ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศึกเทพอสูรมหาสงคราม

    ลำดับตอนที่ #3 : มยุราเทวี ปะทะ อัคคีนาคา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 614
      1
      25 มี.ค. 47

    ศึกเทพอสูรมหาสงคราม

    ตอนที่ ๓  มยุราเทวี ปะทะ อัคคีนาคา



        อินทรนาคราช จ้องมองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า  เขาเองไม่เคยรู้หรือเคยได้ยินว่า สุบรรณ มีหลานสาวมาก่อน อาจเป็นเพราะนับตั้งแต่เขาหลบไปบำเพ็ญเพียร ทำให้เขาไม่เคยได้ข่าวคราวของ สุบรรณ เลย จึงไม่ได้รู้ว่า สุบรรณเอง ก็มีหลานสาวด้วยเช่นกัน อินทรนาคราช เพ่งมอง มยุราเทวี อย่างพินิจ นางเองก็มีความงามไม่ด้อยไปกว่า อัคคีนาคา รูปร่างอรชร ใบหน้าผุดผ่อง  ขนคิ้วเรียวงามได้รูป ดวงตาเป็นประกาย ผมยาวสยายถึงกลางหลัง เสื้อสีเขียวที่นางสวมใส่ช่วยขับผิวของนางให้ดูโดดเด่นแต่ไกล แต่ที่กลางเสื้อกลับมีลวดลายสีดำลักษณะแปลกตาคล้ายกับหางของนกยูงปรากฏอยู่ ถัดลงมาด้านล่างเป็นผ้านุ่งสีน้ำตาล ช่วยเสริมให้นางดูงดงามยิ่งขึ้น มองดูไปแล้วคล้าย กับใครคนหนึ่งที่เคยทำให้จิตใจเขาหวั่นไหว จนไม่มีแก่ใจจะชายตามองหญิงอื่นอีกเลย ทางฝ่ายสุบรรณหันไปบอกต่อหลานสาวตนเองว่า



    “ นกยูง เจ้ามาก็ดีแล้ว ลุงจะแนะนำให้เจ้าได้รู้จักกับบุคคลสำคัญของนครบาดาล “



    มยุราเทวีได้ยินเสด็จลุงตรัสบอกดังนั้น จึงหันไปมองบุรุษทั้งสองที่อยู่ตรงหน้าของตนเอง แลเห็นชายหนุ่มผมยาวประบ่าและชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กัน ต่างก็พากันจ้องมองมาที่ตัวนาง



    “ ท่านผู้นี้คือ อินทรนาคราช น้องชายของเจ้านครบาดาล อานนทนาคราช ส่วนผู้ที่ยืนอยู่ข้างๆ คือ หนึ่งในสามแม่ทัพนาคาของนครบาดาล จามนาคราช “



    มยุราเทวี ได้ยินดังนั้นทำความเคารพต่อ อินทรนาคราช และ จามนาคราช ในใจคิดไม่ถึงว่าผู้ที่เคยต่อสู้กับเสด็จลุงของนางจะมีรูปร่างงามสง่าถึงเพียงนี้  สมแล้วกับที่เสด็จลุงเคยตรัสให้ฟังบ่อยๆว่า ในบรรดาเผ่าพันธุ์นาคา ผู้ที่งามสง่าและมีความสามารถที่สุด มีเพียงแต่ อินทรนาคราช ผู้ที่เป็นคู่ต่อปรับของเสด็จลุงนางเท่านั้น แต่ในใจของตนเองกับมีความรู้สึกแปลกๆ ต่อ อินทรนาคราช ผู้ซึ่งพบหน้ากันเป็นครั้งแรก คล้ายหวั่นเกรง อินทรนาคราช และในขณะเดียวกันก็รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก มยุราเทวี ก็ไม่เข้าใจว่าทำไม? ตนเองถึงมีความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมาได้



    “ อินทรนาคราช  นี้คือหลานสาวของข้าเองชื่อ มยุราเทวี หรืออีกชื่อหนึ่งของนางก็คือ นกยูง นกยูงหลานข้าเป็นหนึ่งในตัวแทนของพวกข้าที่จะเข้าร่วมพิธี คัดเลือกด้วย  “



    “ ข้าคิดไม่ถึงเลยว่า ท่านจะมีหลานสาวที่งดงามถึงเพียงนี้ ดูไปแล้วนางคงมีอายุพอๆ กับ อัคคีนาคา หลานสาวของข้า  นางคงจะได้รับการถ่ายทอดวิชาจากท่านมาไม่น้อยสินะ สุบรรณ “



    สุบรรณแอบยิ้มอยู่ในใจ อินทรนาคราช ยังไงก็เป็น อินทรนาคราช แม้ว่าดูภายนอก มยุราเทวี จะเป็นเพียงแค่หญิงสาวธรรมดา ไม่น่าจะมีวิชาติดตัวมากมาย หากแต่ก็ยังไม่รอดสายตาอันหลักแหลมของ อินทรนาคราชได้ สมแล้วที่ อินทรนาคราช เป็นคู่ต่อปรับของเขามานาน แค่มองหน่อยเดียว คงพอจะรู้แล้วว่า มยุราเทวี ได้รับการถ่ายทอดวิชาอะไรจากเขาบ้าง แต่ก็ไม่ใช่มีเพียง อินทรนาคราช เท่านั้นที่ดูออก ตัว สุบรรณเอง ก็ดูออกเหมือนกันว่า อินทรนาคราช ถ่ายทอดวิชาอะไร ให้แก่  อัคคีนาคา ด้วยเช่นกัน



    “ ข้าไม่ได้สอนอะไรให้แก่นางมากมายนักหรอก อินทรนาคราช ก็แค่วิชาที่ใช้กำราบ งูเขียวเล็กๆ เท่านั้นเอง “



    คำตอบของสุบรรณ ต่างทำให้ จามนาคราช  วิเชียรนาคา  กัญจนาคา และ มันทยนาคา ไม่พอใจทำท่าจะเข้าต่อสู้กับสุบรรณ แต่ อินทรนาคราช ยกมือห้ามไว้ ก่อนที่จะยิ้มและบอกอะไรบางอย่างแก่สุบรรณ



    “ ข้าก็คิดเช่นเดียวกับท่าน  ท่านคงแค่สอนให้นางกำราบงูเขียวๆเล็ก แต่ท่านคงลืมไปหน่อยหนึ่งว่างูเขียวเล็กๆ นะกำราบง่าย แต่ถ้าไปเจองูเขียวตัวใหญ่ๆ นกยักษ์บางตัวก็อาจจะบินหนีแทบไม่ทัน “



    คำพูดของ อินทรนาคราช ทำให้ กัญจนาคา  มันทยนาคา และ วิเชียรนาคา กลั้นหัวเราะแทบไม่อยู่ แม้แต่ จามนาคราช ยังอดอมยิ้ม ไม่ได้ แต่ทางพวกของสุบรรณกลับไม่พอใจทำท่าจะลงไม้ลงมือกับพวกของ อินทรนาคราช หากแต่สุบรรณส่งสายตาห้ามไว้ ทั้งหมดจึงไม่กล้า



    “ คำเตือนของท่าน ข้าจะจำเอาไว้ก็แล้วกัน ข้ากับท่านก็พูดคุยกันมานานแล้ว เห็นทีข้าคงต้องกลับไปดูว่าพวกของข้ามาครบกันหมดแล้วหรือยัง? เอาไว้ค่อยคุยกับท่านใหม่นะ อินทรนาคราช “



    “ ไม่เป็นไรหรอกสุบรรณ ท่านกลับไปดูแลพวกพ้องของท่านเถอะ โอกาสที่ท่านจะพูดคุยกับข้ายังมีอีกมากนัก “



    สุบรรณพูดจบ ก็พาพวกของตนกลับมายังอีกทางด้านหนึ่งของแท่นพิธีการคัดเลือก ผู้ปราบ กัลย์ปาอสูร หน้าตาบึงตึงไม่พูดไม่จากับใคร ฝ่ายมยุราเทวี มอง อัคคีนาคา แวบหนึ่ง ก่อนจะตามเสด็จลุงของนางกลับไปด้วย โดยมีสายตาของ อินทรนาคราช จับจ้องมอง มยุราเทวีอยู่



    “ ในโลกนี้ ยังมีหญิงสาวหน้าตางดงามคล้ายเจ้าอยู่อีกหรือ? แล้วเมื่อไรข้าจะได้พบเจ้าอีกครั้ง แล้วตอนนี้เจ้าอยู่ที่ไหนเจ้าจะคิดถึงข้าบ้างหรือเปล่า? “



    อินทรนาคราช ห้วนนึกใบหน้าของหญิงสาวที่เขารักมากที่สุดในชีวิต ในใจคิดว่าเขาคงจะมีโอกาสได้พบนางอีกครั้งถึงแม้ว่าจะเป็นฝันที่ดูลมๆแล้งๆ ก็ตาม ขณะที่ตัวสุบรรณเองกำลังข่มอารมณ์โกรธของตนอยู่ในใจ



    “ เชอะ เจ้างูเขียว หลบไปบำเพ็ญเพียรตั้งสองพันปี กลับมาเที่ยวนี้ ฝีปากดีขึ้นเยอะ สู้กับพวกนักปราชญ์เห็นทีจะเล่นยาก อย่าให้ถึงทีข้าบ้างก็แล้วกัน “



    สุบรรณและมยุราเทวีพร้อมเหล่าผู้ติดตามเดินกลับมาถึงยังที่รวมกลุ่มของพวกตน นิลบุตรปักษี เพิ่งจะได้มีโอกาสถาม มยุราเทวี  ถึงการที่นางหายตัวไปก่อนหน้านี้



