คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 5 โวยวาย
บทที่ 5
โวยวาย
“ไม่พ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมไม่แต่งงานกับนาง!”
ชินอ๋องเป่ยปฏิเสธเสียงแข็ง เส้นอารมณ์ขาดสะบั้นเมื่อได้ยินคำพูดก่อนหน้านี้ของผู้เป็นบิดาแห่งแผ่นดิน
“ฝ่าบาท! พระองค์ทรงเสียสติไปแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ! ทั่วทั้งใต้หล้าใครต่างก็รู้กันดีว่านางเป็นคนเช่นไรแล้วจะให้กระหม่อมแต่งงานกับนางงั้นรึ! เหอะ! ไม่มีทาง! กระหม่อมขอถวายทั้งชีวิตสู้รบอยู่ในสมรภูมิรบเสียยังดีกว่าต้องทำตามความต้องการของนาง!”
เขาลั่นวาจาแข็งกร้าวมิสนใจเลยว่าคนตรงหน้าที่ตนด่าทออยู่นั้นคือใคร
“ผิดแล้ว…นี่เป็นความต้องการของข้าเอง มิใช่ความต้องการของหนิงเอ๋อร์”
ใช่…หากว่ากันตามควมมจริงแล้วสิ่งนี้เป็นความต้องการของพระองค์เอง เพราะสุดท้ายแล้ววันนั้นเฉินซูหนิงก็มิได้ตอบสิ่งที่ต้องการออกมา นางทำเพียงแย้มยิ้มบางๆ และกล่าวปฏิเสธ ดังนั้นนี่จึงถือได้ว่าเป็นความต้องการของพระองค์ที่อยากได้เฉินซูหนิงเป็นน้องสะใภ้!
“กระหม่อม!...”
“เงียบซะเจียวหั่ว”
ชินอ๋องเป่ยชะงักนิ่งทันที สบสายตาคมดุของฮ่องเต้แล้วได้แต่ก้มหน้าเงียบฟังอย่างไม่เต็มใจ
“ข้าจะพูดอีกครั้ง…เจ้าต้องสมรสกับเฉินซูหนิง และนางจะต้องถูกตบแต่งเข้าวังเมืองเป่ยในฐานะชายาเอกเท่านั้น”
“…”
ร่างกำยำกัดฟันข่มอารมณ์โทสะของตนเอง ยิ่งได้ยินประโยคสุดท้ายแสนเย็นชาของฝ่าบาทก็ยิ่งต้องยอมรับอย่างจำใจ
“นี่คือคำสั่งมิใช่คำร้องขอ”
.
.
.
-สามวันต่อมา-
ชินอ๋องเป่ยเร่งมุ่งหน้าไปยังตำหนักรับรองที่ใช้พักรักษาเฉินซูหนิงหวังจะไปคุยเรื่องนี้กับนางให้รู้เรื่อง
หลังจากเข้าเฝ้าฮ่องเต้เมื่อสามวันก่อนเขาก็วุ่นวายกับการจัดการตามรับสั่งอย่างไม่เต็มใจจนไม่มีโอกาสไปหาตัวต้นเรื่องเลยแม้แต่น้อย แต่วันนี้โอกาสนั้นมาถึงแล้ว!
“เฉินซูหนิง!”
เสียงดุดันตะโกนก้องตั้งแต่ยังไม่ก้าวข้ามธรณีประตูทำเอาเหล่านางกำนัลที่กำลังทำแผลให้คุณหนูเฉินพากันตื่นตกใจ
“ท่านอ๋อง! เข้ามามิได้เพคะ!”
‘มามาหลี่’ นางกำนัลคนสนิทของฮองเฮาที่ได้รับหน้าที่ให้มาค่อยดูแลคุณหนูเฉินเอ่ยปรามด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าชินอ๋องเป่ยจะเร่งรุดเข้ามาในห้องหับของสตรีเช่นนี้ แม้นจะมีราชโองการประทานสมรสพระราชทานแก่ชินอ๋องเป่ยกับคุณหนูสกุลเฉินแต่ทั้งคู่ก็ยังมิได้ตบแต่งกันจริงๆ จะเข้าออกเรือนนอนกันง่ายๆ เช่นนี้ย่อมมิได้!
