ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เมื่อผู้ดูแลวิญญาณขอร้องให้ฉันเป็นตัวร้ายที่ต้องตายในตอนจบ

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2 วิธีจับชินอ๋องเป็นสามี

    • อัปเดตล่าสุด 30 พ.ค. 67


    บทที่ 2

    วิธีจับชินอ๋องเป็นสามี

     

    [นี่...ถังถัง เธอต้องแต่งงานกับหลงเจียวหั่วได้แล้วนะ]

    [ยังไม่ถึงวันเกิดวัยสิบเจ็ดปีของฉันเลยจะรีบอะไรนักหนาเล่า]

    [ฉันบอกว่าต้องแต่งก่อนอายุสิบแปด! แต่ไม่ได้หมายความว่าเหลือเวลาอีกแค่ปีเดียวแล้วค่อยแต่ง!]

    [เรื่องมากจริงๆ เลิกบ่นซะ ยังไงก็ย้อนเวลากลับไปไม่ได้แล้ว เดี๋ยวจะได้แต่งหลังอายุครบสิบเจ็ดนี่แหละ]

    [ฮึ่ย! ครั้งก่อนฉันให้เธอทำตัวร้ายกาจ ก่อความวุ่นวาย และอาละวาดบ่อยๆ แต่ก็ทำไปแค่ครั้งเดียว! แล้วนี่อีเวนต์สำคัญเธอก็ยังล่าช้าอีก!]

    [ก็ได้ผลดีไม่ใช่เหรอ]

    [ก็ใช่! แต่…!]

    [เงียบซะ]

    แม้นภายนอกเฉินซูหนิงจะนั่งคีบข้าวเข้าปากอย่างสง่างามและนิ่งสงบแต่ภายในที่ทุกคนต่างไม่มองเห็นคือนางกำลังทะเลาะกับผู้ดูแลวิญญาณหรือชื่อที่นางตั้งให้ว่า ‘หญิงหั่วฉง’ ซึ่งมักอยู่กับนางแทบจะตลอดเวลา และนี่คงเป็นสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เฉินซูหนิงมักจะนิ่งเงียบอยู่ตลอดเวลาเสียมากกว่า

    “ท่านพ่อ”

    เฉินซูหนิงวางตะเกียบในมือลงก่อนจะเอ่ยเรียกผู้เป็นบิดา

    ใต้เท้าเฉินจึงหยุดทานอาหารตรงหน้าและเงียบฟังบุตรสาว

    “ลูกอยากสมรสกับชินอ๋องเป่ย”

    เคร้ง!

    สิ้นคำพูดของเฉินซูหนิงตะเกียบในมือของทุกคนต่างร่วงลงกระทบชามข้าวและโต๊ะ ใบหน้าแสดงความตื่นตระหนกอย่างถึงขีดสุด

    “หนิงเอ๋อร์! ลูกพูดอะไรของลูกน่ะ!”

    เป็นฮูหยินเฉินที่ตั้งสติได้ก่อนใคร นางขึงตาใส่บุตรสาว แต่ก็ต้องตะลึงค้างไปอีกคราเมื่อได้ฟังคำพูดย้ำชัดเจน

    “ลูกต้องการสมรสกับหลงเจียวหั่ว...ลูกพูดชัดพอหรือไม่”

    “...หนิงเอ๋อร์...หากเป็นผู้อื่นพ่อยังสามารถช่วยลูกได้ แต่หากเป็นท่านอ๋องเป่ยแล้วนั้น...”

    ใต้เท้าเฉินมีสีหน้าตกใจและกังวลไม่ต่างจากภรรยาและบุตรชาย

    “เช่นนั้นก็มิเป็นไรเจ้าค่ะ ในเมื่อท่านพ่อมิสามารถทำให้ลูกสมรสกับชินอ๋องเป่ยได้ลูกก็จะจัดการด้วยตนเอง ได้โปรด...อย่าขัดขวางลูกเลยเจ้าค่ะ”

    เฉินซูหนิงกล่าวเสียงเรียบไม่รู้สึกยินดียินร้ายอะไรต่อเรื่องนี้ เพียงแค่เอ่ยขึ้นเพื่อดูปฏิกิริยาของคนในครอบครัวก็เท่านั้น

    “นะ...หนิงเอ๋อร์...”

    ผู้เป็นบิดาพยายามเอ่ยท้วงติงบุตรสาว แต่นางกลับแสร้งทำเป็นไม่สนใจแล้วเอ่ยตัดบทไปเสียดื้อๆ

    “ยามซื่อลูกต้องไปเข้าเฝ้าฮองเฮา เช่นนั้นลูกขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”

    กล่าวจบนางก็ลุกขึ้นและเดินกลับเรือนพักของตนเองไป มิได้สนใจว่าท่าทีของทุกจะเป็นเช่นไร มิใช่เฉยชาหรือเฉยเมยต่อครอบครัว แต่เป็นเพราะรู้อยู่เต็มอกว่าพวกเขาจะรู้สึกเช่นไรจึงเลือกที่จะเลี่ยงออกมา

    [นี่ๆ เธอมีแผนอะไรน่ะ ทำไมถึงได้ขออะไรแบบนั้น]

    [ไม่ใช่แผนใหญ่โตอะไร แค่ทำตัวให้สมกับเป็นนางร้ายไง]

    [...]

