ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เมื่อผู้ดูแลวิญญาณขอร้องให้ฉันเป็นตัวร้ายที่ต้องตายในตอนจบ

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 3 นัดพบ...?

    • อัปเดตล่าสุด 30 พ.ค. 67


    บทที่ 3

    นัดพบ…?

     

    หลังจากวันที่ชินอ๋องเป่ยปะทะคารมกับเฉินซูหนิงเขาก็มิอาจหยุดคิดถึงสิ่งที่นางเอ่ยทิ้งท้ายไว้พร้อมใบหน้างามที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและรอยยิ้มร้ายของผู้เหนือกว่าแสนหยิ่งทะนง

    …แน่นอนว่าวันนั้นเฉินซูหนิงมิได้แสดงท่าทีหรือสีหน้าเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย นี่เป็นเพียงภาพจำเฉินซูหนิงในสายตาของชินอ๋องเป่ยเท่านั้น…

    [ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าสิ่งใดที่ทำให้เจ้ามั่นใจว่าข้าจะรับเจ้าเป็นภริยา]

    ชินอ๋องเป่ยคิดเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมาและคอยจับตาดูเฉินซูหนิงตลอดเวลา แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ นี่ก็ผ่านมานานนับเดือนแล้ว…นางทำเพียงแค่เดินทางไปกลับระหว่างจวนสกุลเฉินและตำหนักหยงเร่อของฮองเฮาเท่านั้น ไม่แวะที่ใดหรือพบเจอผู้ใด คนใกล้ชิดของนางหรือบ่าวรับใช้ในจวนก็มิได้ติดต่อใครเป็นพิเศษ

    ปึ้ง!

    ชินอ๋องเป่ยทุบโต๊ะอย่างแรงเพื่อระบายความหงุดหงิดในใจ แต่ดูเหมือนจะไม่ช่วยอะไรมีเพียงความเจ็บแปลบๆ เท่านั้นที่สะท้อนกลับมา

    “เจ้าแน่ใจแล้วใช่หรือไม่ว่าคนของนางมิได้ติดต่อใคร”

    “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมส่งคนติดตามคนในจวนสกุลเฉินแต่ก็มิมีผู้ใดมีพิรุธ แม้แต่คุณหนูเฉินเองก็มิได้ติดต่อใครมิได้ไปที่ใดนอกจากวังหลวง และมีเพียงคืนนี้ที่คุณหนูเฉินจะพักที่ตำหนักหยงเร่อพ่ะย่ะค่ะ”

    ‘หวงเฟ่ย’ ทหารคนสนิทเอ่ยรายงานนายของตนตามที่ได้รับข้อมูลมา แต่กลับมิอาจคลายอารมณ์ขุ่นข้องหมองใจของผู้เป็นนายได้เลยสักนิด กลับกันมันกลับเพิ่มความไม่สบายใจให้ผู้เป็นนายมากยิ่งขึ้น

    ชินอ๋องเป่ยได้ฟังก็นิ่งเงียบ ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาไม่เคยวางใจได้เลยสักวัน ไม่รู้ว่าวันใดจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น สู้รบกับศัตรูยังมิต้องคิดแผนตั้งรับหนักเช่นนี้ หากเฉินซูหนิงคิดก่อกบฏเขาคงยากจะรับมือเป็นแน่

    “ท่านอ๋อง กระหม่อมคิดว่าปล่อยเรื่องนี้ไปก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ บางทีคุณหนูเฉินอาจจะแค่กล่าวเฉยๆ มิได้จริงจังก็เป็นได้”

    ‘ชุนลี่’ องครักษ์ข้างกายเสนอเมื่อเห็นว่านายท่านของตนหมกหมุ่นกับเรื่องนี้มากเกินไป

    “เจ้าคิดว่ามีสิ่งใดที่นางทำไม่ได้รึไง”

