คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : ตอนที่ 10 : The end
ตอนที่ 10
The endind of emotion story
จินยองผลักประตูร้านเข้ามาก่อนจะพบว่านอกจากตัวยองเเจกับเเบมเเบมเองที่เป็นฝ่ายนัดให้เขามาเจอในวันนี้เเล้ว ยังพ่วงยูคยอม เด็กรุ่นน้องที่พึ่งตกลงคบกับเเบมเเบมเมื่อไม่กี่วันมานี้นั่งเก้าอี้อยู่ข้างๆเพื่อนสนิทตัวบางของเขา
“ยังหน้าเเก่เสมอต้นเสมอปลายนะยูคยอม" เอ่ยเเซวเเต่พอประมาณ เพราะเอ็นดูน้องมันหรอกถึงได้หยอกเล่นเเบบนี้
“ฮยองเองก็อ้วนขึ้นกว่าคราวที่เเล้วเยอะเลยนะฮะ”
“เหมือนปลาพะยูนบวมน้ำเลย ^^”
สาบานว่าเขาโคตรเกลียดรอยยิ้มใสซื่อของมัน ไอ้เด็กยูคยอมนี่เเกเป็นน้องฉันนะเว่ย
ยอมใจกับมัน ขี้เกียจจะเถียงอะไรถึงได้สั่งเมนูกับพนักงานร้านเเทน
“วันนี้นัดมามีอะไรอะ วันนี้จะรีบกลับไปปั่นงานประวัติศาสตร์ต่อ" จินยองเอ่ยขึ้นทันที ในช่วงนี้เป็นช่วงใกล้สอบ การบ้านมากมายรายล้อมจนไม่มีเวลาให้หยุดพักไปคิดถึงเรื่องอะไรอีก
“ถ้าในเมื่อเเกต้องการให้ฉันเข้าเรื่อง งั้นก็จะไม่อ้อมค้อม บ่ายโมงมีนัดดูหนังกับพี่สั้นพอดี"
นั่นปะไร ทั้งยองเเจกับเเบมเเบมเองก็เข้าสู่ช่วงคนอวดเเฟนไปเสียได้
“มีเรื่องอะไรกับมาร์ค" ด้วยน้ำเสียงเเละสีหน้าที่จริงจังของยองเเจ จินยองสะตั้นไปชั่วขณะหนึ่งก่อนจะเรียกสติที่เมื่อครู่หายไปเพียงเพระได้ยินชื่อของใครบางคนขึ้นมา
“ก็ไม่ได้...”
“มีเรื่องอะไรกับมาร์ค ช่วยตอบกันให้ตรงกับคำถามด้วย" เพราะจินยองเป็นเเบบนี้ เวลามีเรื่องอะไรชอบเก็บเงียบเอาไว้คนเดียว ชอบทำเป็นเหมือนไม่อะไรทั้งๆที่มีอะไรก็พูด ก็บอกได้กันเเเท้ๆ
จินยองที่มักจะใส่ใจคนอื่นตลอดเวลา เเต่ทีพอเป็นเรื่องของตัวเองกลับชอบที่จะละเลยเเล้วปล่อยผ่านไป
เเผลที่ไม่ได้รับการรักษา สุดท้ายมันก็จะกลายเป็นเเผลเป็น
ยองเเจจึงตัดสินใจ ไม่ว่าจะด้วยอะไร จะต้องรีดความจริงออกมาจากปากของจินยองให้ได้
“ไม่มีอะไรจริงๆ" ยิ่งเห็นเพื่อนทั้งสองคาดคั้น จินยองก็ยิ่งปิดกั้นตัวเอง เขาไม่คิดจะบอกเรื่องมาร์คกับใครอยู่เเล้ว
มันก็เเค่...ก็เเค่ตัวเขาตัดใจให้ได้
เเค่นี้เรื่องทุกอย่างมันก็จบ
“ยูคยอมล็อค" เเบมเเบมเอ่ยสั่งเเฟนตัวเองเมื่อเห็นทีท่าว่าจินยองจะลุกหนีออกไปจากโต๊ะ ยูคยอมที่ตัวใหญ่กว่าหลายเท่ากดไหล่บางทั้งสองข้างไว้ จินยองนิ่งอึ้งไปกับการกระทำของเพื่อนทั้งสองคนที่ไม่เคยเห็นมาก่อนว่าเป็นเเบบนี้