“มามาหลี่…ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ พวกท่านอออกไปก่อนเถอะ”
เฉินซูหนิงกล่าว แต่มามาหลี่ก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ ท้ายที่สุดนางก็ยอมออกไปรอด้านนอกพร้อมกับนางกำนัลคนอื่นๆ แต่ก็มิวายหันกลับมามองด้วยความกังวล
“หม่อมฉันคิดว่าพระองค์จะมาหาเร็วกว่านี้เสียอีกเพคะ”
เฉินซูหนิงเอ่ยขณะที่มือกำลังดึงสาบเสื้อมาคลุมปิดเรือนร่าง
ชินอ๋องเป่ยเสหน้าไปทางอื่น แม้เขาจะเข้ามาโดยพลการแต่ก็ยังมีจิตสำนึกอยู่บ้าง
“ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าไปขอสมรสพระราชทานจากฝ่าบาทคิดหรือว่าข้าจะมาข้องเกี่ยวกับเจ้า”
“หม่อมฉันมิได้ขอเพคะ”
ร่างบางปฏิเสธเสียงเรียบ
“เหอะ! ถ้าไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใคร ใต้เท้าเฉินงั้นรึ”
ชินอ๋องเป่ยหันกลับมาถามน้ำเสียงแดกดัน เขามิอาจเชื่อคำพูดของหญิงสาวตรงหน้าได้ ต่างก็รู้กันดีว่านางต้องการอะไรจากเขา
“พูดไปพระองค์ก็คงมิเชื่อ แต่มันเป็นเรื่องจริงที่ครอบครัวของหม่อมฉันคัดค้านการแต่งงานของเราสองคน”
ชินอ๋องเป่ยมองเฉินซูหนิงด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ
“พระองค์คงจะทราบดีว่าชื่อเสียงของพระองค์เป็นเช่นไร แม้นจะเก่งกาจด้านการรบ รูปโฉมงามสง่าเป็นที่หมายปองของสตรีทั่วใต้หล้า แต่กิริยาวาจาและการกระทำที่ใช้กับพวกนางช่างหยาบคายและป่าเถื่อน มีเพียงอิสตรีนามว่าลี่เหมยหลงเท่านั้นที่พระองค์ทรงอ่อนโยน ถนุถนอม และรักใคร่ เป็นเช่นนี้แล้วพระองค์คิดว่าท่านพ่อและท่านแม่ของหม่อมฉันที่รักหม่อมฉันมากกว่าใครๆ จะยอมให้แต่งงานกับคนเช่นพระองค์งั้นหรือเพคะ โปรดทอดพระเนตรตัวพระองค์เองด้วยเพคะว่ามีพฤติกรรมเช่นใด อย่าได้ทอดพระเนตรแต่พฤติกรรมของผู้อื่นเพียงผู้เดียว”
เฉินซูหนิงเอ่ยถึง ‘ลี่เหมยหลง’ บุตรตรีของขุนนางต่ำศักดิ์ในเขตชายแดนทางตอนเหนือ ผู้เป็นรักแรกและรักเดียวของชินอ๋องเป่ย ทั่วทั้งใต้หล้าต่างรู้กันดีว่าเหตุใดทั้งสองถึงไม่สามารถสมรสกันได้ แม้ว่าชินอ๋องเป่ยจะไปมาหาสู่ครอบครัวของฝ่ายหญิงบ่อยครั้งและทั้งคู่ร่วมกันทำผิดประเวณีจนกลายเป็นเรื่องโจษจันไปทั่ว แต่ถึงอย่างนั้นสถานะของทั้งคู่ก็ยังมิมีอะไรเปลี่ยนแปลงอยู่ดี
“เจ้า!”
