ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เมื่อผู้ดูแลวิญญาณขอร้องให้ฉันเป็นตัวร้ายที่ต้องตายในตอนจบ

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 เฉินซูหนิง

    • อัปเดตล่าสุด 30 พ.ค. 67


    บทที่ 1

    เฉินซูหนิง

     

    “เร็วเข้า! ฮูหยินจะคลอดแล้ว! เร่งมือกันหน่อย!”

    “น้ำร้อนอยู่ไหน! รีบเอามาเร็วเข้า!”

    “ฮูหยินหายใจเข้าลึกๆ นะเจ้าคะ”

    เสียงแห่งความวุ่นวายดังไปทั่วจวนสกุลเฉิน อีกทั้งเหล่าบ่าวรับใช้ต่างก็วิ่งกุลีกุจอไปทั่วจวนเพื่อเตรียมต้อนรับทายาทคนแรกของสกุลเฉินที่กำลังจะถือกำเนิด ทุกคนต่างตื่นเต้นกับการคลอดบุตรครั้งแรกของฮูหยินเฉินเป็นอย่างมาก และผู้ที่รู้สึกมากกว่าใครคงไม่พ้นใต้เท้าเฉิน…เขาทั้งตื่นเต้นทั้งเป็นห่วงภรรยาและบุตรที่กำลังจะออกมาลืมตาดูโลก เขาได้แต่เดินวนไปวนมาอยู่หน้าประตูเรือนนอนของตนอย่างมิอาจสงบจิตสงบใจได้ลง

    …เวลาผ่านไปเนิ่นนานและแล้วการรอคอยก็สิ้นสุดลงเมื่อเสียงร้องเล็กแหลมร้องดังลอดออกมาจากห้องหับที่ใช้ทำคลอด

    เป็นใต้เท้าเฉินที่เข้าไปก่อนใคร เขาโผล่เข้ากอดภริยาด้วยความปิติยินดีและห่วงใย

    “เป็นคุณหนูเจ้าค่ะ”

    หมอตำแยกล่าวด้วยความยินดีพร้อมอุ้มส่งคุณหนูน้อยเข้าสู่อ้อมอกของผู้เป็นมารดา

    “ท่านพี่...ดูสิ ช่างน่าเกลียดน่าชังยิ่งนัก”

    ฮูหยินเฉินเอ่ยพร้อมรอยยิ้มแสนหวาน แม้จะอ่อนล้าจากการคลอดบุตรสาวเพียงใดแต่ใบหน้าของนางก็ยังคงงดงามราวกับภาพวาดมิเสื่อมคลาย

    “อื้ม! ดูสิ! นางยิ้มให้ข้าด้วย!”

    ใต้เท้าเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจที่ทารกน้อยเผยยิ้มเล็กให้

    “ข้ายังมิได้ตั้งชื่อให้ลูกเลย ท่านพี่ช่วยข้าได้หรือไม่”

    ได้ยินดังนั้นใต้เท้าเฉินจึงใช้เวลาครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยนามของทารกน้อยออกมา

    “...ซูหนิง...เฉินซูหนิง”

    “ซูหนิงหรือเจ้าคะ”

    “ใช่ ซูที่แปลว่างดงามและหนิงที่แปลว่าความสงบ ลูกสาวของเราจะต้องเติบโตเป็นสาวงามที่สุขุมเหมือนเจ้าเป็นแน่”

    “ช่างเป็นชื่อดีจริงๆ เจ้าค่ะ”

    ฮูหยินเฉินระบายยิ้มออกมาพร้อมซุกกายเข้าอ้อมอกของสามี ทั้งคู่ก้มมองทารกน้อยในอ้อมอกและทารกน้อยเองก็มองพวกเขาตอบเช่นกัน ถึงแม้ว่าภาพที่ทารกน้อยเห็นจะไม่ชัดเจนแต่นางก็พยายามเพ่งพินิจมองบิดามารดาของตนอย่างสุดควมมสามารถ

    [ยินดีต้อนรับสู่ชีวิตใหม่ของเธอนะไป๋ลี่ถัง ไม่สิๆ ฉันต้องเรียกเธอว่าเฉิน~ ซู~ หนิง~]

    เสียงที่แสนคุ้นเคยดังขึ้นภายในหัวของทารกน้อย

    [เฮ้อ...]

    นางทำเพียงถอนหายใจเมื่อได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วนั่น

    [เธออย่าถอนหายใจแบบนั้นสิ! เราต้องอยู่ด้วยกันจนจบภารกิจนี้เลยนะ!]

    ผู้ดูแลวิญญาณโวยวายใส่เฉินซูหนิงเมื่อนางถอนหายใจใส่สิ่งที่คิดว่าน่ารำคาญที่สุดในเวลานี้

    [เงียบซะ ฉันจะนอน จะไปไหนก็ไปก่อนเลย]

    [โธ่~ เริ่มมาก็ไล่ฉันซะแล้ว นี่...เฉินซูหนิง...]

