนานแล้วป่านนี้คงซูบผอมกันหมดแล้วมั้ง”
“เด็กพวกนั้นอยู่ดีกินดีกันทุกวันเธอจะกังวลทำไม”
“ต้องกังวลสิ พวกเขายังเด็กนะ”
“เฮ้อ…เอาเถอะๆ ยังไงเรื่องนี้ฉันก็ปล่อยให้เธอทำตามใจชอบมาตั้งนานจะมาห้ามอะไรตอนนี้ก็คงจะสายไปแล้ว”
หญิงหั่วฉงแสดงสีหน้าเหนื่อยใจ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะไม่ว่ายังไงก็ไม่ได้มีผลกระทบต่องานของเขา เขาจึงปล่อยให้เฉินซูหนิงรับอุปการะเด็กกำพร้าที่ใช้ชีวิตเร่ร่อนอยู่ข้างถนนมาดูแล แม้เด็กพวกนั้นจะน่าสงสารจริง แต่เขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของเหล่ามนุษย์ได้ตามใจชอบ ดังนั้นการปล่อยให้เฉินซูหนิงทำเรื่องแบบนี้จึงถือว่าเป็นผลดีที่สุด
ไม่นานทั้งสองก็ออกจากโรงน้ำชาพร้อมขนมกุ้ยฮวาจำนวนมาก เนื่องจากเป็นร้านขึ้นชื่อในระแวกนี้จึงทำสดใหม่ทุกวันและมีปริมาณเยอะมากพอต่อความต้องการของผู้คน ทุกครั้งที่เฉินซูหนิงไปหาเด็กๆ นางมักจะแวะมาดื่มชาที่นี่และซื้อขนมกุ้ยฮวาไปฝากจำนวนมาก…มากจนเถ้าแก่จำนางได้ แม้ว่าเฉินซูหนิงจะไม่ได้ปกปิดตัวตนของนางว่าเป็นใคร แต่ก็ไม่เคยบอกใครเช่นกัน หญิงหั่วฉงเองก็เอาแต่เรียกนางว่าถังถังจนผู้คนแถวนั้นพากันเรียกนางว่าคุณหนูถังตามหญิงหั่วฉง
“นี่! ถังถัง! ขนมเธอก็ซื้อมาเยอะแล้ว เธอยังจะซื้อแป้งซื้อถั่วไปเพิ่มอีกทำไม ไหนจะข้าวและเนื้อสัตว์พวกนี้อีก ฉันลากเกวียนให้เธอไม่ไหวแล้วนะ!”
หญิงหั่วฉงบ่นฉอดๆ ไม่หยุดตลอดทางที่เดินผ่านร้านรวงต่างๆ ไม่ว่าจะเดินผ่านร้านใดเฉินซูหนิงก็จะแวะซื้อนั้นซื้อนี่จนเต็มเกวียน
“ชู่ว~ ใช้คำให้ถูกหน่อยสิ เราอยู่ข้างนอกกันแล้วนะถ้ามีคนได้ยินจะเป็นเรื่องเอาได้”
เฉินซูหนิงเอ่ยเตือนก่อนจะหัวเราะคิกคักเหมือนสนุกกับการได้เห็นหญิงหั่วฉงหงุดหงิด
“ฮึ่ม! แล้วนั่นเจ้าจะไปไหนน่ะ!”
“ข้าจะไปซื้อผ้าซื้อนุ่นให้เด็กๆ ปีนี้ลมหนาวพัดมาเร็ว ข้าเป็นห่วงกลัวว่ายามกลางค่ำกลางคืนพวกเขาจะหนาวสั่นกัน”
ร่างบางพูดเสียงอ่อน ใบหน้าแสร้งแสดงความกังวลออกมาอย่างสุดซึ้ง หญิงหั่วฉงเห็นถึงกับรู้สึกหมั่นไส้ท่าทางเช่นนั้นของนางจึงโวยวายทัดทานออกไป
“แต่เมื่อปีที่แล้วเจ้าเพิ่งซื้อไปเองนะ!”