ชินอ๋องเป่ยพูดอะไรไม่ออกได้แต่ยืนชี้หน้าเฉินซูหนิงด้วยอารมณ์คุกรุ่น
“ดังนั้นหม่อมฉันจึงขอยืนยันว่าทั้งหม่อมฉันและทั้งตระกูลเฉินไม่มีใครเอ่ยปากขอสมรสพระราชทานจากฝ่าบาทเพคะ”
ได้ฟังคำตอบชัดเจนของว่าที่ชายาแล้วชินอ๋องเป่ยก็ได้แต่กำหมัดแน่นด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองก่อนจะหมุนตัวหมายจะกลับไป แต่ก็ต้องหยุดชะงักแล้วหันกลับมามองนางอีกคราด้วยความแคลงใจ
“เรื่องกบฏลอบปลงพระชนฝ่าบาททางที่ดีพระองค์ควรหาแพะมารับผิดจะดีกว่านะเพคะ จะได้สร้างความสบายใจให้แก่ประชาชนได้ก่อนถึงวันหมั้นหมายของเรา”
“หมายความว่าอย่างไร”
“หมายความว่า…ไม่ว่าพระองค์จะสืบหาหลักฐานจนต้องพลิกเม็ดทรายทุกเม็ดดูทีละเม็ดพระองค์ก็มิอาจหาเจอเพคะ ในเมื่อไม่มีหลักฐานอะไรสักอย่างพระองค์ก็ไม่สามารถสาวความผิดไปถึงบุคคลที่พระองค์สงสัยได้”
รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏบนใบหน้างามแสนซีดเซียว
ชินอ๋องเป่ยเบิกตากว้างพุ่งเข้าไปบีบคอระหง เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันจนสันกรามเด่นชัดยิ่งกว่าเดิม เส้นเลือดนูนปูดขึ้นบนขมับของใบหน้าคม สายตาแข็งกร้าวส่อแววโกรธจัด
“อึก!”
“เป็นเจ้า!”
น้ำเสียงกดต่ำเต็มไปด้วยความโกรธแค้น สายตาคมจ้องมองใบหน้างามที่ขมวดคิ้วทนความเจ็บ ริมฝีปากบางเผยอโกยอากาศเข้าปอด
“เหตุใดต้องทำถึงเพียงนี้! เพียงแค่ต้องการเป็นชายาข้าเจ้าถึงขั้นต้องก่อกบฏเชียวหรือ! ทั้งทั้งที่พี่ข้าดีกับเจ้ามากมายถึงเพียงนี้แต่เจ้าก็ยังกล้าทำ!”
ยิ่งพูดก็ยิ่งบีบรัดเรียวคอเล็กแน่นยิ่งขึ้นจนร่างบางอ่อนแรงจะต่อต้าน เมื่อเห็นเช่นนั้นชินอ๋องเป่ยจึงเหวี่ยงนางให้ล้มนอนราบไปกับเตียงก่อนจะตามไปประกบขึ้นคร่อมบนตัวร่างบางและรวบแขนทั้งสองข้างของนางตรึงไว้เหนือหัว โดยมิสนใจว่าคนใต้ร่างจะเจ็บปวดเพียงใด หรือบาดแผลจะปริจนโลหิตไหลซึมหรือไม่ เขาก็ไม่ยอมผ่อนแรงลงเลยแม้แต่น้อย
“พูดสิ…ว่าเจ้าทำไปทำไม ข้าให้โอกาสเจ้าอธิบาย”
ชินอ๋องเป่ยเอ่ยเสียงเย็น สายตาคมจ้องราวกับจะฉีกร่างบางเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“อึก…พระองค์ก็เห็นมิใช่หรือเพคะ…ตอนนั้นหม่อมฉันอยู่ที่ใดและทำสิ่งใดอยู่ หม่อมฉันมิเคยคิดหันคมดาบทำร้ายฝ่าบาทเลยสักครา เหตุใดถึงใส่ร้ายหม่อมฉันเช่นนี้”
“แต่สิ่งที่เจ้าพูดมันหมายถึงตัวเจ้ามิใช่รึ!”