    [ไป๋ลี่ถัง...เรียกฉันว่าไป๋ลี่ถัง]

    [ทำไมล่ะ]

    [...ฉันจะได้ไม่ลืมว่าตัวเองเป็นใคร...]

    [จะเฉินซูหนิงหรือว่าไป๋ลี่ถัง ยังไงก็คือเธอทั้งนั้น]

    […]

    เฉินซูหนิงเงียบแล้วนึกย้อนถึงที่มาของชื่อเก่าตนเอง…

    …ในอดีตครั้งยังเยาว์วัยนางเป็นเพียงเด็กกำพร้าไร้พ่อแม่และญาติพี่น้อง แม้แต่ชื่อที่ใช้เรียกแทนตัวเองก็ยังไม่มี ทุกคนที่พบเจอต่างก็เรียกนางว่าหนูน้อยกันทั้งนั้น มันเกิดเป็นความอ้างว้างแปลกพิกลภายในจิตใจของเด็กน้อยคนหนึ่ง

    เมื่อหันไปมองเด็กกำพร้าคนอื่นๆ ก็เกิดความอิจฉาขึ้นมา แม้ว่าจะกำพร้าเหมือนกันแต่สิ่งที่ไม่เหมือนกันคือ...เด็กกำพร้าพวกนั้นมีชื่อแซ่เป็นของตัวเอง ได้นอนในที่อบอุ่น มีอาหารให้กินทุกมื้ออย่างไม่อดอยาก ต่างจากนางที่เติบโตมาอย่างทุลักทุเลในสลัมที่ไม่มีใครรู้เลยว่าพ่อแม่ของนางคือใคร อาศัยนอนในซอกตรอกแคบๆ เพื่อหลบลมหนาวและน้ำค้างยามค่ำคืน คุ้ยหาเศษอาหารจากถังขยะและเก็บจากข้างถนนเพื่อประทังชีวิตให้รอดไปแต่ละวัน

    …จนกระทั่งวันหนึ่งได้มีหญิงสาวใจดีคนหนึ่งยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเด็กน้อยที่นอนหิวโซใกล้ตายอยู่ในซอกตึกเล็กๆ ผู้หญิงคนนั้นมอบทุกสิ่งที่เด็กน้อยไม่เคยมี…แม้แต่ชื่อ ‘ไป๋ลี่ถัง’ ก็ด้วย ต่อให้ใครจะมองว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างไรแต่สำหรับเด็กน้อยตัวเล็กๆ ที่อยู่คนเดียวตามลำพังมันคือสิ่งที่มาเติมเต็มชีวิตจริงๆ

    [ก็ได้…ฉันจะเรียกเธอว่าไป๋ลี่ถัง ไว้ฉันจะมาใหม่ตอนที่เธอพร้อมจะเป็นนางร้ายก็แล้วกัน]

    กล่าวจบเสียงของผู้ดูแลวิญญาณก็เงียบหายไป ปล่อยให้เฉินซูหนิงได้อยู่กับตัวเอง

    นางปล่อยจิตใจและความคิดให้ล่วงดิ่งลงไปในห้วงนิทราอันเงียบสงัด...

    .

    .

    .

    -สิบเจ็ดปีต่อมา-

    ‘เฉินซูหนิง’ เติบโตเป็นหญิงสาวที่มีใบหน้างดงามดุจเทพเซียน รวมถึงอากัปกิริยาการวางตัวที่งดงามของนางด้วยเช่นกัน ทำให้มีผู้ใหญ่จากหลายตระกูลทั่วทั้งแผ่นดินเข้ามาขอหมั้นหมายนางกับบุตรหลานของพวกเขา แต่ทุกตระกูลกลับถูกนางปฏิเสธ…

    ใช่...เฉินซูหนิงวัยสิบหกย่างสิบเจ็ดปีเอ่ยปากปฏิเสธด้วยตัวของนางเอง ใต้เท้าเฉินและฮูหยินเฉินเองก็มิอาจบังคับนางได้เช่นกัน เพราะพวกเขารักและตามใจเฉินซูหนิงมาตั้งแต่นางเกิด ยิ่งเฉินซูหนิงมิเคยประพฤติตนมิชอบเลยสักครา อีิกทั้งยังหมั่นศึกษาเล่าเรียนสิ่งต่างๆ ที่อิสตรีพึงมีจนเป็นเลิศกว่าใครๆ แม้แต่องค์หญิงหนึ่งก็ยังเทียบนางมิติด มีหรือที่ใต้เท้าเฉินและฮูหยินเฉินจะมิตามใจบุตรสาวเพียงคนเดียว

