สมิงร้ายผาเยตอง - นิยาย สมิงร้ายผาเยตอง : Dek-D.com - Writer
×

    สมิงร้ายผาเยตอง

    เสือสมิง ในพจนานุกรมฉบับบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2552 อธิบายไว้ว่า เสือชนิดที่ถือกันว่า เดิมเป็นคนที่มีวิชาแก่กล้า แล้วกลายเป็นเสือไป เรียกว่า เสือสมิง

    ผู้เข้าชมรวม

    2,725

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    33

    ผู้เข้าชมรวม


    2.72K

    ความคิดเห็น


    16

    คนติดตาม


    24
    จำนวนตอน :  24 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  12 มิ.ย. 65 / 08:13 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ


     

    บทนำเรื่อง (แก้)

    บนเนินสูงเหนือขอบบึงอันใหญ่และยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตา มิใช่ภูมิประเทศอันติดกับเขตแดนไทย มองออกไปแลเห็นแต่ทิวเขาเขียวครึ้มทาบอยู่กับขอบฟ้าสีครา ท่ามกลางวงล้อมของเขาเหล่านั้น คือแถบสีเขียวขจีของป่าอ้อกอพง ปกคลุมไปด้วยสีเหมือนปุยฝ้ายของดอกเลาอยู่เบื้องบน จนกระทั่งบนพื้นน้ำสีมรกตของบึง ซึ่งใหญ่ไม่ต่ำกว่าทะเลสาบ เป็นประกายวาววับอยู่กลางแสงแดดที่จวนจะลับขอบฟ้า บึงนั้นคดเคี้ยวไปมาจนกระทั่งลับตาไปในระหว่างหน้าผาสูงทางทิศเหนือแลเห็นลิบๆ หลายห้วยไหลลงสู่ที่นี่ หลายห้วยไหลออกไป เวลาฝนตกมากน้ำหลากลงมาตามห้วยใหญ่ น้ำในบึงจะไหลขึ้นเหนือ แต่เมื่อน้ำลด มันก็ไหลลงใต้

    กลางป่าเหนือหุบเขาคียัล ในเขตเคตามัน รัฐตรังกะยอ มีหมู่บ้านในป่าดงพงดิบ “ผาเยตอง” ตั้งอยู่ใกล้บึงสูง ระหว่างเขาล้อมรอบ  มีชาวกระเหรี่ยงป่าอาศัยอยู่รวมกลุ่มกันเป็นหมู่บ้าน ชาวบ้านอยู่กระจายกันตามชายป่าใหญ่ เข้าป่าเก็บผักหักฟืน หาของป่า สมุนไพร ดักสัตว์ตามวิสัยคนป่าทั่วไป หมู่บ้านผาเยตองเป็นหมู่บ้านที่ได้รับความช่วยเหลือและพัฒนาน้อยกว่าหมู่บ้านอื่น เนื่องจากที่ตั้งของหมู่บ้านอยู่ในที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล หนทางเข้าหมู่บ้านก็สูงชันสลับซับซ้อนมาก ชาวบ้านในหมู่บ้านได้อาศัยเกลือ ข้าวสาร และเครื่องมือประกอบอาชีพจากญาติพี่น้องที่อยู่ป่าล่างประทังชีวิต หลายคนรู้จักชื่อหมู่บ้านนี้ และหลายคนเคยได้ยินเรื่องราวโหดร้ายของที่นี่

    หน่อวา เด็กหญิงชาวป่า ผิวพรรณของหล่อนควรจะเป็นชาววังแทนที่จะเป็นเด็กชาวป่า ดวงตาสดใสแผงไปด้วยแววดื้อและซน สวมเสื้อผ้าทอมือแบบกระเหรี่ยง สีม่วงหม่น คอวีแขนยาวเสมอข้อศอก สวมกางเกงผ้าทรงสูงสีกรม ยาวสี่ส่วน เคียนเอวด้วยผ้าลักษะคล้ายผ้าขาวม้าแต่ไม่มีลาย ผมยาวสีดำปะบ่า  ถือกระถังไม้แข็งแรง เดินกึ่งวิ่งไปตามทางในหมู่บ้าน เพื่อไปตักน้ำที่หนองน้ำกลางหมู่บ้าน แสงแดดจ้าแบบผีตากผ้าอ้อมบอกเวลาว่าอีกไม่นานก็จะค่ำแล้ว ชาวบ้านต่างผละจากงานที่ค้างในมือ เตรียมตัวเข้าบ้าน คนที่นี่รู้ดีว่าตอนตะวันตกดินเสือโคร่งจะออกล่าเหยื่อ

