ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศึกเทพอสูรมหาสงคราม

    ลำดับตอนที่ #9 : ยอดวิชาเทพแห่งลม และความรักท่ามกลางศึก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 383
      3
      11 พ.ค. 47

    ศึกเทพอสูรมหาสงคราม

    ตอนที่ ๙ ยอดวิชาเทพแห่งลม และความรักท่ามกลางศึก



        พิณตะลาสูร รู้ว่า อนันตวาโย จะบุกมาทางไหน หมุนตัวกลับหลัง กางกรงเล็บทั้งสองข้างขึ้น พลันปรากฏภูติอสูรกระหายเลือดในบัดดล อนันตวาโย อ้อมตัวมาทางด้านหลังพุ่งหมัดทั้งสองเข้าปะทะกับพิณตะลาสูรสุดแรง สองพลังกระทบกันต่างก็กระเด็นถอยหลังไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่ภูติอสูรที่ปรากฏอยู่ที่กรงเล็บทั้งสองข้างเมื่อครู่นี้ กลับไล่ติดตาม อนันตวาโย อย่างไม่ลดละ พยามจะสิงสู่เข้าไปข้างในกัดกลืนกิน อนันตวาโย ทั่วทั้งร่าง แม้เลือดภายในกายก็ถูกดูดออกไปโดยไม่รู้ตัว



    “ ข้าถอยจนสุดแรงแล้วยังหลบไม่พ้นอีก “



    อนันตวาโย ตื่นตระหนกอยู่ในใจ สถานการณ์เริ่มย่ำแย่ ร่างกายเริ่มอ่อนแรงลง ฝ่ายภูติอสูรที่ไล่ติดตามนั้นก็ยังคุกคามไม่ยอมปล่อยให้ อนันตวาโย หลุดรอดไปได้ง่าย ๆ น้ำทิพย์ที่สาม เห็นดังนั้นแล้วคิดยื่นมือเข้าช่วยเหลือเพื่อนในทันที



    “ ถ้า อนันตวาโย ยังถูกวิชามารของ พิณตะลาสูร เล่นงานอยู่อย่างนี้ต้องแย่แน่ ข้าต้องช่วยเขา “



    น้ำทิพย์ที่สาม คิดขยับตัวกลับถูกร่างของ พิณตะลาสูร ขวางหน้า



    “ ไอ้หนู ไม่ต้องรีบร้อนถึงขนาดนี้ก็ได้ รอให้เพื่อนเจ้าตายก่อน แล้วเจ้าจะเป็นรายต่อไป อิ ๆๆ “



    น้ำทิพย์ที่สาม ถึงกับขบกรามแน่นด้วยความโกรธ



    “ ไอ้บ้าเอ๊ย!!  ถ้าเพื่อนข้าตาย ข้าจะฆ่าเจ้าให้ไปอยู่กับเขาด้วย “



    อนันตวาโย ต้องตายอย่างนั้นหรือ ? ทุกอย่างมันยังไม่แน่



    “ ข้าถอยยังไงก็หลบไม่พ้นคงต้องหาวิธีจัดการพวกภูติอสูรนี้ให้ได้เสียก่อน “



    อนันตวาโย สงบจิตใจ คิดหาวิธี พลันหยุดการเคลื่อนไหวของตนเอง เหล่าภูติอสูรที่รอจังหวะอยู่ต่างรุมล้อมเข้ามาหาหมายกัดกินร่างที่อยู่ตรงหน้าให้สิ้น อนันตวาโย หมุนร่างอยู่กับที่ใช้พลังแห่งลม กระแทกภูติอสูรจนสลายหายไปหมด พร้อมกับฟื้นฟูพลังของตนเองไปในตัว น้ำทิพย์ที่สาม เห็น อนันตวาโย ไม่เป็นอะไรซ้ำยังจัดการภูติอสูรได้ ดีใจอย่างยิ่ง



    “ ฮะฮ่า ดี ที่นี้เจ้าเดี้ยงแน่เจ้าอสูรชั่ว “



    พิณตะลาสูร เห็นดังนั้นแล้ว รีบพุ่งตัวเข้าเล่นงาน อนันตวาโย ในทันที เพราะไม่ต้องการให้ อนันตวาโย ตั้งตัวได้ทัน



    “ ไอ้หนู จะดีใจยังเร็วเกินไป รอดูศพของเพื่อนเจ้าก่อนก็แล้วกัน “



    พิณตะลาสูร เร่งความเร็วของกรงเล็บขึ้น คล้ายพระเวทย์กรงเล็บอสูร ของ พลาสูร แต่ดูดี ๆ แล้วกลับไม่ใช่



    “ กรงเล็บอสูรแปรปรวน ท่าที่ ๑ คิมหันต์มาเยือน “



    กรงเล็บอสูร จิกเข้าที่หน้าอกอย่างแรง ทั้งยังแฝงพลังร้อนมากับกรงเล็บด้วย อนันตวาโย รู้สึกเจ็บปวดและร้อนที่หน้าอกของตนเอง ในขณะเดียวกัน พิณตะลาสูร ไม่ยอมปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไป หมุนเหวี่ยงร่างของ อนันตวาโย อย่างรวดเร็ว ก่อนปล่อยให้ร่างของเทพหนุ่มผมยาวไปกระแทกกับต้นไม้ ทำให้ต้นไม้หักโค่นลงหลายต้น อนันตวาโย ได้รับบาดเจ็บ ที่มุมปากมีเลือดไหลออกมาและหน้าอกก็ได้รับแผลไปหนึ่งแผล  



    “ เจ็บเป็นบ้าเลย ไอ้เจ้านี้มันใช้วิชาอะไรกันแน่ ? ดูเหมือนจะไม่ใช่พระเวทย์ กรงเล็บอสูร ของ พลาสูร “



    อนันตวาโย คิดอยู่ในใจ พลางหาวิธีเข้าต่อสู้กับศัตรู ความจริง พิณตะลาสูร และ พลาสูร นอกจากจะเป็นพี่น้องกันแล้ว ยังฝึกพระเวทย์กรงเล็บอสูรเหมือนกันด้วย เพียงแต่หลังฝึกวิชาสำเร็จแล้ว พลาสูร ก็ออกท่องเที่ยวไปทั่วโลกจนในที่สุดก็มาพบกับ กัลย์ปาอสูร และได้มาเป็นขุนพลมารในสังกัดของ กัลย์ปาอสูร เมื่อเห็นว่าตัวเองมีวาสนาดีแล้วก็อยากให้พี่ชายสบายบ้างจึงไปตาม พิณตะลาสูร มาอยู่ด้วยกัน แต่ พิณตะลาสูร ไม่ชอบความเป็นอยู่แบบยศถาบรรดาศักดิ์ จึงหนีออกมาอยู่คนเดียวตามนิสัยที่รักอิสระ เขาเป็นอสูรที่ฝักใฝ่ในวิชาการต่อสู้ ในตอนนั้นเขาฝึกพระเวทย์กรงเล็บอสูรถึงขั้นที่ ๕ แล้วก็รู้สึกว่า พระเวทย์กรงเล็บอสูร แม้จะร้ายกาจแต่ไม่อาจหลอมหลวมเป็นหนึ่งได้ ในแต่ละครั้งจะใช้ได้เพียงครั้งละ ๑ ขั้นเท่านั้น เขาจึงปิดตัวเองอยู่เกือบ ๒๐๐ ปี ฝึกพลังพระเวทย์กรงเล็บอสูรอย่างแน่วแน่จนหลอมรวมพระเวทย์กรงเล็บอสูรทั้ง ๕ ขั้นให้เป็นหนึ่งเดียวได้ ถึงแม้เขาจะฝึกพลังพระเวทย์กรงเล็บอสูรจนสำเร็จได้ดังที่ตั้งใจไว้แล้วแต่ก็ไม่สามารถที่จะใช้พลังพระเวทย์กรงเล็บอสูรที่ฝึกสำเร็จแล้วให้เปล่งอานุภาพได้อย่างแท้จริง เขาจึงจำเป็นต้องหากระบวนท่าใช้กรงเล็บอีก ๑ ชุดประกอบเพื่อดึงอานุภาพของพลังกรงเล็บอสูรที่แท้จริงออกมาให้ได้ เขาเฝ้าสังเกตการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลจน บัญญัติเป็นกระบวนท่า กรงเล็บอสูรแปรปรวน ขึ้นมีอยู่ด้วยกัน ๘ ท่า คือ