    เฉินซูหนิง…นางเป็นเลิศในทุกด้านจริงๆ แม้แต่บุรุษบางคนยังอับอายที่มิอาจก้าวข้ามความสารถนางไปได้ อีกทั้งนางยังตามใต้เท้าเฉินและฮูหยินเฉินเข้าวังหลวงยามมีงานเลี้ยงตั้งแต่อายุยังน้อย เคยได้รับโอกาสร่ายรำถวายพระพรแด่ฮ่องเต้และฮองเฮาหลายครั้งหลายครา แน่นอนว่านางได้รับความโปรดปรานจากทั้งสองพระองค์ไม่น้อยเลยทีเดียว

    แต่เมื่อมีคนรักก็ต้องมีคนชัง...หญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกันกับเฉินซูหนิงต่างพากันริษยาทุกสิ่งที่นางมีและทุกสิ่งที่นางได้รับ อีกทั้งยังมีข่าวลือว่าร้ายเฉินซูหนิงว่านางคือปีศาจแสนโหดเหี้ยม เป็นหมาป่าหุ้มหนังแกะ ซึ่งนางก็มิเคยแก้ต่างอะไรในข่าวลือนั้น นางเพียงปล่อยให้มันถูกพูดถึงเช่นนั้นต่อไป เพราะนั่นคือสิ่งที่นางต้องการ…

    ข่าวลือให้ร้ายถูกพูดถึงครั้งแรกตอนเฉินซูหนิงอายุได้เพียงแปดปีเศษ ด้วยความที่นางเป็นคนนิ่งเงียบและวางตัวเป็นหญิงสูงศักดิ์มาตั้งแต่เล็กตั้งแต่น้อยทำให้สาวใช้บางคนในจวนสกุลเฉินนินทาว่าร้ายนาง...

    “นี่ๆ เจ้ามิคิดว่าคุณหนูทำตัวแก่แดดเกินเด็กบ้างหรือไร”

    “เจียงเป่ย! เจ้าอยากตายมากงั้นรึ! ถึงได้กล้าพูดจาสามหาวว่าร้ายคุณหนูเช่นนี้”

    เพื่อนหญิงรับใช้เอ่ยเตือนพร้อมทั้งหันมองซ้ายขวาอย่างร้อนรนใจ กังวลว่าใครอื่นจะมาได้ยินแล้วกลายเป็นเรื่องใหญ่

    “นี่! เจ้าจะกลัวอะไรเล่า! กะอีแค่เด็กแก่แดดคนหนึ่งที่มีบุญเกิดมาในตระกูลใหญ่โตมันจะมีปัญญาทำอะไรใครได้ ลองคิดดูสิ...หากนางมิได้เกิดมาในตระกูลขุนนางผู้ดีเหมือนอย่างตอนนี้ก็คงใช้ชีวิตมิต่างจากพวกเรานักหรอก เผลอๆ อาจจะเก็บดินเก็บหญ้ากินก็เป็นได้ใครจะรู้!”

    “เจียงเป่ย! หุบปากเจ้าเดี๋ยวนี้นะ!”

    “ไม่! ข้าจะพูด ใครจะทำอะไรข้าได้”

    เจียงเป่ยไม่ยอมหยุดแม้เพื่อนจะเอ่ยเตือนครั้งแล้วครั้งเล่าก็ตาม

    “เช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้าเห็นว่าข้าสามารถทำอะไรได้บ้าง”

    วินาทีนั้นเจียงเป่ยรู้สึกเย็นวาบไปทั่วทั้งร่างก่อนจะค่อยๆ หันหลังไปสบตากับคนที่นางเพิ่งเอ่ยวาจาจาบจ้วงไป

    “คะ...คุณ...คุณหนู! ขะ...ขออภัยเจ้าค่ะ! ข้า! ข้าผิดไปแล้วเจ้าค่ะ! ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วยเถอะเจ้าค่ะ!”

    เจียงเป่ยรีบคุกเข่าก้มหัวชิดพื้น แต่เฉินซูหนิงมองนางด้วยสายตาราบเรียบก่อนจะหันไปมองหญิงรับใช้อีกคนที่คุกเข่าอยู่ข้างๆ ตัวต้นเรื่อง

    “เจ้า”

    “จะ...เจ้าค่ะ!”

    “ไปทำงานของเจ้าซะ”

    นางเหลือบมองเจียงเป่ยและคุณหนูสลับกันไปมาอย่างหวาดๆ

    “อย่าให้ข้าต้องพูดซ้ำ”

    “จะ...เจ้าค่ะ! ไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ!”

