คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2 วิธีจับชินอ๋องเป็นสามี
บทที่ 2
วิธีจับชินอ๋องเป็นสามี
[นี่...ถังถัง เธอต้องแต่งงานกับหลงเจียวหั่วได้แล้วนะ]
[ยังไม่ถึงวันเกิดวัยสิบเจ็ดปีของฉันเลยจะรีบอะไรนักหนาเล่า]
[ฉันบอกว่าต้องแต่งก่อนอายุสิบแปด! แต่ไม่ได้หมายความว่าเหลือเวลาอีกแค่ปีเดียวแล้วค่อยแต่ง!]
[เรื่องมากจริงๆ เลิกบ่นซะ ยังไงก็ย้อนเวลากลับไปไม่ได้แล้ว เดี๋ยวจะได้แต่งหลังอายุครบสิบเจ็ดนี่แหละ]
[ฮึ่ย! ครั้งก่อนฉันให้เธอทำตัวร้ายกาจ ก่อความวุ่นวาย และอาละวาดบ่อยๆ แต่ก็ทำไปแค่ครั้งเดียว! แล้วนี่อีเวนต์สำคัญเธอก็ยังล่าช้าอีก!]
[ก็ได้ผลดีไม่ใช่เหรอ]
[ก็ใช่! แต่…!]
[เงียบซะ]
แม้นภายนอกเฉินซูหนิงจะนั่งคีบข้าวเข้าปากอย่างสง่างามและนิ่งสงบแต่ภายในที่ทุกคนต่างไม่มองเห็นคือนางกำลังทะเลาะกับผู้ดูแลวิญญาณหรือชื่อที่นางตั้งให้ว่า ‘หญิงหั่วฉง’ ซึ่งมักอยู่กับนางแทบจะตลอดเวลา และนี่คงเป็นสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เฉินซูหนิงมักจะนิ่งเงียบอยู่ตลอดเวลาเสียมากกว่า
“ท่านพ่อ”
เฉินซูหนิงวางตะเกียบในมือลงก่อนจะเอ่ยเรียกผู้เป็นบิดา
ใต้เท้าเฉินจึงหยุดทานอาหารตรงหน้าและเงียบฟังบุตรสาว
“ลูกอยากสมรสกับชินอ๋องเป่ย”
เคร้ง!
สิ้นคำพูดของเฉินซูหนิงตะเกียบในมือของทุกคนต่างร่วงลงกระทบชามข้าวและโต๊ะ ใบหน้าแสดงความตื่นตระหนกอย่างถึงขีดสุด
“หนิงเอ๋อร์! ลูกพูดอะไรของลูกน่ะ!”
เป็นฮูหยินเฉินที่ตั้งสติได้ก่อนใคร นางขึงตาใส่บุตรสาว แต่ก็ต้องตะลึงค้างไปอีกคราเมื่อได้ฟังคำพูดย้ำชัดเจน
“ลูกต้องการสมรสกับหลงเจียวหั่ว...ลูกพูดชัดพอหรือไม่”
“...หนิงเอ๋อร์...หากเป็นผู้อื่นพ่อยังสามารถช่วยลูกได้ แต่หากเป็นท่านอ๋องเป่ยแล้วนั้น...”
ใต้เท้าเฉินมีสีหน้าตกใจและกังวลไม่ต่างจากภรรยาและบุตรชาย
“เช่นนั้นก็มิเป็นไรเจ้าค่ะ ในเมื่อท่านพ่อมิสามารถทำให้ลูกสมรสกับชินอ๋องเป่ยได้ลูกก็จะจัดการด้วยตนเอง ได้โปรด...อย่าขัดขวางลูกเลยเจ้าค่ะ”
เฉินซูหนิงกล่าวเสียงเรียบไม่รู้สึกยินดียินร้ายอะไรต่อเรื่องนี้ เพียงแค่เอ่ยขึ้นเพื่อดูปฏิกิริยาของคนในครอบครัวก็เท่านั้น
“นะ...หนิงเอ๋อร์...”
ผู้เป็นบิดาพยายามเอ่ยท้วงติงบุตรสาว แต่นางกลับแสร้งทำเป็นไม่สนใจแล้วเอ่ยตัดบทไปเสียดื้อๆ
“ยามซื่อลูกต้องไปเข้าเฝ้าฮองเฮา เช่นนั้นลูกขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”
กล่าวจบนางก็ลุกขึ้นและเดินกลับเรือนพักของตนเองไป มิได้สนใจว่าท่าทีของทุกจะเป็นเช่นไร มิใช่เฉยชาหรือเฉยเมยต่อครอบครัว แต่เป็นเพราะรู้อยู่เต็มอกว่าพวกเขาจะรู้สึกเช่นไรจึงเลือกที่จะเลี่ยงออกมา
[นี่ๆ เธอมีแผนอะไรน่ะ ทำไมถึงได้ขออะไรแบบนั้น]
[ไม่ใช่แผนใหญ่โตอะไร แค่ทำตัวให้สมกับเป็นนางร้ายไง]
[...]
