ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เมื่อผู้ดูแลวิญญาณขอร้องให้ฉันเป็นตัวร้ายที่ต้องตายในตอนจบ

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 4 เกิดเหตุ

    • อัปเดตล่าสุด 30 พ.ค. 67


    บทที่ 4

    เกิดเหตุ

     

    “ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปีพ่ะย่ะค่ะ”

    เล่าขุนนางน้อยใหญ่ต่างผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาคำนับถวายพระพรแด่ฮ่องเต้ พร้อมทั้งถวายของขวัญของกำนัลมากมายให้แก่พระองค์เพื่อแสดงความจงรักภักดี

    งานเลี้ยงถูกจัดเตรียมขึ้นที่สวนหลวง แม้จะเป็นยามกลางวันแต่ก็มิได้ร้อน เพราะมีเหล่าพันธุ์ไม้ใหญ่ที่ปลุกไว้คอยให้ร่มเงา อีกทั้งไม้ดอกที่แข่งกันเบ่งบานโชยกลิ่นหอมอ่อนกระจายฟุ้งไปตามสายลมที่พัดผ่านตลอดเวลา

    “งานเลี้ยงในวันนี้ที่จัดออกมาได้ยอดเยี่ยมเช่นนี้คงต้องยกความดีความชอบให้คุณหนูเฉินจริงๆ”

    เสนาบดีฝ่ายซ้าย ‘ปู้โหย่วหลิง’ เอ่ยปากชมเฉินซูหนิง ขุนนางท่านอื่นได้ยินต่างก็เห็นด้วยกับใต้เท้าปู้กันยกใหญ่

    “ใต้เท้าปู้กล่าวเกินจริงเจ้าค่ะ ข้าคนเดียวคงมิสามารถทำออกมาได้ดีเช่นนี้ หากจะชมเชยคงต้องชมเชยเหล่าข้าหลวงในวังหลวงเสียมากกว่า”

    เฉินซูหนิงเอ่ยปฏิเสธอย่างถ่อมตน แน่นอนว่าเป็นที่น่าเอ็นดูแก่ขุนนางหลายท่านที่ได้รับฟัง แต่กลับเป็นที่ริษยาของเหล่าคุณหนูตระกูลอื่น แม้แต่พระชายาในองค์ชายบางพระองค์ยังรู้สึกริษยานาง รวมไปถึงเหล่าองค์หญิงด้วยเช่นกัน

    “ไม่หรอกหนิงเอ๋อร์ ที่เสนาบดีปู้กล่าวน่ะถูกต้องแล้ว หากมิได้เจ้างานเลี้ยงวันนี้ก็คงมิออกมาดีเช่นนี้”

    ฮ่องเต้เองก็ทรงเห็นด้วยกับเหล่าขุนนาง เฉินซูหนิงจึงต้องน้อมรับคำชมเชยแต่โดยดีมิเช่นนั้นคงยืดเยื้อต่อไปหากยังดื้อดึงปฏิเสธ

    งานเลี้ยงดำเนินต่อไปด้วยความรื่นเริงจนถึงยามเว่ย เหล่าบรรดาลูกหลานขุนนางต่างผลัดกันออกไปสร้างความสำราญแก่เชื้อพระวงศ์และขุนนางผู้ร่วมงานเพื่อเอาหน้าเอาตาหาผลประโยชน์ให้ตนเองและตระกูล

    …เพียงเสี้ยววินาทีที่เฉินซูหนิงและเหว่ยหลานหยางสบตากัน ต่างก็รับรู้ได้ทันทีว่าทุกอย่างได้เตรียมพร้อมหมดแล้ว…

    “ท่านพ่อ ท่านแม่...ลูกขอไปเตรียมตัวก่อนนะเจ้าคะ”

    “ไปเถอะลูกรัก”