    ท่าที่ ๑ คิมหันต์มาเยือน        พลังจากกรงเล็บร้อนดังไฟ เผาผลาญศัตรูสลายถึงวิญญาณ

    ท่าที่ ๒ วสันต์กระหน่ำโถม    พลังจากกรงเล็บใช้ออกเหมือนสายฝนครอบคลุมศัตรูทุกทิศ

    ท่าที่ ๓ เหมันต์ยังไม่สิ้น        พลังจากกรงเล็บเย็นเหมือนฤดูหนาวสลายทั้งร่างและวิญาณ

    ท่าที่ ๔ อัสนีสะเทือนฟ้า        พลังจากกรงเล็บเหมือนสายฟ้าฟาด

    ท่าที่ ๕ ลมร้อนผิดฤดู        พลังจากกรงเล็บเหมือนลมฉีกร่างศัตรูเป็นชิ้น ๆ

    ท่าที่ ๖ ดาวเคลื่อนเดือนดับ    พลังจากกรงเล็บมีทั้งจริงทั้งเท็จยากแยกแยะ

    ท่าที่ ๗ ดาวหางย้อนกลับ        พลังจากกรงเล็บบังคับเป็นภูติเงาอสูรกลืนกินศัตรูจากข้างใน

    ท่าที่ ๘ อาทิตย์ส่องแสง        พลังจากกรงเล็บเหมือนแสงสว่างจ้าแต่กลับดูดทุกสิ่งให้เข้ามาภายในเพื่อทำลายให้หมดสิ้น

    ต่อมา พิณตะลาสูร รู้ว่า พลาสูร ผู้เป็นน้องชาย ถูกเหล่าเทพทำร้าย จึงตัดสินใจออกจากป่าที่พำนักใช้วิชาแกะรอยหวังแก้แค้นให้กับน้องชาย แต่พบว่า เหล่าเทพต่างแยกย้ายกันไป ๔ ทาง จึงเลือกติดตามมาทางทิศใดทิศหนึ่ง จนมาพบกับ อนันตวาโย และ น้ำทิพย์ที่สาม



    ขณะที่ อนันตวาโย ยังไม่ทันลุกขึ้นมาต่อสู้  พิณตะลาสูร ก็บุกเข้ามาอีกระลอกอย่างรวดเร็ว หมายจบชีวิตของ อนันตวาโย ให้ได้ภายในท่านี้



    “ ข้าจะส่งเจ้าไปนรกตรงนี้แหละ “



    “ กรงเล็บอสูรแปรปรวน ท่าที่ ๔ อัสนีสะเทือนฟ้า “



    เหมือนสายฟ้าฟาดมาอย่างแรงตรงยังที่ที่ อนันตวาโย อยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างมอดไหม้เป็นตอตะโกแม้แต่ น้ำทิพย์ที่สาม ยังต้องตกใจ



    “ อนันตวาโย !!!! “



    พิณตะลาสูร มีสีหน้าดีใจที่จัดการกับศัตรูที่ทำร้ายน้องชายได้ แต่เมื่อมองเห็นทุกอย่างชัดเจน ดวงตากลับเบิกโพล่ง



    “ บ้าน่า!! มันหายไปไหนกัน “



    ตรงนั้นไม่มีร่างของ อนันตวาโย อยู่เลย พิณตะลาสูร รีบมองหา ก็พบ อนันตวาโย ยืนอยู่บนกิ่งไม้บนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง สายตาจ้องมองมาทางเขาด้วยประกายความโกรธอย่างรุนแรง



    “ เจ้าทำผิดเองนะที่ทำให้ข้าโกรธขึ้นมา “



    หลังสิ้นเสียงร่างของ อนันตวาโย ก็พุ่งเข้าหา พิณตะลาสูร พร้อมลมพายุสลาตันลูกใหญ่



    “ พระเวทย์วายุรุณ ท่าที่ ๔ หอมกลิ่นเนื้อนวล  “



    พิณตะลาสูร รีบผนึกกำลังต้าน แต่ต้านไม่ไหวร่างกระเด็นกลิ้งไปหลายตลบล้มลงไม่เป็นท่า



    “ อ๊อค “



    พิณตะลาสูร ได้รับบาดเจ็บถึงกับกระอักเลือดออกมาจากแรงอัดที่ได้รับ วิชาของ อนันตวาโย ไม่ธรรมดาจริง ๆ อนันตวาโย เป็นทายาทรุ่นหลัง ๆ ของเทพแห่งวายุ ( เจ้าพายุหรือพระพาย ) มีวิชาพระเวทย์สายวายุที่ร้ายกาจชื่อ พระเวทย์วายุรุณ ฝึกสำเร็จแล้วสามารถบังคับพลังแห่งลมได้ดังใจต้องการ นอกจากนั้น อนันตวาโย ยังคิดค้นท่าการใช้ พระเวทย์วายุรุณ ขึ้นอีก ๙ ท่า และยังนำท่าทั้ง ๙ มาผสานกับการใช้อาวุธของตนคือ จักรแก้ว จนแคล้วคล่องทำให้เพิ่มอานุภาพของ พระเวทย์วายุรุณ ขึ้นอีกเป็นเท่าตัว แต่เนื่องจาก  อนันตวาโย มีชื่อเสียงทางด้านเจ้าชู้ จึงมีเทพหลายองค์พูดแบบค่อนแคะ นำท่าแต่ละท่าใน พระเวทย์วายุรุณ มาตั้งชื่อเสียใหม่จนมีความหมายไปในทำนองชู้สาว แต่แทนที่ อนันตวาโย จะโกรธ กลับนำชื่อเหล่านั้นมาใช้เป็นชื่อท่าทั้ง ๙ จริง ๆ ซึ่งท่าของ พระเวทย์วายุรุณ ทั้ง ๙ ท่าได้แก่

    ท่าที่ ๑ แนบชิดนงนุช        ลมสลาตันทะลวงร่างสายลมคมดังคมมีด

    ท่าที่ ๒ โอบกอดอรชร         ลมสลาตันหมุนคลุมทุกทิศทำลายล้างทุกสิ่ง

    ท่าที่ ๓ คล้องมาลัยให้ทรามเชย    ลมสลาตันคล้ายวงแหนขยายออกและบีบรัด

    ท่าที่ ๔ หอมกลิ่นเนื้อนวล    ลมสลาตันบ้าคลั่งพุ่งทลายทุกสิ่งที่อยู่ข้างหน้า

    ท่าที่ ๕ พบพักตร์ตรึงใจ        ลมสลาตันพุ่งจากฟ้ากระแทกสู่ปฐพี

    ท่าที่ ๖ ภิรมย์ประสมสอง        ลมสลาตันสองสายโคจรกระแทกอัดกัน

    ท่าที่ ๗ แว่วเสียงออดอ้อน    ลมสลาตันสร้างคลื่นเสียงรบกวนก่อนเข้าทำลายเป้าหมาย

    ท่าที่ ๘ เว้าวอนแก้วตา        ลมสลาตันมีทั้งช้าและเร็วไม่แน่นอนแต่อำนาจทำลายรุนแรง

    ท่าที่ ๙ จุมพิตก่อนจาก        ลมสลาตันดึงทุกสิ่งเข้ามาอยู่ภายในฉีกทำลายล้างทุกสิ่งที่เข้ามา



    พิณตะลาสูร พยายามลุกขึ้นด้วยความยากลำบาก พอลุกขึ้นมาได้ยิ่งต้องตกใจเมื่อมองเห็น อนันตวาโย พุ่งร่างมาหาตนอีกครั้งทั้งยังมีลมสลาตันเหมือนดังดอกสว่านพุ่งเข้ามาด้วย