“จินยอง บอกพวกเราเถอะ"
“นายทำแบบนี้ เหมือนนายไม่มีพวกเราก็ได้เลย"
“มีอะไรก็พูด ก็บอ ก็เล่า ก็ระบายออกมาสิ"
“ต้องรอให้มันจุกอกก่อนหรือไง พวกเราเป็นเพื่อนกันนะ" เเบมเเบมเอ่ยประโยคที่เต็มไปด้วยตัดพ้อ เเต่กลลับเเฝงไปด้วยเยื่อใยเเห่งความเป็นห่วง
“ฉันกับเเบมก็เเค่เป็นห่วงเเก"
“ก็เเค่เป็นห่วง เรื่องลำบากใจเเบ่งเบาบรรเทาอะไรได้ฉันก็อยากจะช่วย"
“ถึงทำได้เเค่รับฟังเเต่ถ้ามันทำให้เเกสบายใจฉันก็ยินดี" ยองเเจบีบมือทั้งสองข้างของจินยองเอาไว้เเน่น
จินยองอึ้งไปกับคำพูดทั้งหมดของเพื่อนสนิททั้งสอง ขอบตาร้อนผ่าวหยาดน้ำเอ่อคลอ ในใจตอนนี้เหมือนความเศร้าบางส่วนถูกขจัดปัดเป่าออกไป
นั่นสินะ
คำว่าเพื่อนนี่มัน...
...ดีจริงๆ
“พี่รู้ได้ไงว่าพี่มาร์คไม่รักพี่เเล้ว"
“นี่รุ่นพี่ไม่ได้คิดเองเออเองใช่ไหม" ยูคยอมเอ่ยขึ้นมาทันทีหลังจากที่ฟังจินยองเล่าเรื่องทั้งหมดระหว่างตนกับมาร์คจบ
“...”
“พี่มาร์คเขาได้พูดซักคำหรือยังว่าเขาไม่รักรุ่นพี่เเล้ว"
“เเต่สวมเเหวนขนาดนั้น คงไม่ได้พาไปเข้าค่ายจริยธรรมหรอก เเต่ว่านะมันฟังดูเเหม่งๆเน๊อะไอ้เเบม"
“ช่างมันเถอะ... จะบอกหรือไม่บอก จะรักหรือไม่รัก"
“ยังไงทั้งฉันทั้งมาร์คก็ไม่เหมาะสมกันอยู่ดี"
“ยังไงเเม่ของมาร์คก็ต้องอยากให้ลูกตัวเองคู่ควรกับคนที่เหมาะสมด้วยกันกับทั้งทางหน้าตาทางสังคมเเล้วก็ฐานะ"
“จะให้มาคบหากับคนที่ไม่มีอะไรเลยเเบบฉัน"
“เป็นไปไม่ได้หรอก" จินยองก้มหน้ามองมือของตัวเองที่จับกันเเน่ ยังไงเสียเขาก็ปฎิเสธความจริงตรงนี้ไม่ได้
พวกเรายังเด็กมากนัก โอกาศที่จะได้ไปเจอใครดีๆมีมากมายในอนาคต
เเล้วอนาคตของมาร์คจะต้องดีกว่านี้
ดีกว่าคนเเบบเขา
-------- #มนอีโมชั่น --------
“กลับมาเเล้วครับ" จินยองเอ่ยขึ้นมาทันทีที่เปิดประตูบ้านเข้ามา วันนี้พี่เเจบอมอยู่บ้าน นี่ก็บ่ายกว่าๆเเล้วทำไมบ้านถึงยังเงียบเเบบนี้ หรือว่าจะยังไม่ตื่นกันนะ
ได้เเต่นึกในใจ สองขาก้าวขึ้นบันไดเเล้วทันทีที่เดินมาถึงห้องห้องหนึ่งที่ป้ายข้างหน้าเขียนเอาไว้ว่าเเจบอมมี่ จินยองก็เปิดเข้าไปทันที
“อ่าว...” ทว่าทั้งห้องกลับว่างเปล่า ร่างบางเดินไปโต๊ะเขียนหนังสือของพี่ชายฝ่าเเฝดตัวเอง บนกำเเพงเต็มไปด้วยรูปคู่ของพวกเขาทั้งสองคนในช่วงวัยต่างๆที่ต่างกันออกไป แต่ไหนเเต่ไรพี่เเจบอมก็ดูสูงใหญ่เเล้วไหล่กว้างมากกว่าเขามาตลอด
