คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : บทที่ 9 ชายาเอกแห่งเมืองเป่ย
บทที่ 9
ชายาเอกแห่งเมืองเป่ย
พิธีไหว้ฟ้าดินถูกดำเนินการตามขนบธรรมเนียมและสิ้นสุดในเวลาอันรวดเร็ว ชินอ๋องเป่ยปรายตามองคนที่เพิ่งเป็นภริยาอย่างถูกต้องตามกฎหมายและขนบธรรมเนียบของตน มันช่างเป็นสายตาเย็นชาที่แสนชิงชังเสียเหลือเกิน ก่อนจะหันหลังสะบัดชายเสื้อหนีไปโดยไม่กล่าวอะไร ทิ้งให้พระชายายืนนิ่งเงียบเพียงคนเดียวในโถงรับรอง ท่ามกลางข้ารับใช้ที่ก้มหน้าก้มตาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นหรือเอ่ยสิ่งใด
“…เอ่อ…ยินดีต้อนรับพ่ะย่ะค่ะพระชายา กระหม่อมมีนามว่าหวังจือ เป็นพ่อบ้านคอยดูแลรับใช้ที่วังแห่งนี้พ่ะย่ะค่ะ”
เป็นพ่อบ้านหวังที่เอ่ยทำลายความเงียบนี้ ตัวเขาเองตั้งแต่เกิดมาจนอายุปูนนี้ก็เพิ่งเคยเจองานสมรสที่จบเร็วแบบนี้เป็นครั้งแรก อีกทั้งยังไม่มีแขกเหรื่อมาร่วมงานแม้แต่คนเดียว แม้แต่ญาติฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิงก็ไม่มีสักคน มิหนำซ้ำบ้านฝ่ายหญิงยังประกาศตัดขาดสัมพันธ์กับเจ้าสาวอีกต่างหาก แม้จะจัดขบวนแห่เกี้ยวเจ้าสาวอย่างยิ่งใหญ่ก็ตามแต่กลับมีเพียงแค่ของขวัญร่วมแสดงความยินดีชิ้นน้อยใหญ่เท่านั้นที่ถูกส่งมาจากตระกูลต่างๆ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะนายท่านของตนยกเลิกกำหนดการงานเลี้ยงฉลองกระทันนั่นแหละ
…ช่างเป็นงานสมรสที่เงียบสงัดและหดหู่เสียจริง…
นี่เป็นครั้งแรกที่พ่อบ้านหวังเจอพระชายา ชายชราจึงทำตัวไม่ถูกและเกรงว่าอีกไม่นานพระนางคงจะอาละวาดเป็นแน่ที่งานสมรสเป็นเช่นนี้
“ยินดีที่ได้รู้จักพ่อบ้านหวัง ข้าเป็นใครท่านคงรู้อยู่แล้ว ต่อจากนี้คงมีเรื่องต้องรบกวนและไหว้วานท่านอีกมาก ดังนั้นข้าขอฝากด้วยนะ”
น้ำเสียงนุ่มนวลเอ่ยอย่างสงบนิ่งจนพ่อบ้านหวังตกใจ เขาคิดว่าตนเองจะถูกตวาดหรือดุด่าเสียอีก หรือนี่จะเป็นเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นที่จวนสกุลเฉินเลยทำให้พระนางเศร้าเกินกว่าจะรู้สึกไม่พอพระทัย
“วันนี้ข้าเหนื่อยแล้ว ท่านช่วยส่งนางกำนัลมาให้ข้าสักคนสองคนสิ ส่วนพรุ่งนี้ยามซื่อให้ท่านนำข้ารับใช้ทั้งชายหญิงมาให้ข้าเลือกที่หน้าตำหนักและเตรียมงานที่ข้าต้องรับผิดชอบไว้ให้ด้วย เมื่อเลือกข้ารับใช้ประจำตำหนักเสร็จข้าจะเริ่มทำงานทันที”
“พ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นเชิญพระชายาตามกระหม่อมมาทางนี้เถิด กระหม่อมจะนำทางพระองค์ไปยังตำหนักที่ถูกจัดเตรียมไว้เพื่อพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