“นั่นมันของปีที่แล้ว ปีนี้ก็ของปีนี้สิ”
“เจ้าจะซื้อใหม่ตลอดทุกปีไม่ได้นะ!”
“ได้สิ ก็ข้ามีเงินนี่นาเหตุใดข้าจะซื้อไม่ได้”
“เจ้า!”
“หญิงหั่วฉง เจ้าเฝ้าของอยู่นี่แหละ ข้าเข้าไปเพียงครู่เดียวประเดี๋ยวก็ออกมาแล้ว”
เฉินซูหนิงทิ้งไว้เพียงรอยยิ้มแล้วหายเข้าไปในร้านขายผ้า หญิงหั่วฉงทำได้เพียงกุมขมับและสูดลมหายใจเข้าปอดให้ตัวเองคลายอารมณ์ขุ่นมัว
[เฮ้อ…ไม่คิดเลยว่าจะใช้เงินได้สิ้นเปลื้องขนาดนี้ ดีนะเกิดเป็นลูกของตระกูลขุนนางใหญ่ ไม่งั้นถังแตกแน่ๆ]
หญิงหั่วฉงบ่นในใจแต่ก็ยอมทำตามที่เฉินซูหนิงบอกแต่โดยดี ไม่นานนางก็ออกมาพร้อมกับคนงานของร้านขายผ้าจำนวนสามสี่คน ในอ้อมแขนของพวกเขามีม้วนผ้าไหม ม้วนผ้าฝ้าย และนุ่นจำนวนมาก แม้ว่าเนื้อผ้าจะดีไม่เท่าเสื้อผ้าที่นางสวมใส่ แต่ก็ถือว่าเป็นไหมและฝ้ายชั้นดีที่เหล่าตระกูลพ่อค้ามั่งมีมักใช้กัน
“ถังถัง! นี่เจ้า!...เจ้าซื้อผ้าพวกนี้มาหมดร้านเลยรึไง!”
หญิงหั่วฉงเห็นผ้าม้วนใหญ่หลายม้วนก็ถึงกับเบิกตาค้าง ตะโกนเสียงดังจนผู้คนแถวนั้นหันมามองกันเป็นตาเดียว ซึ่งแต่เดิมก็มีคนจับจ้องอยู่ก่อนแล้ว เพราะไม่เคยมีผู้ใดซื้อผ้าและนุ่นคุณภาพดีเช่นนี้เป็นจำนวนมากมาก่อน ขนาดพวกพ่อค้าแม่ค้าตระกูลมั่งคั่งยังไม่เคยมีใครกล้าซื้อมากเท่าคุณหนูผู้นี้เลย ทำให้ผู้ที่พบเห็นต่างคาดเดากันไปต่างๆ นานาว่านางเป็นใครกันแน่หรือเป็นลูกเต้าตระกูลใด
“แหม~ ซื้อไปอย่างไรก็ได้ใช้ เด็กพวกนั้นโตขึ้นทุกวันจะให้ใส่เสื้อผ้าเล็กๆ เก่าๆ ได้เยี่ยงไร”
เฉินซูหนิงตอบกลับอย่างอารมณ์ดีพลางคิดในใจอย่างไม่นึกเสียดาย
[ไหนๆ ในอนาคตก็มาหาพวกเขาได้น้อยลงแล้ว และอีกไม่กี่ปีก็ต้องจากกันถาวรซื้อให้พวกเขาไปเยอะๆ นั้นแหละดีแล้ว ยังไงซะในวันข้างหน้ามันก็มีประโยชน์ต่อพวกเขาอยู่ดี]
“เจ้า!...”
“ไม่ต้องห่วงนะ จากตรงนี้ไปข้าจะช่วยเจ้าลากเกวียนเอง”
“แล้วทำไมไม่จ้างเกวียนที่ใช้วัวใช้ม้าเล่า!”
หญิงหั่วฉงเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
“ก็เจ้ามีแรงมากกว่าวัวมากกว่าม้านี่”
“ถังถัง!”
