คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 เฉินซูหนิง
บทที่ 1
เฉินซูหนิง
“เร็วเข้า! ฮูหยินจะคลอดแล้ว! เร่งมือกันหน่อย!”
“น้ำร้อนอยู่ไหน! รีบเอามาเร็วเข้า!”
“ฮูหยินหายใจเข้าลึกๆ นะเจ้าคะ”
เสียงแห่งความวุ่นวายดังไปทั่วจวนสกุลเฉิน อีกทั้งเหล่าบ่าวรับใช้ต่างก็วิ่งกุลีกุจอไปทั่วจวนเพื่อเตรียมต้อนรับทายาทคนแรกของสกุลเฉินที่กำลังจะถือกำเนิด ทุกคนต่างตื่นเต้นกับการคลอดบุตรครั้งแรกของฮูหยินเฉินเป็นอย่างมาก และผู้ที่รู้สึกมากกว่าใครคงไม่พ้นใต้เท้าเฉิน…เขาทั้งตื่นเต้นทั้งเป็นห่วงภรรยาและบุตรที่กำลังจะออกมาลืมตาดูโลก เขาได้แต่เดินวนไปวนมาอยู่หน้าประตูเรือนนอนของตนอย่างมิอาจสงบจิตสงบใจได้ลง
…เวลาผ่านไปเนิ่นนานและแล้วการรอคอยก็สิ้นสุดลงเมื่อเสียงร้องเล็กแหลมร้องดังลอดออกมาจากห้องหับที่ใช้ทำคลอด
เป็นใต้เท้าเฉินที่เข้าไปก่อนใคร เขาโผล่เข้ากอดภริยาด้วยความปิติยินดีและห่วงใย
“เป็นคุณหนูเจ้าค่ะ”
หมอตำแยกล่าวด้วยความยินดีพร้อมอุ้มส่งคุณหนูน้อยเข้าสู่อ้อมอกของผู้เป็นมารดา
“ท่านพี่...ดูสิ ช่างน่าเกลียดน่าชังยิ่งนัก”
ฮูหยินเฉินเอ่ยพร้อมรอยยิ้มแสนหวาน แม้จะอ่อนล้าจากการคลอดบุตรสาวเพียงใดแต่ใบหน้าของนางก็ยังคงงดงามราวกับภาพวาดมิเสื่อมคลาย
“อื้ม! ดูสิ! นางยิ้มให้ข้าด้วย!”
ใต้เท้าเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจที่ทารกน้อยเผยยิ้มเล็กให้
“ข้ายังมิได้ตั้งชื่อให้ลูกเลย ท่านพี่ช่วยข้าได้หรือไม่”
ได้ยินดังนั้นใต้เท้าเฉินจึงใช้เวลาครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยนามของทารกน้อยออกมา
“...ซูหนิง...เฉินซูหนิง”
“ซูหนิงหรือเจ้าคะ”
“ใช่ ซูที่แปลว่างดงามและหนิงที่แปลว่าความสงบ ลูกสาวของเราจะต้องเติบโตเป็นสาวงามที่สุขุมเหมือนเจ้าเป็นแน่”
“ช่างเป็นชื่อดีจริงๆ เจ้าค่ะ”
ฮูหยินเฉินระบายยิ้มออกมาพร้อมซุกกายเข้าอ้อมอกของสามี ทั้งคู่ก้มมองทารกน้อยในอ้อมอกและทารกน้อยเองก็มองพวกเขาตอบเช่นกัน ถึงแม้ว่าภาพที่ทารกน้อยเห็นจะไม่ชัดเจนแต่นางก็พยายามเพ่งพินิจมองบิดามารดาของตนอย่างสุดควมมสามารถ
[ยินดีต้อนรับสู่ชีวิตใหม่ของเธอนะไป๋ลี่ถัง ไม่สิๆ ฉันต้องเรียกเธอว่าเฉิน~ ซู~ หนิง~]
เสียงที่แสนคุ้นเคยดังขึ้นภายในหัวของทารกน้อย
[เฮ้อ...]
นางทำเพียงถอนหายใจเมื่อได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วนั่น
[เธออย่าถอนหายใจแบบนั้นสิ! เราต้องอยู่ด้วยกันจนจบภารกิจนี้เลยนะ!]
ผู้ดูแลวิญญาณโวยวายใส่เฉินซูหนิงเมื่อนางถอนหายใจใส่สิ่งที่คิดว่าน่ารำคาญที่สุดในเวลานี้
[เงียบซะ ฉันจะนอน จะไปไหนก็ไปก่อนเลย]
[โธ่~ เริ่มมาก็ไล่ฉันซะแล้ว นี่...เฉินซูหนิง...]