พ่อบ้านหวังรับคำสั่งทันที แม้นจะไม่รู้ว่าพระนางจะอารมณ์ไม่ดีเมื่อใดแต่คงจะขัดใจพระนางในตอนนี้มิได้ เพราะถ้าหากพระนางทรงพิโรธขึ้นมาคนแก่คนนี้คงมิสามารถรับมือได้เป็นแน่
“เจียวจิ้น เจียวซิ่น เจ้าสองคนตามข้ามา”
“เจ้าค่ะ/เจ้าค่ะ”
ก่อนนำทางไปพ่อบ้านหวังหันไปเรียกเด็กสาวฝาแฝดสองคนให้ตามเขาไปด้วย พวกนางก้มหน้าก้มตาเดินตามไปอย่างไม่อิดออด แม้จะตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวก็ตาม
เฉินซูหนิงที่บัดนี้กลายเป็นพระชายาชินอ๋องเป่ยเต็มตัวได้แต่มองท่าทางของพวกเขาด้วยความเหนื่อยใจ
ไม่นานนักก็มาถึงตำหนักเหิงเยว่ที่ซึ่งจะกลายเป็นที่พำนักของนางนับแต่นี้ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากตำหนักของชินอ๋องนัก แค่นางรู้ว่าใกล้กันมากเพียงใดก็รู้สึกปวดหัวจนอยากรีบหายไปจากโลกนี้โดยเร็ว
“ข้านึกว่าจะจัดตำหนักท้ายวังให้ข้าเสียอีก”
พระชายาเอ่ยเสียงเรียบ มันคงจะดีกับนางมากกว่าหากได้อยู่ตำหนักท้ายวังไร้คนพลุกพล่าน แต่พ่อบ้านหวังไม่คิดเช่นนั้น…เขาคิดว่าเขาทำถูกแล้วที่จัดตำหนักให้อยู่ใกล้ตำหนักของท่านอ๋อง แม้ว่าความพึงพอใจของนายตนจะต้องมาก่อนแต่เขาก็ยังไม่อยากทำให้พระชายาพระองค์นี้ต้องระเบิดอารมณ์โดยไม่จำเป็น รอยยิ้มเจื่อนๆ จึงถูกส่งให้พระนางเพราะไม่รู้ว่าควรตอบเช่นไร
“เอ่อ…ต่อจากนี้ไปเด็กสองคนนี้จะคอยปรนนิบัติรับใช้ข้างกายพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
“หม่อมฉันเจียวจิ้นเพคะ”
“ส่วนหม่อมฉันเจียวซิ่นเพคะ”
เด็กสาวทั้งสองเอ่ยแนะนำตัวกับนางอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ฝาแฝดงั้นรึ”
“เพคะ/เพคะ”
ทั้งสองตอบรับพร้อมกันเสียงดัง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวลและขลาดกลัว สองร่างเล็กสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด ได้แต่ก้มหน้ามองพื้นไม่กล้าเงยขึ้นมองแม้แต่ชายผ้าของนายหญิงคนใหม่
“เช่นนั้นพ่อบ้านหวังก็ไปพักเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ หากประสงค์สิ่งใดเรียกหากระหม่อมได้ทุกเมื่อพ่ะย่ะค่ะ”
“อื้ม ขอบใจท่านมาก”
กล่าวจบพระชายาก็เดินนำเข้าตำหนักไป สายตาสอดส่องหันมองไปรอบๆ อย่างสนอกสนใจ
[หญิงหั่วฉง ที่นี่กว้างมากเลยล่ะ ดูดีใช้ได้ ฉันนึกว่าเขาจะให้ฉันอยู่ตำหนักร้างซะอีก]
[เขาจะทำงั้นได้ไงเล่า! แต่ว่านะ…ที่นี่สุดยอดเลย สวยมากๆ อ๊ะ! ถังถัง…ดูดอกไม้นั่นสิ! สีแดงสดสวยชะมัด!]
