ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    My Favorite Emotional [MarkNior Got7] *END*

    ลำดับตอนที่ #11 : ตอนที่ 10 : The end

    • อัปเดตล่าสุด 20 มี.ค. 59


    ตอนที่ 10


    The endind of emotion story









    จินยองผลักประตูร้านเข้ามาก่อนจะพบว่านอกจากตัวยองเเจกับเเบมเเบมเองที่เป็นฝ่ายนัดให้เขามาเจอในวันนี้เเล้ว ยังพ่วงยูคยอม เด็กรุ่นน้องที่พึ่งตกลงคบกับเเบมเเบมเมื่อไม่กี่วันมานี้นั่งเก้าอี้อยู่ข้างๆเพื่อนสนิทตัวบางของเขา



    “ยังหน้าเเก่เสมอต้นเสมอปลายนะยูคยอม" เอ่ยเเซวเเต่พอประมาณ เพราะเอ็นดูน้องมันหรอกถึงได้หยอกเล่นเเบบนี้


    “ฮยองเองก็อ้วนขึ้นกว่าคราวที่เเล้วเยอะเลยนะฮะ”


    “เหมือนปลาพะยูนบวมน้ำเลย ^^”





    สาบานว่าเขาโคตรเกลียดรอยยิ้มใสซื่อของมัน ไอ้เด็กยูคยอมนี่เเกเป็นน้องฉันนะเว่ย





    ยอมใจกับมัน ขี้เกียจจะเถียงอะไรถึงได้สั่งเมนูกับพนักงานร้านเเทน






    “วันนี้นัดมามีอะไรอะ วันนี้จะรีบกลับไปปั่นงานประวัติศาสตร์ต่อ" จินยองเอ่ยขึ้นทันที ในช่วงนี้เป็นช่วงใกล้สอบ การบ้านมากมายรายล้อมจนไม่มีเวลาให้หยุดพักไปคิดถึงเรื่องอะไรอีก


    “ถ้าในเมื่อเเกต้องการให้ฉันเข้าเรื่อง งั้นก็จะไม่อ้อมค้อม บ่ายโมงมีนัดดูหนังกับพี่สั้นพอดี"



    นั่นปะไร ทั้งยองเเจกับเเบมเเบมเองก็เข้าสู่ช่วงคนอวดเเฟนไปเสียได้






    “มีเรื่องอะไรกับมาร์ค" ด้วยน้ำเสียงเเละสีหน้าที่จริงจังของยองเเจ จินยองสะตั้นไปชั่วขณะหนึ่งก่อนจะเรียกสติที่เมื่อครู่หายไปเพียงเพระได้ยินชื่อของใครบางคนขึ้นมา


    “ก็ไม่ได้...”


    “มีเรื่องอะไรกับมาร์ค ช่วยตอบกันให้ตรงกับคำถามด้วย" เพราะจินยองเป็นเเบบนี้ เวลามีเรื่องอะไรชอบเก็บเงียบเอาไว้คนเดียว ชอบทำเป็นเหมือนไม่อะไรทั้งๆที่มีอะไรก็พูด ก็บอกได้กันเเเท้ๆ



    จินยองที่มักจะใส่ใจคนอื่นตลอดเวลา เเต่ทีพอเป็นเรื่องของตัวเองกลับชอบที่จะละเลยเเล้วปล่อยผ่านไป





    เเผลที่ไม่ได้รับการรักษา สุดท้ายมันก็จะกลายเป็นเเผลเป็น




    ยองเเจจึงตัดสินใจ ไม่ว่าจะด้วยอะไร จะต้องรีดความจริงออกมาจากปากของจินยองให้ได้





    “ไม่มีอะไรจริงๆ" ยิ่งเห็นเพื่อนทั้งสองคาดคั้น จินยองก็ยิ่งปิดกั้นตัวเอง เขาไม่คิดจะบอกเรื่องมาร์คกับใครอยู่เเล้ว




    มันก็เเค่...ก็เเค่ตัวเขาตัดใจให้ได้




    เเค่นี้เรื่องทุกอย่างมันก็จบ




    “ยูคยอมล็อค" เเบมเเบมเอ่ยสั่งเเฟนตัวเองเมื่อเห็นทีท่าว่าจินยองจะลุกหนีออกไปจากโต๊ะ ยูคยอมที่ตัวใหญ่กว่าหลายเท่ากดไหล่บางทั้งสองข้างไว้ จินยองนิ่งอึ้งไปกับการกระทำของเพื่อนทั้งสองคนที่ไม่เคยเห็นมาก่อนว่าเป็นเเบบนี้