    “ พระเวทย์วายุรุณ ท่าที่ ๑ แนบชิดนงนุช “



    พิณตะลาสูร กลัวเสียท่า ไม่กล้ารับตรง ๆ รีบหลบตัวออกมา แต่กระนั้นที่ช่วงเอวก็ได้รับไปหนึ่งแผล บาดเจ็บไม่น้อย



    “ ไอ้หนู อย่าเพิ่งได้ใจ ลองมาดูกันสักตั้งสิว่าเจ้ากับข้าใครจะแน่กว่ากัน “



    พิณตะลาสูร ผนึกพลังที่กรงเล็บทั้งสอง ก่อนนำมาประกบชิดติดกันเป็น



    “ กงเล็บอสูรแปรปรวน ท่าที่ ๘ อาทิตย์ส่องแสง “



    พลังจากกงเล็บดูดร่างของ อนันตวาโย ให้เข้ามาใกล้หวังบี้บดจนละเอียด เทพหนุ่มผมยาวกลับไม่กลัว ประกายตาวาวโรจน์ พุ่งร่างเข้าหา พิณตะลาสูร ตามแรงดูดอย่างรวดเร็ว



    “ เมื่อพี่ชายต้องการ ข้าหรือจะกล้าขัด “



    ก่อนที่ร่างจะถูกบดจนแหลกละเอียด อนันตวาโย เร่งพลังของตนเองเรียกลมสลาตันออกมา



    “ พระเวทย์วายุรุณ ท่าที่ ๗ แว่วเสียงออดอ้อน “



    พิณตะลาสูร ได้ยินคลื่นเสียงจากลมสลาตัน ร่างทั้งร่างถึงกับต้องหยุดชะงักใช้ กรงเล็บของตนต่อไม่ได้ ปวดไปถึงแก้วหู สายตาพลันพรางมัวเพราะความเจ็บปวดไปด้วย อนันตวาโย ได้ที บังคับลมผสานกับร่างของตนบุก เข้ากระแทกร่าง พิณตะลาสูร อย่างรวดเร็ว ร่างของ พิณตะลาสูร ได้รับแรงอัดลอยขึ้นไปบนฟ้า อนันตวาโย ผนึกพลังลมสลาตันมาอยู่ที่มือทั้งสองข้าง พร้อมกับแยกร่างออกมา ๒ ร่าง ปักหลักอัดร่างของ พิณตะลาสูร ที่ลอยอยู่กลางอากาศ



    “ ปึ๊ก ๆๆๆๆๆ “



    อนันตวาโย ประเคนทั้ง หมัด ศอก เข่า ให้อีกฝ่าย พิณตะลาสูร ถูกอัดอยู่อย่างนั้นหมดหนทางหลบหนีโดนเข้าไปไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร



    “ อ๊าก ๆๆๆๆๆๆๆ “



    เจ็ดปวดทั้งกายและใจ ไร้ทางหนทางต่อสู้ อนันตวาโย ไม่ปล่อยช่องว่างใช้อีก ๑ ท่าต่อทันที



    “ พระเวทย์วายุรุณ ท่าที่ ๕ พบพักตร์ตรึงใจ “



    เทพหนุ่มผมยาว ส่งพลังลมสลาตันขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างเร็ว พายุหมุนก่อตัวขึ้นไปเป็นทางก่อนโค้งตัวลงมากระแทกร่าง พิณตะลาสูร ลงสู่พื้นดินจนพื้นยุบเป็นแอ่งขนาดใหญ่ พิณตะลาสูร นอนกองอยู่ตรงนั้นบาดเจ็บมากขึ้น กระอักเลือดออกมาเจ็ดปวดเกินบรรยาย อนันตวาโย เห็นดังนั้นแล้วรีบพุ่งตัวทิ้งดิ่งลงมากะเล่นงาน พิณตะลาสูร ให้ไม่ให้เหลือซาก



    “ ขืนให้ไอ้หนูผมยาวนี้ อัดข้าอีกครั้งข้าตายแน่ “



    พิณตะลาสูร ทั้งโกรธทั้งกลัว รีบใช้วิชาของตนเพื่อเอาชีวิตรอด



    “ ต้องไม่ให้ไอ้หนูนี้มีโอกาสใช้วิชาของมันอีก “



    คิดแล้วรีบผนึกพลังกรงเล็บในทันทีใช้พร้อมกันทีเดียว ๓ ท่า ขณะที่ยังนอนกองอยู่ตรงนั้น



    “ กงเล็บอสูรแปรปรวน ท่าที่ ๖ ดาวเคลื่อนเดือนดับ , ท่าที่ ๒ วสันต์กระหน่ำโถม , ท่าที่ ๓ เหมันต์ยังไม่สิ้น “



    กรงเล็บอสูรปรากฏออกมากมายนับไม่ถ้วนแยกแยะไม่ออกอันนั้นจริงอัน อันไหนเท็จ เท่านั้นยังไม่พอกรงเล็บยังขยายตัวเกือบคลุมร่างของ อนันตวาโย ความหนาวเย็นแผ่ซ่านร่างกายเกือบจะสลายรวมไปถึงวิญญาณด้วย หากแต่สีหน้าของ อนันตวาโย ไม่หวั่นเกรงแววตาเปล่งประกายคล้ายพอใจอย่างยิ่ง



    “ ดี เอาให้รู้ดำรู้แดงไปเลยพี่ชาย “



    อนันตวาโย บังคับพลังแห่งลมอีก ๑ ท่า ในพระเวทย์วายุรุณ เป็น



    “ พระเวทย์วายุรุณ ท่าที่ ๙ จุมพิตก่อนจาก “



    พลังแห่งลมก่อตัวขึ้นเป็นพายุหมุนดึงทุกสิ่งที่อยู่ใกล้เข้ามาอยู่ภายในใจกลางของพายุหมุน รวมทั้งพลังของกงเล็บอสูรแปรปรวนด้วย พลังจากกงเล็บอสูรแปรปรวนถูกทำลายจนหมดสิ้น ร่างของ พิณตะลาสูร ถูกดูดเข้าไปใจกลางพายุด้วย พิณตะลาสูร รู้ดีว่าถ้าหลุดเข้าไปแล้วย่อมไม่มีทางมีชีวิตรอดกลับออกมา ใช้สุดกำลังพยายามสลัดตัวหลุดออกมาจากกระแสลม รีบเกร็งพลังที่กรงเล็บ



    “ กรงเล็บอสูรแปรปรวน ท่าที่ ๕ ลมร้อนผิดฤดู “



    พิณตะลาสูร ใช้การหมุนเหวี่ยงของ กรงเล็บอสูรแปรปรวน ท่าที่ ๕ ลมร้อนผิดฤดู สลัดตัวออกมาจากกระแสลมพายุหมุนได้ แต่ร่างก็ตกลงมาสู่ที่พื้นทรุดตัวลงแทบไม่มีแรงลุกขึ้น ร่างกายรู้สึกเหมือนจะถูกฉีก ร่างทั้งร่างโชกไปด้วยเลือดจากบาดแผลที่มี บาดเจ็บสาหัส เจ็ดปวดปางตาย พลางจ้องมองดู อนันตวาโย และ น้ำทิพย์ที่สาม



    “ แค่ไอ้หนูผมยาวนี้คนเดียว ข้าก็เกือบตายแล้ว ถ้าขืนไอ้หนูนั้นอีกคนเข้ามาแจมด้วย สงสัยข้าต้องไปเกิดใหม่แน่ “



    พิณตะลาสูร เริ่มคิดชั่งน้ำหนัก



    “ ช่างเถอะ วันนี้คงฆ่าพวกมันไม่ได้ “



    คิดได้แล้วก็รีบเหาะหนีเอาตัวรอดไป พลางเกร็งกำลังตะโกนบอก



    “ ฝากหัวของพวกเจ้าไว้บนบ่าก่อน “



    อนันตวาโย เห็นดังนั้น จึงคิดไล่ตาม



    “ ไอ้บ้า คิดหนีเหรอ ? “



    พลันกลับปรากฏมือของ น้ำทิพย์ที่สาม จับไว้ที่บ่าเป็นเชิงห้าม พร้อมถ่ายพลังรักษาอาการบาดเจ็บที่ได้รับให้กับ อนันตวาโย ไม่นานพลังก็ฟื้นคืนบาดแผลหายสนิท และได้ยินเสียง น้ำทิพย์ที่สาม เอ่ยบอกว่า