    เด็กหญิงชะลอฝีเท้าเมื่อเดินผ่านบ้านอินเล ชายชราผู้มีความเชื่อเรื่องเสือสมิง พวกเขากำลังยุ่งอยู่กับการเปลี่ยนแผ่นไม้ทาสีทรงกลม น่าตาประหลาด เดาว่าเป็นการเลียนแบบรูปลักษณ์ของดวงจันทร์ที่เปลี่ยนรูปร่างไปในแต่ละวาระของมัน บ้างเป็นรูปจันทร์เสี้ยว บ้างเป็นรูปครึ่งวงกลม แต่วันนี้แปลกไปดวงจันทร์ถูกแต่งเติมใบหน้า ดูบูดเบี้ยวสะพรึงกลัว นาซอกับจารี ลูกชายและลูกสะใภ้ของผู้เฒ่าอินเลช่วยกันมัดหมูด้วยเชือกเหนียวแข็งแรงกับหลักไม้ที่ปักอยู่หน้าบ้าน  จากนั้นเดินไปกอดลูกสาวตัวน้อยที่กำลังยืนร้องไห้อยู่ข้างๆ ลำตัวหมู

    “คืนเดือนเพ็ญนี้ ทุกคนอย่าออกนอกบ้าน”  อินเลกล่าวขึ้น ในขณะที่เจ้าหมูตัวอ้วนร้องตะเบ็งเสียงแหลมเด็กหญิงร้องสะอึกสะอื้นพรางยื่นมือไปลูบไล้ตัวมันด้วยความอาลัยสงสาร อินเลก็เอามือยื่นไปลูบหัวเจ้าหมูเช่นกัน

    “ให้เสือสมิงจับหมูไปกินแทนเจ้าดีกว่า” กล่าวจบผู้เฒ่าก็เดินหายเข้าไปในบ้าน

    หน่อวาเดินผละจากที่นั้น มุ่งตรงไปที่หนองน้ำ ในระหว่างที่เดินหล่อนคิดทบทวนถ้อยคำที่แม่เธอบอกก่อนออกจากบ้าน อย่าคุยกับคนแปลกหน้า ตักน้ำเสร็จแล้วรีบตรงกลับบ้าน เมื่อคิดเช่นนั้น หล่อนก็ถอนหายใจยาว ใช่ ฉันจะต้องเป็นเด็กดีเชื่อฟังแม่

    หล่อนก้าวขาลงไปเหยียบก้อนหินก้อนใหญ่ริมลำธารที่ไหลผ่านริมหมู่บ้าน ผิวของหินถูกเหยียบมาแล้วหลายชั่วอายุคนจนผิวเรียบเกลี้ยงเกลา หล่อนก้าวเหยียบ ลดตัวลงนั่งยองแล้วตักน้ำ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อของหล่อน

    “หน่อวา!”  

    สิ้นเสียงก็มาร่างร่างหนึ่งกระโดดลงน้ำมายืนเบื้องหน้าของหล่อน น้ำกระเซ็นขึ้นมาเปียกเสื้อผ้าและใบหน้าเล็กน้อย หล่อนตกใจทะลึ่งตัวลุกขึ้นยืนแล้วหันไปมอง เขานั้นเอง “ฟ้าฮ่าม” เด็กชายชาวป่า ในชุดกระเหรี่ยงสีดำทั้งชุด เสื้อแขนกุดกับกางเกงขายาว เคียนเอวด้วยผ้าสีดำต่างข็มขัด ผมสั้นสีเข้มรับกับดวงตาดำขลับ เขาเป็นเพื่อนชายที่หล่อนมักจะเล่นด้วยเป็นประจำรองจากเพื่อนเพศเดียวกัน ทั้งคู่มองหน้าแล้วยิ้มให้กันอย่างรู้ความหมาย