[ฉันรู้นะว่าเธอทำหน้าแบบไหนอยู่]
[อะ!...อะไรกัน! เธอไม่เห็นหน้าฉันสักหน่อย!]
เฉินซูหนิงไม่ได้ตอบอะไรทำเพียงเก็บงำความคิดของตัวเองไว้ไม่บอกใคร แม้แต่หญิงหั่วฉงก็มิได้เอ่ยคำใดให้รับรู้
เมื่อถึงยามซื่อเฉินซูหนิงก็เข้าวังหลวงไปตามปกติดั่งเช่นทุกครา แต่ที่ไม่ปกติคือเส้นทางที่นางใช้เดินทางไปยังตำหนักหยงเร่อของฮองเฮา
“โอ้~ แม่นางเฉิน~ เหตุใดท่านถึงเดินมาทางนี่เล่าตำหนักหยงเร่อไปอีกทางมิใช่หรือ”
…และแล้วนางก็เจอกับบุคคลที่ต้องการพบหน้า
...‘เหว่ยหลานหยาง’ บุตรชายคนโตของสกุลเหว่ย…
“คุณชายเหว่ย”
หญิงสาวโค้งคำนับทักทายบุรุษตรงหน้า
“โธ่~ แม่นางเฉินเราก็คนกันเองมิต้องพิธีรีตองมากนักหรอก แล้ว…ท่านเดินอ้อมมาทางนี้ไม่เหนื่อยหรือ ระยะทางไกลโขเลยนะ~”
คุณชายเหว่ยพูดเย้าแหย่ สายตาเจ้าเล่ห์ดุจจิ้งจอกไล่มองทั่วร่างบาง ใครเห็นก็คงนึกว่าเขากำลังล่วงเกินสาวงามตรงหน้าอยู่เป็นแน่
“คุณชายเหว่ย ข้ามีเรื่องอยากให้ท่านช่วย”
กล่าวจบนางก็แอบยื่นสิ่งที่กำอยู่ในมือให้คนตรงหน้า เขาเองก็รีบรับมาอย่างรู้งานก่อนจะขยับใบหน้าแสนเจ้าเล่ห์เข้ามาใกล้จนเกือบชิดติดแล้วกล่าวกระซิบข้างหู
“เชื่อมือข้าได้เลยซูหนิง”
“จำไว้...ถ้าถูกจับได้ทั้งตระกูลเจ้าและตระกูลข้าต่างไม่เหลือใครให้สืบทอดสายเลือดต่อแน่”
ทั้งสองกระซิบกระซาบกันอย่างสนิทสนม แต่กลับมิมีสิ่งใดที่มองว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาด เพราะทั้งคู่ต่างสนิทสนมกันจริงๆ ตั้งแต่วัยเยาว์โดยที่ไม่มีใครรู้เรื่องของทั้งคู่เลยแม้แต่ผู้เดียว
เป็นคนต่างขั้วที่ไม่คิดว่าจะคบค้าสมาคมกันได้…คนหนึ่งเข้มงวด เจ้าระเบียบ และเงียบนิ่ง ส่วนอีกคนหนึ่งแม้นจะทำงานทำการแต่ก็เสเพลดื่มสุราเคล้านารีอยู่เป็นประจำ และทั้งคู่ต่างก็รู้ตัวตนของกันและกันเป็นอย่างดีเรียกได้ว่ารู้ไส้รู้พุงกันหมดแล้วจนมิสามารถก้าวข้ามความสัมพันธ์นี้ไปได้ หากเปลี่ยนความสัมพันธ์เป็นดองกันคงได้ตีกันจนแก่เฒ่าเป็นแน่
“ชายหญิงมิควรอยู่ใกล้ชิดกันสองต่อสอง ยิ่งเป็นสตรีที่ยังมิมีคู่หมั้นคู่หมายแล้วนั้นยิ่งดูน่าเกลียด”
เจ้าของเสียงทุ้มต่ำเดินเข้ามาใกล้พร้อมกล่าววาจาเหน็บแนม ทั้งคู่หันไปมองคนมาใหม่ด้วยท่าทีนิ่งเรียบเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
เฉินซูหนิงโค้งคำนับอย่างที่นางเคยทำทุกคราที่พบกับเขา ส่วนเหว่ยหลานหยางกลับทำเพียงแค่มองหน้าผู้มาใหม่ด้วยใบหน้ายียวนไม่ทุกข์ร้อนต่อสายตาคมที่จ้องเขม็ง
“โธ่~ ท่านอ๋อง พระองค์ก็ทรงตรัสเกินไปพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมและแม่นางเฉินมิได้กระทำการน่าเกลียดอันใด แม้จะยืนคุยกันสองคนแต่ก็ยังมีธารกำนัลมากมายรวมถึงท่านอ๋องที่ผ่านมาพบเห็น มิได้ลอบพบกันเสียหน่อย หากใครได้ยินที่พระองค์ตรัสเมื่อครู่คงมิวายเอาไปเล่าลือจนแม่นางเฉินเสียหายหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เหว่ยหลานหยางเอ่ยยียวนคนตรงหน้าอย่างไม่เกรงกลัวต่อตำแหน่งและอำนาจของอีกฝ่าย