“เอาน่า~ เดี๋ยวข้าทำเยวียนเซียวให้กิน”
“นี่เจ้าเอาขนมมาล่อลวงข้างั้นรึ”
“เช่นนั้นหมายความว่าเจ้าจะไม่กิน”
“กินสิ! เจ้ารีบเดินตามข้ามาเลยนะ ไม่ต้องช่วยข้าลากเกวียนเดี๋ยวข้าลากเองเจ้าเก็บแรงไว้ทำเยวียนเซียวเถอะ! ทำเยอะๆ เลยนะ! เข้าใจไหม!”
ว่าแล้วหญิงหั่วฉงก็รีบเร่งลากเกวียนมุ่งหน้าไปยังที่หมายทันที เห็นดังนั้นเฉินซูหนิงก็แอบหัวเราะอยู่ด้านหลังและเร่งฝีเท้าตามเขาไป
ไม่นานทั้งสองก็มาหยุดอยู่หน้าประตูไม้บานใหญ่ที่แม้จะดูเก่าแต่ก็ยังไม่ทรุดโทรม ป้ายไม้ใหญ่หน้าประตูถูกสลักคำว่า ‘บ้านโม่น้อย’ ใครผ่านไปผ่านมาก็ว่าช่างดูน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก ชาวบ้านแถวนี้ต่างรู้กันดีว่าบ้านหลังนี้มีแต่เด็กกำพร้าตัวเล็กๆ มารวมตัวอยู่ร่วมกัน พวกเขาต่างพากันเอ็นดูเด็กๆ มีอะไรเล็กๆ น้อยๆ ก็นำมาแบ่งปันให้ แรกเริ่มเดิมทีพวกเขาเพียงแค่อยากรู้อยากเห็นว่าเด็กพวกนี้จะมีนิสัยใจคอเป็นเช่นไร แต่พอได้รู้จักก็พากันเอ็นดูไม่หยุดหย่อน ซึ่งนั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องดีไม่น้อยเลยทีเดียว
ปึ้ง! ปึ้ง! ปึ้ง!
เฉินซูหนิงเดินไปเคาะประตูก่อนจะถอยหลังออกมารอหนึ่งก้าว เพียงไม่นานบานประตูไม้ใหญ่ก็ค่อยๆ แง้มเปิด…
“ใครหรือขอรับ”
เสียงเด็กชายวัยสิบเอ็ดปีเอ่ยถามผู้มาเยือนอย่างระวัง ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนสายตาขึ้นมองใบหน้าของผู้มาเยือน เมื่อสายตาสบกันกับดวงตาคู่สวย ดวงตาของเด็กชายก็พลันเปลี่ยนเป็นประกายดีใจ ริมฝีปากเล็กฉีกยิ้มกว้างอย่างมีความสุข
“แล้วเจ้าคิดว่าใครล่ะ”
“ท่านพี่ซูหนิง!~”
เด็กชายตะโกนเสียงดังแล้วรีบดึงบานประตูให้เปิดกว้างจากนั้นก็พุ่งตัวเข้าไปกอดหญิงสาวตรงหน้าด้วยความดีใจระคนคะนึงหา
“อะไรนะ! ท่านพี่ซูหนิงมางั้นเหรอ!”
เสียงตะโกนจากข้างในดังออกมา ไม่นานเหล่าเด็กตัวน้อยๆ ทั้งชายหญิงหลากหลายวัยต่างพากันวิ่งกรูเข้ามากอดเฉินซูหนิงด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่างจากเด็กชายที่กอดนางก่อนคนแรก
“นี่! ข้าก็มานะ! เหตุใดพวกเจ้าถึงได้รุมกอดแต่นางผู้เดียวเล่า!”
