ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เมื่อผู้ดูแลวิญญาณขอร้องให้ฉันเป็นตัวร้ายที่ต้องตายในตอนจบ

    ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ 6 โค้งสุดท้ายก่อนแต่งงาน

    • อัปเดตล่าสุด 30 พ.ค. 67


    บทที่ 6

    โค้งสุดท้ายก่อนแต่งงาน

     

    ณ โรงน้ำชาแห่งหนึ่งแถบชานเมืองของเมืองหลวง ภายในห้องส่วนตัวมีเพียงหญิงสาวใบหน้างดงามและชายหนุ่มที่รูปหน้างดงามพอๆ กับหญิงสาว ทั้งคู่นั่งดื่มชาและกินอาหารเช้ายามสายพร้อมทั้งพูดคุยกันอย่างอารมณ์ดี

    “ถังถัง~ เธอส่งจดหมายที่ฉันให้เขียนไปแล้วใช่ไหม~”

    “ส่งแล้วๆ~”

    “ดีมากๆ ถ้าเธอว่าง่ายแบบนี้ทุกครั้งก็ดีสิ~”

    หญิงหั่วฉงเบิกบานใจกับงานที่กำลังเป็นไปอย่างราบรื่น เขาไม่เคยรู้สึกอารมณ์ดีกับการทำงานมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาทำงานบรรลุเป้าหมายได้อย่างราบรื่นเช่นเดียวกับผู้อื่น

    “เฮ้อ~ ฉันยอมทำเพราะมันเป็นเรื่องเล็กน้อยหรอก อีกไม่นานก็แต่งแล้วคงพอใจแล้วใช่ไหม”

    “ใช่ๆ~”

    “แล้วต่อจากนั้นต้องทำอะไรต่อล่ะ”

    “ไม่ต้องทำอะไรแล้วล่ะ เธอแค่ใช้ชีวิตเป็นพระชายาไปเรื่อยๆ ประมาณสองปีพอถึงเวลาเดี๋ยวหลงเจียวหั่วก็กลับมาพร้อมกับลี่เหมยหลงเอง ถึงตอนนั้นค่อยเล่นบทนางร้ายขี้อิจฉาก็ได้”

    “งั้นแสดงว่าเขาจะไม่อยู่ถึงสองปีเลยเหรอ”

    “อื้ม! เขาจะได้รับคำสั่งด่วนให้ไปออกรบแถวชายแดนทางตอนเหนือหลังแต่งกับเธอได้สามวันน่ะ”

    “โอ้ว~ เยี่ยมไปเลย~ นี่เป็นข่าวดีสำหรับฉันเลยนี่นา~”

    “ใช่ไหมล่ะ คิดซะว่าเป็นพักร้อนก่อนลุยงานใหญ่ชิ้นสุดท้ายก็แล้วกัน เมื่อวันประหารมาถึง…นั่นก็จะเป็นวันสุดท้ายของการทำงานหนักอันแสนเหน็ดเหนื่อย!”

    “มาคิดๆ ดูแล้วมันก็เหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่ปีเองไม่ใช่เหรอ”

    “ก็ใช่…ทำไม! เกิดเสียดายชีวิตขึ้นมารึไง เธอจะผิดสัญญากับฉันไม่ได้นะ!”

    หญิงหั่วฉงวางตะเกียบลงอย่างรวดเร็วพร้อมขึงตามองเฉินซูหนิง ท่าทางเช่นนั้นมิได้ทำให้นางกลัวเลยแม้แต่น้อย กลับกัน…มันช่างดูน่าขันเสียมากกว่า แต่เฉินซูหนิงก็ต้องกลั้นอารมณ์เอาไว้ มิเช่นนั้นคงต้องตามง้ออีกพักใหญ่เป็นแน่

    “รู้แล้วน่า ไม่ผิดสัญญาหรอก แค่คิดว่าที่ผ่านมามันเร็วมากๆ เลยต่างหาก”