    “ มยุราเทวีเจ้าหายไปไหนมา? ข้าตามหาเจ้าเสียแทบแย่ “



    “ ข้าไปเก็บผลไม้ให้กับเสด็จแม่ข้า ที่กลับมาช้าก็เพราะมีเรื่องนิดหน่อย “



    นิลบุตรปักษีได้ยิน มยุราเทวี บอกดังนั้นก็ตกใจรีบถามนางต่อทันที



    “ เกิดเรื่องอะไรขึ้น? “



    “ ก็แค่มีวิทยาธรเถื่อนตนหนึ่งมันอยากได้ข้าเป็นเมียของมัน ข้าก็เลยต้องเสียเวลาสั่งสอนมันเสียหน่อย พอดีมีคนเข้ามาช่วยข้า ข้าก็เลยไม่ต้องออกแรงมากเท่าไร “



    นิลบุตรปักษีได้ยินดังนั้น ก็โกรธยิ่ง และคิดว่าถ้าเขาไปด้วยคงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น คิดแล้วไม่น่าให้อภัยตัวเอง และอดสงสัยไม่ได้ว่าใครกันที่เข้าไปช่วย มยุราเทวี เอาไว้



    “ ถ้าเจ้าเจอมันอีก เจ้ามาบอกข้าจะจัดการกับมันเอง ว่าแต่ใครกันเหรอ? ที่เข้ามาช่วยเจ้า“



    นางถอนลมหายใจออก คล้ายกับไม่ค่อยอยากจะบอกว่าใครที่ได้เขามาช่วยนาง เพราะการกระทบกระทั่งกันของเสด็จลุงของนางและท่านอินทรนาคราช ยังความไม่สบายใจแก่นางเป็นอย่างยิ่ง นางกลัวว่าสิ่งที่ได้คิดไว้ ทำท่าว่าจะกลายเป็นจริงขึ้นมา ก่อนบอกต่อ นิลบุตรปักษี ว่า



    “ อัคคีนาคา หลานสาวของท่าน อินทรนาคราช แห่งเผ่าพันธุ์นาคา “



    “ อะไรนะ นางนะเหรอ? ที่เข้าไปช่วยเจ้า “



    นิลบุตรปักษี นึกถึงใบหน้าของ อัคคีนาคา ความงามของนางกับ มยุราเทวี คล้ายกับว่าจะเกิดมาเพื่อเป็นคู่แข่งกัน หากว่านางไม่ใช่เผ่าพันธุ์นาคาแล้ว การพบกันในครั้งนี้ของ มยุราเทวี และ อัคคีนาคา อาจจะดีกว่านี้ก็เป็นได้



    “ เจ้าถอนใจ คล้ายว่าหนักใจอะไรอย่างนั้นแหละ “



    นางพยักหน้าตอบ ต่อ นิลบุตรปักษี เป็นเชิงยอมรับ ในใจของนาง นางไม่อยากจะเป็นศัตรูกับ อัคคีนาคา แต่ไม่รู้ว่าจะทำได้หรือไม่?



    “ ข้าไม่อยากเป็น ศัตรูกับนาง นางเคยช่วยข้าเอาไว้ ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้เข้ามาช่วยข้า ข้าก็จัดการกับ วิทยาธรเถื่อนตนนั้นได้อยู่แล้ว แต่การกระทำของนางก็แสดงอยู่ในตัวแล้วว่านางเป็นคนมีจิตใจที่ดีงามช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่ห่วงความปลอดภัยของตัวเอง ข้าอยากจะเป็นเพื่อนกับนางมากกว่าที่จะเป็นศัตรูกับนาง “



    “ ข้าว่าเห็นทีจะยาก เผ่าพันธุ์วิหคและเผ่าพันธุ์นาคา ต่างก็ไม่ถูกกันมาตั้งนานแล้ว เจ้าก็เห็นเมื่อครู่นี้ ท่านสุบรรณ กับ ท่านอินทรนาคราช ปะทะคารมกันมากขนาดไหน นี้ถ้าต่างฝ่ายไม่เห็นแก่ส่วนรวมแล้ว ข้าว่าเมื่อครู่พวกเขาคงได้ปะมือกันอีกครั้งเป็นแน่ “



    สิ่งที่กล่าวออกจากปากของ นิลบุตรปักษี ไม่ไกลเกินจริงไปเลย หากเพราะไม่ใช่งานชุมนุมเหล่าเทพเสด็จลุงของนางคงจะลงมือไปนานแล้ว นิลบุตรปักษีเอง ก็คงจะต้องเข้าร่วมไปด้วย ความจริงนิลบุตรปักษี เพิ่งจะติดตามเสด็จลุงของนางได้ไม่นานนี้เอง ถ้าพูดถึงด้านฝีมือคงจะพอต่อสู้ได้ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าเจอกับ อินทรนาคราช เห็นทีว่ามีสิบชีวิตก็คงจะไม่เพียงพอ



    “ หวังว่าอะไรๆ คงจะดีขึ้นกว่านี้ ก็แล้วกัน ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่า ถ้าข้าสู้กับ อัคคีนาคา ขึ้นมาจริง ข้าจะเอาชนะนางได้หรือเปล่า? “



    “ เจ้าล้อข้าเล่นหรือเปล่า? พระเวทย์ อัสนียบาต ที่ท่านสุบรรณ สอนเจ้านะ น่าจะชนะนางได้สบายๆ นางไม่น่าจะรับมือเจ้าได้มากเท่าไร? “



    นิลบุตรปักษี ไม่เชื่อว่านางจะแพ้ อัคคีนาคา เพราะเขาเองเคยเห็นพระเวทย์นี้กับตาตนเอง พลังของพระเวทย์นี้เคยเกือบทำให้เขาต้องตายมาครั้งหนึ่งแล้ว ตอนที่ยังไม่รู้จักกับท่านสุบรรณ เพราะตัวเองเกิดไปท้าสู้กับท่านสุบรรณเข้า ถ้าหากตอนนั้นท่านสุบรรณไม่เมตตาไว้ชีวิตเขาไว้ เขาคงไม่ได้มาพบกับมยุราเทวี นึกถึงตอนนั้นทีไร ความเจ็บปวดของการต่อสู้ในครั้งนั้นเหมือนจะย้อนกลับมาหาเขาทุกที



    “ เจ้ายังไม่เคยเห็น อัคคีนาคา ต่อสู้กับใคร จะคิดเช่นนั้นก็ไม่แปลก แต่ถ้าเจ้าได้เคยเห็นนางต่อสู้กับใครแล้วล่ะก็ เจ้าจะไม่พูดออกมาเช่นนี้แน่นอน “



    นางผละตัวจากไป โดยมีสายตาของ นิลบุตรปักษี จ้องมองนางอยู่ทางด้านหลัง  ใจจริงเขาเองอยากเรียกนางว่า “ นกยูง “ เฉยๆ หากแต่ เขาเองไม่กล้าเรียกเพราะผู้ที่จะเรียกนางแบบนี้ได้ จะต้องสนิทกับนางมากเท่านั้น สำหรับตัวเขาเองยังห่างไกลกับคำ คำนี้มาก ตอนนี้ในใจของ นิลบุตรปักษี กำลังสะท้อนความรู้สึกบางอย่างออกมา



    “ เจ้าจะรู้บ้างหรือเปล่า? นอกจากข้าจะเป็นห่วงเจ้ามากแล้วข้ายังทั้งหวงและ.............. “



    ตัวของนิลบุตรปักษี ไม่กล้าที่จะคิดต่อและเขาเองก็ไม่ได้ติดตาม มยุราเทวี ไปเพราะรู้ว่านางยังไม่อยากจะพูดคุยกับใครในตอนนี้ ส่วนตัวเขาจากไปอีกทางหนึ่ง ในใจของ นิลบุตรปักษี กำลังสบสนกับความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อมยุราเทวี



        ทางฝ่ายพวกของ อินทรนาคราช ขณะนี้ วิเชียรนาคา กัญจนาคา และ มันทยนาคา ต่างถกเถียงเรื่องของสุบรรณ อยู่ คนที่เป็นผู้เริ่มต้นก็คือ วิเชียรนาคา



    “ เมื่อกี้ท่าน อินทรนาคราช พูดได้สะใจข้าเสียจริงๆ “



    “ หม่อมฉันก็เห็นด้วยกับ เสด็จอา นี้ถ้าไม่เกรงพระทัยเสด็จอา อินทรนาคราช แล้วล่ะก็ เมื่อกี้หม่อมฉันคงจะอดใจไม่ไหวเป็นแน่ “



    มันทยนาคา เอ่ยบอก เสด็จอา วิเชียรนาคา หากแต่ กัญจนาคา กลับคิดไปอีกอย่างหนึ่ง



    “ มันทยนาคา ความจริงแล้วพี่เองก็อยากจะให้ หลานสาวของท่าน สุบรรณ ลองมากำราบงูเขียวอย่างพี่ดูบ้าง อยากจะรู้ว่าถ้านางถูกงูเขียวอย่างพี่รัดนางจะบินหนีได้หรือเปล่า? “



    คำพูดของ กัญจนาคา ต่างทำให้ทั้งสามหัวเราะแต่กลับมีเสียงของน้องสาวเอ่ยแย้งขึ้นมาขัดจังหวะ



    “ หม่อมฉันว่า นางคงจะไม่บินหนีเจ้าพี่หรอกเพคะ แต่ดีไม่ดีเจ้าพี่นั้นแหละ ที่จะต้องรีบเลื้อยหนีเวลานางเอาปากแหลม ๆ มาจิกแถวๆ ลำตัวของเจ้าพี่นะ “



    อัคคีนาคา พูดแขวะพี่ชายของนางเข้าให้อย่างหมั่นไส้ เป็นผลให้พี่ชายทั้งสองและเสด็จอา วิเชียรนาคา พูดต่อไม่ออก และคิดว่า อัคคีนาคา กำลังเข้าข้างพวกเผ่าพันธุ์วิหค