เขากดแรงลงบนข้อมือเล็กมากขึ้นจนเกิดรอยแดงช้ำไปทั่วบริเวณ หนำซ้ำบาดแผลเก่าที่ยังไม่หายดีก็ปริออกอีกต่างหาก
“แล้วอย่างไรล่ะเพคะ พระองค์ทรงมีหลักฐานงั้นหรือ จะใช่หรือมิใช่พระองค์ก็มิสามารถทำให้หม่อมฉันต้องโทษได้อยู่ดี ต่อให้พระองค์สร้างหลักฐานขึ้นมาแล้วมันจะสามารถมัดตัวหม่อมฉันได้จริงๆ งั้นหรือเพคะ…พระองค์ย่อมรู้ดีที่สุด ทางที่ดีระวังข่าวลือเสียหายแบบผิดๆ แพร่ไปทั่วจะดีกว่านะเพคะ”
เฉินซูหนิงนิ่วหน้ารับความเจ็บปวดแล้วเอ่ยคำพูดแสนเย็นชาออกมา เป็นประโยคที่ไม่ได้ยอมรับผิดแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธความผิดนั้นเช่นกัน ทำให้อารมณ์ของชินอ๋องยิ่งเดือดดาล
“เจ้า…!”
เคร้ง!!
“ขะ…ขออภัยเพคะ! หม่อมฉันเพียงแค่จะนำชามาถวาย มะ…มิได้ตั้งใจเสียมารยาทเพคะ! ได้…ได้โปรดอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ!”
นางกำนัลนางหนึ่งเข้ามาเห็นชินอ๋องเป่ยกำลังคร่อมตัวคุณหนูสกุลเฉินในท่าล่อแหลมก็ถึงกับมือไม้อ่อนปล่อยถาดที่มีถ้วยชาและกาน้ำชาคุณภาพดีหลุดร่วงลงมาแตกกระจายเต็มพื้นก่อนจะรีบคุกเข่าก้มศีรษะชิดพื้นตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว เสียงของตกแตกดังออกไปยังด้านนอกเรียกความสนใจจากเหล่านางกำนัลและเหล่าทหารเฝ้ายามให้เข้ามาในห้อง ทุกคนต่างตกตะลึงกับภาพล่อแหลมตรงหน้าเป็นอย่างมาก มามาหลี่ตกใจถึงขั้นเป็นลมล้มพับไป นางกำนัลทั้งหลายต่างเข้ามาช่วยกันพยุงนาง ความโกลาหลที่เกิดขึ้นทำให้ชินอ๋องเป่ยรีบรุดออกไปจากห้อง แต่ก็ยังมิวายหันมาทิ้งคำพูดสุดท้ายให้เฉินซูหนิงต้องขมวดคิ้วด้วยความรำคาญใจ
“แล้วข้าจะมาหาเจ้าอีกคราหน้า”
[แล้วจะมาอีกทำไมเล่า! ไม่มีเรื่องอะไรให้คุยกันแล้วย่ะ!]
เฉินซูหนิงกล่าวในใจพลางมองแผ่นหลังกำยำเดินจากไป
ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นเฉินซูหนิงก็ไม่เคยได้อยู่คนเดียวตามลำพังอีกเลยและบ่อยครั้งที่ชินอ๋องเป่ยพยายามเข้ามาหานาง แต่ก็ถูกทหารยามสะกัดไม่ให้เข้า เมื่อว่าที่สามีเริ่มรุกหนักขึ้นเรื่อยๆ ฮ่องเต้จึงต้องเรียกชินอ๋องเป่ยเข้าพบเพื่อตักเตือนและสั่งลงโทษกักบริเวณ
ข่าวลือที่ว่าชินอ๋องเป่ยใช้กำลังล่วงเกินคุณหนูสกุลเฉินจนบาดแผลเก่าเปิดได้กระจายไปทั่วเมืองหลวงในเวลาอันสั้น เผลอๆ ข่าวลือไร้มูลนี่อาจจะแพร่สะพัดไปทั่วหล้าแล้วก็เป็นได้ ซ้ำยังถูกบิดเบือนไปตามวาจาของแต่ละคนอีกด้วย ทำเอาใต้เท้าเฉินและฮูหยินเฉินหวั่นวิตกกันไปหลายวัน ตัวตนเรื่องอย่างชินอ๋องเป่ยได้แต่นั่งกุมขมับอยู่ในจวนสกุลหลงของตนเอง เนื่องจากออกไปไหนมิได้เพราะโทษกักบริเวณ มิหนำซ้ำพิธีหมั้นหมายก็ถูกยกเลิกและเปลี่ยนเป็นพิธีสมรสแทน จากที่ต้องสมรสกันในฤดูใบไม้ผลิปีหน้ากลับกลายเป็นสองเดือนข้างหน้าเสียอย่างนั้น!