    เมื่อผู้เป็นมารดากล่าวจบเฉินซูหนิงก็ลุกออกไปพร้อมกับนางกำนัลนางหนึ่งที่จะไปช่วยนางแต่งตัวเตรียมถวายการร่ายรำแด่ฝ่าบาทและฮองเฮา เมื่อเตรียมตัวเสร็จนางกำนัลก็พาเฉินซูหนิงกลับมารอเตรียมออกไปแสดง

    “ขอบใจเจ้ามาก เจ้าไปช่วยคนอื่นต่อเถอะ”

    “เจ้าค่ะ”

    นางกำนัลโค้งคำนับแล้วเดินจากไป เฉินซูหนิงสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ความรู้สึกตื่นเต้นที่มากขึ้นทุกนาทีทำให้หัวใจของนางเต้นแรงจนเจ็บในอกไปหมด

    [หญิงหั่วฉง เธออยู่ไหม]

    […]

    [เยี่ยมจริงๆ ทีเวลาสำคัญแบบนี้กลับหายหัวนะ]

    เฉินซูหนิงได้แต่นึกคาดโทษผู้ดูแลวิญญาณไม่เอาไหนอย่างหญิงหั่วฉง สุดท้ายก่อนออกไปแสดงนางก็ได้แต่ภาวนาขอให้แผนการครั้งนี้สำเร็จ หากพลาดขึ้นมาคนที่ลำบากจะมิใช่นางเพียงคนเดียว

    เมื่อการแสดงของเหล่าบุตรหลานตระกูลหนึ่งจบลงเฉินซูหนิงก็เดินเข้าไปแทนที่ นางโค้งคำนับถวายพระพรแด่ฮ่องเต้และฮองเฮาด้วยท่าทางที่นิ่งสงบและสง่างาม ทุกสายตาจับจ้องไปที่นางด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย…บ้างก็ตื่นเต้นยินดี บ้างก็เกลียดชังและริษยา

    “ขอให้ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปีอยู่เคียงคู่ปกครองความสงบสุขของบ้านเมืองสืบต่อไปเพคะ หม่อมฉันขอถวายการร่ายรำหนึ่งบทเพลงแด่ฝ่าบาท หวังว่าความสามารถอันน้อยนิดของหม่อมฉันจะสามารถสร้างความสำราญให้แก่พระองค์ได้ไม่มากก็น้อยเพคะ”

    “โอ้~ สำหรับข้าแล้วนั้นการได้ชมการร่ายรำของเจ้าเปรียบดั่งได้รับการอวยพรจากสวรรค์เสียมากกว่า”

    “หม่อมฉันก็คิดเช่นนั้นเพคะ”

    ฮองเฮาตรัสเห็นด้วยกับฮ่องเต้ เฉินซูหนิงทำได้เพียงน้อมรับและเดินไปประจำจุดซึ่งมิได้ห่างจากพระพักตร์ของทั้งสองพระองค์มากนัก นางสูดลมหายใจเข้าปอดอีกครั้งเพื่อสงบจิตสงบใจตัวเองและตั้งท่าเตรียมตัว

    เมื่อเสียงดนตรีเริ่มบรรเลงท่วงท่าแสนงดงามและนุ่มนวลก็เริ่มต้นขึ้น สะกดทุกสายตาให้จ้องมองไปที่นางแต่เพียงผู้เดียว แม้แต่ชินอ๋องเป่ยที่ตรัสว่ารังเกียจนางนักรังเกียจนางหนายังต้องยอมรับในความสามารถของนาง มิใช่ว่าใครอยากจะทำก็ทำตามได้ หากไม่ฝึกฝนอย่างหนักคงไม่มีทางทำได้เช่นนาง…

    ในขณะที่ทุกคนกำลังเพลิดเพลินและหลงใหลไปกับการแสดงของเฉินซูหนิง เป็นจังหวะเดียวกันกับที่นางหมุนตัวไปส่งสัญญาณให้บุคคลปริศนาที่แอบซ่อนตัวอยู่บนกำแพงวังให้ลงมือทำตามแผน เพียงพริบตาเดียวเสียงลูกธนูวิ่งผ่าอากาศตรงดิ่งไปยังพระที่นั่งของบุคคลสำคัญดังขึ้นแทรกเสียงดนตรี แต่ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงอะไรขึ้นเฉินซูหนิงรีบวิ่งไปบังลูกธนูต่อพระพักตร์ของฮ่องเต้

    “อันตรายเพคะ!!!”