    คำพูดของชินอ๋องเป่ยทำเอาองครักษ์หนุ่มชะงักค้างไป

    “…เอ่อ…ถึงแม้ว่ากระหม่อมจะมิเคยได้ยินว่ามีสิ่งใดที่คุณหนูเฉินทำมิได้ แต่กระหม่อมมองว่าตอนนี้เราควรพักเรื่องนี้ไว้ก่อนดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ พรุ่งนี้เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของฝ่าบาท อย่างไรเสียตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาคุณหนูเฉินก็วุ่นอยู่กับการเตรียมงานเลี้ยง หากมีแผนการจริงคงมิสามารถลงมือในเร็ววันเป็นแน่ ครั้นจะขอสมรสพระราชทานจากฝ่าบาทคงเป็นไปมิได้…คุณหนูเฉินแม้จะมากฝีมือเพียงใดแต่ก็เป็นสตรีต้องรักษาหน้าตาของวงศ์ตระกูล หากจะขอสมรสพระราชทานจากฝ่าบาทคงขอไปนานแล้วมิต้องรอให้ถึงงานเลี้ยงครั้งนี้หรอกพ่ะย่ะค่ะ”

    องครักษ์หนุ่มร่ายยาวยกความคิดเห็นและความน่าจะเป็นขึ้นมาโน้มน้าวนายของตน

    กล่าวตามตรง…นี่มิใช่ครั้งแรกที่คุณหนูเฉินได้รับหน้าที่จัดงานเลี้ยงภายในวังหลวง และทุกครั้งก็มักจะได้รับคำชมเชยและของตอบแทนมากมาย หากจะทูลขอสมรสพระราชทานคงขอไปนานแล้วจริงๆ มิปล่อยเวลาให้ล่วงเลยมานานเช่นนี้หรอก ใครต่อใครต่างก็รู้กันดีว่าคุณหนูเฉินนั้นมีใจให้ชินอ๋องเป่ยเพียงแต่นางมิได้ตามติดหรือพยายามใกล้ชิดชินอ๋องเป่ยเฉกเช่นสตรีนางอื่นก็เท่านั้น

    “อืม…ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล”

    ชุนลี่พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มสบายใจที่นายของตนคล้อยตาม แต่แล้วก็ต้องหุบยิ้มลงและเหนื่อยใจดั่งเดิมกับประโยคถัดไป

    “แต่ข้าจะวางใจนางมิได้”

    “เช่นนั้นพระองค์จะทรงทำเช่นไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”

    “ข้าจะไปตำหนักหยงเร่อ”

    กล่าวจบ ชินอ๋องเป่ยก็ลุกออกไปโดยไม่สนเสียงทัดทานของผู้ใต้บังคับบัญชาเลยสักนิด

    “แต่ตอนนี้ยามโหย่วจะเข้ายามซวีแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ! ท่านอ๋อง! กระทำเช่นนี้มิเหมาะสมนะพ่ะย่ะค่ะ!”

    .

    .

    .

    -ยามซวี-

    “ท่านอ๋อง…”

    “เงียบซะ”

    “…”

    องครักษ์หนุ่มเอ่ยรั้งเสียงอ่อน แต่ก็ต้องหุบปากเงียบเมื่อเจ้านายสั่งเสียงเข้ม

    “เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะเข้าไปคนเดียว”

    “อะ…เอ่อ! ท่าน…อ๋…อ…ง…มันมิควรพ่ะย่ะค่ะ…เฮ้อ…”

    ชุนลี่เอ่ยทักท้วงเสียงแผ่วเบา มองแผ่นหลังของนายตนเดินเข้าไปในตำหนักหยงเร่ออย่างองอาจแล้วได้แต่ถอนหายใจอยู่ลำพัง

    [ข้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าเหตุใดท่านอ๋องถึงต้องสนใจคำพูดเล็กน้อยของคุณหนูสกุลเฉินมากขนาดนี้ ทั้งที่ปากบอกว่าเกลียดนักเกลียดหนาแท้ๆ เฮ้อ…]