    “จินยอง บอกพวกเราเถอะ"



    “นายทำแบบนี้ เหมือนนายไม่มีพวกเราก็ได้เลย"



    “มีอะไรก็พูด ก็บอ ก็เล่า ก็ระบายออกมาสิ"



    “ต้องรอให้มันจุกอกก่อนหรือไง พวกเราเป็นเพื่อนกันนะ" เเบมเเบมเอ่ยประโยคที่เต็มไปด้วยตัดพ้อ เเต่กลลับเเฝงไปด้วยเยื่อใยเเห่งความเป็นห่วง


    “ฉันกับเเบมก็เเค่เป็นห่วงเเก"


    “ก็เเค่เป็นห่วง เรื่องลำบากใจเเบ่งเบาบรรเทาอะไรได้ฉันก็อยากจะช่วย"


    “ถึงทำได้เเค่รับฟังเเต่ถ้ามันทำให้เเกสบายใจฉันก็ยินดี" ยองเเจบีบมือทั้งสองข้างของจินยองเอาไว้เเน่น






    จินยองอึ้งไปกับคำพูดทั้งหมดของเพื่อนสนิททั้งสอง ขอบตาร้อนผ่าวหยาดน้ำเอ่อคลอ ในใจตอนนี้เหมือนความเศร้าบางส่วนถูกขจัดปัดเป่าออกไป






    นั่นสินะ





    คำว่าเพื่อนนี่มัน...




    ...ดีจริงๆ




























    “พี่รู้ได้ไงว่าพี่มาร์คไม่รักพี่เเล้ว"


    “นี่รุ่นพี่ไม่ได้คิดเองเออเองใช่ไหม" ยูคยอมเอ่ยขึ้นมาทันทีหลังจากที่ฟังจินยองเล่าเรื่องทั้งหมดระหว่างตนกับมาร์คจบ


    “...”


    “พี่มาร์คเขาได้พูดซักคำหรือยังว่าเขาไม่รักรุ่นพี่เเล้ว"


    “เเต่สวมเเหวนขนาดนั้น คงไม่ได้พาไปเข้าค่ายจริยธรรมหรอก เเต่ว่านะมันฟังดูเเหม่งๆเน๊อะไอ้เเบม"


    “ช่างมันเถอะ... จะบอกหรือไม่บอก จะรักหรือไม่รัก"


    “ยังไงทั้งฉันทั้งมาร์คก็ไม่เหมาะสมกันอยู่ดี"


    “ยังไงเเม่ของมาร์คก็ต้องอยากให้ลูกตัวเองคู่ควรกับคนที่เหมาะสมด้วยกันกับทั้งทางหน้าตาทางสังคมเเล้วก็ฐานะ"


    “จะให้มาคบหากับคนที่ไม่มีอะไรเลยเเบบฉัน"


    “เป็นไปไม่ได้หรอก" จินยองก้มหน้ามองมือของตัวเองที่จับกันเเน่ ยังไงเสียเขาก็ปฎิเสธความจริงตรงนี้ไม่ได้




    พวกเรายังเด็กมากนัก โอกาศที่จะได้ไปเจอใครดีๆมีมากมายในอนาคต




    เเล้วอนาคตของมาร์คจะต้องดีกว่านี้




    ดีกว่าคนเเบบเขา































    -------- #มนอีโมชั่น --------



































    “กลับมาเเล้วครับ" จินยองเอ่ยขึ้นมาทันทีที่เปิดประตูบ้านเข้ามา วันนี้พี่เเจบอมอยู่บ้าน นี่ก็บ่ายกว่าๆเเล้วทำไมบ้านถึงยังเงียบเเบบนี้ หรือว่าจะยังไม่ตื่นกันนะ


    ได้เเต่นึกในใจ สองขาก้าวขึ้นบันไดเเล้วทันทีที่เดินมาถึงห้องห้องหนึ่งที่ป้ายข้างหน้าเขียนเอาไว้ว่าเเจบอมมี่ จินยองก็เปิดเข้าไปทันที


    “อ่าว...” ทว่าทั้งห้องกลับว่างเปล่า ร่างบางเดินไปโต๊ะเขียนหนังสือของพี่ชายฝ่าเเฝดตัวเอง บนกำเเพงเต็มไปด้วยรูปคู่ของพวกเขาทั้งสองคนในช่วงวัยต่างๆที่ต่างกันออกไป แต่ไหนเเต่ไรพี่เเจบอมก็ดูสูงใหญ่เเล้วไหล่กว้างมากกว่าเขามาตลอด