พระชายาและหญิงหั่วฉงพูดคุยกันอย่างออกรส
[อยากเดินดูมากกว่านี้จัง แต่คงต้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน]
[อื้มๆ]
หญิงหั่วฉงเห็นด้วยกับความคิดของนาง
พระชายาเดินเข้าไปในตำหนักที่ตกแต่งเต็มไปด้วยม่านสีแดงและดอกไม้มากมายในแจกัน
“วันนี้ท่านอ๋องคงไม่มาร่วมหอกับข้า พวกเจ้ามาช่วยข้าถอดชุดและเครื่องประดับพวกนี้หน่อย”
“เพคะ/เพคะ”
เด็กสาวทั้งสองตอบรับ แม้จะพยายามคุมน้ำเสียงมิให้สั่นแต่ก็มิวายสั่นเครืออยู่ดี พวกนางตามเข้ามาและใช้มือเล็กๆ ทั้งสองข้างค่อยๆ เปิดผ้าคลุมหน้าที่ปิดคลุมใบหน้าของพระชายาออก สายตาของทั้งสองนิ่งค้างมองใบหน้างามของผู้เป็นนายด้วยความตกตะลึง พวกนางมิเคยพบเจอผู้ใดที่มีใบหน้างดงามมากเช่นนี้มาก่อน โครงหน้ารูปไข่ประดับด้วยเรียวคิ้วโค้งดุจใบหลิว ดวงตาโตเรียวยาว หางตาตวัดโค้งขึ้น นัยน์ตาดำสนิทดุจสีหมึก จมูกโด่งรับกับรูปหน้า ริมฝีปากเล็กสวย ยิ่งมีเครื่องประทินโฉมบนใบหน้ายิ่งเสริมส่งความงามของพระนางให้มีมากยิ่งขึ้น
“หากพวกเจ้ากลัวข้าก็ออกไป มิต้องรับใช้ข้า พรุ่งนี้ข้าจะให้พ่อบ้านหวังจัดหาตำแหน่งงานในวังให้พวกเจ้าใหม่”
พระชายาเอ่ยขี้นเมื่อเห็นว่าพวกนางนิ่งไปนานมิยอมปฏิบัติหน้าที่ต่อ
“หะ…หามิได้เพคะ!”
“มะ…หม่อมฉันจะรีบทำเดี๋ยวนี้เพคะ”
ทั้งสองตื่นตกใจจนพูดตะกุกตะกักเกือบไม่เป็นคำ ก่อนจะรีบทำหน้าที่ของตน
เครื่องประดับบนศรีษะและบนตัวของพระชายาค่อยๆ ถูกปลดออกทีละชิ้นอย่างระมัดระวัง ยิ่งปลดออกนางก็ยิ่งรู้สึกเบาตัวมากยิ่งขึ้น
[เฮ้อ…การเป็นตู้ทองเคลื่อนที่นี่ไม่ง่ายเลยจริงๆ คิดว่างั้นไหมหญิงหั่วฉง]
[ก็ต้องให้สมฐานะหน่อยสิ นี่แหละถูกแล้ว]
หญิงหั่วฉงตอบกลับอย่างแน่วแน่ เขามองว่ามันถูกต้องแล้วที่หญิงสาวจะประโคมเครื่องประดับมากมายในวันแต่งงานของตนยิ่งมีฐานะสูงก็ยิ่งต้องประโคมใส่เข้าไปเยอะๆ ให้สมฐานะทางบ้าน พระชายาเองก็พูดอะไรต่อมิได้ทำได้เพียงถอนหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความเหนื่อยใจ
เมื่อปลดเสื้อผ้าอาภรณ์ออกจนเหลือเพียงเสื้อตัวในอีกชิ้นเดียว พระนางก็สั่งงานนางกำนัลน้อยทั้งสองอีกครั้ง
“พอแล้วล่ะที่เหลือข้าจัดการเอง พวกเจ้าไปเตรียมน้ำให้ข้าอาบเถอะ หากเสร็จแล้วก็ไปพักได้ ส่วนอาหารการกินต่างๆ เตรียมให้ข้าเพียงสองสามอย่างต่อมื้อก็พอ มิต้องเยอะมากนัก”
“เพคะ/เพคะ”