    เฉินซูหนิงย้อนคิดถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา แม้จะมีอะไรหลายๆ อย่างเกิดขึ้นทั้งดีทั้งร้ายก็ตามแต่นางก็ยังคำนึงถึงแต่ความสัมพันธ์ดีๆ ที่ก่อตัวขึ้นกับผู้คน เมื่อนึกถึงคราวที่ต้องจากไปก็รู้สึกใจหายไม่น้อย มันคงจะดีหากพวกเขาจะมีชีวิตที่ดีต่อไปแม้นนางจะไม่อยู่บนโลกนี้แล้วก็ตาม…

    “รีบกินเถอะ ฉันจะไปหาเด็กๆ ไม่ได้เจอกันนานแล้วป่านนี้คงซูบผอมกันหมดแล้วมั้ง”

    “เด็กพวกนั้นอยู่ดีกินดีกันทุกวันเธอจะกังวลทำไม”

    “ต้องกังวลสิ พวกเขายังเด็กนะ”

    “เฮ้อ…เอาเถอะๆ ยังไงเรื่องนี้ฉันก็ปล่อยให้เธอทำตามใจชอบมาตั้งนานจะมาห้ามอะไรตอนนี้ก็คงจะสายไปแล้ว”

    หญิงหั่วฉงแสดงสีหน้าเหนื่อยใจ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะไม่ว่ายังไงก็ไม่ได้มีผลกระทบต่องานของเขา เขาจึงปล่อยให้เฉินซูหนิงรับอุปการะเด็กกำพร้าที่ใช้ชีวิตเร่ร่อนอยู่ข้างถนนมาดูแล แม้เด็กพวกนั้นจะน่าสงสารจริง แต่เขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของเหล่ามนุษย์ได้ตามใจชอบ ดังนั้นการปล่อยให้เฉินซูหนิงทำเรื่องแบบนี้จึงถือว่าเป็นผลดีที่สุด

    ไม่นานทั้งสองก็ออกจากโรงน้ำชาพร้อมขนมกุ้ยฮวาจำนวนมาก เนื่องจากเป็นร้านขึ้นชื่อในระแวกนี้จึงทำสดใหม่ทุกวันและมีปริมาณเยอะมากพอต่อความต้องการของผู้คน ทุกครั้งที่เฉินซูหนิงไปหาเด็กๆ นางมักจะแวะมาดื่มชาที่นี่และซื้อขนมกุ้ยฮวาไปฝากจำนวนมาก…มากจนเถ้าแก่จำนางได้ แม้ว่าเฉินซูหนิงจะไม่ได้ปกปิดตัวตนของนางว่าเป็นใคร แต่ก็ไม่เคยบอกใครเช่นกัน หญิงหั่วฉงเองก็เอาแต่เรียกนางว่าถังถังจนผู้คนแถวนั้นพากันเรียกนางว่าคุณหนูถังตามหญิงหั่วฉง

    “นี่! ถังถัง! ขนมเธอก็ซื้อมาเยอะแล้ว เธอยังจะซื้อแป้งซื้อถั่วไปเพิ่มอีกทำไม ไหนจะข้าวและเนื้อสัตว์พวกนี้อีก ฉันลากเกวียนให้เธอไม่ไหวแล้วนะ!”

    หญิงหั่วฉงบ่นฉอดๆ ไม่หยุดตลอดทางที่เดินผ่านร้านรวงต่างๆ ไม่ว่าจะเดินผ่านร้านใดเฉินซูหนิงก็จะแวะซื้อนั้นซื้อนี่จนเต็มเกวียน

    “ชู่ว~ ใช้คำให้ถูกหน่อยสิ เราอยู่ข้างนอกกันแล้วนะถ้ามีคนได้ยินจะเป็นเรื่องเอาได้”

    เฉินซูหนิงเอ่ยเตือนก่อนจะหัวเราะคิกคักเหมือนสนุกกับการได้เห็นหญิงหั่วฉงหงุดหงิด

    “ฮึ่ม! แล้วนั่นเจ้าจะไปไหนน่ะ!”