[ไป๋ลี่ถัง...เรียกฉันว่าไป๋ลี่ถัง]
[ทำไมล่ะ]
[...ฉันจะได้ไม่ลืมว่าตัวเองเป็นใคร...]
[จะเฉินซูหนิงหรือว่าไป๋ลี่ถัง ยังไงก็คือเธอทั้งนั้น]
[…]
เฉินซูหนิงเงียบแล้วนึกย้อนถึงที่มาของชื่อเก่าตนเอง…
…ในอดีตครั้งยังเยาว์วัยนางเป็นเพียงเด็กกำพร้าไร้พ่อแม่และญาติพี่น้อง แม้แต่ชื่อที่ใช้เรียกแทนตัวเองก็ยังไม่มี ทุกคนที่พบเจอต่างก็เรียกนางว่าหนูน้อยกันทั้งนั้น มันเกิดเป็นความอ้างว้างแปลกพิกลภายในจิตใจของเด็กน้อยคนหนึ่ง
เมื่อหันไปมองเด็กกำพร้าคนอื่นๆ ก็เกิดความอิจฉาขึ้นมา แม้ว่าจะกำพร้าเหมือนกันแต่สิ่งที่ไม่เหมือนกันคือ...เด็กกำพร้าพวกนั้นมีชื่อแซ่เป็นของตัวเอง ได้นอนในที่อบอุ่น มีอาหารให้กินทุกมื้ออย่างไม่อดอยาก ต่างจากนางที่เติบโตมาอย่างทุลักทุเลในสลัมที่ไม่มีใครรู้เลยว่าพ่อแม่ของนางคือใคร อาศัยนอนในซอกตรอกแคบๆ เพื่อหลบลมหนาวและน้ำค้างยามค่ำคืน คุ้ยหาเศษอาหารจากถังขยะและเก็บจากข้างถนนเพื่อประทังชีวิตให้รอดไปแต่ละวัน
…จนกระทั่งวันหนึ่งได้มีหญิงสาวใจดีคนหนึ่งยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเด็กน้อยที่นอนหิวโซใกล้ตายอยู่ในซอกตึกเล็กๆ ผู้หญิงคนนั้นมอบทุกสิ่งที่เด็กน้อยไม่เคยมี…แม้แต่ชื่อ ‘ไป๋ลี่ถัง’ ก็ด้วย ต่อให้ใครจะมองว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างไรแต่สำหรับเด็กน้อยตัวเล็กๆ ที่อยู่คนเดียวตามลำพังมันคือสิ่งที่มาเติมเต็มชีวิตจริงๆ
[ก็ได้…ฉันจะเรียกเธอว่าไป๋ลี่ถัง ไว้ฉันจะมาใหม่ตอนที่เธอพร้อมจะเป็นนางร้ายก็แล้วกัน]
กล่าวจบเสียงของผู้ดูแลวิญญาณก็เงียบหายไป ปล่อยให้เฉินซูหนิงได้อยู่กับตัวเอง
นางปล่อยจิตใจและความคิดให้ล่วงดิ่งลงไปในห้วงนิทราอันเงียบสงัด...
.
.
.
-สิบเจ็ดปีต่อมา-
‘เฉินซูหนิง’ เติบโตเป็นหญิงสาวที่มีใบหน้างดงามดุจเทพเซียน รวมถึงอากัปกิริยาการวางตัวที่งดงามของนางด้วยเช่นกัน ทำให้มีผู้ใหญ่จากหลายตระกูลทั่วทั้งแผ่นดินเข้ามาขอหมั้นหมายนางกับบุตรหลานของพวกเขา แต่ทุกตระกูลกลับถูกนางปฏิเสธ…
ใช่...เฉินซูหนิงวัยสิบหกย่างสิบเจ็ดปีเอ่ยปากปฏิเสธด้วยตัวของนางเอง ใต้เท้าเฉินและฮูหยินเฉินเองก็มิอาจบังคับนางได้เช่นกัน เพราะพวกเขารักและตามใจเฉินซูหนิงมาตั้งแต่นางเกิด ยิ่งเฉินซูหนิงมิเคยประพฤติตนมิชอบเลยสักครา อีิกทั้งยังหมั่นศึกษาเล่าเรียนสิ่งต่างๆ ที่อิสตรีพึงมีจนเป็นเลิศกว่าใครๆ แม้แต่องค์หญิงหนึ่งก็ยังเทียบนางมิติด มีหรือที่ใต้เท้าเฉินและฮูหยินเฉินจะมิตามใจบุตรสาวเพียงคนเดียว