'เดี๋ยวนี้จินยองงี่ไม่คุยด้วยเลย
พี่ชายคนนี้คงไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วสินะ'
ตัวอักษรที่ติดอยู่บนบอร์ดพร้อมด้วยรูปถ่ายเดี่ยวของเจบีในวันที่ตนได้รับรางวัลเหรียญทองระดับจังหวัดหลังจากชนะการเเข่งขันว่ายน้ำเมื่ออาทิตย์ที่เเล้ว
อ่า...ที่เเท้ก็งอนที่เขาไม่ไปดูตัวเองเเข่งสินะ
พี่ชายใครทำไมขี้งอลเเบบนี้
จินยองเปิดประตูเข้าไปในห้องของตัวเองเเต่เเล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็น อิมเเจบอมกำลังนอนอ่านไดอารี่ของตัวเองอยู่บนเตียงของจินยอง
เเทบสิ้นสติ จินยองรีบวิ่งไปคว้าเเย่งไดอารี่มาเเล้วถือเอาไว้ ดวงตาวาวโรจเเต่ถึงกระนั้นในสายตาเจบี น้องชายของเขาเวลาโกรธก็เป็นได้เเค่ลูกแมวที่กำลังพองขนขู่ฟ่อๆที่เต็มไปด้วยความน่าเอ็นดูอยู่ดี
ก็เพราะน้องของเขาน่ารักเเบบนี้สินะ พ่อกับเเม่ถึงได้เอ็นดูมากกว่า
เเต่ไม่เป็นไร เจบีก็ขอเอาความswangเข้าสู้
“ดู ดูทำหน้าเข้ากลัวตายเเหละ" เจบีพลิกตัวนอนหงายเหยียดเเขนเหยียดขาเต็มที่ในห้องนอนของคนเป็นน้องที่ไม่ได้เข้ามาเสียนาน
“พี่บี๋ไม่มีสิทธิอ่านไดอารี่ของจินยอง" จินยองทำหน้าหงึก่อนจะเก็บไดอารี่เข้าลิ้นชักเเล้วจัดการล็อคกรอย่างดี
เจบีมองปากคว่ำของเด็กน้อย เเกล้งทำเป็นสลดไปงั้น เอาเข้าจริงๆคนอย่างจินยองหนะไม่น่ากลัวเลย น่ารักเสียมากกว่า
มีน้องชายน่ารักนี่ก็เป็นอุปสรรคเหมือนกันนะ เพราะมันเหมือนทำให้ตัวเองมีภูมิต้านทานของสวยๆงามๆ จะมีเเฟนทีนี่คิดเเล้วคิดอีก ถ้าไม่ได้น่ารักเท่าหรือมากกว่าน้องตัวเองจะไม่คบเด็ดขาด
“พี่ขอโทษก็เเล้วกันที่เผลอไปอ่านละครน้ำเน่าระหว่างเรากับไอ้มาร์คต๊วนเตี้ยหมาตื่น" เจบีผินหน้าไปทางอื่น นี่น้องของเขากำลังเฮริทอยู่เหรอเนี่ย ไม่บอกนี่นึกว่เเค่ซึม ในไดอารี่นี่มาเป๋นเนื้อเพลงเชียว
“พี่บี๋ นยองงอลเเล้วหงึ!!” เจบีคว้าเเขนน้องชายตัวเองไว้ก่อนจะดึงให้ลงมานอนข้างๆกัน
“พี่บี๋ปล่อยเค้านะ เค้าโกรธพี่บี๋อยู่ ไม่ต้องมาจับตัวเค้าเลย"
“นิ่งๆสิ เราไม่ได้นอนด้วยกันนานเเล้วเน๊อะ" เจบีกอดน้องของตัวเองที่ดิ้นไปมาจนจมลงไปกับอกกว้างๆของตัวเอง
จินยองตัวเล็กกว่าเขาตั้งเยอะ ไม่มีทางสู้เเรงเขาไหวหรอก
“เเล้วก็นานมากเเล้วเหมือนกัน ที่จินยองมักจะเล่านั่นเล่านี่ให้พี่ฟัง"
“...............”
“เหมือนตอนนี้เราไม่สนิทกันเเล้วเลย"
“..............”