หญิงหั่วฉงโวยวายด้วยความรู้สึกอิจฉาเฉินซูหนิงที่เด็กๆ ต่างเอาแต่สนใจนางก่อนตลอดทุกครั้งที่มาหา
“โธ่~ ท่านพี่หั่วฉง…ท่านจะน้อยใจเช่นสาวน้อยไปไย อย่างไรเสียพวกข้าก็ต้องกอดท่านอยู่แล้ว เพียงแต่อ้อมกอดของท่านพี่ซูหนิงนั่นอบอุ่นมากกว่าจึงต้องกอดนานๆ ก็เท่านั้นเอง”
เด็กชายวัยสิบเอ็ดปีนามว่า ‘โม่เซี่ยน’ เอ่ยตอบหญิงหั่วฉง เมื่อหญิงหั่วฉงได้ฟังก็ถึงกับตัวสั่นด้วยความโกรธ ก่อนจะชี้นิ้วมาทางกลุ่มก้อนเด็กน้อยแล้วประกาศกร้าวอย่างเป็นปฏิปักษ์และพลันเปลี่ยนอารมณ์เป็นความรู้สึกที่เหนือกว่า
“เจ้า! พวกเจ้า!...พวกเจ้าคงไม่รู้สินะว่าของในเกวียนที่ข้าลากมามีวัตถุดิบที่ใช้ทำเยวียนเซียวอยู่ด้วยและถังถังบอกว่าจะเป็นคนทำให้กิน ดังนั้น! พวกเจ้าทุกคน! อด! กิน! วะฮ่ะฮ่า!”
“อะไรนะ! แบบนั้นไม่ได้สิ! ท่านพี่หั่วฉง! พวกข้าผิดไปแล้ว! ให้พวกข้ากินด้วยนะ~”
“ให้พวกข้ากินด้วยนะ ท่านพี่หั่วฉง!”
กลุ่มเด็กๆ ต่างพากันรีบเข้าไปกอดหญิงหั่วฉงและออดอ้อนกันยกใหญ่ ส่วนหญิงหั่วฉงนั้นหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ
เฉินซูหนิงมองภาพตรงหน้าแล้วระบายยิ้มแห่งความสุขออกมา ใบหน้างามดุจเทพเซียนของนางเมื่อมีรอยยิ้มประดับก็ยิ่งงดงามสะกดสายตาทั้งชายหญิง
“คุณหนูเฉิน”
เฉินซูหนิงหันกลับไปมองหญิงสาวที่กล่าวทักทายนาง
…‘โม่สุ่ยเซียน’ คือชื่อของหญิงสาวผู้นี้…นางเป็นอีกคนที่เฉินซูหนิงเคยช่วยเอาไว้เมื่อครั้งยังเยาว์วัย แม้นางจะอายุมากกว่าเฉินซูหนิงถึงสิบปี แต่เพราะได้รับการช่วยเหลือครั้งนั้นนางจึงอยู่ที่นี่เพื่อดูแลเด็กๆ เป็นการตอบแทนบุญคุณ แม้เฉินซูหนิงจะไม่เคยขอเลยก็ตามแต่นางก็ทำด้วยความเต็มใจ
“เป็นเช่นไรบ้าง มีสิ่งใดที่มิดีเกิดขึ้นหรือไม่”
เฉินซูหนิงมักจะถามคำถามเดิมทุกครั้งที่มาที่นี่ ด้วยความที่แต่เดิมเป็นคนสมัยใหม่แม้ครานี้จะเกิดเป็นลูกคุณหนูในตระกูลใหญ่โตมีบริวารมากมายคอยดูแลรับใช้แต่นางก็ยังมองว่าช่างเป็นการใช้ชีวิตที่ยากลำบากเสียจริง ขนาดที่ว่าเทียบกับตอนที่นางเคยเป็นเด็กกำพร้าในอดีตกาลยังไม่ลำบากลำบนถึงขั้นนี้ แล้วเด็กพวกนี้ที่ต้องใช้ชีวิตด้วยตัวเองล่ะจะไม่ลำบากมากกว่านางเลยหรือ
“หึ~ ท่านยังขี้กังวลไม่เปลี่ยน แต่ก็พระขอบคุณเจ้าค่ะที่คอยห่วงใยกันเสมอมา”
[หัวเราะได้เช่นนี้ แสดงว่าไม่มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นสินะ…ดีแล้วล่ะ]