    'เดี๋ยวนี้จินยองงี่ไม่คุยด้วยเลย

    พี่ชายคนนี้คงไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วสินะ'







    ตัวอักษรที่ติดอยู่บนบอร์ดพร้อมด้วยรูปถ่ายเดี่ยวของเจบีในวันที่ตนได้รับรางวัลเหรียญทองระดับจังหวัดหลังจากชนะการเเข่งขันว่ายน้ำเมื่ออาทิตย์ที่เเล้ว






    อ่า...ที่เเท้ก็งอนที่เขาไม่ไปดูตัวเองเเข่งสินะ





    พี่ชายใครทำไมขี้งอลเเบบนี้











    จินยองเปิดประตูเข้าไปในห้องของตัวเองเเต่เเล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็น อิมเเจบอมกำลังนอนอ่านไดอารี่ของตัวเองอยู่บนเตียงของจินยอง





    เเทบสิ้นสติ จินยองรีบวิ่งไปคว้าเเย่งไดอารี่มาเเล้วถือเอาไว้ ดวงตาวาวโรจเเต่ถึงกระนั้นในสายตาเจบี น้องชายของเขาเวลาโกรธก็เป็นได้เเค่ลูกแมวที่กำลังพองขนขู่ฟ่อๆที่เต็มไปด้วยความน่าเอ็นดูอยู่ดี





    ก็เพราะน้องของเขาน่ารักเเบบนี้สินะ พ่อกับเเม่ถึงได้เอ็นดูมากกว่า




    เเต่ไม่เป็นไร เจบีก็ขอเอาความswangเข้าสู้







    “ดู ดูทำหน้าเข้ากลัวตายเเหละ" เจบีพลิกตัวนอนหงายเหยียดเเขนเหยียดขาเต็มที่ในห้องนอนของคนเป็นน้องที่ไม่ได้เข้ามาเสียนาน


    “พี่บี๋ไม่มีสิทธิอ่านไดอารี่ของจินยอง" จินยองทำหน้าหงึก่อนจะเก็บไดอารี่เข้าลิ้นชักเเล้วจัดการล็อคกรอย่างดี


    เจบีมองปากคว่ำของเด็กน้อย เเกล้งทำเป็นสลดไปงั้น เอาเข้าจริงๆคนอย่างจินยองหนะไม่น่ากลัวเลย น่ารักเสียมากกว่า


    มีน้องชายน่ารักนี่ก็เป็นอุปสรรคเหมือนกันนะ เพราะมันเหมือนทำให้ตัวเองมีภูมิต้านทานของสวยๆงามๆ จะมีเเฟนทีนี่คิดเเล้วคิดอีก ถ้าไม่ได้น่ารักเท่าหรือมากกว่าน้องตัวเองจะไม่คบเด็ดขาด



    “พี่ขอโทษก็เเล้วกันที่เผลอไปอ่านละครน้ำเน่าระหว่างเรากับไอ้มาร์คต๊วนเตี้ยหมาตื่น" เจบีผินหน้าไปทางอื่น นี่น้องของเขากำลังเฮริทอยู่เหรอเนี่ย ไม่บอกนี่นึกว่เเค่ซึม ในไดอารี่นี่มาเป๋นเนื้อเพลงเชียว





    “พี่บี๋ นยองงอลเเล้วหงึ!!” เจบีคว้าเเขนน้องชายตัวเองไว้ก่อนจะดึงให้ลงมานอนข้างๆกัน


    “พี่บี๋ปล่อยเค้านะ เค้าโกรธพี่บี๋อยู่ ไม่ต้องมาจับตัวเค้าเลย"


    “นิ่งๆสิ เราไม่ได้นอนด้วยกันนานเเล้วเน๊อะ" เจบีกอดน้องของตัวเองที่ดิ้นไปมาจนจมลงไปกับอกกว้างๆของตัวเอง




    จินยองตัวเล็กกว่าเขาตั้งเยอะ ไม่มีทางสู้เเรงเขาไหวหรอก


    “เเล้วก็นานมากเเล้วเหมือนกัน ที่จินยองมักจะเล่านั่นเล่านี่ให้พี่ฟัง"


    “...............”


    “เหมือนตอนนี้เราไม่สนิทกันเเล้วเลย"


    “..............”