“เด็กน้อยของพี่บี๋ คงไม่รักพี่บี๋เหมือนเมื่อก่อนเเล้ว" อ้อมกอดคลายลงจนจินยองต้องเป็นฝ่ายเอื้อมมือไปกอดรั้งพี่ชายของตัวเองไว้ คงเป็นเพราะเมื่อก่อนพวกเราสนิทกันมาก ตัวติดกันตลอด เเล้วพอมาตอนนี้ผมเงียบไปแถมยังเบี้ยวไม่ไปดูเจ้าตัวเเข่งในนัดสำคัญอีกทั้งๆที่ปรกติไม่เคยพลาดเเบบนี้
ขนาดยองเเจกับเเบมเเบมยังน้อยใจ งั้นก็คงไม่เเปลกที่หรอกที่คนใกล้ตัวมากๆอย่างพี่ชายของเขาจะงอน
“โอ่พี่บี๋~ ไม่งอลนยองน๊าาา" จินยองลูปเเผ่นหลังที่กอดเอาไง้ไม่หมดของคนเป็นพี่ไปมา
“ใครว่านยองไม่รักพี่บี๋ นยองยังรักพี่บี๋เหมือนเดิมนะ" จินยองสบตากับพี่ชายของตัวเองที่อมลมเต็มเเก้ม ทำเป็นงอนค่อนขอดเเบบเด็กๆ อยากบอกเหลือเกินว่ามันดูตลกเสียมากกว่าน่ารัก เเต่ยอมให้เขาวันนึงหละ อิมเเจบอมโหมดอ้อนไม่ได้มีมาบ่อยๆ
“ไม่เชื่อหรอก"
“โป๊ะ โป๊ะก่อน" เจบีจิ้มนิ้วไปที่เเก้มของตัวเอง เมื่อก่อนน้องชายของเขานั้นเเสนจะเชื่อฟังเเล้วก็ว่าง่าย พอบอกให้หอมก็หอมทันที เเต่เดี๋ยวนี้เเค่กอดยังเล่นต้ว
ใช่สิ ก็จินยองไม่รักพี่เเล้วนี่ จินยองมีไอ้มาร์คเเล้วนี่
งอน งอน งอนนน!!!!
“เอ่อ...” จินยองมีทีท่าหนักใจ มันไม่จั๊กจี้ไปหน่อยหรือไงนะ
เเต่เห็นเเก่ว่าตอนนี้กำลังง้ออีกคนอยู่ จะทำให้เสียหายไม่ได้ ไม่งั้นที่ทำมาก็จะสูญเปล่า
“จุ๊บๆ" จินยองจุ๊บเเก้มเเจบอมทั้งซ้ายขวาข้าละทีทำเอาคนพี่ยิ้มตาหยีกอดรัดร่างน้อยๆของจินยองจนเเทบบี้คาอก
เมื่อทั้งสองหายงอนกัน เเจบอมถึงได้จูงมือน้องชายของตัวเองลงมาจากบันไดพร้อมทั้งทำอาหารให้กิน
เสียงทั้งสองพูดคุยหัวเราะกัน ต่างฝ่ายต่างเเลกเปลี่ยนเรื่องราวต่างๆมากมายเต็มไปหมด
สายสัมพันธ์ของพี่น้อง สายสัมพันธ์ของครอบครัว
ความอบอุ่นของพี่บี๋ ไม่ว่าใครก็ให้จินยองได้ไม่เท่านี้
-------------- #มนอีโมชั่น --------------
“วันนี้เเปลกจริงที่ลูกเข้ามาหาเเม่ถึงที่นี่"
“คงรู้เรื่องเเล้วสินะ" คุฯนายต๊วนยกยิ้มมุมปากมองลูกชายของตัวเองที่บอกว่าวันนี้อยากมากินข้าวด้วย เเต่ทว่าเข้าตัวกลับไม่เเตะอาหารบนโต๊ะเลยซักจาน...
ยังไงเสียมาร์คก็ลูกของเธอ
มาร์คคิดอะไรอยู่มีหรือที่เธอจะดูไม่ออก
“ถ้าคุณเเม่ไม่คิดจะรักษาสัญญาตั้งเเต่เเรก"
“ผมเองก็ไม่เห็นความจำเป็นใดๆที่จะต้องทำตามของตกลงของเราต่อ" มาร์คเอ่ยขึ้นมาั่นยิ่งทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารตึงเคลียดมากยิ่งขึ้นจนสาวใช้รอบๆตัวพากันทยอยเดินออกไปจากห้องอาหารอย่างเงียบๆ
“เด็ก...”