เฉินซูหนิง…นางเป็นเลิศในทุกด้านจริงๆ แม้แต่บุรุษบางคนยังอับอายที่มิอาจก้าวข้ามความสารถนางไปได้ อีกทั้งนางยังตามใต้เท้าเฉินและฮูหยินเฉินเข้าวังหลวงยามมีงานเลี้ยงตั้งแต่อายุยังน้อย เคยได้รับโอกาสร่ายรำถวายพระพรแด่ฮ่องเต้และฮองเฮาหลายครั้งหลายครา แน่นอนว่านางได้รับความโปรดปรานจากทั้งสองพระองค์ไม่น้อยเลยทีเดียว
แต่เมื่อมีคนรักก็ต้องมีคนชัง...หญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกันกับเฉินซูหนิงต่างพากันริษยาทุกสิ่งที่นางมีและทุกสิ่งที่นางได้รับ อีกทั้งยังมีข่าวลือว่าร้ายเฉินซูหนิงว่านางคือปีศาจแสนโหดเหี้ยม เป็นหมาป่าหุ้มหนังแกะ ซึ่งนางก็มิเคยแก้ต่างอะไรในข่าวลือนั้น นางเพียงปล่อยให้มันถูกพูดถึงเช่นนั้นต่อไป เพราะนั่นคือสิ่งที่นางต้องการ…
ข่าวลือให้ร้ายถูกพูดถึงครั้งแรกตอนเฉินซูหนิงอายุได้เพียงแปดปีเศษ ด้วยความที่นางเป็นคนนิ่งเงียบและวางตัวเป็นหญิงสูงศักดิ์มาตั้งแต่เล็กตั้งแต่น้อยทำให้สาวใช้บางคนในจวนสกุลเฉินนินทาว่าร้ายนาง...
“นี่ๆ เจ้ามิคิดว่าคุณหนูทำตัวแก่แดดเกินเด็กบ้างหรือไร”
“เจียงเป่ย! เจ้าอยากตายมากงั้นรึ! ถึงได้กล้าพูดจาสามหาวว่าร้ายคุณหนูเช่นนี้”
เพื่อนหญิงรับใช้เอ่ยเตือนพร้อมทั้งหันมองซ้ายขวาอย่างร้อนรนใจ กังวลว่าใครอื่นจะมาได้ยินแล้วกลายเป็นเรื่องใหญ่
“นี่! เจ้าจะกลัวอะไรเล่า! กะอีแค่เด็กแก่แดดคนหนึ่งที่มีบุญเกิดมาในตระกูลใหญ่โตมันจะมีปัญญาทำอะไรใครได้ ลองคิดดูสิ...หากนางมิได้เกิดมาในตระกูลขุนนางผู้ดีเหมือนอย่างตอนนี้ก็คงใช้ชีวิตมิต่างจากพวกเรานักหรอก เผลอๆ อาจจะเก็บดินเก็บหญ้ากินก็เป็นได้ใครจะรู้!”
“เจียงเป่ย! หุบปากเจ้าเดี๋ยวนี้นะ!”
“ไม่! ข้าจะพูด ใครจะทำอะไรข้าได้”
เจียงเป่ยไม่ยอมหยุดแม้เพื่อนจะเอ่ยเตือนครั้งแล้วครั้งเล่าก็ตาม
“เช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้าเห็นว่าข้าสามารถทำอะไรได้บ้าง”
วินาทีนั้นเจียงเป่ยรู้สึกเย็นวาบไปทั่วทั้งร่างก่อนจะค่อยๆ หันหลังไปสบตากับคนที่นางเพิ่งเอ่ยวาจาจาบจ้วงไป
“คะ...คุณ...คุณหนู! ขะ...ขออภัยเจ้าค่ะ! ข้า! ข้าผิดไปแล้วเจ้าค่ะ! ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วยเถอะเจ้าค่ะ!”
เจียงเป่ยรีบคุกเข่าก้มหัวชิดพื้น แต่เฉินซูหนิงมองนางด้วยสายตาราบเรียบก่อนจะหันไปมองหญิงรับใช้อีกคนที่คุกเข่าอยู่ข้างๆ ตัวต้นเรื่อง
“เจ้า”
“จะ...เจ้าค่ะ!”
“ไปทำงานของเจ้าซะ”
นางเหลือบมองเจียงเป่ยและคุณหนูสลับกันไปมาอย่างหวาดๆ
“อย่าให้ข้าต้องพูดซ้ำ”
“จะ...เจ้าค่ะ! ไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ!”
กล่าวจบนางก็รีบลุกขึ้นหนีไปแม้ใจจะห่วงเพื่อนแต่นางเองก็ต้องห่วงตัวเองด้วยเช่นกัน
เจียงเป่ยเห็นเช่นนั้นก็ตกใจพยายามคว้าชายผ้าของเพื่อนเอาไว้ แต่ก็มิอาจคว้าไว้ได้ทัน
“ส่วนเจ้า...”