    “เด็กน้อยของพี่บี๋ คงไม่รักพี่บี๋เหมือนเมื่อก่อนเเล้ว" อ้อมกอดคลายลงจนจินยองต้องเป็นฝ่ายเอื้อมมือไปกอดรั้งพี่ชายของตัวเองไว้ คงเป็นเพราะเมื่อก่อนพวกเราสนิทกันมาก ตัวติดกันตลอด เเล้วพอมาตอนนี้ผมเงียบไปแถมยังเบี้ยวไม่ไปดูเจ้าตัวเเข่งในนัดสำคัญอีกทั้งๆที่ปรกติไม่เคยพลาดเเบบนี้



    ขนาดยองเเจกับเเบมเเบมยังน้อยใจ งั้นก็คงไม่เเปลกที่หรอกที่คนใกล้ตัวมากๆอย่างพี่ชายของเขาจะงอน


    “โอ่พี่บี๋~ ไม่งอลนยองน๊าาา" จินยองลูปเเผ่นหลังที่กอดเอาไง้ไม่หมดของคนเป็นพี่ไปมา


    “ใครว่านยองไม่รักพี่บี๋ นยองยังรักพี่บี๋เหมือนเดิมนะ" จินยองสบตากับพี่ชายของตัวเองที่อมลมเต็มเเก้ม ทำเป็นงอนค่อนขอดเเบบเด็กๆ อยากบอกเหลือเกินว่ามันดูตลกเสียมากกว่าน่ารัก เเต่ยอมให้เขาวันนึงหละ อิมเเจบอมโหมดอ้อนไม่ได้มีมาบ่อยๆ


    “ไม่เชื่อหรอก"


    “โป๊ะ โป๊ะก่อน" เจบีจิ้มนิ้วไปที่เเก้มของตัวเอง เมื่อก่อนน้องชายของเขานั้นเเสนจะเชื่อฟังเเล้วก็ว่าง่าย พอบอกให้หอมก็หอมทันที เเต่เดี๋ยวนี้เเค่กอดยังเล่นต้ว




    ใช่สิ ก็จินยองไม่รักพี่เเล้วนี่ จินยองมีไอ้มาร์คเเล้วนี่




    งอน งอน งอนนน!!!!






    “เอ่อ...” จินยองมีทีท่าหนักใจ มันไม่จั๊กจี้ไปหน่อยหรือไงนะ



    เเต่เห็นเเก่ว่าตอนนี้กำลังง้ออีกคนอยู่ จะทำให้เสียหายไม่ได้ ไม่งั้นที่ทำมาก็จะสูญเปล่า



    “จุ๊บๆ" จินยองจุ๊บเเก้มเเจบอมทั้งซ้ายขวาข้าละทีทำเอาคนพี่ยิ้มตาหยีกอดรัดร่างน้อยๆของจินยองจนเเทบบี้คาอก






    เมื่อทั้งสองหายงอนกัน เเจบอมถึงได้จูงมือน้องชายของตัวเองลงมาจากบันไดพร้อมทั้งทำอาหารให้กิน


    เสียงทั้งสองพูดคุยหัวเราะกัน ต่างฝ่ายต่างเเลกเปลี่ยนเรื่องราวต่างๆมากมายเต็มไปหมด










    สายสัมพันธ์ของพี่น้อง สายสัมพันธ์ของครอบครัว



    ความอบอุ่นของพี่บี๋ ไม่ว่าใครก็ให้จินยองได้ไม่เท่านี้
















































    -------------- #มนอีโมชั่น --------------

































    “วันนี้เเปลกจริงที่ลูกเข้ามาหาเเม่ถึงที่นี่"




    “คงรู้เรื่องเเล้วสินะ" คุฯนายต๊วนยกยิ้มมุมปากมองลูกชายของตัวเองที่บอกว่าวันนี้อยากมากินข้าวด้วย เเต่ทว่าเข้าตัวกลับไม่เเตะอาหารบนโต๊ะเลยซักจาน...





    ยังไงเสียมาร์คก็ลูกของเธอ



    มาร์คคิดอะไรอยู่มีหรือที่เธอจะดูไม่ออก









    “ถ้าคุณเเม่ไม่คิดจะรักษาสัญญาตั้งเเต่เเรก"


    “ผมเองก็ไม่เห็นความจำเป็นใดๆที่จะต้องทำตามของตกลงของเราต่อ" มาร์คเอ่ยขึ้นมาั่นยิ่งทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารตึงเคลียดมากยิ่งขึ้นจนสาวใช้รอบๆตัวพากันทยอยเดินออกไปจากห้องอาหารอย่างเงียบๆ








    “เด็ก...”