    “ อัคคีนาคา นี้เจ้าเข้าข้างพวกนกยักษ์นั้นเหรอ? “



    มันทยนาคา แขวะน้องสาวบ้าง พลางนึกโกรธที่นางกลับไปเข้าข้างพวกเผ่าพันธุ์วิหค



    “ หม่อมฉันไม่ได้เข้าข้าง พวกนกยักษ์หรอกเพคะ แต่หม่อมฉันเข้าข้างพวกผู้หญิงด้วยกันต่างหาก “



    พูดจบนางก็เดินไปหาเสด็จลุงของนาง ปล่อยให้ทั้งสามยืนหัวเสียอยู่ตรงนั้น ในขณะที่ อินทรนาคราช กำลังสังเกตเห็นความวุ่นวายอะไรบางอย่างของเทพที่เข้ามาร่วมชุมนุมในพิธีคัดเลือกครั้งนี้ ซึ่งพวกเขากำลังทุ่มเถียงกันอยู่กับชายหนึ่งคนและหญิงอีกหนึ่งคน



    “ ที่พวกเจ้ามาร่วมงานชุมนุมเหล่าเทพครั้งนี้ ข้าว่าคงไม่ใช่มาร่วมการคัดเลือกเทพ ผู้ปราบ กัลย์ปาอสูรหรอก  คงจะมาสืบข่าวให้พวกอสูรด้วยกันมากกว่า เจ้าสองคนมันก็เป็นอสูรไม่ใช่เหรอ? “



    หนึ่งในบรรดาเทพที่ยืนอยู่ในกลุ่ม พูดจา ถากถางชายหญิงทั้งสอง ชายหนุ่มหน้าตาซึ่งบ่งบอกว่าเป็นเผ่าพันธุ์ยักษ์ในมือถือคันธนู ยักษ์หนุ่มยังไม่ได้เข้าไปทำอะไรเทพองค์นั้น แต่หญิงสาวผู้สะพายดาบไว้ด้านหลังที่ยืนอยู่ข้างๆ กับยักษ์หนุ่มอดใจไม่ไหวเข้าไปกระชากคอเสื้อของเทพองค์นั้นพร้อมกันตะคอกกลับไป



    “ เทพอย่างเจ้าไม่รู้อะไรก็อย่าพูดจะดีกว่า พวกข้าสืบเชื้อสายมาจากวงศ์พรหม อย่างไรก็มีศักดิ์ศรีดีกว่าเทพอย่างพวกเจ้า หัดให้เกียรติพวกข้าให้มากหน่อย ถ้าขืนยังพูดจาไม่เข้าหูข้าอีก ข้าอาจจะอดใจไม่ไหวส่งให้เจ้าไปจุติยังโลกมนุษย์ก่อนเวลาอันควรก็ได้ “



    ได้ยินดังนั้นแล้วเทพบุตรองค์นั้น หน้าตาก็ซีดเซียวไม่กล้าแม้จะสบตาของยักษ์สาว ด้วยฝีมือของเขายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง เขาเองก็ยังไม่อยากที่จะลงไปเกิดในโลกมนุษย์ด้วย พยายามจะแกะมือของนางออกจากคอเสื้อของตนเองแต่พยายามเท่าไรก็ยังแกะไม่ออก ขณะที่ยักษ์หนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ พยายามประนีประนอมพูดจากับนางอยู่



    “ ไม่เอาน่า ดวจใจมาร ข้าว่าอย่าไปถือสามันเลย นี้พวกเรามาร่วมพิธีคัดเลือกเทพผู้ปราบ กัลย์ปาอสูร ไม่ใช่เหรอ? อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เลย “



    ยักษ์สาวหันมามองหน้ายักษ์หนุ่มหน่อยหนึ่งเหมือนชั่งใจ ก่อนสะบัดหน้ากลับไปหาเทพองค์นั้น



    “ ถือว่าเจ้าโชคดีก็แล้วกันที่ ตรัยสูรขอข้าไว้ ไม่อย่างงั้นล่ะก็เจ้าได้ไปจุติใหม่แน่ เจ้าจะไสหัวไปไหนก็รีบไปอย่าให้ข้าเห็นหน้าเจ้าอีก  ถ้าข้าเห็นเจ้าอีกข้าอาจเปลี่ยนใจนอกจากจะส่งเจ้าไปจุติใหม่แล้วข้ายังอาจจะทรมานเจ้าให้เจียนตายก่อนไปจุติก็ได้ “



    พอพูดจบนางก็ปล่อยมือออกคอเสื้อของเทพองค์นั้น เทพองค์นั้นก็รีบผละหนีออกห่างจากตัวนาง  ฝ่ายเทพองค์อื่นๆ ก็ถอยหนีไปอีกทาง อินทรนาคราช ได้เห็นเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ จึงเดินเข้าไปหาชายหญิงทั้งสองคน ขณะที่ อัคคีนาคา เองก็เดินตามเสด็จลุงของนางไปด้วย



    “ พวกเจ้านะเหรอ? สืบเชื้อมาจากวงศ์พรหม ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าก็คือ เทพอสูร นะสิ “



    ชายหญิงทั้งสองได้ยินคำพูดของ อินทรนาคราช ต่างหันตัวกลับมาข้างหลังพบชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหลังของตนเองและมีหญิงสาวอีกคนหนึ่งเดินตามมาสมทบด้วย นางไม่รู้ว่าชายหนุ่มที่อยู่ข้างหลังเป็นใคร แต่ตรัยสูรได้เห็นชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าถึงกับตกตะลึง



    “ ท่านคือ อินทรนาคราช ใช่หรือไม่? “



    “ ใช่แล้ว ข้าคือ อินทรนาคราช แต่พวกเจ้ายังไม่ตอบคำถามข้าเลยนะ “



    นางสงสัยหันไปจ้องมองทางยังตรัยสูร หากแต่ตรัยสูรกลับทำความเคารพต่อ อินทรนาคราช ทำให้นางพลอยต้องทำความเคารพต่อ อินทรนาคราช ตาม ตรัยสูรไปด้วย



    “ ใช่แล้ว พระเจ้าข้า หม่อมฉันเป็นเทพแห่งยักษา เผ่าพันธุ์เทพอสูร หม่อมฉันชื่อตรัยสูร เป็นลูกคนที่สองของ เสด็จพ่อ รณจักร แห่งนคร จักรวรรดิ  ส่วนนางชื่อ เปมิกา เป็นลูกของเสด็จลุง วัลนุราช แห่งนคร วิบูลย์ไพศาล



    “ ข้าคิดไม่ถึงว่า พวกเจ้าจะเป็นลูกของ รณจักร และ วัลนุราช  แล้วเสด็จพ่อของพวกเจ้าสบายดีหรือเปล่า? ข้าไม่ได้พบเขาทั้งสองมานานมาแล้ว ”



    อินทรนาคราช ถามถึง รณจักร และ วัลนุราช เนื่องจากไม่ได้พบพวกเขาทั้งสองคนมานานมากแล้ว     อินทรนาคราช ยังจำได้ว่าครั้งแรกที่ได้พบกับ รณจักร และ วัลนุราช เป็นวันที่พวกเขาได้พบกันใน   อาศมของ ฤษี เวทิศดาบส หนึ่งใน มหาเบญจโยคี ซึ่งเป็นอาจารย์ของ อินทรนาคราช เอง



    “ เสด็จพ่อของหม่อมฉันและเสด็จลุง วัลนุราช ทรงพระเกษมสำราญดี พระเจ้าข้า ในตอนแรกที่ได้พบพระองค์หม่อมฉันไม่แน่ใจว่าจะใช่พระองค์หรือเปล่า? เพราะหม่อมฉันเองก็เคยได้ยินแต่คำบอกเล่าของเสด็จพ่อ พระเจ้าข้า “



    ตรัยสูรเองก็ไม่เคยพบ อินทรนาคราช มาก่อนเคยได้ยินแต่คำบอกเล่าถึงลักษณะของ อินทรนาคราชจากพระโอษฐ์ ของเสด็จพ่อ เท่านั้นและเขาเองก็ไม่คิดว่า อินทรนาคราช จะยังดูหนุ่มถึงขนาดนี้ในขณะที่เสด็จพ่อของเขาเองพระชันษาก็เพิ่มขึ้นมากแล้วทำให้พระพักตร์ทรงเปลี่ยนไปตามกาลเวลา กลับกันกับที่ เปมิกา ยังสงสัยว่า อินทรนาคราช เป็นใคร? เอามือกระตุกที่ชายเสื้อของตรัยสูรจนเขาต้องหันมามอง เปมิกา และเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า เปมิกา เองคงจะยังไม่เคยรู้เรื่องของ อินทรนาคราช มาก่อน จึงได้อธิบายให้กับ   เปมิกา ฟังถึงเรื่องของ อินทรนาคราช



    “ ขอโทษนะ ดวงใจมาร ข้าลืมไปเสียสนิทเลยว่าเจ้าคงไม่เคยรู้เรื่องของท่าน อินทรนาคราช มาก่อน ท่าน อินทรนาคราช เป็นพระสหายสนิทของเสด็จพ่อข้าและเสด็จพ่อของเจ้า เสด็จพ่อข้าทรงเล่าให้ฟังว่า ท่านอินทรนาคราช ทรงเป็นพระอนุชาของ ท้าวอานนทนาคราช แห่งนครบาดาล ข้าเองก็เพิ่งจะพบท่าน อินทรนาคราช เป็นครั้งแรก เพราะ ท่าน อินทรนาคราช ทรงไปบำเพ็ญเพียรตบะเสียนาน นานๆ ครั้งท่านถึงจะออกจากการบำเพ็ญเพียรเสียทีหนึ่ง “



    ได้ฟังจากปากของตรัยสูรเช่นนั้น  เปมิกา ก็พยักหน้าให้กับตรัยสูรอย่างเข้าใจและไม่คิดว่า เสด็จพ่อของนางเองจะมีพระสหายที่งามสง่าเช่นนี้ หากแต่สายตาของนางกำลังจ้องมองอยู่ที่ หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ  อินทรนาคราช นางยังไม่รู้ว่า ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร แต่ความรู้สึกของนางกำลังบอกว่า ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านาง มีอะไรบ้างอย่างที่ไม่ธรรมดา