    “ไปกันเถอะ”   ฟ้าฮ่ามกล่าวชวน

    หน่อวาทิ้งกระถางตักน้ำลงอย่างไม่รีรอ พร้อมกับฝ่ามือของฟ้าฮ่ามที่ยื่นมาอย่างแสดงไมตรี หล่อนยื่นมือไปวางไว้บนฝ่ามือนั้นอย่างคุ้นเคย แล้วบีบกระชับแน่น ฟ้าฮ่ามโยนตัวหล่อนให้กระโดนขึ้นตลิ่งไปก่อน จากนั้นเขาก็กระโดดตามหล่อนขึ้นมา แล้ววิ่งหายเข้าไปยังป่ารกข้างหน้า ข้าพยายามเป็นเด็กดีที่เชื่อฟังแม่ เชื่อข้าเถอะ ข้าพยายามแล้ว หล่อนคิด

    ในป่าโปร่ง ต้นไม้และเถ้าวัลย์ พุ่มไม้ใบหนา ไม่ยืนต้นเบียดเสียดสักเท่าไร บางตอนมีไม้พุ่มเตี้ยสลับหญ้าคาพอจะบุกไปได้ ใต้รากไม้ใหญ่ที่โผล่ขึ้นมาเหนือพื้นดิน มีร่างเล็กๆ ของหน่อว่าและฟ้าฮ่าม นอนคว่ำกับพื้นตั้งศอกขึ้น จองมองไปข้างหน้า เหมือนกำลังเฝ้ารออะไรบ้างอย่าง ในมือของหน่อวาถือเชือกเส้นเล็กที่ทอดยาวไปยังกิ่งไม้ที่ค้ำขอบตะกร้าไม้ไผ่ทรงสี่เหลี่ยมไม่มีหูหิ้ว ที่คว่ำปากตะกร้าลง ใต้ตะกร้ามีผลไม้ป่าชิ้นเล็กวางอยู่

    “เจ้าเอามีดมาหรือเปล่า”   หล่อนถามฟ้าฮ่าม

    “อยู่นี่ไง” เช้ง! ฟ้าฮ่ามชักมีดเล่มเล็กออกมาจากผ้าเคียนเอวของเขาที่เหน็บไว้ ไม่นานก็ปรากฏสัตว์ตัวเล็กออกมาจากพุ่มไม้ข้างหน้า มันกำลังเดินดมกลิ่นตามพื้นเหมือนกำลังหาอาหาร ทั้งคู่หันหน้ามองกันแล้วยิ้ม หล่อนรู้ความหมายโดยนัยผ่านรอยยิ้มแบบนั้นของเขา เจ้าสัตว์ตัวน้อย ขนหางยาวฟูดูหนานุ่มตัวนั้น ด้อมเข้ามายังกับดัก เพราะได้กลิ่นหอมหวานของผลไม้ป่าที่วางล่อไว้ มันเดินล้ำมายังใต้ตะกร้าใบนั้นโดยไม่รู้ตัว พร้อมทั้งกัดกินผลไม้ป่าอย่างเอร็ดอร่อย และแล้วกิ่งไม้ก็ถูกดึงให้ล้มลงพร้อมกับปากตะกร้าก็ลงมาครอบขังไว้ ทั้งคู่ยิ้มอย่างมีชัย แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นจากที่ซ่อนเดินย่องกริบไปยังกับดักของพวกเขา

    “ดูมันซิ น่ารักจัง ขนหางฟูฟ่องสวยมาก”   หล่อนกล่าวออกมาอย่างรักใคร่

    “ข้าทำเชือกมัดผมให้เจ้าได้นะ”  เขาบอกหล่อน หน่อวาจับตะกร้าหงายขึ้น รีบคว้าตัวเจ้ากระรอกน้อยด้วยกลัวว่าจะเผ่นหนีไป หล่อนประคองกระรอกขึ้นมาพร้อมกับฟ้าฮ่ามก็จ่อมีดไปที่คอของมัน ทั้งคู่มองประสานตากัน ฟ้าฮ่ามลังเลอยู่ชั่วขณะจิต 