    “เเกนี่มันเด็กจริงๆ ตามาร์ค"


    มาร์คกำมือของตัวเองเเน่น พยายามสงบอารมณ์เเละไม่เเสดงอาการอะไรออกไป



    “เเล้วทีนี้เเกจะทำยังไงกับบริษัทของเรา"


    “สมัยนี้การเเข่งขันมันสูง พ่อเเกอีกไม่นานก็คงวางมือ เเกคิดว่าเราอยู่เเบบโดดเดี่ยวเเล้วมันจะไปได้งั้นเหรอ โลกของธุรกิจมันไม่ได้โรยด้วยกรีบดอกไม่หรอกนะ สละทิ้งรักเเรกของเเกซะเเล้วหันกลับมามองความจริงเสียที"


    “กว่าพ่อเเกจะมาถึงจุดนี้ รู้ไหมว่าพวกเราต้องเสียอะไรไปบ้าง"


    “อย่าเอาความรักเเบบเด็กๆที่ไม่ยั่งยืนของเเกมาถ่วงความเจริญของบริษัทเราอีกเลย"







































    “คุณปาร์ค จินยองใช่ไหมคะ" นับได้ว่าเป็นรอบที่สองของวันที่จินยองถูกนัดให้ออกมาข้างนอก คราวนี้คนที่นัดเขาออกมากลับเป็นคนที่ไม่คาดคิดอย่าง 'คิมเเตอี' ผู้หญิงที่เพรียบพร้อมทุกอย่างกับมาร์คคนนั้น


    “ครับ" จินยองยิ้มรับรอยยิ้มหวานๆนั่น เเต่ถึงอย่างนั้นก็ยังประหม่ามากๆอยู่ดี


    “น่ารักมากจริงๆด้วย" เเตอีพิจารณาใบหน้าที่มาร์คชอบพูดให้ถึงอยู่บ่อยๆ






    ทั้งเธอทั้งมาร์คต่างก็ตกอยู่ในที่นั่งลำบากเหมือนกัน ในตอนที่โดนบังคับให้เเต่งงานกันเพื่อธุรกิจทางบ้านบอกว่าถ้าเซนต์สัญญาเเล้ว จะไปคบใครอะไรอย่างไรก็จะไม่ยุ่งอีก



    เเน่นอนว่าทั้งเธอทั้งมาร์คต่างก็มีคนคู่ในด้วยกันเเล้วทั้งคู่ ทั้งหมดที่ทำไปก็เเค่ตามที่ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายต้องการอย่างไม่อาจเลี่ยงได้






    เเน่นอนว่าเเฟนหนุ่มของเธอก็ต้องให้มาร์คมาพูดยืนยันถึงจะยอมเข้าใจ




    เธอยังจำได้ดีถึงคำที่มาร์คพูดในวันนั้น













    โปรดเชื่อว่าผมกับเเตอีไม่มีอะไรอื่นนอกจากคำว่าธุรกิจ"



    ตัวผมเองก็มีคนที่ชอบมากๆอยู่เเล้ว"



    เขาน่ารักมาก มากเกินกว่าที่ผมจะมองใครคนไหนได้อีก"









    เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนทื่อๆเเบบมาร์คจะพูดอะไรเเบบนี้ออกมาได้ นั่นยิ่งทำให้เธออยากเห็นหน้าคนคนนั้นของมาร์ค เเต่เเล้วภาพล็อคหน้าจอที่เป็นรูปของอีกคนที่ดูก็รู้ว่าไปแอบเซฟมาจากเฟสบุ๊คชัวร์นั่นยิ่งทำให้เเตอีมั่นใจว่ามาร์คต๊วนชอบคนที่ชื่อปาร์คจินยองมากจริงๆ







    งั้นเธอ ก็จะนิ่งเฉยเเบบนี้ไม่ได้




    คงต้องช่วยพูดบ้าง เหมือนอย่างที่มาร์คเคยช่วยพูดกับเเฟนของเธอให้
























    คุณนายต๊วนรวบช้อนกับซ่อมก่อนจะลุกออกจากโต๊ะ









    “ผมจะหาผู้ร่วมหุ้นคนอื่นมาร่วมหุ้นกับบริษัทเราให้ได้!!!”