    “ ไม่ต้องตามมันไปหรอก อนันตวาโย ถ้ามันยังไม่ตายก็ต้องกลับมาหาพวกเราแน่ พวกเรามีงานที่สำคัญรออยู่ จะช้าไม่ได้ รีบออกเดินทางไปนครเตมินทร์กันเถอะ “



    อนันตวาโย รู้สึกไม่เห็นด้วยกับ น้ำทิพย์ที่สาม ที่ห้ามเขาไว้ แต่เมื่อคิดถึงเรื่องของ นครเตมินทร์ แล้วจึงจำใจต้องทำตามที่ น้ำทิพย์ที่สาม พูด ปล่อย พิณตะลาสูร ไป หลังจากนั้นทั้งสอง รีบเร่งเดินทางต่อเพื่อไปให้ถึงยังนครเตมินทร์โดยเร็ว



        .....ฝ่าย มยุราเทวี และ อัคคีนาคา เดินทางลงมายังทิศใต้มุ่งสู่นครตรีสุวรรณ พวกนางทำตัวให้เหมือนชาวบ้านทั่วไป หลังจากเดินทางโดยทางบก ก็มุ่งตรงสู่แม่น้ำใหญ่จากนั้นก็โดยสารเรือจากแม่น้ำใหญ่ เข้าสู่นครตรีสุวรรณ อัคคีนาคา เอง นางไม่เคยรู้เรื่องราวของโลกมนุษย์มาก่อนทำให้ระหว่างที่เดินทาง มยุราเทวี จำเป็นต้องอธิบายให้นางฟังถึงเรื่องราวต่าง ๆ ในโลกมนุษย์จนนางเข้าใจทุกอย่าง พวกนางมาถึงท่าเรือที่เป็นที่จอดพักเรือโดยสารในนครตรีสุวรรณ มยุราเทวี จ่ายเบี้ยค่าโดยสารให้กับนายเรือ ก่อนพวกนางจะพากันขึ้นไปยังบนฝั่ง นครตรีสุวรรณ มีอาณาเขตพื้นที่กว้างใหญ่ไม่น้อย เป็นนครแห่งการค้า มีฝูงคนจากนครต่าง ๆ มาค้าขายกับนครแห่งนี้มากมาย นครตรีสุวรรณ มีเขตติดต่อการค้าอยู่หลายทาง ทางแม่น้ำใหญ่ ๕ สายและทางทะเลอีกด้วย นครแห่งนี้จึงเต็มไปด้วยผู้คนมากมายจากทั่วสาระทิศ ด้วยเหตุที่การค้าจึงเจริญรุ่งเรือง ทำให้เป็นที่หมายปองของนครต่าง ๆ มากมายที่คิดบุกมาตีนครแห่งนี้ให้เป็นเมืองขึ้นของตน แต่ใช้ว่านครตรีสุวรรณ จะถนัดแค่การค้าขายเท่านั้น ด้านการทหารแล้วนครแห่งนี้มีกองทหารที่เข็มแข็งมาก เพราะตัวนครตัวตั้งอยู่ชัยภูมิที่ดี และมีเงินทองที่ได้มาจากการทำการค้าในท้องพระคลังมากมายสามารถซื้ออาวุธและผลิตอาวุธไว้ใช้ในการศึกได้เป็นจำนวนมาก อีกทั้งพื้นดินของนครตรีสุวรรณก็อุดมสมบูรณ์ปลูกพืชผลใดก็งอกงามได้ดีตลอดปี  พวกนางทั้งสองเดินมาตามเส้นทางสู่เข้าสู่นคร รอบ ๆ ข้างทางล้วนเป็นตลาดร้านค้าตลาดของชาวบ้าน หากแต่สายตาผู้คนส่วนใหญ่ต่างจับจ้องมาที่พวกนางเพราะการแต่งกายของพวกนางดูแปลกตา พวกนางในขณะนี้ใส่เสื้อผ้าคลุมศีรษะตลอดจนจดปลายเท้าสร้างจุดสนใจให้กับทุกคนได้ไม่น้อย แต่เนื่องจากนครแห่งนี้มีคนต่างถิ่นเข้ามามากมายความสนใจในตัวพวกนางจึงมีอยู่ไม่นานและค่อย ๆ คลายลงไป



    “ เราจะไปไหนกันต่อดี นกยูง “



    มยุราเทวี มองดูร้านตลาดและดูผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมา ก่อนตัดสินใจ



    “ ข้าว่าเราต้องหาที่พักกันก่อนดีกว่า แถว ๆ นี้น่าจะมีที่พักค้างแรมอยู่บ้าง ? “



    “ ทำไมเราไม่เข้าเฝ้าเจ้านครตรีสุวรรณเสียเลยล่ะ จะได้ทูลถวายให้ทรงทราบถึงเรื่องของพวกเหล่าอสูรที่ถูกส่งมายึดนครตรีสุวรรณ ? “



    มยุราเทวี ส่ายหน้า พลางบอกต่อ นาคสาว ว่า



    “ ไม่ได้หรอก อัคคีนาคา ถึงพวกเราจะเข้าไปถึงท้องพระโรงได้ แต่พวกเขาอาจจะไม่เชื่อพวกเราก็ได้ อีกอย่างข้าว่าพวกอสูรมันคงส่งอสูรสืบข่าวปลอมตัวมาอยู่ในนครตรีสุวรรณแล้ว ถ้าเกิดเราบุ่มบามเข้าไป พวกมันอาจจะรู้ตัวกันก่อน “



    “ งั้นเราหาที่พักกันก่อนเถอะ ข้าเหนื่อยแล้วจะได้หาอะไรมากินกัน “



    มยุราเทวี พยักหน้ารับ พลางมองหาร้านค้าที่ต้องการ



    “ เราต้องไปแลกอัฐแลกอัฐมาไว้ใช้จ่ายก่อน โน่น ตรงโน้น มีร้านแลกอัฐอยู่เราเอาทองแท่งเล็กนี้ไปแลกอัฐกันเถอะ “



    สองสาวเดินเข้าไปในร้านแลกอัฐ เจอเจ้าของร้านร่างอ้วนหน้าตายิ้มแย้มแต่แววตาเจ้าเล่ห์ยืนรับลูกค้าอยู่



    “ ยินดีรับใช้นายหญิงทั้งสอง ไม่ทราบต้องการอะไร ? “



    “ ทองแท่งนี้ แลกอัฐได้ซักเท่าไร? “



    เจ้าของร้านรับมาดู พลางจ้องมองตรวจอย่างละเอียดก่อนบอกนางกับว่า



    “ นายหญิง ทองแท่งนี้ แลกอัฐได้ ๖๒ ชั่งไม่ทราบว่านายหญิงทั้งสองพอใจหรือไม่ ? “



    ( ในที่นี้ ๑๐๐ เบี้ย เท่ากับ ๑ บาท ๔ บาท เท่ากับ ๑ ตำลึง ๑๐ ตำลึง เท่ากับ ๑ ชั่ง )



    “ แต่ข้าว่ามันน่าจะได้ ๗๐ ชั่งมากกว่านะ “



    มยุราเทวี พูดกับเจ้าของร้านร่างอ้วน เจ้าของร้านกลับปฏิเสธ



    “ นายหญิง ข้าให้ท่านได้เท่านี้จริง ๆ ที่ท่านพูดมาคงเข้าใจผิด ถึงแม้ทองแท่งนี้จะเป็นทองคำที่ไม่มีตำหนิแต่ราคามันก็ไม่ถึง ๗๐ ชั่งหรอก ขอรับ “