ทั้งสองตอบรับและออกไปพร้อมกับความงุนงง พวกนางคิดว่าพระชายาพระองค์นี้จะน่ากลัวเฉกเช่นคำร่ำลือที่ได้ยินมาเสียอีก กลับกัน…พระนางกลับไม่ถือสาแม้ว่าเจียวซิ่นจะเผลอดึงเส้นผมหลุดติดมือออกมาด้วยขณะนำปิ่นออก แต่พระนางก็ทำเพียงนิ่วหน้าเล็กน้อยและเอ่ยเตือนให้ระวังด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลมิดุด่า
“จิ้นจิ้น…เจ้าว่าเหตุใดพระชายาถึงมิเหมือนคำล่ำลือที่เราเคยได้ยินมาเลยล่ะ”
“ซิ่นซิ่น เราเพิ่งเจอพระชายาครั้งแรกวันนี้นะ ได้รับใช้เพียงครู่เดียว ข้าว่าพระนางอาจจะเหนื่อยมากก็ได้ ดังนั้นเราควรระวังตัวกันไว้ก่อนจะดีกว่า”
“อื้มๆ เจ้าพูดถูก”
ทั้งสองแอบพูดคุยกันเสียงเบาเมื่อเตรียมน้ำตามที่พระชายาสั่งเสร็จพวกนางก็กลับไปพักยังที่พักของตน เหลือเพียงพระชายาอยู่ในตำหนักเพียงคนเดียว พระนางขับร้องเพลงแสนรื่นเริงอย่างมีความสุข หัวเราะและพูดคุยกับหญิงหั่วฉงที่ปรากฏกายในรูปลักษณ์ของหิ่งห้อยตัวน้อยตามชื่อของตน
“อ่า~ วันนี้ช่างดีจริงๆ อยากให้ถึงวันที่หลงเจียวหั่วไม่อยู่เร็วๆ ซะแล้วสิ”
“อีกสองวันก็ไปแล้ว ใจเย็นๆ หน่อย”
“ก็ฉันตื่นเต้นนี่นา ฉันน่ะวางแผนออกไปนอกวังไว้เยอะเลย”
“จะไปหาเด็กๆ ละสิ”
“ช่าย~ แต่ยังไงก็ไปได้ไม่บ่อยนักหรอก ออกไปครั้งหนึ่งก็กะจะค้างสักสามคืนแล้วก็กลับ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องดูก่อนว่างานในวังนี้มีให้จัดการมากน้อยแค่ไหน”
“อื้มๆ ยังรู้จักหน้าที่ของตัวเองอยู่สินะ”
หญิงหั่วฉงเอ่ยแซว พระชายาหันไปมองค้อนครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนานจนกระทั่งถึงเวลาเข้านอน
.
.
.
-ยามซื่อ-
เมื่อยามซื่อของอีกวันมาถึงข้ารับใช้ทั้งชายหญิงจำนวนสี่สิบคนต่างมานั่งคุกเข่าหมอบคำนับเรียงแถวกันที่ลานหน้าเรือนหลักของตำหนักเหิงเยว่
[เอามาให้เลือกทำไมเยอะแยะเนี่ย! แค่สิบหรือสิบห้าคนก็พอแล้วม้าง~]
[อย่าบ่นน่า เป็นถึงพระชายาก็ต้องเลือกไว้ใช้งานเยอะๆ สิ]
[จะบ้าเรอะ! ฮองเฮายังมีนางกำนัลและขันทีแค่ยี่สิบสองคนเองนะ แล้วจะให้ฉันมีมากกว่านั้นได้ไงเล่า!]
[ยังไงก็ต้องเลือกไม่ใช่เหรอ แค่ประจำตำหนักเองเธอก็หลับตาจิ้มๆ เอาสิ]
[แล้วทำไมต้องพากันหมอบหัวชิดพื้นแบบนั้นด้วยล่ะ]
[ก็เธอน่ากลัวไง]
พระชายาเหนื่อยใจกับคำตอบของหญิงหั่วฉงมากจริงๆ ถ้าจะให้เลือกเองก็ไม่รู้ว่าควรเอาไว้กี่คนถึงจะพอเหมาะพอดีให้สมกับฐานะนางร้ายสายเพอร์เฟคชั่นนิส
…แต่แล้วก็นึกวิธีดีๆ ออก…
ในเมื่อตัดสินใจเลือกเองไม่ได้ก็ให้พวกเขาเลือกกันเองก็แล้วกัน เหลือแค่ไหนก็เอาแค่นั้นแหละ!