    คำพูดพร้อมด้วยสายตาที่จริงจังของลูกชายตัวเองนั่นตรึงร่างทั้งร่างของผู้เป็นเเม่เอาไว้




    ตั้งเเต่เล็กจนโตเขาไม่เคยเห็นมาร์คจริงจังเท่านี้มาก่อน








    “ผมยอมทำงานให้หนักยิ่งขึ้นเป็นสองเท่าจนกว่าบริษัทของเราจะก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ1ของเอเชียให้ได้"




    “ได้โปรดคุณเเม่เชื่อใจผม"




    “เชื่อใจลูกชายคนนี้ซักครั้งเถอะครับ"




    มาร์คก้มหัวให้กับคุณนายต๊วนอย่างต้องการจะขอร้อง เธอเลี้ยงลูกของเธอคนนี้มา เธอรู้ดีว่ามาร์คไม่ยอมก้มหัวขอร้องใครง่ายๆ






    เเต่กับเเค่เรื่องของปาร์คจินยอง





    สามารถทำให้ลูกชายของเขาเป็นไปได้มากขนาดนี้เชียวหรือ...








    คงจริงอย่างที่ว่า คนเราทุกคนย่อมมีเรื่องที่เป็นข้อยกเว้นในการกระทำของตัวเอง






    เเล้วปาร์คจินยองเอง ก็คงเป็นข้อยกเว้นของมาร์ค ต๊วน ลูกชายของเขา









    มาร์คของเขาโตขึ้นมากเเล้วสินะ นี่ถึงกับขนาดบอกเองว่าจะยอมทำงานให้หนักขึ้น






    คุณนายต๊วนมองลูกชายของตัวเองอีกครั้ง ฝ่ามือที่เริ่มเหี่ยวย่นไปตามกาลเวลาลูกหัวของลูกชายตัวเองด้วยความเอ็นดู








    “ฉันจะคอยดูก็เเล้วกันว่าเเกจะตั้งใจกับมันมากอย่างที่ได้พูดไว้หรือเปล่า"
























    ------------ 90% -------------
































    ฉันกับคุณมาร์คไม่ได้รักกันหรอกคะ"



    ฉันเองก็มีคนรักอยู่เเล้วด้วย"











    คำพูดมากมายของคุณคิมเเตอียังคงหมุนวนอยู่ในหัวของผมเเม้ว่าตัวของเธอจะขอตัวเเล้วเดินออกจากร้านไปนานได้ซักพักเเล้วก็ตาม




    นี่ผมรักมาร์คมากขนาดนี้เลยเหรอ



    นี่คือคำถามที่ผมได้เเต่เฝ้าถามตัวเอง



    ทันทีที่ผมเข้าใจเรื่องทั้งหมด หัวใจของผมทั้งดวง สั่งการให้ผมกลับไปหามาร์ค ไปพูด ไปขอร้องอย่างไรก็ได้ให้เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมกันอีกครั้ง





    สานต่อความรักของเรา
























    “ฉันจะคอยดูก็เเล้วกันว่าเเกจะตั้งใจกับมันมากอย่างที่ได้พูดไว้หรือเปล่า"




    มาร์คเงยหน้ามองคุณเเม่ของตัวเอง สายตาคมเต็มปรี่ไปด้วยคำขอบคุณ ท่านไม่ได้ว่าอะไรเพียงเเต่ส่งยิ้มอบอุ่นมาให้



    ทันทีที่คุณเเม่อนุญาติ มาร์คเเทบไม่รอช้าวิ่งออกมาจากคฤหาสต้วนหลังใหญ่ หัวใจของเขามันคับตองโตอัดเเน่นไปด้วยความรู้สึกต่างๆมากมาย



    ในหัวของเขาเต็มไปด้วยใบหน้าของคนที่เขารัก เต็มไปด้วยใบหน้าของปาร์ค จินยอง




    มาร์คไม่คิดว่าตัวเงจะรีบมาก...



    มากขนาดที่ว่าทำไมไม่ขับรถออกมา เเต่เลือกที่จะวิ่งออกมาเเทนเเบบนี้







    มาร์คชะงักฝีเท้าก่อนจะวิ่งย้อนกลับไปทางเดิม




    เขาเเวะข้างๆทางที่เป็นร้านขายดอกไม้ ชายหนุ่มปาดเหงื่อที่ผุดขึ้นออกมาตรงขมับ พยายามนิ่งคิดพิจารณาว่าดอกไม้ดอกไหนกันถึงจะเหมาะกับปาร์คจินยองของเขา




















    สุดท้ายจินยองก็เลือกที่จะวางเงินทิ้งไว้ที่โต๊ะก่อนจะเดินออกมาจากร้าน



    เขายื่นนิ่งอยู่เพียงครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ





    คงมีเเต่เพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้ว่าตอนนี้...ตัวเรานั้นประสงค์ที่จะไปที่ไหน








    ไปที่...