โม่สุ่ยเซียนหัวเราะออกมา เห็นเช่นนั้นก็มิได้ว่าอะไรมีเพียงรอยยิ้มบางๆ ที่ประดับบนใบหน้า แววตาประกายความโล่งใจเผยเด่นชัด นางจึงหันไปบอกเด็กๆ ให้ช่วยกันขนของเบาๆ ในเกวียนเข้าไปในบ้าน ส่วนของหนักๆ หญิงหั่วฉงกับโม่สุ่ยเซียนและนางจะเป็นคนยกเข้าไปกันเอง
“จริงสิ…อาคุนล่ะ ปกติเขาจะเป็นคนออกมาเปิดประตูเองมิใช่รึ เหตุใดวันนี้ถึงเป็นอาเซี่ยน เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า หรือว่า…”
“ใจเย็นๆ ก่อนเถิดคุณหนูเฉิน ท่านกังวลเกินไปแล้ว”
ก่อนที่เฉินซูหนิงจะคิดไปไกลกว่านี้ โม่สุ่ยเซียนจึงต้องหยุดความคิดของนางเสียก่อน
“แล้วเกิดอะไรขึ้นเล่า”
เฉินซูหนิงแสดงสีหน้าเป็นกังวล กลัวจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น
เหตุผลที่เป็นกังวลขนาดนี้เป็นเพราะ ‘โม่คุน’ เป็นเด็กหนุ่มที่ไม่ยอมคนและเถรตรงมากเกินไป ครั้งแรกที่นางเจอเด็กหนุ่มคนนี้ก็เกือบปางตายเพราะถูกใส่ความว่าขโมยเงิน แต่เจ้าตัวไม่ยอมรับ…ก็อย่างว่าคนไม่ได้ทำจะยอมรับทำไม การกระทำนั้นทำให้ผู้กล่าวหาหัวเสียและทำร้ายโม่คุนจนเจ็บปางตาย พอครั้งนี้ไม่เห็นโม่คุนอย่างเช่นทุกคราก็กลัวจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น
“ท่านอดใจรอหน่อยเถิด วันนี้เขาก็คงกลับมาแล้วอย่าได้กังวลมากนักเลย”
“มิใช่เรื่องไม่ดีใช่ไหม”
“แน่นอน และไม่ว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไรข้ารับรองได้เลยว่าท่านจะต้องภูมิใจในตัวเขาแน่ๆ”
โม่สุ่ยเซียนยิ้ม แม้จะกล่าวอะไรที่ทำให้เฉินซูหนิงไม่เข้าใจ แต่คำพูดของนางก็ทำให้เฉินซูหนิงวางใจได้บ้าง
[ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรขอแค่ให้เกิดเรื่องดีๆ ต่อเขาก็พอแล้วล่ะ]
คิดได้ดังนั้นเฉินซูหนิงก็เดินเข้าครัวไปกับเด็กวัยแปดถึงสิบสองปีทั้งชายหญิงจำนวนห้าคนเพื่อให้มาเรียนรู้วิธีเก็บวัตถุดิบที่นางซื้อมาและเป็นลูกมือในการทำเยวียนเซียว ส่วนเด็กที่เหลืออีกเจ็ดคนให้ช่วยโม่สุ่ยเซียนและหญิงหั่วฉงจัดการผ้าและนุ่น
ผ่านไปเกือบสองชั่วยามเยวียนเซียวก็ถูกทำจนเสร็จ หญิงหั่วฉงเป็นคนแรกที่เข้ามารับถ้วยขนมหวานก่อนใครด้วยอารมณ์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความปิติ
“นี่! หญิงหั่วฉง! เจ้าอย่าเอาไปแต่ของตัวเองสิ! มาช่วยยกถาดนี้ออกไปให้เด็กๆ ด้วย!”