    “ ท่าน อินทรนาคราชเพคะ นางคือใครหรือเพคะ หรือว่าเป็นลูกของพระองค์เพคะ? “



    ได้ยินคำถามจาก เปมิกา อินทรนาคราชเองก็เพิ่งนึกถึง อัคคีนาคา ขึ้นมา ซึ่งเขายังไม่ทันได้แนะนำหลานสาวให้กับ ตรัยสูรและเปมิกา ได้รู้จัก



    “ นางไม่ใช่ลูกสาวของข้าหรอก เปมิกา หากแต่นางเป็นหลานสาวของข้าเอง ชื่อ อัคคีนาคา นางเป็นลูกสาวของท่านแม่ทัพนาคา จามนาคราช นางตามข้ามาเพื่อมาดูพิธีการคัดเลือกเทพผู้ปราบ กัลย์ปาอสูร นะ “



    เปมิกา ได้ยินดังนั้น นางแทบจะไม่เชื่อเพราะนางคิดว่า อัคคีนาคา จะเป็นหนึ่งในตัวแทนเผ่าพันธุ์นาคา ในการเข้าพิธีคัดเลือกด้วยหากแต่นางกลับคิดผิด และความรู้สึกในตัวของนางบางอย่างกำลังบอกว่า อัคคีนาคา มีพลังที่น่ากลัวแฝงอยู่



    “ ตรัยสูร เมื่อกี้ทำไม เจ้าถึงเรียก เปมิกา ว่า ดวงใจมาร ล่ะ “



    “ ดวงใจมารเป็นชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งของนางพระเจ้าข้า นางและหม่อมฉันเป็นศิษย์ของ ฤษี อารยะดาบส  ตอนหม่อมฉันและ เปมิกา เรียนวิชาอยู่กับท่านตา ท่านตาให้ชื่อนางอีกชื่อหนึ่งว่า ดวงใจมาร นางเองก็รู้สึกชอบกับชื่อนี้ นางเลยให้พวกหม่อมฉัน เรียกนางว่า ดวงใจมาร  มากกว่าชื่อจริงของนาง พระเจ้าข้า“



    ได้ฟังคำตอบจาก ตรัยสูรแล้ว อินทรนาคราช ก็รู้สึกว่าชื่อนี้ เหมาะสมกับนางทีเดียว และคิดว่าท่าน อารยะดาบส นั้นตั้งชื่อเรียกให้กับนางได้แปลกดี ฟังดูง่ายๆ แต่ลึกๆแล้วมีความหมายซ่อนอยู่



    “ อีกเดี๋ยว พิธีการคัดเลือกก็คงจะเริ่มขึ้นแล้ว เอาไว้วันหน้าค่อยคุยกับพวกเจ้าใหม่ ข้าคงต้องขอตัวก่อนล่ะ “



    “ เชิญพระองค์ตามสบายเพคะ หม่อมฉันและตรัยสูรคงต้องไปเตรียมตัวเข้าพิธีคัดเลือกด้วยเช่นกัน “



    เมื่อ อินทรนาคราช  บอกลาทั้ง เปมิกา และ ตรัยสูรแล้วก็หันหลังกลับไปยังที่ จามนาคราช ยืนอยู่โดยมี อัคคีนาคา ตามกลับไปด้วย หากแต่ก่อนกลับนางหันมายิ้มให้กับพวกเขาทั้งสองคนและเดินตามเสด็จลุงของนางไป



    “ พวกเราไปกันเถอะ ดวงใจมาร “



    ตรัยสูรพูดพลางจะเดินกลับที่พวกของเขารวมกลุ่มกันอยู่ หากแต่ต้องชะงักเมื่อเห็น เปมิกา ยังยืนอยู่ตรงนั้น โดยสายตาของนางยังจ้องมองไปยัง อัคคีนาคา



    “ เจ้าเป็นอะไรไป ทำไมไม่กลับไปกับข้า มีเรื่องอะไรหรือ ?”



    “ เจ้าไม่สังเกต บ้าง? หรือ ตรัยสูร “



    “ สังเกต ?   เจ้าจะให้ข้าสังเกต อะไร ? “



    ตรัยสูรหันไปจ้องมองตามทิศทางเดียวกันกับที่ เปมิกา  กำลังจ้องมองอยู่และพบว่านางกำลังมองไปยังทางพวกของ ท่าน อินทรนาคราช แต่ยังไม่รู้ว่า เปมิกา กำลังจับจ้องมองใคร ?



    “ เจ้าดูไม่ออกหรือว่า หลานสาวของท่าน อินทรนาคราช มีอะไรบ้างอย่างแปลกๆ”



    “ ข้าเจ้าคิดมากเองแหละ รีบกลับไปรวมกลุ่มกับพวกเราก่อนเถอะ อีกเดี๋ยวพิธีการคัดเลือกคงจะเริ่มแล้ว “



    ตรัยสูรพูดตัดบทพร้อมพานางกลับไปรวมกับพวกของตนเอง หากแต่ สายตาของนาง ยังคงจับจ้องมอง อัคคีนาคา และ ในใจของนางคิดว่านางคงคาดเดาไม่ผิด ก่อนที่สายตาของนางจะหยุดมองอัคคีนาคาและหันมามองยังแท่นพิธีคัดเลือกผู้ปราบ กัลย์ปาอสูร



         แท่นพิธีคัดเลือกผู้ปราบกัลย์ปาอสูร มีอยู่ด้วยกันสองส่วน ส่วนแรกมีลักษณะคล้ายเวทีทรงกลมขนาดใหญ่รัศมีของแท่นทรงกลมยาวหลายสิบวา ห่างออกไปรอบๆจากแท่นพิธี เป็นต้นไม้น้อยใหญ่ที่เรียงรายอยู่โดยรอบ ทางด้านหลังมีทางเดินปูด้วยหินเรียงยาวต่อกันไปจนถึงแท่นพิธีส่วนที่สอง ซึ่งมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดใหญ่และเหนือขึ้นไปนั้นมีแท่นที่ประทับอยู่สามแท่นแกะสลักลวดลายสวยงามตั้งอยู่สูงกว่าแท่นพิธีคัดเลือก ซึ่งใช้สำหรับเป็นที่ประทับของสามมหาเทพ แท่นพิธีส่วนแรกจะใช้สำหรับการคัดเลือกผู้ปราบ กัลย์ปาอสูร ส่วนที่สองใช้สำหรับนำตัวผู้ที่ผ่านการคัดเลือกแล้วมารับตำแหน่งหน้าที่การปราบ กัลย์ปาอสูร จากสามมหาเทพ  ข้างๆ แท่นพิธีมีกลองอยู่ ๓ ใบตั้งอยู่พร้อมเทพพนักงานผู้ทำหน้าที่ตีกลอง ใกล้เวลาของพิธีการคัดเลือก รอบๆแท่นพิธีคัดเลือก ปรากฏมีเหล่าเทพมากมายหลายองค์ชุมนุมรายล้อมอยู่โดยทั่วสักครู่หนึ่งก็มีเทพสององค์ปรากฏกายอยู่บนตรงกลางของแท่นพิธีส่วนแรก เป็นเทพกายสีเขียวมรกตองค์หนึ่งและเทพกายสีเนื้ออีกองค์หนึ่ง เทพทั้งสองก็คือ องค์อัมรินทร์และ เทพมาตุลี ซึ่งจะเป็นสักขีพยานในการคัดเลือกในครั้งนี้  เพียงชั่วครู่ของการปรากฏตัวของเทพทั้งสอง องค์อัมรินทร์ ทรงยกพระหัตถ์ขึ้นมาเป็นสัญญาณ ก็ปรากฏเสียงรัวกลองดังสนั่นเพื่อเป็นสัญญาณบอกว่า บัดนี้ มหาเทพทั้งสามได้เสด็จลงมาแล้ว ฉับพลันก็ปรากฏแสงเรืองรองเจิดจ้าจากแท่นที่ประทับทั้งสาม พร้อมกันนั้น มหาเทพทั้งสามก็ได้ปรากฏกายให้เหล่าเทพได้เห็น ซึ่งทั้งสามพระองค์ได้แก่ พระพรหม พระอิศวร และ พระนารายณ์



    “ หม่อมฉันถวายพระพรแด่มหาเทพทั้งสาม “



    เสียงเหล่าเทพผู้เข้าร่วมชุมนุมต่างคาราวะต่อมหาเทพผู้เป็นใหญ่ทั้งสามโลก พระอิศวรทรงจ้องมองดูเหล่าเทพที่มาชุมนุมกันในครั้งนี้ และบอกต่อเหล่าเทพว่า



    “ ทุกท่านตามสบาย วันนี้เราทั้งสามจะมาเป็นประธานในพิธีคัคเลือกเทพผู้ปราบ กัลย์ปาอสูร โดยจะมี องค์อัมรินทร์ และเทพมาตุลี เป็นสักขีพยานในการคัดเลือกครั้งนี้ เราจะคัดเลือกผู้ทำหน้าที่นี้ ณ. ที่นี้เพียงแค่ ๗ คนเท่านั้น “



    พอสิ้นเสียงของพระอิศวรผู้เป็นใหญ่ เหล่าเทพต่างส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันโดยทั่ว เนื่องจาก กัลย์ปาอสูรก็คือจ้าวอสูรตนก่อน ในตอนนั้นต้องระดมเหล่าเทพมากมายในการปราบจ้าวอสูรถึงจะสำเร็จได้แต่ในครั้งนี้ ผู้ที่ถูกคัดเลือกกับมีแค่เพียง ๗ คน ทำให้แต่ละฝ่ายต่างงุนงงสงสัยยิ่ง