    ฉึก!!

    หัวธนูเหล็กปักแผ่นหลังทะลุทรวงอกร่างบาง ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่าง หยาดโลหิตสีเข้มไหลย้อยตามปลายศรออกมาไม่หยุดก่อนที่ร่างบางจะทรุดลงไปต่อหน้าต่อตาทุกคน เล่าทหารและครอบครัวขุนนางต่างแตกตื่นจนเกิดความโกลาหล

    “หนิงเอ๋อร์!!!”

    “ทหาร!!!”

    “ปกป้องฝ่าบาทและฮองเฮา!!”

    “ทรงบาดเจ็บหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ!!”

    “ตามหมอหลวงมาเร็ว!”

    “จับคนร้ายให้ได้!”

    เสียงแห่งความวุ่นวายดังอึกทึกไปทั่วทั้งวังหลวง เฉินซูหนิงที่พยายามประคับประคองสติไว้เริ่มทนความเจ็บปวดจากพิษบาดแผลไม่ไหว นางละทิ้งความวุ่นวายตรงหน้าทั้งหมดโดยไม่สนใจสิ่งใดอีกต่อไป สติของนางค่อยๆ ดับวูบไปอย่างช้าๆ จนในที่สุดนางก็มิอาจรับรู้ถึงสิ่งใดได้อีก…

    .

    .

    .

    “ถังถัง! ตื่นได้แล้ว! เธอจะนอนไปถึงเมื่อไร!”

    น้ำเสียงขุ่นเคืองของหญิงหั่วฉงปลุกเฉินซูหนิงให้ตื่นขึ้นในห้วงมิติมืดมิดอีกครั้ง

    “ให้ฉันนอนอีกนิดไม่ได้รึไง”

    เฉินซูหนิงค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมองก้อนแสงสีนวล น้ำเสียงงัวเงียปนหงุดหงิดเอ่ยบ่นเล็กน้อย

    “เหอะ! ไม่ต้องมาบ่นเลย นี่เธอทำอะไรลงไปน่ะ”

    “ก็แค่สร้างสถานการณ์…”

    “อันตรายมากนะ!”

    “อย่าบ่นนักสิ แล้ว…ตอนนี้สถานการณ์เป็นไง”

    “ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย”

    “เถอะน่า~”

    หญิงหั่วฉงไม่สบอารมณ์ที่เฉินซูหนิงบ่ายเบี่ยง แต่ก็ทำอะไรนางไม่ได้เลยจำยอมปล่อยผ่านไป

    “เฮ้อ! เอาเรื่องไหนล่ะ”

    “จับคนร้ายได้ไหม”

    “คนร้ายก็คือเธอไม่ใช่รึไง”

    แม้จะไม่เห็นดวงตาของหญิงหั่วฉงแต่ก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่ทิ่มแทงผ่านประโยคเมื่อครู่ได้เป็นอย่างดีจนร่างบางได้แต่ยิ้มแหยๆ ส่งกลับไปให้รู้ว่าตนยอมรับผิดทั้งหมดแล้วจริงๆ

    “ฉันรู้…แต่ที่อยากรู้น่ะคือ…ฝ่าบาททรงทราบหรือยังว่าใครเป็นคนบงการ”

    “ยัง ตามจับใครไม่ได้ ไม่เจอร่องรอย”