    “ ไม่เป็นไร ข้าว่ายังมีร้านอื่นที่ให้ข้าได้มากกว่านี้อีก “



    พูดจบนางก็ทำท่าจะจากไปพลางยื่นมือไปหยิบทองแท่งคืน แต่เจ้าของร้านยังดึงทองแท่งนั้นไว้อยู่คล้ายกับว่าจะเสียดาย



    “ ฉลาดเป็นกรดจริง ๆ ยัยเด็กนี้ “



    ในใจคิดอีกอย่างแต่หน้าตากลับไม่บ่งบอกให้เห็น



    “ เอาอย่างนี้ ดีไหม ? นายหญิง ข้าให้ท่านได้ ๖๗ ชั่งเกินกว่านี้ข้าให้ไม่ได้ “



    มยุราเทวี ทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนบอกต่อเจ้าของร้านว่า



    “ ได้ อย่างน้อยข้าก็ไม่ขาดทุนมากเท่าไร “



    สักครู่เจ้าของร้านก็ให้เด็กในร้านนำอัฐมาให้พวกนาง เมื่อนับจำนวนดูเรียบร้อยแล้วก็นำถุงอัฐนั้นมาเก็บไว้กับตน แล้วนางก็ถามเจ้าของร้านขึ้น



    “ พวกข้าทั้งสองมาทำการติดต่อค้าขายที่นครนี้เป็นครั้งแรก ในนครแห่งนี้พอมีที่พักที่ไหนบ้าง ? “



    เจ้าของร้านชี้ไปยังที่เรือนไม้ใหญ่หลังหนึ่งซึ่งอยู่เกือบในเขตนครตรีสุวรรณ



    “ ที่นั้น ขอรับนายหญิง สำหรับคนทำการค้าแล้วที่นั้นถือว่าหรูหราและราคาไม่แพงเหมาะสำหรับเข้าพัก อีกทั้งยังมีความปลอดภัยสูงในทรัพย์สินที่นำติดตัวมาอีกด้วย “



    พวกนางหันไปมองตามเจ้าของร้าน ก่อนหันหน้ามาบอกลา



    “ ขอบใจเจ้ามากนะ พวกข้าไปล่ะ “



    “ ไม่เป็นไรขอรับ โอกาสหน้าข้าคงมีโอกาสได้รับใช้นายหญิงทั้งสองอีก “



    หลับหลังหญิงสาวทั้งสองเจ้าของร้านถึงกับบ่นออกมาอย่างหัวเสีย



    “ นังเด็กนี้ เขี้ยวจริง ๆ เห็นน่าตาอ่อน ๆ อย่างนี้เจ้าเล่ห์ไม่เบา สงสัยจะเป็นลูกสาวพ่อค้าจากต่างแดนแต่งตัวก็ดูแปลก ๆ “



    ถึงจะสงสัยแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรอีก เจ้าของร้านแลกอัฐยังคงทำการค้าต่อไปเมื่อมีลูกค้าเข้ามา ฝ่ายสาวงามทั้งสอง เดินออกมาได้ไม่ไกลเท่าไร อัคคีนาคา ก็เอ่ยถามขึ้น



    “ นกยูงเจ้าไปเอานิสัยต่อรองราคาแบบนี้มาจากไหนข้าไม่เห็นยักรู้เลยว่าเจ้าก็ค้าขายเป็นกะเขาด้วย ? “



    วิหคสาวยิ้มรับคำถามของนางก่อนตอบให้ชื่นใจว่า



    “ เข้าเมืองตาหลิวก็ต้องหลิวตาตามสิ พวกเราปลอมตัวเข้ามาค้าขายก็ต้องทำตัวให้เหมือนแม่ค้าหน่อย “



    อัคคีนาคา ได้ยินนางตอบ ก็พยักหน้ารับหงึก ๆ อย่างเข้าใจ พลางสังเกตเห็นความวุ่นวายที่อยู่ข้างหน้า มองเห็นยายแก่คนหนึ่งกำลังถูกชายหนุ่ม ๓ ล้อมไว้อยู่



    “ นี้ยายข้าบอกแล้วไงว่า ยายทำเสื้อของข้าเปื้อน ยายต้องจ่ายค่าซักเสื้อให้ข้ารู้ไหม ? “



    ยายแก่ได้ยินถึงกลับอารมณ์เดือดจนลืมวัย



    “ ถุย ไอ้ลูกหมา ชะช้าเห็นข้าเป็นคนแก่ รังแกได้รังแกเอาหรือ ไม่รู้จักข้าซะแล้ว พวกเจ้าวัน ๆ ไม่ทำงานทำการอะไร เอาแต่รีดไถคนอื่น ไม่อายคนมือตีนดี ๆ บ้างหรือไง ?



    กลุ่มหนุ่มอันธพาลได้ยิน ฉุนกึกในทันที



    “ อีแก่ นี้วอนซะแล้ว พูดดี ๆ ไม่ชอบ ชอบให้ใช้กำลัง จะจ่ายหรือไม่จ่าย ? “



    “ ไม่จ่ายโว้ย “



    เจ้าหนุ่มคนนั้นได้ยินแล้วก็ง้างกำปั่นขึ้น พลางจะชกไปยังหน้าของยายแก่คนนั้น



    “ พลั่ก “



    “ โอ๊ย “



    หนุ่มเจ้าของ กำปั่นยังไม่ทันชก กลับถูกใครคนหนึ่งเตะจนหัวไปกระแทกกับเสาไม้ในร้านข้าง ๆ แทน หัวแตกจนเลือดอาบ



    “ ใครวะ ใครเตะข้า อยากตายหรือไง ? “



    สองสาวแปลกหน้าที่มีผ้าคลุมศีรษะจดปลายเท้า ออกมายืนข้างหน้า



    “ พวกข้าเองมีอะไรไหม ? “



    เจ้าหนุ่ม ๓ คนไม่พูดพร่ำทำเพลง ตรงเข้าจัดการสองสาวทันที



    “ ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านดีนัก ต้องเอาให้หนัก “



    คนที่ว่าเอาให้หนัก กลับถูกพวกนางซ้อมจนหนักเสียเอง หัวแตกเลือดอาบ กระดูกเกือบหัก ดูสภาพแล้วสะบักสบอมเหลือเกิน ฝ่ายนักเลง ๓ คนเมื่อเห็นว่าสู้ไม่ไหวต่างวิ่งหนีเอาตัวรอด



    “ ไม่เอาแล้ว ผู้หญิงบ้าอะไร แรงยังกะช้าง “



    อัคคีนาคา เห็นพวกนั้นวิ่งหนีไปแถมท้ายก่อนจากอีก ๑ ครั้งแตะท่อนไม้ที่อยู่ข้าง ๆ กระเด็นไปถูกพวกเขาอีกพลั่กใหญ่



    “ เจ้าพวกปากเสีย พวกข้าอ่อนแอจะตายมาว่าพวกข้าแรงเหมือนช้างได้ไง “



    ทั้ง ๓ วิ่งหนีอย่างรนรานพลางบ่นไปตาม ๆ กัน



    “ โอ้ย!!! อ่อนแอยังจะขนาดนี้ ถ้าแข็งแรงพวกเราไม่ตายกันหมดเหรอ “



    เจ้าของเสียงวิ่งหนีเอาชีวิตรอดหายลับไปกับตา พวกนางจึงหันมามองยายแก่ที่ยืนมองพวกนางด้วยความตกใจอยู่



    “ ยายเป็นอะไรบ้างไหมจ๊ะ ? “



    ยายแก่ได้ยินเสียงถาม จึงรู้สึกตัวตอบกลับไป



    “ ยายไม่เป็นอะไรหรอกจ๊ะ ขอบใจพวกหนูทั้งสองคนมากนะที่มาช่วยยาย ไอ้พวกนี้มันเกเรเหลือเกินวัน ๆ ชอบแต่ไถ่เงินชาวบ้านชาวช่อง แล้วพวกหนูเป็นใครมาจากไหนกันละหือท่าทางคงจะไม่ใช่ชาวนครตรีสุวรรณ ? “