    “ มหาเทพ ในครั้งก่อนพวกเราต้องระดมกำลังกันมากมายเพื่อปราบจ้าวอสูรตนก่อน แล้วเหตุไฉนในครั้งนี้ พระองค์ทรงคัดเลือกเพียงแค่ ๗ คน เท่านั้น พระเจ้าข้า “



    เทพบุตรองค์หนึ่งเอ่ยถาม พระอิศวรขึ้นเพราะไม่เชื่อว่า การปราบ กัลย์ปาอสูร จะใช้คนจำนวนน้อยนิดเพียงเท่านี้



    “ ถูกต้องแล้ว เทพบุตร ในครั้งก่อนการระดมเหล่าเทพมากมายเพื่อที่จะปราบจ้าวอสูรนั้นเกิดขึ้นจากโองการแห่งเรา ซึ่งในครั้งนั้นเราไม่ได้ทราบเหตุของการรุกรานของจ้าวอสูรมาก่อน เราจึงต้องสั่งให้ระดมเหล่าเทพทั้งหมดเพื่อระงับเหตุคับขันที่เกิดขึ้น ในความเป็นจริงแล้วในครั้งนั้นจะต้องมีการคัดเลือกผู้ปราบจ้าวอสูรด้วยเช่นกัน แต่เพื่อหยุดความอหังการของจ้าวอสูรเราจึงต้องสั่งระดมเหล่าเทพเพื่อกำจัดจ้าวอสูร แต่ในครั้งนี้เราไม่มีความจำเป็นต้องระงับเหตุเช่นครั้งก่อน ดังนั้นจึงต้องมีพิธีคัดเลือกเทพผู้ปราบ กัลย์ปาอสูร เพื่อเป็นการระงับเหตุที่จะเกิดขึ้นในภายหน้า และพวกท่านที่มาชุมนุมในที่นี้แม้ไม่ได้รับเลือกให้ปราบ กัลย์ปาอสูร แต่พวกท่านก็มีหน้าช่วยสืบเสาะหาข่าวของเหล่าอสูรและคอยให้ความช่วยเหลือกับเหล่าเทพผู้ที่จะทำหน้านี้ด้วย”



    เหล่าเทพทั้งหลายต่างเข้าใจแล้วว่าเหตุใด ทำไมการคัดเลือกเทพผู้ปราบ กัลย์ปาอสูร ในครั้งนี้จึงมีเพียงจำนวนเพียงน้อยนิดเพราะครั้งนั้น จ้าวอสูรบุกรุกรานสามโลกโดยเหล่าเทพต่างไม่ได้ตั้งตัว พิธีการคัดเลือกจึงไม่ได้เกิดขึ้น หากแต่ครั้งนี้ กัลย์ปาอสูร ยังไม่ได้ออกมาระรานใคร จึงจะต้องคัดเลือกผู้ที่ขจัดเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นในภายหน้าเสีย



    “ การคัดเลือกผู้ปราบเหล่าอสูร ครั้งแต่โบราณมา จะใช้วิธีคัดเลือกโดยวิธีต่อสู้หรือโดยวิธีคัดเลือกจากมหาเทพทั้งสาม ในครั้งนี้พระองค์จะคัดเลือกโดยวิธีใดหรือ พระเจ้าข้า “



    องค์อัมรินทร์ทรงทูลถามพระอิศวร พระองค์ยังไม่ตอบในทันที หากทรงยิ้มให้กับองค์อัมรินทร์ ก่อนตอบให้องค์อัมรินทร์ และบรรดาเหล่าเทพฟังว่า



    “ ถูกต้องแล้ว ท้าวมัฆวาน การคัดเลือกครั้งแต่โบราณนั้น เราจะใช้หนึ่งในสองวิธีนี้ ในครั้งนี้เราจะใช้วิธีการคัดเลือกโดยไม่ต้องต่อสู้ แต่หน้าที่ในการคัดเลือกในครั้งนี้ เราจะมอบหมายให้ พระนารายณ์ เป็นผู้ทรงเลือกเองแต่เพียงผู้เดียว “



    เหล่าเทพต่างแปลกใจ เพราะตั้งแต่มีการคัดเลือกเทพทำหน้าที่ปราบอสูรตนใดก็ตาม ยังไม่เคยมีการมอบหมายให้ หนึ่งในสองมหาเทพที่เหลือเป็นผู้คัดเลือกเองเลย ถ้าไม่ใช่พระอิศวรทรงคัดเลือกเองแล้วก็เป็นมติจากมหาเทพทั้งสามพระองค์ แต่ก็ยังไม่มีเทพองค์ไหนเอ่ยคัดค้านการคัดเลือกเทพผู้ปราบ กัลย์ปาอสูรโดยวิธีการนี้เพราะถ้ามหาเทพทั้งสองไม่เห็นด้วยย่อมจะทรงคัดค้าน พระนารายณ์ เอง  ขณะที่เทพมาตุลีเห็นว่าถึงเวลาแล้วจึงขยับพูดบ้าง



    “ สหายเทพทั้งหลาย ตามบัญชาของพระเป็นเจ้า ที่พวกเรารู้กันอยู่แล้วนั้น ให้มีการคัดเลือกเทพผู้ ปราบ กัลย์ปาอสูร จาก เทพแห่งวายุ เทพแห่งวิหค เทพแห่งนาคา เทพแห่งพยัคฆ์ เทพแห่งยักษา และเทพแห่งนารี บัดนี้  ถึงเวลาแล้ว ขอให้ผู้ที่จะเข้าพิธีการคัดเลือกจงขึ้นมายืนที่แท่นพิธีคัดเลือกต่อหน้ามหาเทพเถอะ “



    สิ้นคำของเทพมาตุลี เหล่าเทพผู้จะเข้าพิธีการคัดเลือกทั้งหมดต่างขึ้นมายืนบนแท่นพิธีพร้อมกันรวมทั้งตัวของ สุบรรณ และ อินทรนาคราช ด้วย เสียงรัวกลองก็ดังสนั่นขึ้น บ่งบอกว่าพิธีการอันศักดิ์สิทธิ์นี้จะเริ่มขึ้นแล้ว ทางฝ่ายพวกพ้องของเทพที่ไม่ได้เข้าร่วมพิธีคัดเลือกด้วย ต่างยืนปะปนอยู่กับเหล่าเทพที่มาเข้าร่วมชุมนุมและต่างรอดูว่าจะมีใครบ้าง ? ที่ได้รับการคัดเลือกในครั้งนี้ ในจำนวนนั้นมีทายาทของเผ่าพันธุ์นาคา คือ อัคคีนาคา และ จามนาคราช ผู้เป็นพ่อ รวมอยู่ด้วย บนแท่นพิธีการคัดเลือกขณะนี้ผู้เข้ารับการคัดเลือกแต่ละเผ่าพันธุ์ได้ขึ้นมายืนจนครบแล้ว  



    “ ดูกร นารายณ์ ผู้ทรงฤทธิ์ หลังจากพ้นไตรดายุคหลังท่านอวตาลไปปราบทศกรรฐ์ แล้ว หน้าที่ในการคัดเลือกเทพผู้ปราบ กัลย์ปาอสูรในครั้งนี้ เราขอมอบให้ท่านเป็นผู้คัดเลือก จงคัดเลือกเหล่าเทพผู้ทำหน้านี้โดยบริบูรณ์เถอะ “



    สิ้นคำประกาศิตของ พระอิศวร พระนารายณ์ก็น้อมรับบัญชา



    “ หม่อมฉันรับพระบัญชาจากพระองค์ “



    ทูลตอบ พระอิศวร แล้ว พระนารายณ์ ก็ทรงสำแดงเทพอาวุธทั้งสี่ของตนออกมา คือ ตรี คทา จักร สังข์ ปรากฏเสียงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น จนฟ้าดินปั่นป่วน พร้อมกับกล่าวว่า



    “ ในนามของพระอิศวรผู้เป็นเจ้าให้ เรา นารายณ์ เป็นผู้ทำพิธีคัดเลือกเทพผู้ปราบกัลย์ปาอสูร เราจะทำการคัดเลือกเทพทั้ง ๗ ที่จะต้องทำหน้าที่นี้ จากแท่นพิธีคัดเลือกต่อหน้า องค์อัมรินทร์และเทพมาตุลีผู้เป็นสักขีพยาน และ มหาเทพทั้งสองผู้เป็นประธาน เทพอาวุธทั้งสี่ของเรารายล้อมตัวผู้ใดผู้นั้นเป็นผู้ที่เราคัดเลือกแล้วว่าจะเป็นผู้ทำหน้าที่ปราบ กัลย์ปาอสูร ในนามแห่งเราขอประกาศว่าพิธีการคัดเลือกเริ่มขึ้นแล้ว ณ. บัดนี้ “



    พอพระนารายณ์ ตรัสจบ เทพอาวุธทั้งสี่ก็เริ่มคัดเลือกเทพผู้ปราบ กัลย์ปาอสูร โดยเทพอาวุธทั้งสี่ลอยออกจากพระหัตถ์ทั้งสี่กรของพระนารายณ์มุ่งตรงไปยังแท่นพิธีการคัดเลือกในทันที เทพอาวุธทั้งสี่รายล้อมหนึ่งในทายาทเทพแห่งวายุ เป็นชายหนุ่มรูปงาม ในตาคมกริบ ผมยาว พร้อมกันนั้นเทพอาวุธทั้งสี่ที่รายล้อมตัวชายหนุ่มก็นำชายหนุ่มไปยังแท่นพิธีที่สอง ปรากฏกายต่อหน้ามหาเทพ ทั้งสามพลันชายหนุ่มก็สำแดงพลังแห่งวายุ บังคับลมจนปั่นปวนไปทั่วพลังสะท้านฟ้าดิน เหล่าเทพที่เขาร่วมพิธีจ้องมองดูจนตะลึง และถูกพลังของชายหนุ่มจนซวนเซไปบ้าง แต่ความหล่อเหลาของชายผู้นี้กลับทำให้เหล่าเทพธิดาที่เข้ามาร่วมในพิธีหลงไหล  