    [ฉันรู้นะว่าเธอทำหน้าแบบไหนอยู่]

    [อะ!...อะไรกัน! เธอไม่เห็นหน้าฉันสักหน่อย!]

    เฉินซูหนิงไม่ได้ตอบอะไรทำเพียงเก็บงำความคิดของตัวเองไว้ไม่บอกใคร แม้แต่หญิงหั่วฉงก็มิได้เอ่ยคำใดให้รับรู้

    เมื่อถึงยามซื่อเฉินซูหนิงก็เข้าวังหลวงไปตามปกติดั่งเช่นทุกครา แต่ที่ไม่ปกติคือเส้นทางที่นางใช้เดินทางไปยังตำหนักหยงเร่อของฮองเฮา

    “โอ้~ แม่นางเฉิน~ เหตุใดท่านถึงเดินมาทางนี่เล่าตำหนักหยงเร่อไปอีกทางมิใช่หรือ”

    …และแล้วนางก็เจอกับบุคคลที่ต้องการพบหน้า

    ...‘เหว่ยหลานหยาง’ บุตรชายคนโตของสกุลเหว่ย…

    “คุณชายเหว่ย”

    หญิงสาวโค้งคำนับทักทายบุรุษตรงหน้า

    “โธ่~ แม่นางเฉินเราก็คนกันเองมิต้องพิธีรีตองมากนักหรอก แล้ว…ท่านเดินอ้อมมาทางนี้ไม่เหนื่อยหรือ ระยะทางไกลโขเลยนะ~”

    คุณชายเหว่ยพูดเย้าแหย่ สายตาเจ้าเล่ห์ดุจจิ้งจอกไล่มองทั่วร่างบาง ใครเห็นก็คงนึกว่าเขากำลังล่วงเกินสาวงามตรงหน้าอยู่เป็นแน่

    “คุณชายเหว่ย ข้ามีเรื่องอยากให้ท่านช่วย”

    กล่าวจบนางก็แอบยื่นสิ่งที่กำอยู่ในมือให้คนตรงหน้า เขาเองก็รีบรับมาอย่างรู้งานก่อนจะขยับใบหน้าแสนเจ้าเล่ห์เข้ามาใกล้จนเกือบชิดติดแล้วกล่าวกระซิบข้างหู

    “เชื่อมือข้าได้เลยซูหนิง”

    “จำไว้...ถ้าถูกจับได้ทั้งตระกูลเจ้าและตระกูลข้าต่างไม่เหลือใครให้สืบทอดสายเลือดต่อแน่”

    ทั้งสองกระซิบกระซาบกันอย่างสนิทสนม แต่กลับมิมีสิ่งใดที่มองว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาด เพราะทั้งคู่ต่างสนิทสนมกันจริงๆ ตั้งแต่วัยเยาว์โดยที่ไม่มีใครรู้เรื่องของทั้งคู่เลยแม้แต่ผู้เดียว

    เป็นคนต่างขั้วที่ไม่คิดว่าจะคบค้าสมาคมกันได้…คนหนึ่งเข้มงวด เจ้าระเบียบ และเงียบนิ่ง ส่วนอีกคนหนึ่งแม้นจะทำงานทำการแต่ก็เสเพลดื่มสุราเคล้านารีอยู่เป็นประจำ และทั้งคู่ต่างก็รู้ตัวตนของกันและกันเป็นอย่างดีเรียกได้ว่ารู้ไส้รู้พุงกันหมดแล้วจนมิสามารถก้าวข้ามความสัมพันธ์นี้ไปได้ หากเปลี่ยนความสัมพันธ์เป็นดองกันคงได้ตีกันจนแก่เฒ่าเป็นแน่

    “ชายหญิงมิควรอยู่ใกล้ชิดกันสองต่อสอง ยิ่งเป็นสตรีที่ยังมิมีคู่หมั้นคู่หมายแล้วนั้นยิ่งดูน่าเกลียด”

    เจ้าของเสียงทุ้มต่ำเดินเข้ามาใกล้พร้อมกล่าววาจาเหน็บแนม ทั้งคู่หันไปมองคนมาใหม่ด้วยท่าทีนิ่งเรียบเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

    เฉินซูหนิงโค้งคำนับอย่างที่นางเคยทำทุกคราที่พบกับเขา ส่วนเหว่ยหลานหยางกลับทำเพียงแค่มองหน้าผู้มาใหม่ด้วยใบหน้ายียวนไม่ทุกข์ร้อนต่อสายตาคมที่จ้องเขม็ง

    “โธ่~ ท่านอ๋อง พระองค์ก็ทรงตรัสเกินไปพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมและแม่นางเฉินมิได้กระทำการน่าเกลียดอันใด แม้จะยืนคุยกันสองคนแต่ก็ยังมีธารกำนัลมากมายรวมถึงท่านอ๋องที่ผ่านมาพบเห็น มิได้ลอบพบกันเสียหน่อย หากใครได้ยินที่พระองค์ตรัสเมื่อครู่คงมิวายเอาไปเล่าลือจนแม่นางเฉินเสียหายหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ”