“เเกนี่มันเด็กจริงๆ ตามาร์ค"
มาร์คกำมือของตัวเองเเน่น พยายามสงบอารมณ์เเละไม่เเสดงอาการอะไรออกไป
“เเล้วทีนี้เเกจะทำยังไงกับบริษัทของเรา"
“สมัยนี้การเเข่งขันมันสูง พ่อเเกอีกไม่นานก็คงวางมือ เเกคิดว่าเราอยู่เเบบโดดเดี่ยวเเล้วมันจะไปได้งั้นเหรอ โลกของธุรกิจมันไม่ได้โรยด้วยกรีบดอกไม่หรอกนะ สละทิ้งรักเเรกของเเกซะเเล้วหันกลับมามองความจริงเสียที"
“กว่าพ่อเเกจะมาถึงจุดนี้ รู้ไหมว่าพวกเราต้องเสียอะไรไปบ้าง"
“อย่าเอาความรักเเบบเด็กๆที่ไม่ยั่งยืนของเเกมาถ่วงความเจริญของบริษัทเราอีกเลย"
“คุณปาร์ค จินยองใช่ไหมคะ" นับได้ว่าเป็นรอบที่สองของวันที่จินยองถูกนัดให้ออกมาข้างนอก คราวนี้คนที่นัดเขาออกมากลับเป็นคนที่ไม่คาดคิดอย่าง 'คิมเเตอี' ผู้หญิงที่เพรียบพร้อมทุกอย่างกับมาร์คคนนั้น
“ครับ" จินยองยิ้มรับรอยยิ้มหวานๆนั่น เเต่ถึงอย่างนั้นก็ยังประหม่ามากๆอยู่ดี
“น่ารักมากจริงๆด้วย" เเตอีพิจารณาใบหน้าที่มาร์คชอบพูดให้ถึงอยู่บ่อยๆ
ทั้งเธอทั้งมาร์คต่างก็ตกอยู่ในที่นั่งลำบากเหมือนกัน ในตอนที่โดนบังคับให้เเต่งงานกันเพื่อธุรกิจทางบ้านบอกว่าถ้าเซนต์สัญญาเเล้ว จะไปคบใครอะไรอย่างไรก็จะไม่ยุ่งอีก
เเน่นอนว่าทั้งเธอทั้งมาร์คต่างก็มีคนคู่ในด้วยกันเเล้วทั้งคู่ ทั้งหมดที่ทำไปก็เเค่ตามที่ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายต้องการอย่างไม่อาจเลี่ยงได้
เเน่นอนว่าเเฟนหนุ่มของเธอก็ต้องให้มาร์คมาพูดยืนยันถึงจะยอมเข้าใจ
เธอยังจำได้ดีถึงคำที่มาร์คพูดในวันนั้น
“โปรดเชื่อว่าผมกับเเตอีไม่มีอะไรอื่นนอกจากคำว่าธุรกิจ"
“ตัวผมเองก็มีคนที่ชอบมากๆอยู่เเล้ว"
“เขาน่ารักมาก มากเกินกว่าที่ผมจะมองใครคนไหนได้อีก"
เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนทื่อๆเเบบมาร์คจะพูดอะไรเเบบนี้ออกมาได้ นั่นยิ่งทำให้เธออยากเห็นหน้าคนคนนั้นของมาร์ค เเต่เเล้วภาพล็อคหน้าจอที่เป็นรูปของอีกคนที่ดูก็รู้ว่าไปแอบเซฟมาจากเฟสบุ๊คชัวร์นั่นยิ่งทำให้เเตอีมั่นใจว่ามาร์คต๊วนชอบคนที่ชื่อปาร์คจินยองมากจริงๆ
งั้นเธอ ก็จะนิ่งเฉยเเบบนี้ไม่ได้
คงต้องช่วยพูดบ้าง เหมือนอย่างที่มาร์คเคยช่วยพูดกับเเฟนของเธอให้
คุณนายต๊วนรวบช้อนกับซ่อมก่อนจะลุกออกจากโต๊ะ
“ผมจะหาผู้ร่วมหุ้นคนอื่นมาร่วมหุ้นกับบริษัทเราให้ได้!!!”