“ข้าให้เวลาพวกเจ้าตัดสินใจครึ่งชั่วยามหากใครมิอยากทำงานประจำตำหนักข้าก็จงลุกขึ้นและออกไปรอนอกตำหนักเสีย เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นข้าจะให้พ่อบ้านหวังจัดหาหน้าที่รับผิดชอบให้ใหม่”
กล่าวจบพระนางก็หันหลังกลับเข้าไปในเรือนหลักปล่อยให้พวกเขาหันมองหน้ากันอย่างตื่นตระหนกและงุนงง
“พระชายา…”
พ่อบ้านหวังเดินตามเข้ามาและพยายามจะเอ่ยถามแต่ก็ต้องเงียบลงเพราะพระนางยกมือขึ้นปราม
“ตามที่ข้าพูดนั่นแหละ พ่อบ้านหวัง หากใครมิอยากทำงานที่ตำหนักข้าท่านก็หาหน้าที่ใหม่ให้พวกเขาเสีย”
พระชายากล่าวเสียงเรียบพลางพลิกเปิดสมุดบัญชีเพื่อศึกษาทำความเข้าใจ
“อ้อ…รวมถึงเจ้าสองคนด้วย เจียวจิ้น…เจียวซิ่น…หากพวกเจ้ามิอยากรับใช้ข้าก็ออกไปได้ ข้ามิว่า”
เจ้าของชื่อทั้งสองสะดุ้งโหยงแล้วมองหน้ากันด้วยความลังเลก่อนจะตัดสินใจส่ายหัวปฏิเสธ
แม้พระชายาในข่าวลือจะโหดร้ายมากเพียงใด แต่พระชายาตรงหน้าพวกนางกลับไม่มีทีท่าว่าจะเป็นเช่นนั้น ถึงจะเป็นดั่งที่ว่ากันจริงพวกนางก็ไม่ไปอยู่ดี เพราะการเป็นนางกำนัลรับใช้ข้างกายพระชายานั้นได้เงินเยอะกว่านางกำนัลทั่วไป หากทำดีก็คงจะได้รับความเมตตาจากพระนางบ้างแหละ!
“หากเป็นคนของข้าแล้วในภายภาคหน้าพวกเจ้าจะงอแงขอลาออกข้าก็มิยอมแล้วหนา”
“พวกเราทั้งสองจะทำให้ดีสุดความสามารถเพคะ”
“หากมีสิ่งใดบกพร่องก็จะพยายามพัฒนาและเรียนรู้เพคะ”
เด็กสาวทั้งสองโค้งคำนับอย่างนอบน้อม พวกนางเตรียมใจไว้แล้วไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็จะอดทนแล้วฝ่าฟันไปให้ได้!
“หึ~”
ได้ยินเช่นนั้นพระชายาก็ระบายรอยยิ้มงามออกมาบางๆ ด้วยความเอ็นดูเด็กทั้งสองพลางเปิดอ่านสมุดบัญชีต่อโดยมิได้สนใจว่าทั้งสามคนที่อยู่ตรงหน้าจะแสดงสีหน้าตกใจขนาดไหนเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ และได้เห็นรอยยิ้มบางๆ แสนงดงามของพระนาง
เมื่อผ่านไปครึ่งชั่วยามตามที่พระชายาเคยกล่าวไว้ นางก็ออกมาหน้าเรือนหลักเพื่อดูว่าเหลือข้ารับใช้กี่คน
ภาพที่เคยมีคนนั่งหมอบเรียงกันเป็นระเบียบก่อนหน้านี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นภาพคนนั่งหมอบเว้นระยะห่างกัน บางจุดโล่งว่างเป็นวงกว้าง บางจุดหายไปหนึ่งคนหรือสองคน รวมๆ แล้วเหลือทั้งสิ้นสิบห้าคนจากสี่สิบคน
“เอาล่ะ ครบครึ่งชั่วยามแล้วมีใครยังอยากลุกออกไปอีกหรือไม่”
พระชายาเอ่ยถาม แต่ข้ารับใช้ที่เหลืออยู่กลับไม่มีใครขยับไปไหน ประหนึ่งว่าพวกเขาเองก็เตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้วเช่นกัน