    “เอาเลย ฟ้าฮ่าม” หล่อนกระซิบเร่งเร้า

    “เจ้าฆ่าซิ” จู่เขาก็เปลี่ยนใจ ยื่นมีดให้หล่อน

    “ไม่! เจ้านั่นแหละ” หล่อนเกี่ยงเขา   

    ทั้งสองเกี่ยงกันอยู่ครู่ใหญ่ ยังไงก็ไม่ยอมเป็นฝ่ายสังหารกระรอกน้อยอยู่ท่าเดียว ทันใดนั้นวูบหนึ่งในสมองของหน่อวาสั่งการให้หล่อนคว้ามีดจากมือฟ้าฮ่ามแล้วเชือดคอเจ้ากระรอกน้อยที่น่าสังเวชตัวนั้นตายด้วยมือของหล่อนเอง ขณะที่เชือดหล่อนรู้สึกใจว่างโหว เยือกเย็นอย่างประหลาด

    ...................................................................................................................................

    หลังจากเหตุการณ์วันนั้น สิบปีผ่านไป หญิงสาวชาวป่าสวมเสื้อแขนยาวสีม่วง-อมแดง นุ่งสะโหรงสีดำยาวกลอมข้อเท้า ป้ายทับด้วยผ้าสีเหลืองขอบสีเลือดหมูขึ้นลายเป็นช่องสี่เหลี่ยมที่ชายผ้า ยาวเสมอกับสะโหรงสีดำ ตัวผ้าสีเหลืองถูกแหวกไปครึ่งทั้งสี่ด้าน เผยให้เห็นสีดำของสะโหรงด้านใน ผมสีดำเงางามยาวไปถึงกลางหลัง หล่อนย่องกริบไปตามต้นไม้และพุ่มไม้เพื่อพลางตัว ก้าวออกไปอย่างระมัดระวัง โผไปหลบหลังต้นไม้ต้นหนึ่ง ใบหน้างามเปล่งปลั่งและสดใสไปด้วยวัยสาว ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องเขม็งไปข้างหน้าอย่างมีแผนการ หล่อนมองจนมั่นใจแน่แล้วว่าจะไม่มีคนเห็น จึงสืบเท้าไปข้างหน้า หลบหลังต้นไม้และพุ่มไม้ที่หมายตาไว้ เบื้องหน้าหล่อนเป็นบริเวณที่ชายฉกรรจ์สิบกว่าคนกำลังตัดไม้กันอยู่อย่างขะมักเขม้น ต่างคนต่างถือขวานฟันไม้ออกเป็นท่อนขนาดต่างๆ เพื่อนั้นไปใช้หลากหลายความต้องการ

    หล่อนแอบหลังต้นไม้มองดูชายหนุ่มในชุดกระเหรี่ยง เสื้อสีดำแขนยาวถูกพับมาถึงข้อศอกทับด้วยเสื้อกักสีเดียวกัน กางเกงขายาวสีดำ เหน็บผ้าสีแดงที่เอวยาวลงมาเกือบเข่าเอวดูเด่น ผมสั้นสีเข้ม ในมือถือขวานฟันกิ่งไม้ใหญ่อย่างทะมัดทะแมง ขณะที่หล่อนจ้องก็รำพึงอยู่ในใจ ข้ารู้ว่าเด็กดีไม่ควรจะล่ากระรอก หรือเข้าไปในป่าตามลำพัง แต่ตั้งแต่เราเป็นเด็ก เขามีวิธีทำให้ข้าอยากแหกกฎอยู่เสมอ...

    “ฟ้าฮ่าม กินเสร็จต้นไม้ก็ไม่หนีไปไหนหรอก”   เสียงชายวัยกลางคนคนหนึ่งกล่าว เขาหันหน้าไปยิ้มให้นิดนึง เหวี่ยงขวานสับลงบนตอไม้ เอี่ยวไปคว้าห่อข้าวบนตอไม้ใกล้ๆ กันนั้น แล้วเดินไปยังหมู่คนตัดไม้ที่กำลังพักกินมื้อเที่ยง ใช่ เขาล่ะ ฟ้าฮ่าม คนรักของข้า แล้วคนที่เรียกฟ้าฮ่ามไปกินข้าวก็พ่อข้าเอง การิม หล่อนชะโงกหน้าออกไป มองตามหลังชายที่รัก