คำพูดพร้อมด้วยสายตาที่จริงจังของลูกชายตัวเองนั่นตรึงร่างทั้งร่างของผู้เป็นเเม่เอาไว้
ตั้งเเต่เล็กจนโตเขาไม่เคยเห็นมาร์คจริงจังเท่านี้มาก่อน
“ผมยอมทำงานให้หนักยิ่งขึ้นเป็นสองเท่าจนกว่าบริษัทของเราจะก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ1ของเอเชียให้ได้"
“ได้โปรดคุณเเม่เชื่อใจผม"
“เชื่อใจลูกชายคนนี้ซักครั้งเถอะครับ"
มาร์คก้มหัวให้กับคุณนายต๊วนอย่างต้องการจะขอร้อง เธอเลี้ยงลูกของเธอคนนี้มา เธอรู้ดีว่ามาร์คไม่ยอมก้มหัวขอร้องใครง่ายๆ
เเต่กับเเค่เรื่องของปาร์คจินยอง
สามารถทำให้ลูกชายของเขาเป็นไปได้มากขนาดนี้เชียวหรือ...
คงจริงอย่างที่ว่า คนเราทุกคนย่อมมีเรื่องที่เป็นข้อยกเว้นในการกระทำของตัวเอง
เเล้วปาร์คจินยองเอง ก็คงเป็นข้อยกเว้นของมาร์ค ต๊วน ลูกชายของเขา
มาร์คของเขาโตขึ้นมากเเล้วสินะ นี่ถึงกับขนาดบอกเองว่าจะยอมทำงานให้หนักขึ้น
คุณนายต๊วนมองลูกชายของตัวเองอีกครั้ง ฝ่ามือที่เริ่มเหี่ยวย่นไปตามกาลเวลาลูกหัวของลูกชายตัวเองด้วยความเอ็นดู
“ฉันจะคอยดูก็เเล้วกันว่าเเกจะตั้งใจกับมันมากอย่างที่ได้พูดไว้หรือเปล่า"
------------ 90% -------------
“ฉันกับคุณมาร์คไม่ได้รักกันหรอกคะ"
“ฉันเองก็มีคนรักอยู่เเล้วด้วย"
คำพูดมากมายของคุณคิมเเตอียังคงหมุนวนอยู่ในหัวของผมเเม้ว่าตัวของเธอจะขอตัวเเล้วเดินออกจากร้านไปนานได้ซักพักเเล้วก็ตาม
นี่ผมรักมาร์คมากขนาดนี้เลยเหรอ
นี่คือคำถามที่ผมได้เเต่เฝ้าถามตัวเอง
ทันทีที่ผมเข้าใจเรื่องทั้งหมด หัวใจของผมทั้งดวง สั่งการให้ผมกลับไปหามาร์ค ไปพูด ไปขอร้องอย่างไรก็ได้ให้เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมกันอีกครั้ง
สานต่อความรักของเรา
“ฉันจะคอยดูก็เเล้วกันว่าเเกจะตั้งใจกับมันมากอย่างที่ได้พูดไว้หรือเปล่า"
มาร์คเงยหน้ามองคุณเเม่ของตัวเอง สายตาคมเต็มปรี่ไปด้วยคำขอบคุณ ท่านไม่ได้ว่าอะไรเพียงเเต่ส่งยิ้มอบอุ่นมาให้
ทันทีที่คุณเเม่อนุญาติ มาร์คเเทบไม่รอช้าวิ่งออกมาจากคฤหาสต้วนหลังใหญ่ หัวใจของเขามันคับตองโตอัดเเน่นไปด้วยความรู้สึกต่างๆมากมาย
ในหัวของเขาเต็มไปด้วยใบหน้าของคนที่เขารัก เต็มไปด้วยใบหน้าของปาร์ค จินยอง
มาร์คไม่คิดว่าตัวเงจะรีบมาก...
มากขนาดที่ว่าทำไมไม่ขับรถออกมา เเต่เลือกที่จะวิ่งออกมาเเทนเเบบนี้
มาร์คชะงักฝีเท้าก่อนจะวิ่งย้อนกลับไปทางเดิม
เขาเเวะข้างๆทางที่เป็นร้านขายดอกไม้ ชายหนุ่มปาดเหงื่อที่ผุดขึ้นออกมาตรงขมับ พยายามนิ่งคิดพิจารณาว่าดอกไม้ดอกไหนกันถึงจะเหมาะกับปาร์คจินยองของเขา
สุดท้ายจินยองก็เลือกที่จะวางเงินทิ้งไว้ที่โต๊ะก่อนจะเดินออกมาจากร้าน
เขายื่นนิ่งอยู่เพียงครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ
คงมีเเต่เพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้ว่าตอนนี้...ตัวเรานั้นประสงค์ที่จะไปที่ไหน
ไปที่...