“คุณหนูได้โปรดให้อภัยข้า!”
เจียงเป่ยรีบคลานมาเกาะเท้าเฉินซูหนิงพร้อมขอร้องอ้อนวอน แต่ก็โดนหญิงรับใช้ข้างกายของเฉินซูหนิงลากตัวออกห่างจากผู้เป็นนาย
“ตอนเจ้าพูดไยเจ้าไม่คิด! ครานี้จะมาขอร้องให้คุณหนูอภัยให้งั้นรึ! ไม่เกินไปหน่อยหรือไร!”
“เสี่ยวเฟย ซีเจิ้ง”
“เจ้าค่ะ คุณหนู/เจ้าค่ะ คุณหนู”
สาวใช้ทั้งสองตอบรับคนเป็นนายอย่างพร้อมเพรียงกัน
“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าสัตว์เดรัจฉานที่ดุร้ายต้องเฆี่ยนตีเท่านั้นมันถึงจะยอมเชื่อฟัง”
“เจ้าค่ะ/เจ้าค่ะ”
“ปากเปราะๆ นั่นก็ด้วย…หากมิฉีกถึงใบหูก็มิต้องหยุด”
“รับทราบเจ้าค่ะ/รับทราบเจ้าค่ะ”
…และการลงโทษก็เริ่มต้นขึ้น ต่อให้คุณชายน้อยวัยห้าขวบจะผ่านมาเห็นก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด…
“ว๊าย! คุณชายน้อยอย่ามองเจ้าค่ะ!”
หญิงรับใช้รีบยกมือปิดตาคุณชายน้อยทันทีพร้อมทั้งรีบอุ้มขึ้นหวังจะพาออกไปจากตรงนี้โดยเร็ว แต่กลับช้าเกินไป…เพราะคุณหนูเฉินหันมาเรียกให้พาคุณชายน้อยเข้าไปหา
“ท่านพี่...”
“เฉินซีห่าว เจ้าจงดูและจดจำไว้ให้ดี…ในอนาคตเจ้าจะต้องขึ้นเป็นหัวหน้าครอบครัว อนาคตของสกุลเฉินจะอยู่ในมือเจ้า บ่าวรับใช้ทั้งหลายจะอยู่ใต้อาณัติเจ้า ดังนั้น…เจ้าต้องเข้มงวดอย่าให้บ่าวรับใช้มีพฤติกรรมปากเปราะนินทาว่าร้ายเจ้านายเช่นนี้ มิจำเป็นต้องอ่อนข้อหรือปล่อยผ่านเรื่องบางเรื่องไป สกุลเฉินของเราว่าจ้างให้พวกเขามาทำงานให้เรา มิได้ว่าจ้างให้พวกเขามาดูหมิ่นดูแคลนเรา”
“ข้าจะจำไว้ขอรับ”
คุณชายน้อยตอบรับคำของพี่สาวอย่างเชื่อฟัง
หลังจากนั้นสองพี่น้องสกุลเฉินก็ยืนดูการลงโทษนี้จนจบ เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นเฉินซูหนิงจึงไปส่งเฉินซีห่าวกลับเรือนพักและไปแจ้งเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้ใต้เท้าเฉินและฮูหยินเฉินได้รับรู้
เรื่องราวในวันนั้นเป็นที่เลืองลือไปทั่วทั้งเมืองหลวง แม้จะมีการใส่สีตีไข่ลงไปบ้างแต่ก็มิได้เกินจริงมากนัก ทำให้เหล่าคนที่อิจฉาและเกลียดชังนางมักเข้ามาหาเรื่องพูดเหน็บแนมว่าร้ายทุกครั้งที่พบหน้า แต่ก็โดนเฉินซูหนิงตอกกลับจนมิอาจกล่าวสิ่งใดได้อีก เฉินซูหนิงเป็นคนมิค่อยพูดและมิเคยหาเรื่องผู้ใดก่อน แต่หากได้เอ่ยก็มีแต่วาจาเจ็บแสบให้อีกฝ่ายได้เจ็บใจเล่น
และเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เองทำให้ใต้เท้าเฉินและฮูหยินเฉินต้องคัดเลือกบ่าวในจวนใหม่ทั้งหมด แต่มิได้กล่าวโทษบุตรสาวของตนเลยแม้แต่น้อย หลังจากนั้นเฉินซูหนิงจึงเป็นที่เลืองลือในทุกด้านทุกการกระทำทั้งในและนอกเมืองหลวงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา...
ความคิดเห็น