    แกรกๆๆๆๆ เสียงลากไม้ หากท่อนไม้มีขนาดใหญ่เกินกำลังคน ชาวบ้านจะใช้กระบือมาช่วยลากกลับเข้าหมู่บ้าน เพื่อผ่อนแรง ฟ้าฮ่ามเดินกลับมายังตอไม้ที่เขาทำงานข้างไว้หลังจากมื้อเที่ยงได้ตกถึงท้องไป เขาก็มีแรงทำงานเพิ่มขึ้น เดินตรงไปยังขวานที่ฝากไว้กับตอไม้ เขากับพบแต่ตอที่ว่างเปล่า ขวานของเขาหายไป ฟ้าฮ่ามเลี้ยวซ้ายแลขวาหาขวานว่าอยู่ที่ไหน ในใจก็นึกว่าใครกันที่ขโมยขวานเขาไป พลันสายตาก็จับไปยังต้นไม้ใหญ่ข้างหน้า ได้ยินเสียงบางอย่างเคลื่อนไหวซวบซาบอย่างน่าสงสัย จึงเดินไปดู

    เขาเดินผ่านต้นไม้นั่น พบชายลากไม้เลี้ยวซ้ายตรงพุ่มไม้เตี้ยกับพงหญ้าคา เดินไปตามทางด่าน สายตามองกวาดไปรอบๆ ตรงไปยังต้นไม้ใหญ่ข้างหน้า ฉับพลันร่างหนึ่งก็กระโจนออกมาจากหลังต้นไม้พร้อมกับขวานในมือของนาง ฟ้าฮ่ามยืนนิ่งมองไปที่ร่างนั้น เขาคิดอยู่แล้วว่าต้องเป็นเธอ นางที่เขามีใจเสน่หา หล่อนยืนมองเขา เคียงคอพลางอมยิ้ม ทิ่มด้ามขวานลงพื้นมือข้างหนึ่งจับที่สันขวานพลิกไปมา เขาเห็นดังนั้น จึงเดินตรงไปที่หล่อน

    “เอาคืนมานะ” เขาทักขึ้น

    “จะแรกกับอะไรดีล่ะ”   หล่อนรวนเขา พรัอมกันนั้นเขากระโดดคว้าด้ามขวาน แต่เหลว หล่อนก็ไวพอที่จะขยับขวานหลบมือนั้น ทั้งคู่ประจันหน้ากันห่างแค่ศอกเดียว จ้องประสานตาอย่างเสน่หาลึกเข้าไปยังก้นบึ้งของหัวใจ หล่อนเงยหน้ามองเขาอย่างเชื้อเชิญ

    “พวกเขาไม่ได้บอกหรอ”   ฟ้าฮ่ามหยั่งเสียง

    “บอกอะไร”   หล่อนถามกลับอย่างแคลงใจ

    “พวกเขาจะให้เจ้าแต่งงานกับพะสะอู”   เขาตอบอย่างยากลำบาก หล่อนชะงัก ตาค้างจ้องไปที่ใบหน้าฟ้าฮ่าม หล่อนหลบตามองต่ำหันหน้าไปอีกทางแล้วก้าวเดินไปรอบๆ ต้นไม้ใหญ่ เขาเดินตามหล่อน

    “ในที่สุดแม่ข้าก็ได้สมใจอยาก...เงินน่ะ”  เงียบไปนาน หล่อนกล่าวออกมาในที่สุด

    “พะสะอูจะได้ในสิ่งที่เขาปรารถนามานาน...ตัวเจ้าไง” เขาโต้กลับ ในใจคิดชิงชังพะสะอูขึ้นมาตะหงิด

    “แล้วเราจะทำยังไง” หล่อนถามอย่างหมดหนทาง หล่อนไม่ได้มีใจให้พะสะอูแม้แต่นิดเดียว

    “เจ้าอยากแต่งงานกับเขาไหม” เขาถามขึ้นดื้อๆ 

    “เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่อยาก”   หล่อนส่ายหน้า 

    “พิสูจน์สิ” เขาท้า

    “ยังไง” หล่อนถามอย่างอยากรู้อยากเห็น

    “หนีไปกับข้า”   พูดพลางอ้าแขนออก

    “เราจะไปไหนกัน” หล่อนยิ้มหัวเราะกับความคิดและท่าทางของเขา

    “ที่ไหนก็ได้”  เขาเอยพร้อมก้าวมาใกล้หล่อน เดินคลอเคลียรอบตัวหล่อพลางกระซิบใกล้ที่ใบหู