    “ ช่างงามเสียจริงๆ นี้ถ้าเขาเป็นคนรักของข้า ข้าคงมีความสุขไม่น้อยเลยทีเดียว “



    “ อย่างเจ้า นะไม่คู่ควรกับเทพหนุ่มรูปงามนี้หรอก ต้องเป็นข้าต่างหาก “



    เหล่านางฟ้าที่หลงใหลความงามของชายหนุ่มต่างพากันโต้เถียง และ แย่งกันส่งสายตาให้กับชายหนุ่ม หากแต่ชายหนุ่มยังไม่มีเวลาสนใจเหล่านางฟ้า คลายพลังของตนลงคุกเข่าคาราวะต่อหน้ามหาเทพทั้งสาม



    “ หม่อมฉัน อนันตวาโย ขอรับหน้าที่นี้ พระเจ้าข้า “



    จากนั้นเทพอาวุธทั้งสี่ ที่รายล้อม อนันตวาโย ลอยจากไปยังแท่นพิธีคัดเลือกก่อนเข้ารายล้อมหนึ่งในทายาทเทพแห่งพยัคฆ์ เป็นชายหนุ่ม ท่าทางสง่างาม ที่ด้านหลังของเขาสะพายดาบคู่ไว้ และเทพอาวุธทั้งสี่ก็พาชายดังกล่าวไปยังแท่นพิธีที่สอง พอเท้าแตะถึงพื้นแท่นพิธีที่สอง ชายดังกล่าวก็ส่งพลังบังคับน้ำหมุนวนไปทั่วพอคลายพลังลงปรากฏน้ำแข็งแผ่ความเย็นอยู่โดยรอบ ทำให้เหล่าเทพหลายองค์ต้องหนาวสั่นด้วยความเย็นจากพลังของเขา



    “ หม่อมฉัน พยัคฆ์วารี ขอรับหน้าที่นี้ พระเจ้าข้า “



    เทพอาวุธทั้งสี่ลอยตัวออกจาก พยัคฆ์วารี ตรงไปแท่นพิธีแรก ก่อนรายล้อมเทพธิดาองค์หนึ่งในทายาทเทพแห่งนารี และพาตัวนางมายังแท่นพิธีที่สอง พอนางมาถึงนางก็ส่งพลังออกจากร่างตนเอง กระจายพลังออกโดยรอบบังเกิดเสียงดังสนั่น ภูเขารอบๆ เขาไกรลาศ โยกไหวด้วยพลังของนาง เป็นผลทำให้เทพที่มีพลังต่ำกว่านางหลายองค์ต้องล้มลงด้วยพลังที่แผ่ออกมาจากตัวของนาง



    “ หม่อมฉัน นันทาเทพธิดา ขอรับหน้าที่นี้ เพคะ “



    เทพอาวุธทั้งสี่ลอยตัวออกจาก นันทาเทพธิดา ตรงไปแท่นพิธีแรก ก่อนรายล้อมชายหญิงคู่หนึ่งเอาไว้ พวกเขาเป็นทายาทเทพแห่งยักษา ยักษ์หนุ่มผู้ถือคันธนูและยักษ์สาวผู้สะพายดาบไว้ข้างหลัง และเทพอาวุธทั้งสี่ก็พาร่างทั้งสองมายัง แท่นพิธีที่สอง ทั้งสองเปล่งพลังพร้อมกันยักษ์หนุ่มส่งพลังของตนขึ้นสู่ฟ้า ยักษ์สาวส่งพลังสู่พื้นพสุธา จนรอบๆ สั่นไหวไปทั่ว พลังของทั้งสองคล้ายจะกลืนกินโลกทั้งโลก ทำให้เหล่าเทพต่างอกสั่นขวัญแขวนไปตามๆ กัน



    “ หม่อมฉัน ตรัยสูร ขอรับหน้าที่นี้ พระเจ้าข้า “

    “ หม่อมฉัน เปมิกา ดวงใจมาร ขอรับหน้าที่นี้ เพคะ “



    เทพอาวุธทั้งสี่เคลื่อนตัวออกจากพวกเขามุ่งตัวไปยังแท่นพิธีการคัดเลือก รายล้อมหญิงสาวไว้คนหนึ่ง นางเป็นหนึ่งในทายาทของเผ่าพันธุ์วิหค เป็นคนที่อัคคีนาคา รู้จักเป็นอย่างดี และเทพอาวุธทั้งสี่ก็พานางมายังแท่นพิธีที่สอง และนางก็บังคับอัสนียบาตให้ฟาดกระหน่ำโดยทั่ว พลังรุนแรงยิ่ง เทพหลายองค์ไม่ทันระวังถูกพลังของนางเข้าไปอย่างจัง ยังผลให้ต่างถอยกรูออกห่างจากพลังที่กระจายออกมา



    “ หม่อมฉัน มยุราเทวี นกยูง ขอรับหน้าที่นี้ เพคะ “



    เทพอาวุธทั้งสี่เคลื่อนตัวออกจาก มยุราเทวี และพุ่งตรงกับไปที่แท่นพิธีคัดเลือกอีกครั้ง เพื่อคัดเลือกบุคคลที่ ๗ ซึ่งเป็นคนสุดท้าย ของพิธีการคัดเลือกเทพผู้ปราบ กัลย์ปาอสูร หากแต่เทพอาวุธทั้งสี่ยังลอยวนเวียนอยู่ในแท่นพิธีคัดเลือกรอบๆ ผู้ที่เข้าทำการคัดเลือก และไม่ยอมเข้าไปรายล้อมผู้ใดเลย



    “ อะไรกันทำไมเทพอาวุธทั้งสี่ ถึงไม่ยอมเลือกคนที่ ๗ ซักทีล่ะ? “



    เทพบุตรที่เข้ารวมชุมนุมองค์หนึ่งกล่าวขึ้น ขณะเทพทั้งหลายเริ่มพูดคุยกันออกมาด้วยความสงสัย ยังไม่ทันจะกล่าวอะไรได้มากกว่านั้นเทพอาวุธทั้งสี่ก็เปล่งพลังออกมาออกจนเหล่าเทพทั้งหมดที่มาร่วมชุมนุมที่อยู่รอบๆแท่นพิธีการคัดเลือก ต้องหลบตัวออกไปให้พ้นรัศมีของพลังที่เกิดขึ้น   อัคคีนาคา และ จามนาคราช เองก็พยายามหลบออกมาให้พ้นจากรัศมีด้วยเช่นเดียวกัน อยู่ๆ เทพอาวุธทั้งสี่ก็ลอยออกจากแท่นพิธีการคัดเลือกมุ่งตรงมายังทาง อัคคีนาคา และ จามนาคราช  จามนาคราช กลัวว่าลูกสาวของเขาจะเป็นอันตราย จึงผลัก อัคคีนาคา ออกให้ห่างจากตน อัคคีนาคา เซไปด้วยแรงผลักของผู้เป็นพ่อ ขณะที่เทพอาวุธทั้งสี่กำลังใกล้จะถึงตัว จามนาคราช กลับเบี่ยงเบนตัวเองหมุนโค้งเข้าหาอัคคีนาคาแทนและรายล้อมตัวนางไว้อยู่อย่างนั้น



    “ เสด็จพ่อ นี้มันอะไรกันเพคะ “



    อัคคีนาคา ตกใจ ร้องบอกผู้เป็นพ่อเสียงหลงขณะที่ จามนาคราช ก็พุ่งตัวเข้าหาอัคคีนาคา หมายจะช่วยลูกสาวออกมาหากแต่ถูกพลังของเทพอาวุธทั้งสี่กระแทกกระเด็นกลับออกไปแทน และเทพอาวุธทั้งสี่ก็พาอัคคีนาคา มายังแท่นพิธีที่สอง ปรากฏต่อหน้ามหาเทพทั้งสาม ก่อนลอยกับไปคืนสู่ประจำที่ทั้งสี่กรของพระนารายณ์ และข้างๆ ของตัวนางเองก็เป็นผู้ที่ได้รับการคัดเลือก ก่อนหน้านาง ซึ่งได้แก่ อนันตวาโย พยัคฆ์วารี นันทาเทพธิดา ตรัยสูร เปมิกา และ มยุราเทวี หลานสาวของสุบรรณ  หากแต่ตัวของอัคคีนาคา กลับไม่สำแดงพลังอะไรออกมาให้ปรากฏเลย ยังความสงสัยให้กับเทพที่เข้าร่วมชุมนุมและผู้ที่ได้ถูกคัดเลือกก่อนหน้านี้ คนที่ตกตะลึงมากที่สุดคงจะเป็น มยุราเทวี เพราะนางรู้จากคำบอกเล่าของเสด็จลุงก่อนขึ้นมาบนแท่นพิธีการคัดเลือกว่า อัคคีนาคา ไม่ได้เป็นผู้ที่จะเข้าร่วมทำการคัดเลือกด้วย



    “ นี้มันอะไรกันนี้ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ ? “



    อัคคีนาคา พูดออกมาเบาๆ คล้ายกับกลัวว่าใครจะได้ยิน ทางฝ่าย อินทรนาคราช ซึ่งอยู่บนแท่นพิธีการคัดเลือก เห็นเหตุการณ์ดังนั้น รีบพุ่งตัวออกมาจากแท่นพิธีการคัดเลือก มุ่งตรงมายัง อัคคีนาคามายืนข้างๆ หลานสาวตนเอง หากแต่มิใช่แค่ อินทรนาคราช เท่านั้น ยังมี วิเชียรนาคา กัญจนาคา     มันทยนาคา  และจามนาคราช ผู้เป็นพ่อของอัคคีนาคา ที่เหาะมาจากด้านนอกของแท่นพิธีคัดเลือกตามติด อินทรนาคราช มาด้วย ก่อนทั้งหมดจะคุกเข่าต่อหน้าสามมหาเทพ