    ...ที่หัวใจของเขาอยู่ตรงนั้น










    จินยองไม่เเน่ใจนักว่าบ้านของมาร์คอยู่ที่ไหน เเต่อีกฝ่ายเคยบอกว่าอยู่เเถบๆหมู่บ้านคนรวยใจกลางเมืองหลวง คิดได้ดังนั้น จินยองก็รีบเร่งจังหวะการก้าวเดิน จากจังหวะการเดินช้าๆ มาเป็นการเดินเเบบเร่งเร็วในเวลาถัดมา



    เเม้ภายนอกจะดูสงบ เเต่ภายในใจกับร้อนรนเสียยิ่งกว่าอะไร







    จินยองพยายามนึกคำพูดที่จะเอาไปพูดกับมาร์คหลังจากที่เราได้เจอกันเเล้ว


    เขานึกคำพูดไปเผื่อว่าจะเจอกับเเม่ของมาร์คด้วย เเต่เหมือนจะยิ่งคิดมันกับคิดไม่ออก






    สายตาหวานเหลือบไปเห็นร้านขายดอกไม้อยู่ที่ข้างๆทาง รอยยิ้มน้อยๆผุดขึ้นที่มุมปากอิ่ม จินยองเเทบไม่ลังเล ขาทั้งสองข้าวก้าวเข้าไปในร้าน เลือกสรรดอกไม่ซักดอกที่เขาคิดว่ามันเหมาะกับมาร์ค













    คูณเคยเชื่อเรื่องความรักไหม...


    ไม่สิ...




    ความรักที่เป็น รักจริงๆ คุณได้ลองเคยสัมผัสมันหรือยัง




    ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณเริ่มกลายเป็นคนไร้เหตุผล ไร้ซึ้งข้อเเม้ใดๆเพราะใครคนหนึ่ง





    ความรักมักทำให้คุณเหมือนเป็นคนโง่ เเล้วมันก็คงจะดูบ้ามากจริงๆ



    เเต่ถึงอย่างนั้น...คนมากมายก็กลับมีความสุข ในเรื่องโง่ๆ ที่เรียกว่าความรัก : )




















    มาร์ควิ่งมาจนถึงสวนสาธารณะซึ่งหากวิ่งไปอีกซักหน่อยก็จะถึงหมู่บ้านของจินยอง




    เขาไม่เหนื่อยเลยจริงๆนะถึงเเม้เสื้อตัวในของเขาจะเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อทั้งๆที่ตอนนี้เป๋นหน้าหนาวก็ตาม





    เขาจำต้องหยุดพัก หอบหายใจถี่รัว ขาทั้งสองเมื่อยล้าเเม้ในใจอยากจะวิ่งไปต่อเเค่ไหนก็ตาม






    มาร์คกำดอก 'ทานตะวัน' ในมือเอาไว้เเน่น ยิ่งมองมันยิ่งนึกถึงใบหน้าของจินยองในตอนยิ้ม






    เเละในจังหวะที่ตั้งใจจะเงยหน้าเเล้ววิ่งต่อ ขาทั้งสองข้างก็ต้องชะงักค้าง






    หรือว่าเขาจะเมาเหงื่อตัวเองกัน





    ทำไมจินยองถึงได้มาหยุดอยู่ตรงนั้น ตรงอีกฝั่งหนึ่งของสวนสาธาณะเล็กๆนั่น










    จากระยะไกลนับกิโลตอนนี้หดเหลือเพียงเเค่สะพานไม้เล็กๆกั้นกลาง






    น้ำพุที่พวยพุ่งออกมานั่นยิ่งทำให้ภาพตรงหน้าพล่าเบลอเหลือเกิน จินยองไม่อยากจะเชื่อเลยว่านั่นจะคือมาร์คที่กำลังยืนหอบอยู่ตรงนั้น





    ฝ่ามือเล็กที่ชื้นไปด้วยเหงือกำช่อ 'ดอกคัตเตอร์' ในมือเอาไว้เเน่น






    ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม...