    “ข้าจะไปซื้อผ้าซื้อนุ่นให้เด็กๆ ปีนี้ลมหนาวพัดมาเร็ว ข้าเป็นห่วงกลัวว่ายามกลางค่ำกลางคืนพวกเขาจะหนาวสั่นกัน”

    ร่างบางพูดเสียงอ่อน ใบหน้าแสร้งแสดงความกังวลออกมาอย่างสุดซึ้ง หญิงหั่วฉงเห็นถึงกับรู้สึกหมั่นไส้ท่าทางเช่นนั้นของนางจึงโวยวายทัดทานออกไป

    “แต่เมื่อปีที่แล้วเจ้าเพิ่งซื้อไปเองนะ!”

    “นั่นมันของปีที่แล้ว ปีนี้ก็ของปีนี้สิ”

    “เจ้าจะซื้อใหม่ตลอดทุกปีไม่ได้นะ!”

    “ได้สิ ก็ข้ามีเงินนี่นาเหตุใดข้าจะซื้อไม่ได้”

    “เจ้า!”

    “หญิงหั่วฉง เจ้าเฝ้าของอยู่นี่แหละ ข้าเข้าไปเพียงครู่เดียวประเดี๋ยวก็ออกมาแล้ว”

    เฉินซูหนิงทิ้งไว้เพียงรอยยิ้มแล้วหายเข้าไปในร้านขายผ้า หญิงหั่วฉงทำได้เพียงกุมขมับและสูดลมหายใจเข้าปอดให้ตัวเองคลายอารมณ์ขุ่นมัว

    [เฮ้อ…ไม่คิดเลยว่าจะใช้เงินได้สิ้นเปลื้องขนาดนี้ ดีนะเกิดเป็นลูกของตระกูลขุนนางใหญ่ ไม่งั้นถังแตกแน่ๆ]

    หญิงหั่วฉงบ่นในใจแต่ก็ยอมทำตามที่เฉินซูหนิงบอกแต่โดยดี ไม่นานนางก็ออกมาพร้อมกับคนงานของร้านขายผ้าจำนวนสามสี่คน ในอ้อมแขนของพวกเขามีม้วนผ้าไหม ม้วนผ้าฝ้าย และนุ่นจำนวนมาก แม้ว่าเนื้อผ้าจะดีไม่เท่าเสื้อผ้าที่นางสวมใส่ แต่ก็ถือว่าเป็นไหมและฝ้ายชั้นดีที่เหล่าตระกูลพ่อค้ามั่งมีมักใช้กัน

    “ถังถัง! นี่เจ้า!...เจ้าซื้อผ้าพวกนี้มาหมดร้านเลยรึไง!”

    หญิงหั่วฉงเห็นผ้าม้วนใหญ่หลายม้วนก็ถึงกับเบิกตาค้าง ตะโกนเสียงดังจนผู้คนแถวนั้นหันมามองกันเป็นตาเดียว ซึ่งแต่เดิมก็มีคนจับจ้องอยู่ก่อนแล้ว เพราะไม่เคยมีผู้ใดซื้อผ้าและนุ่นคุณภาพดีเช่นนี้เป็นจำนวนมากมาก่อน ขนาดพวกพ่อค้าแม่ค้าตระกูลมั่งคั่งยังไม่เคยมีใครกล้าซื้อมากเท่าคุณหนูผู้นี้เลย ทำให้ผู้ที่พบเห็นต่างคาดเดากันไปต่างๆ นานาว่านางเป็นใครกันแน่หรือเป็นลูกเต้าตระกูลใด

    “แหม~ ซื้อไปอย่างไรก็ได้ใช้ เด็กพวกนั้นโตขึ้นทุกวันจะให้ใส่เสื้อผ้าเล็กๆ เก่าๆ ได้เยี่ยงไร”

    เฉินซูหนิงตอบกลับอย่างอารมณ์ดีพลางคิดในใจอย่างไม่นึกเสียดาย

    [ไหนๆ ในอนาคตก็มาหาพวกเขาได้น้อยลงแล้ว และอีกไม่กี่ปีก็ต้องจากกันถาวรซื้อให้พวกเขาไปเยอะๆ นั้นแหละดีแล้ว ยังไงซะในวันข้างหน้ามันก็มีประโยชน์ต่อพวกเขาอยู่ดี]

    “เจ้า!...”