    มยุราเทวี เอ่ยบอกยายแก่ว่า



    “ ใช่จ๊ะ พวกข้าเป็นคนจากนครอื่นเข้ามาติดต่อการค้าที่นครนี้เป็นครั้งแรก ข้าชื่อนกยูง ส่วนเพื่อนข้าชื่อ นารี พวกข้ากำลังหาที่พักกันอยู่จ๊ะยาย “



    ยายแก่ ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกเอ็นดูเด็กทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง



    “ โถ่ แม่คุณ ตัวเท่านี้ยังรู้จักทำมาหากิน เอาอย่างนี้ก็แล้วกันไปพักที่บ้านยายก่อนก็ได้ ยายชื่อ ผิน บ้านของยายอยู่ในเขตนครตรีสุวรรณโน่น “



    “ จะดีหรือจ๊ะยาย ยายยังไม่รู้จักพวกข้าดีเลยก็จะพาพวกข้าไปอยู่ด้วย แล้วนายด่านเขาจะยอมให้พวกข้าเข้าไปพักในเขตนครหรือจ๊ะ “



    ยายแก่ได้ยินคำพูดของเด็กสาวจ้องมองพวกนางไปมาสักครู่ก่อนเอ่ยขึ้น



    “ ไม่เป็นไรหรอก พวกเจ้าเป็นผู้หญิงสองคนอยู่ข้างนอกมันอันตรายจะตายไป เดี๋ยวยายจะไปพูดกับนายด่านให้เองตามยายมาเถอะ “



    ยายผิน พาทั้งสองเดินเข้าไปในเขตนครตรีสุวรรณ พอจะผ่านเข้าไปถูกนายด่าน ๒ คนขวางเอาไว้



    “ พวกเอ็งมาขวางข้าไว้ทำไมวะ “



    นายด่านจ้องมองไปทาง ๒ สาวด้านหลังก่อนตอบยายผินไป



    “ ข้าไม่ได้ขวางยายแต่ข้าขวางสองคนนั้นต่างหาก “



    “ อ๋อ สองคนนี้หรือ เขาเป็นหลานข้ามาจากต่างนครจะไปพักที่บ้านข้ามีปัญหาอะไรไหม ? “



    นายด่านทั้งสองจ้องมองสองสาวอย่างพินิจเหมือนกำลังชั่งใจอยู่



    “ หลานยายแน่หรือ ? หน้าตาไม่เห็นใกล้เคียงกันเลย ยังไงข้าก็ให้เข้าไปไม่ได้หรอก พวกข้าต้องสอบสวนจนแน่ใจก่อนถึงจะให้เข้าไปได้ “



    “ อุวะ พวกเอ็งกับข้าก็รู้จักกันมาตั้งนาน ทำไม ไม่เชื่อใจข้าหรือไงวะ ? “



    “ ไม่ใช่ ไม่เชื่อ แต่มันเป็นกฎยังไงพวกข้าก็ให้เข้าไปไม่ได้หรอก “



    มยุราเทวี เห็นต่างฝ่ายต่างโต้เถียงกันอยู่ตั้งนาน ขยับตัวเข้าไปหานายด่านทั้งสอง เอ่ยพูดคุยกับพวกเขา



    “ แหมพวกน้าก็ พวกข้าเดินทางมาไกลนะ นี้ก็จวนจะค่ำอยู่แล้ว ยังไงก็ให้พวกข้าเข้าไปก่อนพรุ่งนี้จะสอบสวนพวกข้าก็ได้ พวกข้าไม่หนีไปไหนหรอกน่า “



    “ นี้ นังหนู ข้าก็อยากให้เข้าหรอกนะ แต่นี้มันเป็น ……. เอ้อ……”



    เจ้าของเสียงพูดไม่ทันจบที่มือพวกเขาทั้งสองก็มีถุงเงินเล็กคนละถุงถูกยัดไว้อยู่ในมือ นายด่านทั้ง ๒ ต่างมองซ้ายขวาและเปลี่ยนท่าที



    “ นี้เห็นว่า เป็นหลานยายผิน หรอกนะ ข้าจะยอมให้สักครั้ง รีบ ๆ เข้าไปเถอะ เดี๋ยวมีใครมาเห็นเข้า “



    ทั้งสามได้ทีรีบเดินเข้าไปในตัวนครทันที ฝ่ายนายด่านทั้ง ๒ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้หันไปมองดูทางอื่น



    “ คำก็อ้างกฎสองคำก็อ้างกฎ ถุย มันก็ไม่เท่าไรหรอกว้า “



    ยายผิน บ่นขึ้นมากึ่งขำกึ่งโมโห



    “ ช่างพวกเขาเถอะยาย พวกข้าไปค้าขายที่ไหนก็เจอแบบนี้ทั้งนั้นแหละ บางทีมันก็ต้องใช้ลูกเล่นกันบ้างไม่งั้นพวกข้าไปที่ไหนก็ค้าขายขาดทุนหมด “



    “ จริงของเอ็งวะ นังหนู ดีที่ว่าลูกข้ามันเป็นนางกำนัลอยู่ในวัง ไม่งั้นให้ข้าไปค้าขายอย่างพวกเอ็งสงสัยชาตินี้ทั้งชาติคงจะปลูกเรือนไม่ได้  ลูกล่อลูกชนอย่างพวกเอ็งข้าก็ใช้ไม่เป็นซะด้วย “



    ยินยายผินพูด สองสาวก็หัวเราะขึ้น นึกขำในบทแม่ค้าจำเป็นของตน อีกฝ่ายไม่รู้ความคิดก็พาซื่อหัวเราะตามไปด้วย



    “ นั้นไง เรือนของยาย มาขึ้นไปพักบนเรือนกันก่อนเถอะ “



    ยายผิน พาสองสาวขึ้นไปบนเรือน พลางหาน้ำและอาหารให้กิน อัคคีนาคา บ่นหิวข้าวตั้งแต่ขึ้นมาบนฝั่งกินข้าวปลาอย่างหิวกระหาย



    “ นังหนูนารี กินช้า ๆ ก็ได้ เดี๋ยวก็ติดคอตายหรอกเอ็งนะ “



    “ ขอโทษจ๊ะยาย ข้าหิวมากไปหน่อย พวกข้าขึ้นมาบนฝั่งก็มั่วแต่หาที่พักอย่างเดียว ตอนนี้ข้าก็เลยหิวมากไปหน่อย “



    อัคคีนาคา หาทางออกให้ตัวเอง ขณะที่ มยุราเทวี เอ่ยถามยายผิน



    “ เมื่อกี้ยายบอกว่าลูกยาย เป็นนางกำนัลในวังหรือจ๊ะ “



    “ ใช่ลูกยายมันเป็นนางกำนัลอยู่ในวัง นาน ๆ จะกลับมาที่บ้านทีหนึ่ง อีก ๒ วันจะมีพิธีจัดงานฉลองพิธีอภิเษกสมรส ของ พระธิดาแก้วกันยา กับพระโอรส สุรเสน แห่งนครโกเสน จะมีผู้มาอวยพรมากมาย พวกนางกำนัลก็คงจะมั่วยุ่ง ๆ อยู่นะ ไอ้ที่นายด่านสองคนไม่ยอมให้พวกเจ้าเข้ามาง่าย ๆ ก็เพราะกลัวว่าจะมีใครเข้ามาก่อกวนภายในวัง พวกเจ้ามาก็ดีแล้วจะได้เห็น ท่านบรรณนาคราช เป็นบุญตาก่อนกลับบ้านเมืองของพวกเจ้า “



    อัคคีนาคา ที่กินข้าวอยู่ พลันหยุดชะงักเมื่อได้ยินชื่อของ บรรณนาคราช



    “ ใครกันหรือจ๊ะ ท่านบรรณนาคราช ชื่อแปลก ๆ “



    นางแกล้งถามออกไปอย่างนั้นแต่ความจริงแล้วชื่อไม่แปลกสำหรับนางเลย



    “ ท่านบรรณนาคราช เป็นพญานาคราช ที่ปกป้องรักษานครตรีสุวรรณ แห่งนี้ท่านช่วยดูแลฝนฟ้าให้ตกต้องตามฤดูกาลเป็นที่เคารพของพวกเราชาวนครตรีสุวรรณมาก ท่านจะเสด็จมาอวยพรให้แด่พระโอรสกับพระธิดาในงานฉลองพิธีอภิเษกสมรสนะ “



    พวกนางพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ทางยายผิน ก็ยังคงพูดต่อไป



    “ พวกเจ้าก็พักอยู่ในห้องนั้นก็แล้ว ถ้ามีอะไรก็เรียกยายได้ ยายจะไปทำธุระเดี๋ยวอีกเดี๋ยวจะกลับมา “



    “ จ๊ะยาย “



    พวกนางรับคำของยายผิน ส่วนยายผินเองก็เดินลงเรือนของตนไป จวบจนเย็นถึงกลับมาอีกครั้ง พอค่ำมืดแล้วผู้คนในนครต่างพากันนอนหลับ มีเพียงเหล่าทหารรักษานครเท่านั้นที่ยังเดินไปมาอยู่ ฝ่ายสองสาวงามนอนอยู่ด้วยกันในห้อง ใกล้จะเที่ยงคืน ผู้คนในนครล้วนหลับหมดแล้วแต่ที่บนท้องฟ้าเหนือนครตรีสุวรรณ กลับมีร่างสองร่างลอยอยู่เหนือนครตรีสุวรรณ



    “ พวกเรามาที่นี้กันทำไม นกยูง ? “



    นาคสาวเจ้าของเสียง เอ่ยถามคู่หูของนาง



    “ พวกเราจะมาพบเทพผู้ดูแลนครตรีสุวรรณไงล่ะ “



    “ เทพผู้ดูแลนครตรีสุวรรณ เทพผู้พิทักษ์นครนะเหรอ ? “



    มยุราเทวี พยักหน้ารับพร้อมพาตัวของนางเหาะมาลอยเหนือยอดประสาทของนครตรีสุวรรณ ขณะที่มีร่างของ อัคคีนาคา ลอยอยู่ข้าง ๆ ด้วย ไม่นานนักก็มีเหล่าเทพพิทักษ์นครตรีสุวรรณ ๔ องค์ ปรากฏกายออกมาให้เห็น



    “ พวกข้าเทพพิทักษ์นครตรีสุวรรณ ยินดีต้อนรับพวกท่านทั้งสอง “



    “ ตามสบายเถอะท่าน ที่พวกข้ามาพวกท่านในครั้งนี้มีเรื่องจะรบกวนปรึกษาพวกท่านหน่อยหนึ่ง “



    พวกเทพพิทักษ์ต่างจ้องมองพวกนาง พลางถามขึ้นด้วยความสงสัย



    “ มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือท่าน ? “



    “ ขณะนี้ได้มีกองกำลังของกองทัพประตูมนุษย์ ของ กัลย์ปาอสูร โดยมี นายกองอสูร วัลวากี เป็นผู้นำ นำกำลังพล ๕๐๐,๐๐๐ มาบุกยึดนครตรีสุวรรณแห่งนี้ พวกข้าทราบข่าวก็เดินทางมาเพื่อช่วยเหลือนครตรีสุวรรณ ข้าอยากถามพวกท่านว่าเราพอจะมีทางรับมือกับกองกำลังของกองทัพประตูประตูมนุษย์หรือไม่ ? “



    ฝ่ายเทพผู้พิทักษ์ทั้ง ๔ ต่างตกใจอย่างยิ่งเมื่อได้ทราบข่าวนี้ ต่างหันหน้าเข้ามาประชุมกันครู่หนึ่งก่อนมี ๑ ใน ๔ เทพผู้พิทักษ์นครตรีสุวรรณเป็นคนเอ่ยตอบมยุราเทวี



    “ เรื่องนี้ลำบากยิ่งนัก ด้วยกำลังของพวกข้ามิอาจต่อสู้กำลังของกองทัพอสูรเช่นนั้นได้ พวกข้าสามารถช่วยพวกท่านได้เพียงแค่กางอาณาเขตพระเวทย์ป้องกันนครกับปรุงน้ำทิพย์ในการรบเท่านั้น “



    “ น้ำทิพย์ ของพวกท่านคือ น้ำทิพย์ อะไร ? “



    อัคคีนาคา ถามพลางคิดไปด้วย รู้สึกเหมือนจะเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน



    “ น้ำทิพย์ ของพวกข้าก็คือ พวกข้าสามารถทำพิธีปรุง น้ำทิพย์ ขึ้นมาได้ โดยน้ำทิพย์ของข้านี้ เมื่อมนุษย์ผู้ใดดื่มเข้าไปแล้วจะสามารถพอที่จะรบกับไพร่พลเหล่าทหารอสูรได้ เพียงแต่จะมีฤทธิ์ใช้ได้เพียงแค่ ๑ วันเท่านั้น “



    “ ฮืมมม ฟังดูแล้วเหมือนการปรุงน้ำทิพย์ ของ นางมณโฑ ในศึกของพระรามกับทศกรรฐ์ เลย เพียงแต่ นางมณโฑ ปรุงเพื่อให้ทศกรรฐ์ใช้รบกับพระราม เรียกผู้ที่ตายไปในการรบแล้วออกมาช่วยรบแทนไพร่พลของตนเองที่มีอยู่ ใช่ไหม ? นกยูง “



    มยุราเทวี นึกถึงเรื่องราวของพระรามและทศกรรฐ์ในไตรดายุคแล้วก็เห็นด้วย



    “ ใช่จริง ๆ ถึงจะไม่เหมือนแต่ก็คล้าย อัคคีนาคา เจ้านี้ใช้ได้เลย วิชาประวัติศาสตร์ของเจ้าแม่นมาก “



    “ ข้าไม่แม่นเท่าไรหรอก นกยูง จะว่าไปแล้วเรื่องประวัติศาสตร์นี้ข้าสู้ กรรณิการ์นาคี ไม่ได้ นางจำได้แม่นกว่าข้าเยอะ “



    พูดถึง กรรณิการ์นาคี แล้ว ทำให้ อัคคีนาคา คิดถึงเพื่อนรักอีกสองคน คือ เมธาวดี และ กุสุมาวดี ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง ?



    “ ข้าคิดว่า พวกท่านน่าจะไปขอความช่วยเหลือจากท่าน บรรณนาคราช จะดีกว่า อย่างน้อยจะได้มีกำลังทหารมาเพิ่มในการรบครั้งนี้ “



    ๑ ใน ๔ เทพพิทักษ์นครตรีสุวรณ บอกพวกนางให้ไปขอความช่วยเหลือจากนาคราชที่ปกปักษ์นคร



    “ พวกข้าต้องไปขอความช่วยเหลือจาก ท่านบรรณนาคราช แน่ เพียงแต่ตอนนี้พวกข้ายังปรากฏตัวไม่ได้ เพราะพวกข้ายังไม่แน่ใจว่า อสูรสืบข่าว ของพวกมันซ่อนตัวอยู่ที่ไหนบ้าง ? ตอนนี้พวกข้าขอให้พวกท่านช่วยจัดการปรุงน้ำทิพย์เตรียมพร้อมไว้ก่อน และคอยดูด้วยว่าหากพวกอสูรยกพลมาล้อมนครเมื่อไรขอให้พวกท่านกางเขตพระเวทย์ปกป้องนครด้วย “



    “ พวกขอจะปฏิบัติตามที่ท่านทั้งสองขอร้อง “



    พูดจบแล้วร่างของเทพทั้ง ๔ ก็หายไปเหลือเพียงความว่างเปล่า



    “ แล้วพวกเราจะทำอะไรต่อล่ะ ? นกยูง “



    “ พวกเราลองเหาะไปสำรวจ ดูรอบ ๆ นครตรีสุวรรณ ดีกว่าจะได้รู้ว่าพวกมันจะบุกมาได้จากทางไหนบ้าง ข้าจะไปแถว ๆ แม่น้ำใหญ่ ส่วนเจ้าไปดูทางแถบ ๆ ทะเลก็แล้วกัน เสร็จแล้วก็มาเจอกันตรงนี้ “