    ทางด้านชินอ๋องเป่ยเมื่อผ่านทหารรักษาการหน้าตำหนักมาได้ก็ตรงดิ่งไปยังห้องพักที่คาดว่าเฉินซูหนิงใช้พักทันที แต่ยังไม่ทันเดินผ่านสวนดอกไม้ในตำหนักก็พบร่างบางกำลังร่ายรำอยู่ตรงกลางสวนท่ามกลางแสงจันทร์และแสงดาวยามค่ำคืน เสียงหวานฮัมเพลงเบาๆ ลอยตามลมมาให้ได้ยิน ฟังแล้วช่างไพเราะยิ่งนัก…

    เขายอมรับว่าคุณหนูสกุลเฉินผู้นี้งดงามกว่าสตรีที่เขาเคยพบเจอมาตลอดชีวิตที่มีลมหายใจอยู่ ทั้งใบหน้าทั้งกิริยางามยิ่งกว่าใครในใต้หล้าและงามยิ่งกว่าคนรักของตน หากนางมิทำตัวเช่นนั้นกับเขาก็คิดว่าเราอาจจะคบหาเป็นมิตรสหายกันได้ แต่นางกลับแสดงท่าทีที่น่ารังเกียจ ซึ่งบุรุษเช่นเขามิชอบสตรีเช่นนาง แม้นางจะแสดงความอ่อนน้อมแต่กลับไม่ถ่อมตน นางมักแสดงท่าทีเหนือกว่าผู้อื่น เป็นสตรีที่หยิ่งผยองและทิฐิสูงเสียดฟ้า ความงดงามและความเพียบพร้อมของนางมิอาจทำให้เขารู้สึกดีต่อนางได้เลยแม้แต่น้อย

    “เฉินซูหนิง”

    ชินอ๋องเป่ยเดินเข้าไปหาเฉินซูหนิงและเอ่ยเรียกนาง เฉินซูหนิงเองเมื่อได้ยินน้ำเสียงคุ้นเคยเอ่ยเรียกก็หันไปตามต้นเสียงและจ้องมองด้วยสีหน้าตกใจระคนงุนงง แต่ก็คำนับทักทายตามปกติ

    [นี่ๆ ถังถัง! ว่าที่สามีเธอมาทำอะไรที่นี่น่ะ!]

    [แล้วฉันจะรู้ไหมล่ะ เธอต้องเป็นฝ่ายที่รู้มากกว่าฉันไม่ใช่รึไง!]

    [ฉันจะไปรู้ได้ยังไงกัน! ฉันมีหน้าที่แค่ดูแลเธอนะ ที่ฉันรู้ก็มีแค่อีเวนต์ใหญ่ๆ ตามที่เง็กเซียงฮ่องเต้บอกก็เท่านั้นแหละ!]

    [เอ้า! งั้นก็ไปถามเง็กเซียงฮ่องเต้มาให้ละเอียดสิ!]

    [จะบ้าเรอะ! ใช่ว่าจะได้เข้าเฝ้ากันง่ายๆ สักหน่อย!]

    [งั้นตอนรับงานทำไมไม่ถามให้ละเอียดเล่า! ฉันล่ะไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงทำผลงานได้น้อย รู้ไหมว่าก่อนจะรับงานอะไรมาต้องมีรายละเอียดที่ชัดเจน ถ้ารับมาแค่เฮดไลน์แบบนี้ยังไงงานก็ออกมาห่วย!]

    [เลิกบ่นเถอะน่า! มันมาถึงขั้นนี้แล้วเธอก็ทำให้เต็มที่เถอะ! ยังไงเธอก็ได้ใช้ชีวิตตามที่อยากด้วยไม่ใช่รึไง ฉันไม่ฟังเธอบ่นแล้ว ไปล่ะ!]

    [นี่! เดี๋ยวสิ! หญิงหั่วฉง!]