    “ไม่ต้องห่วงนะ จากตรงนี้ไปข้าจะช่วยเจ้าลากเกวียนเอง”

    “แล้วทำไมไม่จ้างเกวียนที่ใช้วัวใช้ม้าเล่า!”

    หญิงหั่วฉงเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ

    “ก็เจ้ามีแรงมากกว่าวัวมากกว่าม้านี่”

    “ถังถัง!”

    “เอาน่า~ เดี๋ยวข้าทำเยวียนเซียวให้กิน”

    “นี่เจ้าเอาขนมมาล่อลวงข้างั้นรึ”

    “เช่นนั้นหมายความว่าเจ้าจะไม่กิน”

    “กินสิ! เจ้ารีบเดินตามข้ามาเลยนะ ไม่ต้องช่วยข้าลากเกวียนเดี๋ยวข้าลากเองเจ้าเก็บแรงไว้ทำเยวียนเซียวเถอะ! ทำเยอะๆ เลยนะ! เข้าใจไหม!”

    ว่าแล้วหญิงหั่วฉงก็รีบเร่งลากเกวียนมุ่งหน้าไปยังที่หมายทันที เห็นดังนั้นเฉินซูหนิงก็แอบหัวเราะอยู่ด้านหลังและเร่งฝีเท้าตามเขาไป

    ไม่นานทั้งสองก็มาหยุดอยู่หน้าประตูไม้บานใหญ่ที่แม้จะดูเก่าแต่ก็ยังไม่ทรุดโทรม ป้ายไม้ใหญ่หน้าประตูถูกสลักคำว่า ‘บ้านโม่น้อย’ ใครผ่านไปผ่านมาก็ว่าช่างดูน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก ชาวบ้านแถวนี้ต่างรู้กันดีว่าบ้านหลังนี้มีแต่เด็กกำพร้าตัวเล็กๆ มารวมตัวอยู่ร่วมกัน พวกเขาต่างพากันเอ็นดูเด็กๆ มีอะไรเล็กๆ น้อยๆ ก็นำมาแบ่งปันให้ แรกเริ่มเดิมทีพวกเขาเพียงแค่อยากรู้อยากเห็นว่าเด็กพวกนี้จะมีนิสัยใจคอเป็นเช่นไร แต่พอได้รู้จักก็พากันเอ็นดูไม่หยุดหย่อน ซึ่งนั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องดีไม่น้อยเลยทีเดียว

    ปึ้ง! ปึ้ง! ปึ้ง!

    เฉินซูหนิงเดินไปเคาะประตูก่อนจะถอยหลังออกมารอหนึ่งก้าว เพียงไม่นานบานประตูไม้ใหญ่ก็ค่อยๆ แง้มเปิด…

    “ใครหรือขอรับ”

    เสียงเด็กชายวัยสิบเอ็ดปีเอ่ยถามผู้มาเยือนอย่างระวัง ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนสายตาขึ้นมองใบหน้าของผู้มาเยือน เมื่อสายตาสบกันกับดวงตาคู่สวย ดวงตาของเด็กชายก็พลันเปลี่ยนเป็นประกายดีใจ ริมฝีปากเล็กฉีกยิ้มกว้างอย่างมีความสุข

    “แล้วเจ้าคิดว่าใครล่ะ”

    “ท่านพี่ซูหนิง!~”

    เด็กชายตะโกนเสียงดังแล้วรีบดึงบานประตูให้เปิดกว้างจากนั้นก็พุ่งตัวเข้าไปกอดหญิงสาวตรงหน้าด้วยความดีใจระคนคะนึงหา

    “อะไรนะ! ท่านพี่ซูหนิงมางั้นเหรอ!”

    เสียงตะโกนจากข้างในดังออกมา ไม่นานเหล่าเด็กตัวน้อยๆ ทั้งชายหญิงหลากหลายวัยต่างพากันวิ่งกรูเข้ามากอดเฉินซูหนิงด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่างจากเด็กชายที่กอดนางก่อนคนแรก

    “นี่! ข้าก็มานะ! เหตุใดพวกเจ้าถึงได้รุมกอดแต่นางผู้เดียวเล่า!”