“เหอะ~ คุณชายเหว่ย ท่านเองก็น่าจะรู้ดีว่าชื่อเสียงของท่านเป็นเช่นไร ต่อให้เป็นผู้อื่นมาพบพวกท่านก็คงจะลือกันเสียๆ หายๆ ไปต่างๆ นานาเป็นแน่”
ชินอ๋องแค่นเสียงหัวเราะและกล่าววาจาเหน็บแหนมตอบโต้กลับ
“โอ้~ งั้นรึๆ หากเป็นเช่นนั้นกระหม่อมคงต้องขอตัว”
กล่าวจบ เหว่ยหลานหยางก็เดินจากไปอย่างรื่นเริงเหลือเพียงความขุ่นใจให้ชินอ๋องเป่ย ถึงอย่างนั้นก็เป็นเพียงความขุ่นใจเล็กๆ มิได้มีผลต่อของเขามากนัก แต่เมื่อหันกลับมามองหญิงสาวตรงหน้าที่จ้องมองเขาด้วยสายตานิ่งงันตั้งแต่พบกันกลับทำให้เขาหงุดหงิดหาใครเทียบได้ แต่เขาก็ต้องกดเก็บอารมณ์นี้ไว้และพยายามเอาตัวเองออกห่างจากนางให้เร็วที่สุด
“ข้าขอตัว”
ชินอ๋องเป่ยหันหลังหมายจะเดินหนีสตรีที่เขารังเกียจ แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อนางเรียกรั้งไว้
“หม่อมฉันมีเรื่องจะพูดคุยกับพระองค์เป็นการส่วนตัวเพคะ โปรดอย่าทรงรีบร้อนหนีหม่อมฉันไปเช่นนั้นเลย”
ร่างกำยำหันกลับมามองด้วยสายตาชิงชังและแสดงท่าทีรังเกียจอย่างไม่ปิดบังอีกต่อไป
“มีสิ่งใดก็รีบกล่าวมา”
แม้จะเห็นท่าทีเช่นนั้นของชินอ๋องเป่ยแต่เฉินซูหนิงก็หาได้รู้สึกรู้สาอะไรไม่ นางทำท่าเมินเฉยไม่แยแสเขาช่างสวนทางกับคำกล่าวของใครหลายคนที่กล่าวว่านางมีความรู้สึกรักใคร่ในตัวเขาเป็นอย่างมากเสียจริง
“หม่อมฉันมีความประสงค์ที่จะเป็นชายาเอกของพระองค์”
สิ้นวาจาของเฉินซูหนิงเส้นความอดทนบางๆ อันน้อยนิดที่มีต่อนางก็ขาดสะบั้น
“ไร้ยางอาย! เจ้าช่างเป็นสตรีที่ไร้ยางอายยิ่งนัก! นี่น่ะเหรอสตรีที่ผู้คนต่างยกย่องว่าเลิศเล่อที่สุดในใต้หล้า! เหอะ! ที่แท้ก็เป็นแค่หญิงไร้ยางอาย!”
“พระองค์จะทรงตรัสเช่นไรก็เรื่องของพระองค์ แต่นอกจากหม่อมฉันก็มิมีใครที่เหมาะสมกับพระองค์อีกแล้วเพคะ แม้แต่คุณหนูบุตรตรีของขุนนางต่ำศักดิ์ผู้นั้นก็ยังมิเหมาะสมกับพระองค์เลยสักนิดเมื่อเทียบกับหม่อมฉัน”
“สามหาว! เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้เอาตัวเองไปเทียบกับนาง! นางดีกว่าเจ้าเป็นร้อยเท่าพันเท่า!”
“หากดีกว่าหม่อมฉันจริงนางคงได้แต่งเข้าวังของพระองค์ไปนานแล้วล่ะเพคะ คงมิถูกฝ่าบาทคัดค้านมาเป็นเวลานานเช่นนี้หรอก”
“เจ้า!...เหอะ! ข้าไม่รู้จะหาคำไหนมาต่อว่าเจ้าเลยจริงๆ! แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็มิมีวันแต่งเจ้าเข้าวังของข้าแน่นอน!”
“หม่อมฉันจะรอดูเพคะ”
กล่าวจบ นางก็คำนับชินอ๋องเป่ยและเดินจากไปทิ้งให้ร่างกำยำยืนเดือดดาลและสับสนกับคำพูดของนางอยู่คนเดียวในหัวเอาแต่คิดว่านางวางแผนอะไรไว้กันแน่ สายตาคมดุมองตามแผ่นหลังเล็กที่ค่อยๆ เดินห่างออกไปและตั้งปฏิญาณกับตนเองในใจ…
[ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นข้าจะไม่มีวันรับเจ้ามาเป็นภริยาเด็ดขาด!]
ความคิดเห็น