    หญิงหั่วฉงรีบชิ่งหนีเฉินซูหนิงไปเพราะเกรงว่าจะโดนนางบ่นไม่เลิก ทิ้งให้นางต้องเผชิญหน้ากับชินอ๋องเป่ยเพียงลำพัง

    ความเงียบเข้าปกคลุมตั้งแต่เฉินซูหนิงคำนับชินอ๋องเป่ย ต่างคนต่างมิได้กล่าวสิ่งใดออกมา

    “เจ้า…”

    “ท่านอ๋อง พระองค์ทรงทราบใช่หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ใด ดึกดื่นเช่นนี้พระองค์มิควรย่างกายเข้ามาเฉียดวังหลังแห่งนี้ หากเรื่องนี้ถูกแพร่งพรายออกไปมันจะมิเกิดเรื่องดีขึ้นนะเพคะ”

    ชินอ๋องเป่ยที่เอ่ยปากพูดก่อนถูกเฉินซูหนิงเอ่ยขัด เขาได้ยินคำพูดเช่นนั้นของนางก็คิ้วกระตุกด้วยความหงุดหงิด

    [เหอะ! แค่เจ้าอ้าปากพูดก็ทำให้ข้ารู้สึกหงุดหงิดได้แล้วจริงๆ!]

    “เจ้าสนเรื่องข่าวลือพวกนั้นด้วยรึ”

    “หม่อมฉันมิสนใจ แต่พระองค์ควรสนพระทัยเพคะ”

    ร่างบางส่ายหน้าไปมาแล้วมองบุรุษตรงหน้าอย่างเหนื่อยใจ

    “เหอะ! เจ้า…”

    ไม่ทันที่ชินอ๋องเป่ยจะได้กล่าวสิ่งใดต่อเสียงทุ้มทรงอำนาจก็ดังขึ้นจากทางด้านหลังของเขา

    “เจียวหั่ว? เจ้ามาทำอะไรที่นี่ดึกดื่นเช่นนี้”

    บิดาแห่งแผ่นดินเอ่ยถามผู้เป็นพระอนุชาพลางเดินขมวดพระขนงเข้ามาใกล้ แต่แล้วก็พบคำตอบที่ไขข้อข้องพระทัยของพระองค์เมื่อทอดพระเนตรคุณหนูสกุลเฉินยืนอยู่กับพระอนุชาของตน

    “อ่า…ข้าเข้าใจล่ะๆ เรื่องของหนุ่มสาวสินะ”

    ฮ่องเต้ส่งสายตาหยอกล้อไปให้ชินอ๋องเป่ย รอยยิ้มกรุ่มกริ่มผุดขึ้นบนพระโอษฐ์ของพระองค์และฮองเฮา แต่ชินอ๋องกลับส่งสายตาปฏิเสธแสดงสีหน้ารังเกียจหญิงสาวคนนี้อย่างไม่คิดปิดบัง

    “มิใช่อย่างที่ฝ่าบาททรงพระดำริหรอกเพคะ”

    นางแก้ต่างเสียงเรียบมิสนใจท่าทางที่ชินอ๋องเป่ยแสดงออกมา

    “เอาน่าหนิงเอ๋อร์ ข้าเองก็มิได้รังเกียจหากเจ้าจะตบแต่งกับน้องชายข้า ข้ายินดีเสียด้วยซ้ำ ฮ่าๆๆ”

    ฮ่องเต้กล่าวอย่างรื่นเริง พระองค์ทรงรู้อยู่แล้วว่าชินอ๋องเป่ยมีคนรักเป็นบุตรสาวของขุนนางต่ำศักดิ์คนหนึ่งในชนบท แต่ที่พระองค์ขัดขวางมิให้ตบแต่งเป็นชายาของพระอนุชาตนก็เพราะว่าครอบครัวของนางมิสามารถสนับสนุนพระอนุชาของตนหรือราชวงศ์ได้ และความรู้ความสามารถที่นางมีก็มิสามารถจัดการเรื่องต่างๆ ในวังของชินอ๋องเป่ยได้เช่นกัน เมื่อเทียบกับเฉินซูหนิงแล้วนั้นช่างแตกต่างกันราวท้องฟ้ากับหุบเหว ถ้าไม่ติดว่าองค์รัชทายาทของพระองค์ยังเด็กเกินไปคงให้เฉินซูหนิงแต่งเป็นชายาขององค์รัชทายาทไปแล้ว