    หญิงหั่วฉงโวยวายด้วยความรู้สึกอิจฉาเฉินซูหนิงที่เด็กๆ ต่างเอาแต่สนใจนางก่อนตลอดทุกครั้งที่มาหา

    “โธ่~ ท่านพี่หั่วฉง…ท่านจะน้อยใจเช่นสาวน้อยไปไย อย่างไรเสียพวกข้าก็ต้องกอดท่านอยู่แล้ว เพียงแต่อ้อมกอดของท่านพี่ซูหนิงนั่นอบอุ่นมากกว่าจึงต้องกอดนานๆ ก็เท่านั้นเอง”

    เด็กชายวัยสิบเอ็ดปีนามว่า ‘โม่เซี่ยน’ เอ่ยตอบหญิงหั่วฉง เมื่อหญิงหั่วฉงได้ฟังก็ถึงกับตัวสั่นด้วยความโกรธ ก่อนจะชี้นิ้วมาทางกลุ่มก้อนเด็กน้อยแล้วประกาศกร้าวอย่างเป็นปฏิปักษ์และพลันเปลี่ยนอารมณ์เป็นความรู้สึกที่เหนือกว่า

    “เจ้า! พวกเจ้า!...พวกเจ้าคงไม่รู้สินะว่าของในเกวียนที่ข้าลากมามีวัตถุดิบที่ใช้ทำเยวียนเซียวอยู่ด้วยและถังถังบอกว่าจะเป็นคนทำให้กิน ดังนั้น! พวกเจ้าทุกคน! อด! กิน! วะฮ่ะฮ่า!”

    “อะไรนะ! แบบนั้นไม่ได้สิ! ท่านพี่หั่วฉง! พวกข้าผิดไปแล้ว! ให้พวกข้ากินด้วยนะ~”

    “ให้พวกข้ากินด้วยนะ ท่านพี่หั่วฉง!”

    กลุ่มเด็กๆ ต่างพากันรีบเข้าไปกอดหญิงหั่วฉงและออดอ้อนกันยกใหญ่ ส่วนหญิงหั่วฉงนั้นหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ

    เฉินซูหนิงมองภาพตรงหน้าแล้วระบายยิ้มแห่งความสุขออกมา ใบหน้างามดุจเทพเซียนของนางเมื่อมีรอยยิ้มประดับก็ยิ่งงดงามสะกดสายตาทั้งชายหญิง

    “คุณหนูเฉิน”

    เฉินซูหนิงหันกลับไปมองหญิงสาวที่กล่าวทักทายนาง

    ‘โม่สุ่ยเซียน’ คือชื่อของหญิงสาวผู้นี้…นางเป็นอีกคนที่เฉินซูหนิงเคยช่วยเอาไว้เมื่อครั้งยังเยาว์วัย แม้นางจะอายุมากกว่าเฉินซูหนิงถึงสิบปี แต่เพราะได้รับการช่วยเหลือครั้งนั้นนางจึงอยู่ที่นี่เพื่อดูแลเด็กๆ เป็นการตอบแทนบุญคุณ แม้เฉินซูหนิงจะไม่เคยขอเลยก็ตามแต่นางก็ทำด้วยความเต็มใจ

    “เป็นเช่นไรบ้าง มีสิ่งใดที่มิดีเกิดขึ้นหรือไม่”

    เฉินซูหนิงมักจะถามคำถามเดิมทุกครั้งที่มาที่นี่ ด้วยความที่แต่เดิมเป็นคนสมัยใหม่แม้ครานี้จะเกิดเป็นลูกคุณหนูในตระกูลใหญ่โตมีบริวารมากมายคอยดูแลรับใช้แต่นางก็ยังมองว่าช่างเป็นการใช้ชีวิตที่ยากลำบากเสียจริง ขนาดที่ว่าเทียบกับตอนที่นางเคยเป็นเด็กกำพร้าในอดีตกาลยังไม่ลำบากลำบนถึงขั้นนี้ แล้วเด็กพวกนี้ที่ต้องใช้ชีวิตด้วยตัวเองล่ะจะไม่ลำบากมากกว่านางเลยหรือ