    “ ได้โปรดเถอะ พระองค์ ฟังหม่อมฉันด้วย “



    “ เจ้าจะให้เราฟังอะไร จากเจ้าหรือ? อินทรนาคราช “



    พระนารายณ์ทรงตรัสถาม อินทรนาคราช พลางจ้องมอง อัคคีนาคา ผู้ที่ทรงคัดเลือกให้เป็นผู้ปราบ กัลย์ปาอสูร คนสุดท้าย



    “ พระองค์ได้โปรดเมตตาด้วย นางเป็นหลานสาวของ หม่อมฉันชื่อว่า อัคคีนาคา นางตามหม่อมฉันมายังเขาไกรลาศ แต่ไม่ได้เป็นผู้ที่จะเข้าพิธีการคัดเลือกด้วย การที่เทพอาวุธทั้งสี่ของพระองค์นำนางมาต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ พระองค์โปรดวินิจฉัยด้วย พระเจ้าข้า “



    “ เราก็เห็นดังที่เจ้าว่า อินทรนาคราช แต่เราลั่นวาจาแล้วว่า เทพอาวุธ รายล้อมตัวผู้ใดผู้นั้นคือผู้ที่จะทำหน้าที่ปราบ กัลย์ปาอสูร ดังนั้นนางคือผู้ที่จะทำหน้าที่ปราบกัลย์ปาอสูร อีกคนหนึ่ง ตามประกาศิตแห่ง พระอิศวร ผู้เป็นเจ้า “



    อินทรนาคราช หันมาจ้องมอง อัคคีนาคา เขาไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ เช่นนี้ขึ้น เขารู้ว่านางยังไม่เก่งกล้าพอที่จะสู้รบกับอสูรร้ายเช่นนั้นได้ หากให้นางไปสู้เท่ากับส่งให้นางไปตายชัดๆ อย่างไรเสียเขาก็ต้องพยายามคัดค้านการคัดเลือกครั้งนี้ให้ได้



    “ แต่พระองค์ทรงตรัสว่า จะคัดเลือกจากผู้ที่อยู่บนแท่นพิธี แต่ อัคคีนาคา หลานของ หม่อมฉัน นางไม่ได้ยืนอยู่ที่บนแท่นพิธีด้วยเพราะฉะนั้นถ้าพระองค์จะคัดเลือกคนใหม่ย่อมไม่ผิดแต่อย่างใด ได้โปรดวินิจฉัยคำขอของข้าพระองค์ด้วย “



    พระนารายณ์ นิ่งตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยบอกแก่ อินทรนาคราช ว่า



    “ เจ้าพูดถูก อินทรนาคราช นางไม่ได้ยืนอยู่บนแท่นพิธีคัดเลือก ในเมื่อนางเป็นหลานของเจ้าและเจ้าเป็นผู้นำนางมาย่อมเป็นผู้ปกครองของนาง จะคัดค้านย่อมไม่ผิดแต่ประการใด แต่เจ้าลืมไปแล้วหรือว่านางถูกคัดเลือกจากเทพอาวุธทั้งสี่ของเรา เท่ากับเรายอมรับในตัวนาง ถ้าอย่างนั้น มีเพียงอยู่สองทางเท่านั้นที่เจ้าจะเลือกได้ในฐานะที่เจ้าเป็นผู้ปกครองของนาง ทางแรกก็คือ เจ้าจะให้นางเป็นผู้ที่ถูกคัดเลือก หรือ ทางที่สองเจ้าจะยอมให้นางสละสิทธิ์ที่นางได้รับเสีย ถ้าเจ้าเลือกทางที่สองก็เท่ากับว่าในการคัดเลือกเทพผู้ปราบ กัลย์ปาอสูร จะไม่มีทายาทเทพแห่งนาคา เป็นผู้เข้าร่วมปราบ กัลย์ปาอสูรด้วย และจะไม่มีการคัดเลือกคนที่ ๗ ใหม่ เพราะเราถือว่าเราได้เลือกครบแล้ว เจ้าจงคิดให้ดี อินทรนาคราช “



    เหล่าเทพต่างส่งเสียงอืออึง เพราะถ้า อินทรนาคราช ไม่ยอมให้หลานสาวเข้าร่วมปราบ กัลย์ปาอสูรแล้วก็หมายความว่า เป็นการลดศักดิ์ศรีของเผ่าพันธุ์นาคา อย่างสิ้นเชิง อาจทำให้ใครต่อใครดูถูกดูแคลนเผ่าพันธุ์นาคาได้ว่า กลัวเหล่าอสูรจนต้องยอมถอนตัวเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ อินทรนาคราชก็รู้แจ้งแก่ใจดี ถ้าเขาเลือกทางที่สองจะเป็นเช่นไร แต่จะยอมให้หลานสาวของเขาเป็นอะไรไป เขาย่อมทำไม่ได้เช่นกัน อินทรนาคราช หันมาเหลียวมองดู จามนาคราช ว่าจะว่าอย่างไร หากแต่จามนาคราชส่งสายตาให้กับ อินทรนาคราช คล้ายกับบอกว่าเขายอมรับการตัดสินใจของ อินทรนาคราช แต่ อินทรนาคราช เองก็รู้ดีว่า จามนาคราช ย่อมไม่ต้องการให้บุตรสาวของตนออกไปเผชิญหน้ากับอสูรร้ายเช่นนั้น ระหว่างศักดิ์ศรีกับชีวิตหลานสาวของตนเอง หลังจากคิดอยู่นานในที่สุด อินทรนาคราช ก็เลือกออกมา



    “ หม่อมฉัน ขอเลือกให้..... อัคคีนาคา..........สละสิทธิ์เข้าร่วมในการ.......ปราบ “



    “ เดี๋ยวก่อนเพคะ เสด็จลุง “



    เสียงของอัคคีนาคา ดังขึ้นขัด อินทรนาคราช เอาไว้ ก่อนนางจะย่อตัวคุกเขาต่อหน้า ของสามมหาเทพและพูดออกมาว่า



    “ หม่อมฉัน อัคคีนาคา ขอรับหน้าที่นี้เพคะ “



    “ ไม่ได้นะ อัคคีนาคา เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ? กัลย์ปาอสูร ไม่ใช่อสูรธรรมดา ฝีมือของเจ้ายังไม่ถึงขั้นไปสู้กับมันเจ้าก็มีแต่จะตายเพียงอย่างเดียว เจ้าอย่ามาแบกรับศักดิ์ศรีบ้าๆ กับชีวิตตัวเองเด็ดขาด เจ้าเข้าใจที่ลุงพูดหรือเปล่า อัคคีนาคา ? อย่างไรลุงก็ให้เจ้าทำอย่างนั้นไม่ได้  หากจะใช้ชีวิตของเจ้าเพื่อแลกกับศักดิ์ศรีบ้าๆนั้น ลุงขอเลือกเป็นคนที่ขี้ขลาดเสียยังจะดีกว่า “



    “ หม่อมฉันรู้เพคะ เสด็จลุง แต่เมื่อหม่อมฉันถูกคัดเลือกแล้ว อย่างไรก็ต้องทำหน้าที่นี้ หม่อมฉันไม่ใช่คนรักศักดิ์ศรีหรอกเพคะ แต่ที่หม่อมฉันรักคือ เสด็จพ่อ เสด็จแม่ พระพันปี และทุกคนที่อยู่ในนครบาดาลต่างหากรวมถึงเสด็จลุงด้วยเพคะ “



    อัคคีนาคา บอกต่อ อินทรนาคราช ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ในรอบหลายหมื่นปี เป็นครั้งแรกที่ อินทรนาคราช มีน้ำตาออกจากดวงตาของตน เขารักอัคคีนาคา เหมือนนางลูกสาวของเขาเอง เขาเคยคิดว่าจะปกป้องนางจากภัยอันตรายใดๆ ได้แต่ในครั้งนี้เขาไม่สามารถช่วยอะไรนางได้เลยกลับเป็นนางที่ต้องมาช่วยเขาแทน และนี้ก็เป็นครั้งแรกเช่นกันที่เขารู้สึกผิดที่นำตัว อัคคีนาคา มาด้วย เป็นความผิดที่เขาชดใช้ด้วยชีวิตของเขาเองก็ยังไม่เพียงพอ ไม่ใช่เพียงแค่ อินทรนาคราช เท่านั้นที่มีน้ำตา หากแต่ จามนาคราช ผู้เป็นพ่อ ของอัคคีนาคา ก็หลั่งน้ำตาออกมา เมื่อได้ยินลูกสาวของตนเองพูดอย่างนั้นเช่นกัน เขาเองก็คิดว่าไม่สมควรเป็นพ่อเลย แม้จะปกป้องลูกสาวตนเองก็ยังทำไม่ได้



    “ เจ้าแน่ใจหรือ อัคคีนาคา ว่าเจ้าจะรับหน้าที่นี้จริง? “



    พระนารายณ์ ตรัสถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่พระทัย แววตาของ อัคคีนาคา ฉายความมั่นคงออกมาก่อนทูลตอบพระนารายณ์



    “ หม่อมฉัน แน่ใจเพคะ หม่อมฉันขอรับหน้าที่นี้ในฐานะของทายาทแห่งเผ่าพันธุ์นาคา “



    พระนารายณ์ได้ยินเช่นนั้นกำลังจะตรัสต่อหน้าเหล่าเทพว่า อัคคีนาคา เป็นผู้ที่ได้รับเลือกเป็นคนที่ ๗ หากแต่มีเสียงเหล่าเทพทั้งหลายทูลคัดค้านขึ้น