    “ฝ่าบาททรงตรัสอะไรเช่นนั้นเพคะ ชายหญิงยังมิได้หมั้นหมายกันจะตบแต่งกันได้เยี่ยงไร”

    ฮองเฮากล่าวขัดคำพูดของฮ่องเต้ แม้จะเห็นด้วยหากทั้งสองจะเกี่ยวดองกันจริงๆ แต่ก็ต้องนึกถึงขนบธรรมเนียมด้วย

    “อ่า…ใช่ๆ ฮองเฮากล่าวถูกต้อง เจียวหั่ว…เจ้าประพฤติมิถูกรู้ตัวใช่หรือไม่ ชายหญิงแอบลอบพบกันสองต่อสองในที่ลับตาคนเช่นนี้หากมีข่าวลือแพร่งพรายออกไปคนที่เสียหายจะเป็นฝ่ายหญิง เป็นเช่นนั้นเจ้าก็ต้องรับผิดชอบนาง แต่นั่นก็มิได้หมายความว่าข่าวลือเสียๆ หายๆ ที่เกิดขึ้นจะจางหายไป”

    “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมผิดเองที่คิดน้อยไป”

    ชินอ๋องเป่ยก้มหน้ารับผิดแม้ในใจจะรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมที่จะกล่าวโทษเขาแต่เพียงผู้เดียว ทั้งทั้งที่คนที่เป็นฝ่ายล่วงล้ำเข้ามาในที่แห่งนี้โดยไม่ฟังเสียงห้ามปรามของใครก็คือตัวเขาเองแท้ๆ

    “อย่าให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก และอีกอย่างที่นี่คือวังหลัง เจ้ามิใช่เด็กน้อยเช่นเมื่อก่อนแล้วการที่เจ้าทำตัวลับๆ ล่อๆ เข้าออกที่นี่ยามวิกาลย่อมมิเหมาะสมและมิควร หากมีผู้ใดเข้าใจเจ้าผิดข้าคงช่วยอะไรเจ้ามิได้”

    ฮ่องเต้เอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงและสีหน้าจริงจังต่างจากเมื่อครู่ที่หยอกล้อเย้าแหย่ผู้เป็นพระอนุชา

    “พ่ะย่ะค่ะ”

    ชินอ๋องก้มหน้ารับคำตำหนิอย่างนอบน้อม เรื่องนี้เขายอมรับว่าเขาผิดจริงๆ มันเป็นเรื่องที่มิสมควรทำตั้งแต่ต้น แต่เพราะเฉินซูหนิงต่างหากที่ทำให้เขาเคลือบแคลงใจ เขาถึงได้ตัดสินใจทำอะไรแบบนี้ลงไป

    “หนิงเอ๋อร์ วันนี้เจ้าเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว เจ้ารีบเข้านอนเถอะ รุ่งสางยังมีงานต้องทำอีกมากนัก”

    ฮองเฮาหันมากล่าวกับเฉินซูหนิง นางน้อมรับคำของฮองเฮาแล้วคำนับเชื้อพระวงศ์ทั้งสามก่อนจะรีบเดินกลับห้องพัก แต่มิวายสายตาก็ยังเหลือบมองชินอ๋องเป่ยก่อนไปจนเข้าตาสองเหนือหัวอย่างมิได้ตั้งใจ

    ในใจรู้สึกดีใจที่ฮ่องเต้และฮองเฮาต่างทรงเข้าพระทัยผิดว่านางและชินอ๋องเป่ยแอบนัดพบกัน อย่างไรเสียก็คงมีพวกข้าราชบริพารบางคนเอาไปซุบซิบนินทาอยู่แล้ว แม้ว่านางจะไม่รู้ว่าชินอ๋องเป่ยมาทำอะไรที่นี่แต่ก็ถือว่าโชคเข้าข้างนาง หากแผนการวันพรุ่งนี้สำเร็จก็ไม่ต้องกังวลสิ่งใดอีก แค่ปล่อยให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดำเนินไปตามแผนที่เตรียมไว้ก็พอ ส่วนนางจะรอผลลัพท์อยู่เงียบๆ

     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×