    “หึ~ ท่านยังขี้กังวลไม่เปลี่ยน แต่ก็พระขอบคุณเจ้าค่ะที่คอยห่วงใยกันเสมอมา”

    [หัวเราะได้เช่นนี้ แสดงว่าไม่มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นสินะ…ดีแล้วล่ะ]

    โม่สุ่ยเซียนหัวเราะออกมา เห็นเช่นนั้นก็มิได้ว่าอะไรมีเพียงรอยยิ้มบางๆ ที่ประดับบนใบหน้า แววตาประกายความโล่งใจเผยเด่นชัด นางจึงหันไปบอกเด็กๆ ให้ช่วยกันขนของเบาๆ ในเกวียนเข้าไปในบ้าน ส่วนของหนักๆ หญิงหั่วฉงกับโม่สุ่ยเซียนและนางจะเป็นคนยกเข้าไปกันเอง

    “จริงสิ…อาคุนล่ะ ปกติเขาจะเป็นคนออกมาเปิดประตูเองมิใช่รึ เหตุใดวันนี้ถึงเป็นอาเซี่ยน เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า หรือว่า…”

    “ใจเย็นๆ ก่อนเถิดคุณหนูเฉิน ท่านกังวลเกินไปแล้ว”

    ก่อนที่เฉินซูหนิงจะคิดไปไกลกว่านี้ โม่สุ่ยเซียนจึงต้องหยุดความคิดของนางเสียก่อน

    “แล้วเกิดอะไรขึ้นเล่า”

    เฉินซูหนิงแสดงสีหน้าเป็นกังวล กลัวจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น

    เหตุผลที่เป็นกังวลขนาดนี้เป็นเพราะ ‘โม่คุน’ เป็นเด็กหนุ่มที่ไม่ยอมคนและเถรตรงมากเกินไป ครั้งแรกที่นางเจอเด็กหนุ่มคนนี้ก็เกือบปางตายเพราะถูกใส่ความว่าขโมยเงิน แต่เจ้าตัวไม่ยอมรับ…ก็อย่างว่าคนไม่ได้ทำจะยอมรับทำไม การกระทำนั้นทำให้ผู้กล่าวหาหัวเสียและทำร้ายโม่คุนจนเจ็บปางตาย พอครั้งนี้ไม่เห็นโม่คุนอย่างเช่นทุกคราก็กลัวจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น

    “ท่านอดใจรอหน่อยเถิด วันนี้เขาก็คงกลับมาแล้วอย่าได้กังวลมากนักเลย”

    “มิใช่เรื่องไม่ดีใช่ไหม”

    “แน่นอน และไม่ว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไรข้ารับรองได้เลยว่าท่านจะต้องภูมิใจในตัวเขาแน่ๆ”

    โม่สุ่ยเซียนยิ้ม แม้จะกล่าวอะไรที่ทำให้เฉินซูหนิงไม่เข้าใจ แต่คำพูดของนางก็ทำให้เฉินซูหนิงวางใจได้บ้าง

    [ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรขอแค่ให้เกิดเรื่องดีๆ ต่อเขาก็พอแล้วล่ะ]

    คิดได้ดังนั้นเฉินซูหนิงก็เดินเข้าครัวไปกับเด็กวัยแปดถึงสิบสองปีทั้งชายหญิงจำนวนห้าคนเพื่อให้มาเรียนรู้วิธีเก็บวัตถุดิบที่นางซื้อมาและเป็นลูกมือในการทำเยวียนเซียว ส่วนเด็กที่เหลืออีกเจ็ดคนให้ช่วยโม่สุ่ยเซียนและหญิงหั่วฉงจัดการผ้าและนุ่น

    ผ่านไปเกือบสองชั่วยามเยวียนเซียวก็ถูกทำจนเสร็จ หญิงหั่วฉงเป็นคนแรกที่เข้ามารับถ้วยขนมหวานก่อนใครด้วยอารมณ์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความปิติ

    “นี่! หญิงหั่วฉง! เจ้าอย่าเอาไปแต่ของตัวเองสิ! มาช่วยยกถาดนี้ออกไปให้เด็กๆ ด้วย!”