...ที่หัวใจของเขาอยู่ตรงนั้น
จินยองไม่เเน่ใจนักว่าบ้านของมาร์คอยู่ที่ไหน เเต่อีกฝ่ายเคยบอกว่าอยู่เเถบๆหมู่บ้านคนรวยใจกลางเมืองหลวง คิดได้ดังนั้น จินยองก็รีบเร่งจังหวะการก้าวเดิน จากจังหวะการเดินช้าๆ มาเป็นการเดินเเบบเร่งเร็วในเวลาถัดมา
เเม้ภายนอกจะดูสงบ เเต่ภายในใจกับร้อนรนเสียยิ่งกว่าอะไร
จินยองพยายามนึกคำพูดที่จะเอาไปพูดกับมาร์คหลังจากที่เราได้เจอกันเเล้ว
เขานึกคำพูดไปเผื่อว่าจะเจอกับเเม่ของมาร์คด้วย เเต่เหมือนจะยิ่งคิดมันกับคิดไม่ออก
สายตาหวานเหลือบไปเห็นร้านขายดอกไม้อยู่ที่ข้างๆทาง รอยยิ้มน้อยๆผุดขึ้นที่มุมปากอิ่ม จินยองเเทบไม่ลังเล ขาทั้งสองข้าวก้าวเข้าไปในร้าน เลือกสรรดอกไม่ซักดอกที่เขาคิดว่ามันเหมาะกับมาร์ค
คูณเคยเชื่อเรื่องความรักไหม...
ไม่สิ...
ความรักที่เป็น รักจริงๆ คุณได้ลองเคยสัมผัสมันหรือยัง
ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณเริ่มกลายเป็นคนไร้เหตุผล ไร้ซึ้งข้อเเม้ใดๆเพราะใครคนหนึ่ง
ความรักมักทำให้คุณเหมือนเป็นคนโง่ เเล้วมันก็คงจะดูบ้ามากจริงๆ
เเต่ถึงอย่างนั้น...คนมากมายก็กลับมีความสุข ในเรื่องโง่ๆ ที่เรียกว่าความรัก : )
มาร์ควิ่งมาจนถึงสวนสาธารณะซึ่งหากวิ่งไปอีกซักหน่อยก็จะถึงหมู่บ้านของจินยอง
เขาไม่เหนื่อยเลยจริงๆนะถึงเเม้เสื้อตัวในของเขาจะเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อทั้งๆที่ตอนนี้เป๋นหน้าหนาวก็ตาม
เขาจำต้องหยุดพัก หอบหายใจถี่รัว ขาทั้งสองเมื่อยล้าเเม้ในใจอยากจะวิ่งไปต่อเเค่ไหนก็ตาม
มาร์คกำดอก 'ทานตะวัน' ในมือเอาไว้เเน่น ยิ่งมองมันยิ่งนึกถึงใบหน้าของจินยองในตอนยิ้ม
เเละในจังหวะที่ตั้งใจจะเงยหน้าเเล้ววิ่งต่อ ขาทั้งสองข้างก็ต้องชะงักค้าง
หรือว่าเขาจะเมาเหงื่อตัวเองกัน
ทำไมจินยองถึงได้มาหยุดอยู่ตรงนั้น ตรงอีกฝั่งหนึ่งของสวนสาธาณะเล็กๆนั่น
จากระยะไกลนับกิโลตอนนี้หดเหลือเพียงเเค่สะพานไม้เล็กๆกั้นกลาง
น้ำพุที่พวยพุ่งออกมานั่นยิ่งทำให้ภาพตรงหน้าพล่าเบลอเหลือเกิน จินยองไม่อยากจะเชื่อเลยว่านั่นจะคือมาร์คที่กำลังยืนหอบอยู่ตรงนั้น
ฝ่ามือเล็กที่ชื้นไปด้วยเหงือกำช่อ 'ดอกคัตเตอร์' ในมือเอาไว้เเน่น
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม...