“เช่นนั้นก็จงฟังให้ดี…นับแต่นี้ไปพวกเจ้าเป็นคนของข้า หากในอนาคตพวกเจ้าบ่นอยากย้ายหรือลาออกจากตำนักข้า ข้าจะสั่งโบยร้อยไม้หากมิเจ็บเจียนตายข้าก็ไม่อนุญาตให้ไป”
คนที่ได้ฟังต่างพากันกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคือง เหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นบนใบหน้าพลางคิดกันว่าคิดถูกแล้วจริงๆ หรือที่อยู่รับใช้ประจำตำหนักเหิงเยว่แห่งนี้…
“เลิกหมอบกันได้แล้วเตรียมตัวไปทำงานของพวกเจ้าเสีย ข้าจะให้เจียวจิ้นเป็นคนแบ่งงานให้พวกเจ้าทำ”
เจียวจิ้นโค้งคำนับพระชายาก่อนจะนำข้ารับใช้ทั้งสิบห้าคนไปท้ายตำหนัก ส่วนพ่อบ้านหวังก็ออกไปจัดการงานตามที่พระชายาเอ่ยสั่งก่อนหน้านี้
“เจียวซิ่น เจ้าช่วยเตรียมชาไปให้ข้าที่ศาลาในสวนที ข้าจะไปทำงานที่นั่น”
เจียวซิ่นรับคำแล้วรีบไปเตรียมชาตามที่พระชายาสั่ง ส่วนนางเองก็กลับเข้าไปเอาอุปกรณ์สำหรับทำงานของตนแล้วเดินไปยังสวนดอกไม้เล็กๆ ในตำหนัก ความรื่นรมย์ที่รอคอยกำลังใกล้เข้ามาในไม่ช้า เหลืออีกแค่วันเดียวชินอ๋องเป่ยก็จะเดินทัพไปยังชายแดนเหนือแสนหนาวเหน็บอันไกลโพ้น
จริงๆ แล้ววันนี้ชินอ๋องเป่ยถูกเรียกตัวเข้าวังหลวงตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง วันนี้คงไม่มีโอกาสได้กลับมา อีกไม่นานก็คงมีจดหมายจากวังหลวงส่งมาแจ้งข่าวการเดินทัพออกรบ ถึงแม้จะไม่อยากไปส่งสักเท่าไร แต่ก็ต้องไปทำหน้าที่ของภรรยาเสียหน่อย ดีนะที่นางเตรียมเครื่องรางนำโชคเล็กๆ น้อยๆ ไว้ให้สามีได้นึกถึงกันยามสู้รบ แค่คิดถึงวันที่ต้องไปส่งเขาก็อยากหัวเราะให้ดังลั่นไปทั่ววังแห่งนี้แล้วจริงๆ
.
.
.
-สองวันต่อมา-
ผ่านไปเพียงสองวันพระชายาก็มายืนอยู่ตรงหน้าชินอ๋องเป่ยผู้เป็นสามี ใบหน้าของทั้งสองแสดงความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในขณะที่ชินอ๋องเป่ยแสดงสีหน้าเคร่งขรึมและมองภริยาด้วยความเกลียดชัง แต่พระชายากลับแสดงสีหน้าเปี่ยมสุข
ชินอ๋องเป่ยรู้สึกเจ็บใจที่ไม่สามารถรังแกนางได้ทั้งที่นางเข้ามาอยู่ในวังของตนและอยู่ใกล้ตนเพียงแค่เอื้อมแต่กลับมีราชการด่วนให้ต้องออกรบ จะมิทำก็มิได้ เพราะบ้านเมืองย่อมต้องมาก่อน ในคราแรกที่ได้รับคำสั่งก็นึกดีใจที่ไม่ต้องทนเห็นหน้านาง ดีใจที่ได้ทิ้งให้นางอยู่อย่างไร้ค่า วันนี้คิดว่าจะได้เห็นใบหน้าแสนเศร้าหมองของนางเป็นขวัญกำลังใจในการสู้รบแต่กลับผิดคาด…นางยิ้มแย้มอย่างมีความสุขจนเป็นเขาเองที่รู้สึกเจ็บใจและพ่ายแพ้ให้แก่ศึกครั้งนี้
“โปรดกลับมาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์นะเพคะ”
ปึด!