    เฉินซูหนิงตะโกนเรียกหญิงหั่วฉงที่รีบปรี่หนีไปนั่งตักเยวียนเซียวเข้าปากอย่างสบายอารมณ์โดยไม่ฟังคำนางเลยแม้แต่น้อย

    “ฮ่ะๆๆ ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวหมิงหมิงกับอาอี๋จะยกออกไปให้น้องๆ เองเจ้าค่ะ”

    “ใช่ขอรับ แค่ท่านพี่ซูหนิงมาหาพวกเราก็ดีใจมากแล้ว อีกทั้งยังซื้อของมาให้ตั้งมากมายและยังทำเยวียนเซียวให้พวกเรากินอีก ท่านพี่ซูหนิงควรออกไปนั่งพักที่สวนกับคนอื่นๆ ได้แล้วขอรับ ทางนี้พวกเราจะจัดการเอง”

    รอยยิ้มของเด็กๆ ทำให้เฉินซูหนิงใจอ่อนยอมออกจากครัวไปแต่โดยดี

    “ไงล่ะ อยากให้ข้าช่วยสุดท้ายแม้แต่เจ้าเองก็ยังโดนไล่ออกมา”

    หญิงหั่วฉงเอ่ยกระแนะกระแหนทันทีที่เห็นเฉินซูหนิงเดินมานั่งลงข้างโม่สุ่ยเซียน เขาตักก้อนแป้งนุ่มๆ เข้าปากและเคี้ยวอย่างสบายอารมณ์ สายตาก็ทอดมองใบไม้เปลี่ยนสีที่เตรียมผันเปลี่ยนฤดูกาล

    “ปล่อยให้เด็กๆ ได้ทำเถอะคุณหนูเฉิน พวกเขาเองก็อยากตอบแทนท่านบ้างแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม”

    โม่สุ่ยเซียนเอ่ยปลอบ แต่ก็อดที่จะอมยิ้มกับสีหน้าท่าทางเซื่องซึมของร่างบางมิได้

    “เฮ้อ…ข้ารู้ว่าเด็กๆ โตขึ้นทุกวัน พวกเขามีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าใครบางคนแถวนี้เสียอีก”

    เฉินซูหนิงตัดพ้อแต่ก็ไม่วายหันไปพูดแซะหญิงหั่วฉงที่กำลังซดน้ำขิงและเคี้ยวเยวียนเซียวเต็มปาก

    “พูดงี้เจ้าด่าข้ามาตรงๆ เลยดีกว่า!”

    หญิงหั่วฉงวางถ้วยขนมลงแล้วผุดลุกขึ้นยืนชี้หน้าเฉินซูหนิงด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง แต่เฉินซูหนิงกลับหัวเราะร่าไม่เกรงกลัวท่าทีขึงขังที่แสนน่ารักน่าชังนั้นแม้แต่น้อย

    “ใจเย็นๆ เดี๋ยวก็ติดคอหรอก”

    “เจ้า! อึก! แค่กๆๆ!”

    และแล้วสิ่งที่เฉินซูหนิงเอ่ยเตือนก็เกิดขึ้นจริงทันตาเห็น

    ก้อนแป้งลูกใหญ่ติดในลำคอหญิงหั่วฉง เด็กบางคนเข้ามาช่วยทุบหลัง แต่เด็กบางคนก็มองด้วยสายตาเวทนา โม่สุ่ยเซียนรีบเข้าไปช่วยจนหญิงหั่วฉงคายมันออกมาได้สำเร็จ ส่วนเฉินซูหนิงนั่งมองและหัวเราะอย่างสำราญใจพลางคิดว่าคงมีแค่ที่นี่ที่เดียวที่นางจะสามารถยิ้มและหัวเราะอย่างมีความสุขได้ เมื่อก้าวออกจากประตูบ้านหลังนี้นางก็ต้องกลับไปเป็นคุณหนูเฉินผู้แสนโหดร้ายเช่นคำเล่าลือดั่งเดิม…ดั่งคำโบราณว่าไว้…ความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ…

     


     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×