เฉินซูหนิงตะโกนเรียกหญิงหั่วฉงที่รีบปรี่หนีไปนั่งตักเยวียนเซียวเข้าปากอย่างสบายอารมณ์โดยไม่ฟังคำนางเลยแม้แต่น้อย
“ฮ่ะๆๆ ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวหมิงหมิงกับอาอี๋จะยกออกไปให้น้องๆ เองเจ้าค่ะ”
“ใช่ขอรับ แค่ท่านพี่ซูหนิงมาหาพวกเราก็ดีใจมากแล้ว อีกทั้งยังซื้อของมาให้ตั้งมากมายและยังทำเยวียนเซียวให้พวกเรากินอีก ท่านพี่ซูหนิงควรออกไปนั่งพักที่สวนกับคนอื่นๆ ได้แล้วขอรับ ทางนี้พวกเราจะจัดการเอง”
รอยยิ้มของเด็กๆ ทำให้เฉินซูหนิงใจอ่อนยอมออกจากครัวไปแต่โดยดี
“ไงล่ะ อยากให้ข้าช่วยสุดท้ายแม้แต่เจ้าเองก็ยังโดนไล่ออกมา”
หญิงหั่วฉงเอ่ยกระแนะกระแหนทันทีที่เห็นเฉินซูหนิงเดินมานั่งลงข้างโม่สุ่ยเซียน เขาตักก้อนแป้งนุ่มๆ เข้าปากและเคี้ยวอย่างสบายอารมณ์ สายตาก็ทอดมองใบไม้เปลี่ยนสีที่เตรียมผันเปลี่ยนฤดูกาล
“ปล่อยให้เด็กๆ ได้ทำเถอะคุณหนูเฉิน พวกเขาเองก็อยากตอบแทนท่านบ้างแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม”
โม่สุ่ยเซียนเอ่ยปลอบ แต่ก็อดที่จะอมยิ้มกับสีหน้าท่าทางเซื่องซึมของร่างบางมิได้
“เฮ้อ…ข้ารู้ว่าเด็กๆ โตขึ้นทุกวัน พวกเขามีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าใครบางคนแถวนี้เสียอีก”
เฉินซูหนิงตัดพ้อแต่ก็ไม่วายหันไปพูดแซะหญิงหั่วฉงที่กำลังซดน้ำขิงและเคี้ยวเยวียนเซียวเต็มปาก
“พูดงี้เจ้าด่าข้ามาตรงๆ เลยดีกว่า!”
หญิงหั่วฉงวางถ้วยขนมลงแล้วผุดลุกขึ้นยืนชี้หน้าเฉินซูหนิงด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง แต่เฉินซูหนิงกลับหัวเราะร่าไม่เกรงกลัวท่าทีขึงขังที่แสนน่ารักน่าชังนั้นแม้แต่น้อย
“ใจเย็นๆ เดี๋ยวก็ติดคอหรอก”
“เจ้า! อึก! แค่กๆๆ!”
และแล้วสิ่งที่เฉินซูหนิงเอ่ยเตือนก็เกิดขึ้นจริงทันตาเห็น
ก้อนแป้งลูกใหญ่ติดในลำคอหญิงหั่วฉง เด็กบางคนเข้ามาช่วยทุบหลัง แต่เด็กบางคนก็มองด้วยสายตาเวทนา โม่สุ่ยเซียนรีบเข้าไปช่วยจนหญิงหั่วฉงคายมันออกมาได้สำเร็จ ส่วนเฉินซูหนิงนั่งมองและหัวเราะอย่างสำราญใจพลางคิดว่าคงมีแค่ที่นี่ที่เดียวที่นางจะสามารถยิ้มและหัวเราะอย่างมีความสุขได้ เมื่อก้าวออกจากประตูบ้านหลังนี้นางก็ต้องกลับไปเป็นคุณหนูเฉินผู้แสนโหดร้ายเช่นคำเล่าลือดั่งเดิม…ดั่งคำโบราณว่าไว้…ความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ…
ความคิดเห็น