    ได้ยินเช่นนั้นเฉินซูหนิงก็รู้สึกโล่งอก แต่ก็ยังมิสามารถวางใจได้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อ เพราะเรื่องครั้งนี้ใหญ่โตยิ่งนัก ต่อให้ลูกน้องของเหว่ยหลานหยางจะเก่งกาจชนิดหาตัวจับได้ยาก แต่มิได้หมายความว่าจะตามหาจับมิได้

    “ส่วนร่างของเธอตอนนี้นอนเป็นผักมาเดือนกว่าแล้ว สภาพดีขึ้นทีละนิดก็จริงแต่ก็ย่ำแย่จนคิดว่าใกล้ตายจริงๆ คิดยังไงถึงให้คนยิงธนูเสียบตัวเองมิหนำซ้ำลูกธนูยังเคลือบยาพิษร้ายแรงไว้อีก”

    “เดี๋ยวไม่เนียน”

    “เฮ้อ…เอาเถอะ มันเกิดขึ้นแล้ว และที่ฉันปลุกเธอเนี่ยก็เพราะว่าถึงเวลาที่เธอควรจะต้องกลับไปได้แล้ว ขืนปล่อยไว้แบบนี้มีหวังพวกเขาเอาเธอฝั่งลงดินแน่”

    “เข้าใจแล้วๆ”

    เฉินซูหนิงรับคำอย่างสำนึกผิดก่อนที่ทุกอย่างตรงหน้าจะดับวูบไปอีกครั้งและไม่กี่นาทีต่อมาประสาทสัมผัสของนางก็เริ่มทำงานในโลกความเป็นจริง

    …กลิ่นยาสมุนไพรตลบอบอวลฟุ้งไปทั่วในอากาศ ความรู้สึกเจ็บแปลบบริเวณจุดที่โดนลูกธนูปักแผ่ซ่านไปทั่วร่าง เปลือกตาบางค่อยๆ เปิดรับแสงสว่างยามเย็น นางค่อยๆ กลอกดวงตามองไปรอบๆ พินิจมองห้องหับที่ไม่คุ้นเคยและไร้ผู้คน ครั้นจะเปล่งเสียงเรียกหาใครก็ทำมิได้ ลำคอของนางแห้งผากจนรู้สึกเจ็บแสบ นางจึงพยายามขยับมองหัวเตียงเพื่อหากาน้ำ เมื่อเจออย่างที่หวังจึงพยายามรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีขยับตัวเอื้อมมือคว้ามัน แต่ยิ่งขยับนางก็ยิ่งเจ็บแผลจนรู้สึกเหมือนว่ามันปริออก ร่างกายที่ไม่ได้ขยับเขยื้อนนานนับเดือนก็ขยับได้ไม่คล่องตัวดั่งใจนึก อย่าว่าแต่ขยับตัวได้ปกติเลยแค่พยายามกระดิกนิ้วยังทำแทบไม่ได้ แต่ก็ยังพยายามเอื้อมหยิบกาน้ำให้ได้ แต่แล้ว…

    “!!!”

    ตุบ!!!

    เสียงร่วงหล่นอย่างรุนแรงของบางสิ่งบางอย่างดังออกไปนอกห้องเรียกความสนใจจากหลายบุคคลที่กำลังยืนสนทนากันให้หันไปมองที่ประตูก่อนที่พวกเขาจะรีบวิ่งกรูเข้ามาในห้อง พบเฉินซูหนิงพยายามพยุงตัวลุกขึ้นจากข้างเตียงอย่างทุลักทุเล เห็นดังนั้นทุกคนต่างก็เบิกตาโพลงและปรี่เข้าไปช่วยนาง

    “หนิงเอ๋อร์!”

    เสียงแห่งความตกใจระคนดีใจดังขึ้นพร้อมกัน ใต้เท้าเฉินกุลีกุจอรีบอุ้มนางขึ้นไปนั่งบนเตียง ฮูหยินเฉินเองก็รีบนำหมอนมาวางรองหลังให้บุตรสาวได้พิงสะดวก

    “เรียกหมอหลวงมาเร็ว!”