    ดอกคัตเตอร์นี่ดูเเข็งเเรงเเต่ทว่ากลับอ่อนโยนอย่างหน้าประหลาด




    เหมือนกับมาร์คเลย : )







    เเม้ว่าเราทั้งสองคนจะดูต่างกันก็ตาม



    เเต่จินยองก็คิดว่าระหว่างเรา




    มันคือความต่างที่ลงตัว












    มาร์คเดินเข้าไปใกล้ เหมือนๆกับที่จินยองเองก็เดินเข้ามา



    ระยะห่างระหว่างเราถูกย่นระยะเรื่อยๆ จนตอนนี้ความห่างไกลทั้งหมดถูกทะลายทิ้งด้วยรอยยิ้มอบอุ่มที่ต่างคนต่างมอบให้กันเเทนคำว่าคิดถึงเเละโหยหาของกันเเละกันในตลอดเวลาที่เราไม่เข้าใจกัน






    เรื่องราวเก่าๆถูกอธิบายให้เข้าใจกันด้วยสายตาเเม้ไม่ได้เอ่ยคำพูดใด






    มาร์คเหล่ซ้ายเเลขวาหลบสายตาจินยองเพราะตอนนี้จู่ๆชายหนุ่มก็เกิดเขินขึ้นมาเสียดื้อๆ ทั้งๆที่ตลอดมาไม่เคยเป็นฝ่ายที่ไปไม่เป็นเเบบนี้






    จินยองเองก็เช่นกัน เขาไม่เคยเห็นมาร์คเขิน เเล้วยิ่งมาร์คเป็นเเบบนี้เขาก็ยิ่งเขินตามไปด้วย







    “อะ" จินยองก้มหน้าพร้อมยื่นดอกคัตเตอร์สีขาวช่อขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ไปให้มาร์ค ในตอนนี้เขาเขินเกินกว่าจะสบตากับอีกฝ่ายจริงๆ






    มาร์คยื่นมือออกไปรับช่อดอกไม้สีขาวจากคนตรงหน้า สายตาไม่ละออกจากดวงหน้าหวานเเม้เเต่น้อย








    มาร์คยื่นก้านดอกทานตะวันไปให้ จินยองรับมันไว้ เเละเมื่อมาร์คปล่อยมือ เเหวนวงสวยก็ตกลงมาที่มือของอีกคนพร้อมด้วยถ้อยคำเเสนหวานในวันที่อากาศหนาวเเต่เราทั่งคู่กลับรู้สึกอบอุ่นไปทั้งตัวเเละหัวใจ






    “รักนะ จินยองงี่ของฉัน"




    อ้อมกอดอบอุ่นพร้อมด้วยถ้อยคำบอกรักธรรมดาเเต่ทว่าหัวใจของพวกเค้ามันช่างคับเเน่นพองฟูเต้นเร็วรัวจนเป็นจังหวะเดียวกัน




    จินยองอ้าเเขนออกกอดตอบอีกฝ่ายเท่าความรู้สึกทั้งหมดที่ใจตนมี ถ้อยคำสารภาพรักไม่จำเป็นอีกต่อไป ในเมื่อพวกเขาทั้งสองใจตรงกันเเล้วต่อไปนี้ก็คงไม่ต้องเเยกจากกันไปไหน เพราะคำว่ารักนั้นได้เชื่อมทั้งสองเข้าด้วยกัน รวมทั้งเเหวนวงสวยที่เป็นเเทนเครื่องตรีตราจับจองว่าเราทั้งสองจะเป็นเจ้าของกันเเละกันตราบนานเท่าที่เราทั้งสองยังรักกัน





    "รัก...รักมาร์คเหมือนกัน"














    ท่ามกลางอากาศหนาว คงไม่มีใครอบอุ่นทั้งตัวเเล้วก็หัวใจได้เท่าเขากับมาร์คต้วนอีกเเล้ว















      


























    .

    .

    .

    .

    .




    END



































    จบเเล้วววววววว




    ไหนใครอยากได้ตอนพิเศษ พูดดดด




    55555





     ในที่สุดเราก็ดันมันจนจบ เเม้จะดองเหลือเกินตั้งเเต่เปิดเรื่องยันปิดเรื่อง






    สุดท้ายนี้เรารู้สึกขอบคุณมาร์คเนียร์มากจริงๆที่ทำให้พวกเราได้มาเจอกัน




    จะไม่เอ่ยลาอะไรมาก เพราะเชื่อเถอะว่าอีกไม่นานเราจะได้เจอกัน : )






    รักนะคะ














    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×