    “มหาสมุทร เมืองใหญ่ บนภูเขา”   แล้วก้าวมายืนข้างหน้าหล่อน   “กลัวไหม”

    “ไม่”   หล่อนตอบอย่างมั่นใจ

    “ไม่หรอ” เขาหยั่งเสียงแล้วโผล่จับต้นแขนหล่อนโน้มไปข้างหลัง หล่อนใจหายวูบ เสียหลัก มือคว้าที่ไหล่แข็งแรงทั้งสอง ร่างของหล่อนนอนทอดตัวบนใบไม้แห้งที่หล่นลงมาปกคลุมพื้นดินหนาตา มันรองรับร่างนั้นราวกับเป็นที่นอนหนานุ่ม ร่างของเขาค่อมข้างตัวหล่อน แขนทั้งสองดันพื้นไว้

    “จริงหรอ เจ้าจะไปจากที่นี่หรอ จากครอบครัว จากชีวิตเจ้า”  เขาถามหล่อนพร้อมดันตัวลุกนั่งคุกเข่า มืออีกข้างลูบไล้อยู่ที่เอวคอดนั่น หล่อนรู้สึกได้ถึงไฟปรารถนาที่มีต่อเขา

    “ข้าทำทุกอย่างเพื่อจะได้อยู่กับเจ้า”  หล่อนตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง

    “นึกแล้วต้องพูดแบบนั้น”  เขายิ้มอย่างดีใจ ลุกขึ้นยืนเต็มตัว หล่อนลุกตามเดินตรงเขาไปผลักอกเขา

    “อย่างนั้นหรอ”  ทั้งคู่หัวร่อกันอย่างมีความสุข เขาเดินเข้ามายื่นมาไปจับที่ต้นคอ

    “งั้นเราก็ไปกันเลยดีกว่า” เขาบอก หล่อนรู้สึกตื่นเต้นจนเห็นได้ชัด มองดูไปรอบอย่างระมัดระวัง

    “กว่าใครจะรู้   เราก็ไปไกลครึ่งวันแล้ว”   หล่อนเสนอ

    “มาแข่งกัน”  เขาร้องท้า หล่อนยิ้มแล้วผลักหน้าอกเขาโดยแรง ออกวิ่งนำหน้าไปก่อน เขาเห็นดังนั้นจึงคว้าขวาน กระโดดข้ามรากไม้นั่นแล้วออกวิ่งตาม แต่แล้วก็หยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงกลองเตือนภัยของหมู่บ้านดังรัว กระบือที่ใช้ลากไม้ร้องระงม ส่งเสียงฮึดฮัดอย่างรู้ความหมายของเสียงกลอง ทั้งคู่ก้าวเดินอย่างยากลำบาก มองไปรอบกาย

    “เสือสมิง”  หล่อนเอยเสียงสั่นเครือ หล่อนหายใจแรงอย่างหวาดกลัว ใช่ ขึ้นชื่อว่าเสือ เป็นใครใครก็กลัว ยิ่งเสือตัวนั้นเป็นเสือสมิงด้วยแล้ว มันยิ่งน่ากลัวเป็นหลายเท่า และยิ่งเสียงกลองดังขึ้นแบบนี้ ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ คิดได้ดังนั้นจึงวิ่งออกไป

    หล่อนวิ่งเข้าไปที่หมู่บ้าน ตามชาวบ้านที่เดินมุ่งหน้าไปทางตะวันออก คดเคี้ยวเลี้ยวลดไปตามทางเดินฝ่าฝูงชนที่เดินระเกะระกะออกไปอย่างเร่งรีบตรงไปยังลานกองฟาง หล่อนเดินผ่านกองฟางมากมายอย่างร้อนใจ เร่งเดินตามหลังชาวบ้านไปอยากรู้เหตุการณ์ร้ายๆ ที่เกิดขึ้น ฟ้าฮ่ามก็เดินตามหล่อนเสมือนกองระวังหลัง ลับมุมกองฟางไปเจอะกับกลุ่มคนกำลังยืนวิจารณ์เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นอย่างสดๆ ร้อนๆ

    “มันฆ่าอีกแล้ว”

    “แต่เราทำทุกอย่างแล้วนะ”

    “ใช่ แต่เสือสมิง...ไม่รักษาสัญญา”         

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น