จู่ๆ ชินอ๋องเป่ยก็รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงเส้นเลือดบนขมับตัวเองเกร็งกระตุกปูดนูนขึ้นมา สายตาคมจ้องมองร่างบางตรงหน้าด้วยความชิงชังหมายมั่นจะฉีกทึ้งร่างกายนี้เป็นชิ้นๆ
“เจ้าเองอยู่ทางนี้ก็มีชีวิตอยู่รอข้ากลับมาล่ะ อย่าหนีตายไปเสียก่อน”
เขาโน้มตัวเข้าใกล้ร่างบางตรงหน้าและกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้น
“หึ~ สามี…ข้าอยู่บ้านท่านมิมีอันตรายใดมาทำร้ายข้าได้หรอก หากมิใช่คนในบ้านท่านเป็นคนลงมือ แต่ท่านน่ะ…ต้องอยู่ในสนามรบอันแสนโหดร้าย แม้นท่านจะเก่งกาจมากมายเพียงใดแต่ใช่ว่าศัตรูจะด้อยความสามารถไปเสียทุกคน สามีข้า…ท่านควรระวังให้มากๆ นะ หากท่านตายหญิงที่รอท่านอยู่ในหมู่บ้านทุรกันดารจะเป็นม่ายและอาจแก่ตายไปคนเดียวได้ โอ๊ะ! ไม่สิๆ นางยังมิได้ตบแต่งกับท่านนี่นะ เช่นนั้นนางก็เป็นแค่หญิงต้องมลทินเช่นเดิมมิมีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ข้าต่างหากที่จะเป็นม่ายหากท่านตาย”
พระชายาแสร้งแสดงสีหน้าเจ็บปวด แต่มุมปากของนางกลับยกยิ้มอย่างสนุกสนานจนชินอ๋องเป่ยอยากลงไม้ลงมือกับนางเสียเหลือเกิน แต่ก็ต้องอดทนไว้เพราะฮ่องเต้และฮองเฮาต่างทอดพระเนตรอยู่ด้านบนกำแพงวัง หากพลีพลามทำอะไรนางต่อพระพักตร์ทั้งสองพระองค์ตัวเขาเองคงจะลำบากไม่น้อย เขาจึงฉีกยิ้มแล้วกล่าวโต้ตอบหวังจะให้นางรู้สึกไม่ดีเช่นเขาบ้าง
“ชายาข้า…เจ้ามิต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก อย่างไรเสียหลงเอ๋อร์ของข้าก็จะได้สมรสกับข้าอยู่ดีไม่ว่าช้าหรือเร็ว”
“โอ้~ แต่ไม่ว่านางจะแต่งหรือไม่แต่ง อย่างไรเสียหลงเอ๋อร์ของท่านก็ยังคงเป็นหญิงต้องมลทินมิมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงเช่นเดิม”
ใบหน้างามเผยรอยยิ้มเย้ยหยันตอบกลับ
เพียงแค่ได้ยินคำปรามาสเช่นนั้นจากร่างบางเขาก็หุบยิ้มลงทันที คิ้วเข้มขนวดเข้าหากันและจ้องมองนางด้วยสายตาชิงชังพร้อมทั้งก่นด่าด้วยความโกรธา
“เจ้าก็เป็นแค่หญิงแพศยา กล้าดีอย่างไรมาว่าหลงเอ๋อร์ของข้า!”
“หืม…ตั้งแต่ข้าจำความได้จวบจนข้าสมรสกับท่าน ข้าเป็นหญิงบริสุทธิ์ผุดผ่องมิเคยผ่านมือชายใดทั้งก่อนแต่งงานและหลังแต่งงาน คนที่เหมาะสมกับคำที่ท่านกล่าวมาเกรงว่าจะเป็นหลงเอ๋อร์ของท่านเสียมากกว่า”
พระชายาโต้กลับทันทีทันใด ในใจสุขสมที่ได้ทำให้สามีโกรธจนตัวสั่นได้
“!!!”