    เหว่ยหลานหยางเอ่ยยียวนคนตรงหน้าอย่างไม่เกรงกลัวต่อตำแหน่งและอำนาจของอีกฝ่าย

    “เหอะ~ คุณชายเหว่ย ท่านเองก็น่าจะรู้ดีว่าชื่อเสียงของท่านเป็นเช่นไร ต่อให้เป็นผู้อื่นมาพบพวกท่านก็คงจะลือกันเสียๆ หายๆ ไปต่างๆ นานาเป็นแน่”

    ชินอ๋องแค่นเสียงหัวเราะและกล่าววาจาเหน็บแหนมตอบโต้กลับ

    “โอ้~ งั้นรึๆ หากเป็นเช่นนั้นกระหม่อมคงต้องขอตัว”

    กล่าวจบ เหว่ยหลานหยางก็เดินจากไปอย่างรื่นเริงเหลือเพียงความขุ่นใจให้ชินอ๋องเป่ย ถึงอย่างนั้นก็เป็นเพียงความขุ่นใจเล็กๆ มิได้มีผลต่อของเขามากนัก แต่เมื่อหันกลับมามองหญิงสาวตรงหน้าที่จ้องมองเขาด้วยสายตานิ่งงันตั้งแต่พบกันกลับทำให้เขาหงุดหงิดหาใครเทียบได้ แต่เขาก็ต้องกดเก็บอารมณ์นี้ไว้และพยายามเอาตัวเองออกห่างจากนางให้เร็วที่สุด

    “ข้าขอตัว”

    ชินอ๋องเป่ยหันหลังหมายจะเดินหนีสตรีที่เขารังเกียจ แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อนางเรียกรั้งไว้

    “หม่อมฉันมีเรื่องจะพูดคุยกับพระองค์เป็นการส่วนตัวเพคะ โปรดอย่าทรงรีบร้อนหนีหม่อมฉันไปเช่นนั้นเลย”

    ร่างกำยำหันกลับมามองด้วยสายตาชิงชังและแสดงท่าทีรังเกียจอย่างไม่ปิดบังอีกต่อไป

    “มีสิ่งใดก็รีบกล่าวมา”

    แม้จะเห็นท่าทีเช่นนั้นของชินอ๋องเป่ยแต่เฉินซูหนิงก็หาได้รู้สึกรู้สาอะไรไม่ นางทำท่าเมินเฉยไม่แยแสเขาช่างสวนทางกับคำกล่าวของใครหลายคนที่กล่าวว่านางมีความรู้สึกรักใคร่ในตัวเขาเป็นอย่างมากเสียจริง

    “หม่อมฉันมีความประสงค์ที่จะเป็นชายาเอกของพระองค์”

    สิ้นวาจาของเฉินซูหนิงเส้นความอดทนบางๆ อันน้อยนิดที่มีต่อนางก็ขาดสะบั้น

    “ไร้ยางอาย! เจ้าช่างเป็นสตรีที่ไร้ยางอายยิ่งนัก! นี่น่ะเหรอสตรีที่ผู้คนต่างยกย่องว่าเลิศเล่อที่สุดในใต้หล้า! เหอะ! ที่แท้ก็เป็นแค่หญิงไร้ยางอาย!”

    “พระองค์จะทรงตรัสเช่นไรก็เรื่องของพระองค์ แต่นอกจากหม่อมฉันก็มิมีใครที่เหมาะสมกับพระองค์อีกแล้วเพคะ แม้แต่คุณหนูบุตรตรีของขุนนางต่ำศักดิ์ผู้นั้นก็ยังมิเหมาะสมกับพระองค์เลยสักนิดเมื่อเทียบกับหม่อมฉัน”

    “สามหาว! เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้เอาตัวเองไปเทียบกับนาง! นางดีกว่าเจ้าเป็นร้อยเท่าพันเท่า!”

    “หากดีกว่าหม่อมฉันจริงนางคงได้แต่งเข้าวังของพระองค์ไปนานแล้วล่ะเพคะ คงมิถูกฝ่าบาทคัดค้านมาเป็นเวลานานเช่นนี้หรอก”

    “เจ้า!...เหอะ! ข้าไม่รู้จะหาคำไหนมาต่อว่าเจ้าเลยจริงๆ! แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็มิมีวันแต่งเจ้าเข้าวังของข้าแน่นอน!”

    “หม่อมฉันจะรอดูเพคะ”

    กล่าวจบ นางก็คำนับชินอ๋องเป่ยและเดินจากไปทิ้งให้ร่างกำยำยืนเดือดดาลและสับสนกับคำพูดของนางอยู่คนเดียวในหัวเอาแต่คิดว่านางวางแผนอะไรไว้กันแน่ สายตาคมดุมองตามแผ่นหลังเล็กที่ค่อยๆ เดินห่างออกไปและตั้งปฏิญาณกับตนเองในใจ…

    [ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นข้าจะไม่มีวันรับเจ้ามาเป็นภริยาเด็ดขาด!]

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×