“ท่านอ๋อง…”
“มีอะไรพ่อบ้านหวัง”
“คนจากสกุลเฉินนำจดหมายมาส่งพ่ะย่ะค่ะ”
ชายชรานำม้วนกระดาษเล็กๆ ยื่นให้ผู้เป็นนาย
“แล้วคนจากสกุลเฉินล่ะ”
ชินอ๋องเป่ยขมวดคิ้วมองม้วนกระดาษเล็กๆ อย่างสงสัย แต่ก็ยอมรับมาแต่โดยดี
“กลับไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ เขาแจ้งว่าเป็นจดหมายที่มิต้องตอบกลับ”
ยิ่งได้ยินเช่นนี้ก็ยิ่งน่าสงสัย เขาอยากรู้นักว่าเนื้อความข้างในจะเป็นอย่างไร…
‘…อีกสองเดือนเจอกันในวันสมรสนะเจ้าคะ…สามี…’
ทันทีที่อ่านลายมือบรรจงแสนงดงามจบในหัวเหมือนมีเสียงหัวเราะเยาะอย่างสนุกสนานดังขึ้นพร้อมภาพใบหน้างามของคุณหนูสกุลเฉินที่กำลังมองด้วยสายตาเย้ยหยัน ชินอ๋องกำจดหมายในมือแน่นและตัวสั่นเทาด้วยความโกรธ บรรดาลูกน้องใต้อาณัติเห็นท่าทางเช่นนั้นก็เกิดความหวาดระแวงว่าเจ้านายของตนจะอาละวาดหรือไม่ ถึงจะไม่รู้ว่าในจดหมายมีเนื้อความว่าอย่างไร แต่คนที่ส่งมาคงจะเป็นคุณหนูสกุลเฉินแน่ๆ เพราะไม่มีใครที่สามารถทำให้ท่านอ๋องของพวกเขาเป็นเช่นนี้ได้นอกจากนางแล้ว
“ดี! ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมเช่นนี้แล้ว ข้าก็จะทำให้เจ้ารู้ซึ้งว่าเจ้าคิดผิด! เฉินซูหนิง!”
นายหารคนสนิทและองครักษ์ต่างพากันลอบถอนหายใจด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ
“พ่อบ้านหวัง!”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าจงกลับไปเมืองเป่ย กลับไปจัดเตรียมงานมงคลของข้ากับเฉินซูหนิงที่จะเกิดขึ้นในอีกสองเดือนข้างหน้านี้ที่วังของข้า และต้องจัดอย่างยิ่งใหญ่อย่าได้ให้ข้าขายหน้าเด็ดขาด!”
“จัดที่เมืองหลวงจะมิดีกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่! ในเมื่อนางจะมาเป็นชายาข้าก็ต้องจัดที่วังของข้าสิ”
รอยยิ้มร้ายฉายชัดบนใบหน้าคมในใจมีแผนการมากมายที่จะทำให้ว่าที่ชายาของตนนั้นมีอารมณ์จนต้องกระอักเลือด
“ท่านอ๋อง…ท่านทราบใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ว่ามิควรกระทำการอันใดให้เกิดเรื่องมิดีมิเช่นนั้นพระองค์จะเดือดร้อนเช่นครานี้อีก”
ชุนลี่เอ่ยเตือนนายตนด้วยสีหน้ากังวล เพราะเกรงว่าจะทำอะไรมิดีเฉกเช่นครั้งก่อนๆ
“เหอะ! ข้ารู้! ข้าถึงได้ยอมแต่งงานกับนางยังไงล่ะ พวกเจ้าเองก็เตรียมรับมือกับนายหญิงคนใหม่ของพวกเจ้าให้ดีๆ เถอะ”
ทั้งหวงเฟ่ยและชุนลี่ต่างคิ้วกระตุกไปไม่เป็นกับคำพูดของผู้เป็นนาย แม้แต่พ่อบ้านหวังก็ยังรู้สึกกังวลใจ แม้นเขาจะไม่เคยเจอว่าที่พระชายาแต่กิตติศัพท์คำร่ำลือของนางก็มิใช่ย่อยเลยจริงๆ…
ความคิดเห็น