    บิดาแห่งแผ่นดินตะโกนสั่งข้าหลวงอย่างร้อนพระทัยและทรงเป็นห่วงเป็นใยหญิงสาวแสนบอบบางนางนี้เป็นอย่างมากไม่แพ้ครอบครัวของนาง

    เฉินซูหนิงได้แต่นิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด ความรู้สึกที่เหมือนแผลเก่าปริกลับมิได้เป็นเพียงแค่ความรู้สึก…โลหิตสีเข้มซึมผ่านเนื้อผ้าสีขาวที่นางสวมใส่ ใบหน้าซีดเซียวพยายามข่มความเจ็บปวดเอาไว้ ลมหายใจเข้าออกหนักๆ และผิดจังหวะทำให้ใครหลายคนเป็นกังวล

    “ลูกรักรอสักประเดี๋ยวหมอหลวงก็มาแล้ว อดทนอีกนิดนะ”

    ฮูหยินเฉินเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ หยาดน้ำใสเอ่อคลอหน่วยตาหวานจวนจะล้นออกมาอยู่รอมร่อ แขนทั้งสองข้างโอบกอดบุตรสาวอย่างระมัดระวังมิกล้าออกแรงมากนัก เพราะกลัวว่าบุตรสาวของตนจะเจ็บไปมากกว่านี้

    เฉินซูหนิงเองก็พยายามเอ่ยเรียกมารดาของตนหวังจะปลอบใจนาง แต่กลับมิมีเสียงใดดังออกมา มีเพียงปากของนางที่ขยับพูดไร้เสียง

    ไม่นานหมอหลวงก็เข้ามาตรวจร่างกายและทำแผลให้นางใหม่

    “อาการของคุณหนูเฉินดีขึ้นมากมิมีพิษร้ายหลงเหลือในร่างกายแล้ว แต่ยังต้องนอนพักอยู่นิ่งๆ สักระยะ มิฉะนั้นบาดแผลอาจจะเปิดเหมือนเช่นครานี้อีก หากบาดแผลสมานกันดีเมื่อใดคุณหนูเฉินอยากจะออกไปเดินเล่นก็ย่อมได้”

    หมอหลวงกล่าวรายงานผลตรวจ แต่มิวายเอ่ยเตือนการกระทำของนางที่ทำให้แผลฉีกเปิด เฉินซูหนิงก้มหัวน้อมรับและกล่าวขอบคุณ แม้เสียงของนางจะแหบแห้งก็ตาม เมื่อหมดหน้าที่หมอหลวงก็ขอตัวกลับไป

    “หนิงเอ๋อร์ พวกเราเป็นห่วงเจ้าเหลือเกินเหตุใดเจ้าถึงทำเช่นนั้น ดูพ่อแม่เจ้าสิ…ร้องห่มร้องไห้ไม่เป็นอันกินอันนอน เฝ้าสวดภาวณาต่อสวรรค์ทุกวันขอให้เจ้าปลอดภัย”

    ฮ่องเต้ตรัสด้วยความห่วงใย แม้จะตำหนินางแต่ก็เป็นคำตำหนิที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงใยที่มีให้ไม่น้อยไปกว่าใคร

    “โปรดประทานอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ หากย้อนกลับไปได้หม่อมฉันก็คงกระทำเช่นเดิม เพราะฝ่าบาททรงสำคัญต่อบ้านเมืองเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับหม่อมฉันแล้ว…หม่อมฉันเป็นเพียงสตรีตัวเล็กๆ มิได้มีบทบาทสำคัญอันใดต่อบ้านเมือง หากต้องสละชีพเพื่อปกป้องพระองค์ หม่อมฉันก็ยินดีเพคะ เป็นเช่นนั้นคงมีประโยชน์มากกว่า”

    “ใต้เท้าเฉิน! เหตุใดเจ้าถึงเลี้ยงลูกให้เป็นคนเช่นนี้!”