    อัคคีนาคา พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ พาตัวเหาะไปสำรวจ ทางทะเล ขณะที่ มยุราเทวี เหาะไปทางแม่น้ำใหญ่แทน  อัคคีนาคา ลอยเหาะวนเวียนสำรวจพื้นที่อยู่นานก็หยุดตัวลงที่หน้าผาแห่งหนึ่งที่เป็นแท่นหินชะโงกยื่นออกไปทางทะเล ข้างล่างเป็นหาดทรายมองเห็นแสงสะท้อนของพื้นทรายที่กระทบกับแสงจันทร์ระยิบระยับ



    “ ดูท่าพวกมันคงจะไม่บุกมาทางทะเล ตรงจุดใกล้ ๆ กับทะเลไม่มีที่เหมาะจะเป็นที่ตั้งค่ายเลย แถมการเดินทัพก็ลำบากอีกด้วย แต่ถ้าจัดแยกให้เป็นหน่วยรบออกมาก่อกวนกำแพงนครทางด้านนี้ก็ว่าไปอย่าง กำลังทหารที่ดูแลกำแพงนครด้านนี้มีไม่มากนักเพียงใช้แค่ไม่กี่ร้อยก็น่าจะตีกำแพงด้านนี้ได้ สงสัยว่าต้องหากำลังทหารมาดูแลตรงจุดนี้ให้มากขึ้น จะได้รับมือพวกมันได้ถ้าเกิดพวกมันบุกเข้ามาทางนี้จริง ๆ “



    เมฆเริ่มเคลื่อนตัวเข้ามาบดบังพระจันทร์อยู่เป็นเวลานานแล้วแต่ อัคคีนาคา ยังไม่กลับไปพบกับ มยุราเทวี กลับหวนคิดถึงเรื่องของ บรรณนาคราช



    “ เสด็จพ่อเคยบอกว่า ท่านบรรณนาคราช เป็นหนึ่งในจำนวนนาคราช ที่แยกย้ายกันออกมาดูแลท้องทะเลที่ต่าง ๆ สร้างนครเล็ก ๆ เป็นที่อยู่ในเขตทะเลที่ดูแล ไม่รู้ว่าจะมีกำลังคนมากพอช่วยเหลือนครตรีสุวรรณหรือเปล่า  ถ้าจำไม่ผิด ท่านบรรณนาคราช ออกมาจากนครบาดาลก่อนข้าเกิดเสียอีกมั่ง “



    กำลังคิดอะไรอยู่เพลิน ๆ กลับปรากฏ ลมพัดมาอย่างแรงทำให้ อัคคีนาคา ทรงตัวไม่อยู่จนพลัดตกลงมาจากหน้าผา ลมนี้ไม่ใช่ลมที่เกิดมาจากธรรมชาติอย่างแน่นอน ที่กลางทะเลมีร่างของนาคตัวใหญ่โผล่ขึ้นมาจากกลางทะเล เมื่อโผล่ขึ้นมาแล้วสร้างคลื่นลมอย่างรุนแรงไปทั่วบริเวณนั้น นาคตัวนั้นมองเห็นมีร่างใครคนหนึ่งกำลังจะตกลงมาจากหน้าผา



    “ แย่แล้ว ออกแรงโผล่ขึ้นมามากไปหน่อยกระแสลมเลยไปถูกคนหรือนี้ “



    ร่างของนาคใหญ่พุ่งทะยานไปยังทิศทางที่เห็นคนตกลงมา กลายร่างเป็นชายหนุ่มหนึ่งพุ่งตัวไปรับผู้ที่ตกลงมา ไม่รู้ว่าจะเป็นเพราะเสียหลักหรือเพราะว่าอะไรก็ไม่ทราบได้ แทนที่จะพาร่างคนที่ตกส่งขึ้นไปข้างบน ตัวเองกลับตกลงมาพร้อมกับร่างที่ร่วงหล่นลงมาด้วย นาคหนุ่มตกใจหมุนตัวไปมาใช้พลังของตนพาร่างให้ตกบนพื้นทรายอย่างนิ่มนวล ในขณะที่กอดคนที่ร่วงมาไว้แน่นทั้งสองกลิ้งไปบนพื้นทรายด้วยกันทั้งคู่ พอหยุดตัวได้นาคหนุ่มจึงหันมาถามอาการของอีกคนที่นอนอยู่ในอ้อมกอดบนพื้นทราย



    “ เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า ? “



    นาคหนุ่มถามเจ้าของร่างที่ยังนอนนิ่งตกใจอยู่ แสงจากดวงจันทร์ที่ถูกเมฆบังไว้เมื่อครู่เปิดออกมาฉายให้เห็นใบหน้าของคนที่นอนอยู่อย่างชัดเจน



    “ เจ้า…… “



    นาคหนุ่มพูดออกมาอย่างไม่ตั้งใจเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่นอนอยู่บนพื้นทรายขณะนี้ ใบหน้าของหญิงสาวที่งดงามที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาในชีวิต สัมผัสได้แม้กระทั่งกลิ่นตัวที่หอมชื่นใจและเสียงของลมหายใจของนาง ใบหน้าของนางยังแดงด้วยความอายและความตกใจที่มีอยู่



    “ เจ้า… เจ็บตรงไหนบ้าง ?… “



    นาคหนุ่มพูดอย่างตะกุกตะกัก คล้ายกำลังรวบรวมความกล้าถาม



    “ ข้าไม่เป็นอะไร ขอบใจท่านมากที่ช่วยข้า  “



    เพียงได้ยินเสียงดั่งต้องมนต์ หัวใจของนาคหนุ่มตอนนี้พองโตเมื่อได้ยินเสียงที่ไพเราะดั่งเสียงสวรรค์ ยิ้มให้อีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว



    “ อีตาบ้านี้ เป็นอะไรของเขานะ ยังยิ้มอยู่ได้ แล้วทำไมต้องมากอดข้าแน่นอย่างนี้ด้วย “



    อัคคีนาคา อึดอัดอยู่ในใจ กำลังจะบอกให้ชายหนุ่มปล่อยตน กลับได้ยินเสียงใครลอยดังขึ้นมา



    “ เจ้าพี่เพคะ อยู่ไหนเพคะ เจ้าพี่ ? “



    ชายหนุ่มได้ยินเสียเรียกของน้องสาว เพิ่งรู้สึกตัว หันหน้าไปทางเสียงตะโกนบอกกลับไป



    “ พี่อยู่นี้ ยุพารี “



    อัคคีนาคา ได้โอกาสพลักร่างของชายหนุ่มออกไปส่วนตัวเองก็เหาะลอยหนีไปจากตรงนั้น ในขณะเดียวกันก็มีหญิงสาว อีกคนวิ่งเข้ามาหาชายหนุ่ม



    “ เจ้าพี่อยู่นี้เอง หม่อมฉันตามหาเสียแทบแย่ แล้วทำไมเจ้าพี่ถึงมานอนอยู่ตรงนี้ล่ะเพคะ ? “



    “ ไม่มีอะไรหรอก ยุพารี “



    ชายหนุ่มยันตัวขึ้นมาจ้องมองไปยังทิศทางที่หญิงสาว หนีเขาไป ในใจขณะนี้มีใบหน้าของนางลอยวนเวียนอยู่ ไม่รู้ว่าจะเพราะเป็นบุพเพสันนิวาส หรือเวรกรรมแต่หนไหนทำให้จิตใจของนาคหนุ่มปันป่วนถึงขนาดนี้ หรือว่าสวรรค์จะบันดาลให้เขามาพบเนื้อคู่แล้วก็ได้ ข้างฝ่ายน้องสาวจ้องมองพี่ชายพลางหันหน้าไปมองยังทางที่พี่ชายของตนมองอยู่ อย่างไม่เข้าใจว่า เขากำลังมองหาอะไร



    จบตอนที่ ๙ ครับ    -__-“  เฮ้อ! เหนื่อยเหลือเกินกว่าจะเขียนตอนนี้เสร็จ



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×