“ท่านอย่าลืมสิ…คนที่ทำให้นางเสียหายและตกเป็นขี้ปากคนไปทั่วหล้าก็คือตัวท่านเอง แต่ดีแค่ไหนแล้วที่ฝ่าบาทมิทรงรับสั่งให้ลงโทษนางฐานทำผิดประเวณี ท่านควรสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทให้มากๆ และระวังการกระทำของตัวท่านให้ดีๆ โปรดอย่าลืมว่าท่านแต่งงานแล้ว หากท่านบุ่มบ่ามทำอะไรตามใจตนเองมากเกินไป การที่คนรักของท่านจะต้องโทษก็มิใช่เรื่องยุ่งยากอีกต่อไป”
ชินอ๋องเป่ยไม่อาจทนฟังต่อได้เขาหันหลังหมายหมั้นจะเดินหนีไปยังม้าของตน แต่กลับต้องหยุดตามแรงดึงชายผ้าคลุมจึงหันกลับไปมองคนดึงด้วยความเกรี้ยวโกรธ พอเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มนั่นก็ยิ่งทำให้เขาขบกัดฟันกรามแน่นเพื่อข่มอารมณ์
“เวลามันกระทันหันเกินไปข้าเย็บชุดเกราะให้ท่านไม่ทัน ข้าจึงปักผ้าผืนนี้มาเป็นเครื่องรางให้ท่านพกติดตัว”
เขาเหลือบมองผืนผ้าที่ถูกพับไว้อย่างดีในมือเล็กของร่างบาง
“เจ้าเก็บไว้ซับน้ำตาเจ้าเถอะ”
พระชายาได้ฟังคำโต้ตอบของสามีก็หัวเราะออกมาน้อยๆ มองร่างกำยำด้วยสายตาขบขัน
“ข้าให้ท่านเก็บไว้ซับเลือดของท่านต่างหากล่ะ”
จู่ๆ รอยยิ้มขบขันก็ผันเปลี่ยนเป็นความเย็นชาจนน่าขนลุก
“นี่! เจ้า! ทำบ้าอะไรของเจ้าเนี่ย!”
ร่างบางสอดผ้าผืนนั้นเข้าไปในเสื้อเกราะตรงอกข้างซ้ายของชินอ๋องเป่ย อีกฝ่ายที่นิ่งค้างมองสายตาเย็นชาของภริยาเมื่อครู่มิทันได้ตั้งตัว จะปัดป้องมือเล็กก็มิทันการเสียแล้ว มือของเขาหนาและใหญ่กว่ามือของร่างบางมากนักจะให้ล้วงออกมาก็ยากลำบากจะถอดเกราะออกก็ใช่เรื่อง ได้แต่มองอีกฝ่ายคาดโทษอย่างขุ่นเคือง
“อย่าทิ้งนะเพคะ เพราะมันจะมีประโยชน์ตอนที่พระองค์ทรงเลือดตกยางออกจริงๆ”
พระชายาก้าวถอยหลังและเปลี่ยนลักษณะการพูดเป็นดั่งเดิม มองส่งชินอ๋องผู้เป็นสามีเดินไปขึ้นหลังม้าด้วยสายตาที่เย็นชา
ท่ามกลางเสียงฝีเท้าการเดินทัพที่ดังกึกก้องไปทั่ว สายตานับร้อยนับพันเฝ้ามองขบวนทหารน้อยใหญ่เคลื่อนทัพผ่าน บ้างก็กู่ร้องอวยพร บ้างก็เศร้าโศกเสียใจที่ต้องจากลากับคนสำคัญ ต่างมากมายและหลากหลายความรู้สึก มีเพียงพระชายาชินอ๋องเป่ยที่มองการเคลื่อนทัพของเหล่าพลทหารด้วยความว่างเปล่า ถึงแม้ก่อนหน้าจะดูมีความสุขที่ได้ยั่วโมโหสามีก็ตาม แต่แล้วอย่างไรล่ะ…ในเมื่อสงครามไม่เคยส่งผลดีต่อผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นภพภูมิใดก็ตาม บางครอบครัวอาจสูญเสียคนที่รักไปตลอดกาล แม้นจะรู้ว่าอย่างไรก็ต้องเป็นเช่นนั้นแต่ก็ยังเฝ้าภาวนาขอให้รอดปลอดภัยกลับมากันทุกคน…
[ถังถัง…ความตายมันคือสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้]
[อื้ม…ฉันรู้ ตัวฉันเองก็ไม่สามารถมีความรู้สึกเศร้าเสียใจให้ใครได้มากนักหรอก]
[…ถ้างั้น…อีกสองปีฉันจะมาใหม่นะ ใช้ชีวิตให้ดีๆ ล่ะ]
[แล้วเจอกัน…]
…แล้วเจอกัน…ความตายของฉัน…
ความคิดเห็น