    แม้ฮ่องเต้จะทำท่าโวยวายแต่หยดน้ำสีใสแห่งความซาบซึ้งก็หลั่งรินออกมา พระองค์ทรงทอดพระเนตรเฉินซูหนิงมาตั้งแต่เล็ก ทรงเอ็นดูนางดั่งพระขนิษฐาในไส้คนหนึ่ง เฝ้าทอดพระเนตรนางเติบโตเป็นกุลสตรีที่งดงาม มิเคยคาดหวังว่านางจะต้องมาสละชีวิตเพื่อพระองค์เลยสักครา

    “หนิงเอ๋อร์ เจ้าอยากได้สิ่งใดข้าจะมอบทุกความปรารถนาให้กับเจ้าเอง”

    “…”

    เฉินซูหนิงก้มหน้านิ่งในหัวคิดว่าควรไปต่ออย่างไรดี…จะพูดออกไปตรงๆ ก็คงจะดูไม่ดี แต่จะนิ่งเงียบแบบนี้ต่อไปก็ดูจะเสียมารยาท หากคิดถึงสิ่งที่ต้องการจริงๆ คงไม่พ้นเรื่องที่นางแอบอุปการะเด็กกำพร้าไว้จำนวนมากล่ะมั้ง เด็กพวกนั้นยังต้องการอะไรที่มากกว่านี้อีกเยอะเชียวล่ะ ส่วนเรื่องสมรสกับชินอ๋องเป่ยคงมิต้องเอ่ยปากถึงหรอก เกิดเหตุใหญ่เช่นนี้อย่างไรเสียก็คงได้ตบแต่งกันเพราะฮ่องเต้นึกเสียดายในตัวนางเป็นแน่ แม้ว่าจะมีความรักความเอ็นดูแฝงอยู่ด้วยก็ตาม แต่ถ้าคิดถึงเรื่องการเมืองมันก็ยากที่จะปล่อยให้คนสกุลเฉินไปดองกับสกุลอื่นง่ายๆ อีกทั้งยังมีข่าวลือที่แพร่สะพัดมานมนานว่าคุณหนูสกุลเฉินแอบชื่นชมชินอ๋องเป่ย อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็ต้องเข้าพระเนตรพระกรรณของฮ่องเต้อยู่แล้ว และพระองค์คงใช้โอกาสนี้บังคับชินอ๋องเป่ยให้สมรสกับนางเป็นแน่

    “บอกมาเถอะหนิงเอ๋อร์ ไม่ว่าสิ่งใดข้าก็สามารถมอบให้เจ้าได้”

    ฮ่องเต้ตรัสอย่างใจดีพลางสังเกตสีหน้าที่ดูคิดหนักและเซื่องซึมของร่างบาง

    “…สิ่งที่หม่อมฉันปรารถนามากที่สุดมีเพียงหนึ่งอย่างเพคะ แต่…คงเป็นไปมิได้”

    สายตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยทอดมองออกไปข้างนอก

    นางคิดดีแล้วว่าเด็กกำพร้าที่นางแอบอุปการะไว้มิควรให้ผู้ใดล่วงรู้ เพราะอาจนำพาอันตรายไปหาพวกเขาได้

    ฮ่องเต้ที่ทอดพระเนตรท่าทางเช่นนั้นของร่างบางจึงรับรู้ได้ทันทีว่านางหมายถึงสิ่งใด และมิใช่เพียงฮ่องเต้ที่รู้สึกได้ถึงเรื่องนี้ แต่ฮองเฮาและคนทั้งตระกูลเฉินเองก็รู้สึกได้เช่นกัน หากแต่สิ่งที่นางปรารถนากลับมิใช่สิ่งเดียวกันกับที่ทุกคนคาดคิดเนี่ยสิ…

     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×