    กล่าวจบนางก็รีบลุกขึ้นหนีไปแม้ใจจะห่วงเพื่อนแต่นางเองก็ต้องห่วงตัวเองด้วยเช่นกัน

    เจียงเป่ยเห็นเช่นนั้นก็ตกใจพยายามคว้าชายผ้าของเพื่อนเอาไว้ แต่ก็มิอาจคว้าไว้ได้ทัน

    “ส่วนเจ้า...”

    “คุณหนูได้โปรดให้อภัยข้า!”

    เจียงเป่ยรีบคลานมาเกาะเท้าเฉินซูหนิงพร้อมขอร้องอ้อนวอน แต่ก็โดนหญิงรับใช้ข้างกายของเฉินซูหนิงลากตัวออกห่างจากผู้เป็นนาย

    “ตอนเจ้าพูดไยเจ้าไม่คิด! ครานี้จะมาขอร้องให้คุณหนูอภัยให้งั้นรึ! ไม่เกินไปหน่อยหรือไร!”

    “เสี่ยวเฟย ซีเจิ้ง”

    “เจ้าค่ะ คุณหนู/เจ้าค่ะ คุณหนู”

    สาวใช้ทั้งสองตอบรับคนเป็นนายอย่างพร้อมเพรียงกัน

    “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าสัตว์เดรัจฉานที่ดุร้ายต้องเฆี่ยนตีเท่านั้นมันถึงจะยอมเชื่อฟัง”

    “เจ้าค่ะ/เจ้าค่ะ”

    “ปากเปราะๆ นั่นก็ด้วย…หากมิฉีกถึงใบหูก็มิต้องหยุด”

    “รับทราบเจ้าค่ะ/รับทราบเจ้าค่ะ”

    …และการลงโทษก็เริ่มต้นขึ้น ต่อให้คุณชายน้อยวัยห้าขวบจะผ่านมาเห็นก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด…

    “ว๊าย! คุณชายน้อยอย่ามองเจ้าค่ะ!”

    หญิงรับใช้รีบยกมือปิดตาคุณชายน้อยทันทีพร้อมทั้งรีบอุ้มขึ้นหวังจะพาออกไปจากตรงนี้โดยเร็ว แต่กลับช้าเกินไป…เพราะคุณหนูเฉินหันมาเรียกให้พาคุณชายน้อยเข้าไปหา

    “ท่านพี่...”

    “เฉินซีห่าว เจ้าจงดูและจดจำไว้ให้ดี…ในอนาคตเจ้าจะต้องขึ้นเป็นหัวหน้าครอบครัว อนาคตของสกุลเฉินจะอยู่ในมือเจ้า บ่าวรับใช้ทั้งหลายจะอยู่ใต้อาณัติเจ้า ดังนั้น…เจ้าต้องเข้มงวดอย่าให้บ่าวรับใช้มีพฤติกรรมปากเปราะนินทาว่าร้ายเจ้านายเช่นนี้ มิจำเป็นต้องอ่อนข้อหรือปล่อยผ่านเรื่องบางเรื่องไป สกุลเฉินของเราว่าจ้างให้พวกเขามาทำงานให้เรา มิได้ว่าจ้างให้พวกเขามาดูหมิ่นดูแคลนเรา”

    “ข้าจะจำไว้ขอรับ”

    คุณชายน้อยตอบรับคำของพี่สาวอย่างเชื่อฟัง

    หลังจากนั้นสองพี่น้องสกุลเฉินก็ยืนดูการลงโทษนี้จนจบ เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นเฉินซูหนิงจึงไปส่งเฉินซีห่าวกลับเรือนพักและไปแจ้งเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้ใต้เท้าเฉินและฮูหยินเฉินได้รับรู้

    เรื่องราวในวันนั้นเป็นที่เลืองลือไปทั่วทั้งเมืองหลวง แม้จะมีการใส่สีตีไข่ลงไปบ้างแต่ก็มิได้เกินจริงมากนัก ทำให้เหล่าคนที่อิจฉาและเกลียดชังนางมักเข้ามาหาเรื่องพูดเหน็บแนมว่าร้ายทุกครั้งที่พบหน้า แต่ก็โดนเฉินซูหนิงตอกกลับจนมิอาจกล่าวสิ่งใดได้อีก เฉินซูหนิงเป็นคนมิค่อยพูดและมิเคยหาเรื่องผู้ใดก่อน แต่หากได้เอ่ยก็มีแต่วาจาเจ็บแสบให้อีกฝ่ายได้เจ็บใจเล่น

    และเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เองทำให้ใต้เท้าเฉินและฮูหยินเฉินต้องคัดเลือกบ่าวในจวนใหม่ทั้งหมด แต่มิได้กล่าวโทษบุตรสาวของตนเลยแม้แต่น้อย หลังจากนั้นเฉินซูหนิงจึงเป็นที่เลืองลือในทุกด้านทุกการกระทำทั้งในและนอกเมืองหลวงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา...

     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×