ดอกคัตเตอร์นี่ดูเเข็งเเรงเเต่ทว่ากลับอ่อนโยนอย่างหน้าประหลาด
เหมือนกับมาร์คเลย : )
เเม้ว่าเราทั้งสองคนจะดูต่างกันก็ตาม
เเต่จินยองก็คิดว่าระหว่างเรา
มันคือความต่างที่ลงตัว
มาร์คเดินเข้าไปใกล้ เหมือนๆกับที่จินยองเองก็เดินเข้ามา
ระยะห่างระหว่างเราถูกย่นระยะเรื่อยๆ จนตอนนี้ความห่างไกลทั้งหมดถูกทะลายทิ้งด้วยรอยยิ้มอบอุ่มที่ต่างคนต่างมอบให้กันเเทนคำว่าคิดถึงเเละโหยหาของกันเเละกันในตลอดเวลาที่เราไม่เข้าใจกัน
เรื่องราวเก่าๆถูกอธิบายให้เข้าใจกันด้วยสายตาเเม้ไม่ได้เอ่ยคำพูดใด
มาร์คเหล่ซ้ายเเลขวาหลบสายตาจินยองเพราะตอนนี้จู่ๆชายหนุ่มก็เกิดเขินขึ้นมาเสียดื้อๆ ทั้งๆที่ตลอดมาไม่เคยเป็นฝ่ายที่ไปไม่เป็นเเบบนี้
จินยองเองก็เช่นกัน เขาไม่เคยเห็นมาร์คเขิน เเล้วยิ่งมาร์คเป็นเเบบนี้เขาก็ยิ่งเขินตามไปด้วย
“อะ" จินยองก้มหน้าพร้อมยื่นดอกคัตเตอร์สีขาวช่อขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ไปให้มาร์ค ในตอนนี้เขาเขินเกินกว่าจะสบตากับอีกฝ่ายจริงๆ
มาร์คยื่นมือออกไปรับช่อดอกไม้สีขาวจากคนตรงหน้า สายตาไม่ละออกจากดวงหน้าหวานเเม้เเต่น้อย
มาร์คยื่นก้านดอกทานตะวันไปให้ จินยองรับมันไว้ เเละเมื่อมาร์คปล่อยมือ เเหวนวงสวยก็ตกลงมาที่มือของอีกคนพร้อมด้วยถ้อยคำเเสนหวานในวันที่อากาศหนาวเเต่เราทั่งคู่กลับรู้สึกอบอุ่นไปทั้งตัวเเละหัวใจ
“รักนะ จินยองงี่ของฉัน"
อ้อมกอดอบอุ่นพร้อมด้วยถ้อยคำบอกรักธรรมดาเเต่ทว่าหัวใจของพวกเค้ามันช่างคับเเน่นพองฟูเต้นเร็วรัวจนเป็นจังหวะเดียวกัน
จินยองอ้าเเขนออกกอดตอบอีกฝ่ายเท่าความรู้สึกทั้งหมดที่ใจตนมี ถ้อยคำสารภาพรักไม่จำเป็นอีกต่อไป ในเมื่อพวกเขาทั้งสองใจตรงกันเเล้วต่อไปนี้ก็คงไม่ต้องเเยกจากกันไปไหน เพราะคำว่ารักนั้นได้เชื่อมทั้งสองเข้าด้วยกัน รวมทั้งเเหวนวงสวยที่เป็นเเทนเครื่องตรีตราจับจองว่าเราทั้งสองจะเป็นเจ้าของกันเเละกันตราบนานเท่าที่เราทั้งสองยังรักกัน
"รัก...รักมาร์คเหมือนกัน"
ท่ามกลางอากาศหนาว คงไม่มีใครอบอุ่นทั้งตัวเเล้วก็หัวใจได้เท่าเขากับมาร์คต้วนอีกเเล้ว
.
.
.
.
.
END
จบเเล้วววววววว
ไหนใครอยากได้ตอนพิเศษ พูดดดด
55555
ในที่สุดเราก็ดันมันจนจบ เเม้จะดองเหลือเกินตั้งเเต่เปิดเรื่องยันปิดเรื่อง
สุดท้ายนี้เรารู้สึกขอบคุณมาร์คเนียร์มากจริงๆที่ทำให้พวกเราได้มาเจอกัน
จะไม่เอ่ยลาอะไรมาก เพราะเชื่อเถอะว่าอีกไม่นานเราจะได้เจอกัน : )
รักนะคะ
ความคิดเห็น