    “ แต่พวกหม่อมฉันทั้งหมดขอคัดค้าน “



    เสียงในหนึ่งเทพบุตรที่ชุมนุมกันอยู่ที่แท่นพิธีการคัดเลือก กล่าวคัดค้านการยอมรับในตัวของ อัคคีนาคา เป็น๑ใน ๗ เทพผู้ปราบ กัลย์ปาอสูร



    “ ทำไมพวกเจ้าถึงคัดค้านนาง ? “



    พระนารายณ์ ทรงตรัสถามเหล่าเทพที่เข้ามาร่วมชุมนุมในครั้งนี้



    “ ข้าพระองค์ทั้งหลาย ไม่ได้คิดคัดค้านในการยอมรับในตัวนางของพระองค์ แต่ที่ข้าพระองค์คัดค้านในตัวของนางเนื่องมาจากเหตุผลสองข้อ ข้อแรก นางไม่ได้เป็นผู้เข้ารับการคัดเลือกบนแท่นพิธีการคัดเลือก ข้อที่สองคือ นางไม่ได้แสดงความสามารถของนางให้พวกเราเหล่าเทพได้ประจักษ์เลย ซึ่งในเฉพาะข้อแรกนั้นพวกหม่อมฉันอาจตัดออกไปได้เพราะพระองค์ยอมรับในตัวของนาง แต่ข้อสองนี้เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง หากสิ่งที่ท่าน อินทรนาคราช พูดเป็นความจริงเท่ากับว่านางไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นผู้ปราบ กัลย์ปาอสูรได้ “



    พระอิศวร ได้ฟังดังนั้นก็เห็นจริงดังคำกล่าวของเหล่าเทพ จึงตรัสกับพระนารายณ์ว่า



    “ ดูกร นารายณ์ คำกล่าวของเหล่าเทพมีส่วนถูก ครั้งนี้ถือว่ามีเหตุ อัศจรรย์เกิดขึ้น เป็นครั้งแรกที่วิธีการคัดเลือกเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น และนางก็ไม่ได้สำแดงอิทธิฤทธิ์ให้เป็นที่ประจักษ์แก่เหล่าเทพว่านางมีคุณสมบัติพอที่จะเป็นผู้ปราบ กัลย์ปาอสูรหรือไม่? ตามความเห็นของเรา นางจะต้องสำแดงพลังของนางให้ประจักษ์แก่เหล่าเทพเสียก่อน “



    “ แล้วพระองค์จะให้นางทำอย่างไร ? ถึงจะแสดงให้เห็นว่านางมีคุณสมบัติเพียงพอ พระเจ้าข้า “



    พระนารายณ์ ตรัสถาม พระอิศวร ขณะที่พระอิศวรทรงมองมายัง อัคคีนาคา ก่อนหันพระพักตร์ไปตรัสถามพระพรหม



    “ พระพรหม ท่านเป็นบิดาแห่งการกำหนดชะตาชีวิต เห็นควรว่าอย่างไร ? “



    “ เราเห็นว่าควรจะให้นางได้ต่อสู้กับใครคนใดคนหนึ่งในบรรดา ผู้ที่นารายณ์ได้คัดเลือกไว้ “



    พระอิศวรได้ยินดังนั้นก็ชอบพระทัยยิ่ง  เพราะถ้า อัคคีนาคา สามารถต่อกรกับเหล่าเทพผู้ที่ถูกคัดเลือกได้ย่อมแสดงถึงว่า นางมีคุณสมบัติเพียงพอ และเหล่าเทพต่างก็จะยอมรับตัวนางด้วย



    “ ถ้าอย่างนั้น พระพรหม ท่านจะลิขิตให้ใครเป็นผู้ทดสอบนาง ? “



    พระพรหมหันพระพักตร์มามองดู อัคคีนาคา ก่อนนิ้วของพระองค์จะชี้มายังเหล่าเทพผู้ถูกคัดเลือกและเลือกเทพหนึ่งในจำนวนนั้น พระพรหม ยังเลื่อนนิ้วของพระองค์มาเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดลงที่......



    “ มยุราเทวี “



    ทั้ง อัคคีนาคา และ มยุราเทวี ต่างมองหน้ากันอย่างไม่เชื่อ มยุราเทวี เองนางไม่อยากจะสู้กับ อัคคีนาคา อยู่แล้ว หากแต่นี้เป็นพระบัญชาจากพระพรหม นางย่อมไม่สามารถฝืนชะตาของตัวนางเองได้ แม้กระทั่ง อัคคีนาคา เองก็ไม่ยากจะสู้กับ มยุราเทวี ด้วยเช่นกัน แต่เพื่อตัวนางและเผ่าพันธุ์นาคา นางย่อมปฏิเสธไม่ได้ แต่การคัดเลือกผู้ทดสอบ อัคคีนาคา ของ พระพรหม กลับทำให้เหล่าเทพต่างสนใจและพอใจอย่างยิ่ง เพราะ มยุราเทวี เป็นหลานสาวของสุบรรณ และ อัคคีนาคา ก็เป็นหลานสาวของ อินทรนาคราช ซึ่งทั้งสองเป็นศัตรูคู่ปรับกันอยู่แล้ว การให้หลานสาวของเขาทั้งสองคนสู้กัน เหมือนคล้ายกับว่า เป็นการต่อสู้ระหว่างตัวแทนของพวกเขาทั้งสองคน ยังความสนใจให้เหล่าเทพเป็นอย่างยิ่ง



    “ ไม่เลวนี้น่า สองคนนั้นเป็นหลานสาวของ ท่านสุบรรณ และ ท่านอินทรนาคราช  อย่างนี้ค่อยสมศักดิ์ศรีกันหน่อย “



    “ ใช่แล้ว อีกอย่างพวกเราก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีฝ่ายไหนออมมือให้แก่กัน พวกเราก็รู้กันอยู่ว่าเผ่าพันธุ์นาคา และ เผ่าพันธุ์วิหค ต่างไม่ถูกกันมาตั้งนานแล้ว  “



    เหล่าเทพที่เข้าร่วมชุมนุมต่าง พูดคุยกัน ในขณะที่ แท่นพิธีในการคัดเลือก ถูกเปลี่ยนให้เป็นเวทีต่อสู้ของ มยุราเทวี และ อัคคีนาคา



    “ เจ้าว่าใครจะเป็นคนชนะ  ข้าว่าน่าจะเป็น มยุราเทวี มากกว่า เจ้าเห็นว่าอย่างไร ? “



    อนันตวาโย หนึ่งในผู้ถูกคัดเลือกเอ่ยถาม นันทาเทพธิดา ผู้ที่ถูกคัดเลือกอีกคนหนึ่ง ซึ่งทั้งสองนั้นเป็นเพื่อนรักกัน ไปไหนด้วยกันบ่อยๆ จนนางฟ้าหลายองค์คิดว่า อนันตวาโย และ นันทาเทพธิดา นั้นเป็นคู่รักกันจนทำให้นางฟ้าหลายต่อหลายองค์เคยมาท้าสู้กับ นันทาเทพธิดา อยู่บ่อยๆ เพื่อจะแย่ง อนันตวาโย มาเป็นของตน



    “ ข้าก็คิดอย่างเจ้าแหละ อนันตวาโย มยุราเทวี หลานสาวของท่านสุบรรณ นางเก่งมาก ข้าเองก็เคยเห็นฝีมือของนางมาบ้างแล้ว แต่ข้ายังแปลกใจไม่หาย ที่เทพอาวุธทั้งสี่เลือก อัคคีนาคา ดูนางไม่เหมือนผู้ฝึกพระเวทย์เลย  ข้าว่านางคงรับมือมยุราเทวี ไม่ไหวแน่ๆ “



    นันทาเทพธิดาเห็นด้วยกับ อนันตวาโย แต่กลับได้ยินเสียงของ เปมิกา เอ่ยขัดขึ้นมา



    “ พวกเจ้าอย่ามั่นใจกันนักเลยว่า มยุราเทวี จะชนะ อัคคีนาคา ได้ง่ายๆ “



    “ ทำไมเจ้าถึงคิดอย่างนั้นล่ะ เจ้าเคยเห็นฝีมือนางมาก่อนหรือ? “



    พยัคฆ์วารี  หันมาถาม เปมิกา  แต่ เปมิกา ส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ



    “ ข้าไม่เคยเห็นฝีมือนางมาก่อนหรอก แต่ความรู้สึกของข้ามันบอกข้าว่า อย่าประเมินค่าของ อัคคีนาคา ต่ำจนเกินไป “



    เปมิกา ไม่พูดต่อเหลียวมองดูยัง แท่นพิธีซึ่งขณะทั้ง อัคคีนาคา และ มยุราเทวี ต่างอยู่บนแท่นพร้อมที่จะต่อสู้กันแล้ว ส่วนคนที่เหลือไม่ได้พูดตอบนางแต่อย่างใด ต่างก็เหลียวมองไปยัง อัคคีนาคา ที่อยู่บนแท่นพิธี และต่างฝ่ายต่างคิดคำนึงถึงคำพูดของเปมิกา



    “ จะอย่างไรก็ตาม อีกเดี๋ยว ข้าคงจะรู้ว่า นางจะพูดเกินจริงหรือเปล่า? “



    พยัคฆ์วารี คิดดังนั้นก็เพ่งมองการต่อสู้ที่จะเกิดขึ้นอย่างตั้งใจ ทางฝ่ายของสองสาวงาม ต่างก็จดจ้องกันซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่พวกนางต่างไม่อยากจะพบเจอ แต่ด้วยศักดิ์ศรีที่พวกนางกำลังแบกรับอยู่ทำให้พวกนางจะออมมือให้แก่กันไม่ได้และยากที่จะหลีกเหลี่ยงกับการต่อสู้ที่จะเกิดขึ้นในครั้งนี้  ในขณะที่เหล่าเทพที่เข้าร่วมชุมนุมต่างจ้องดูและเฝ้ามองการต่อสู้นี้อย่างใจจดใจจ่อ



    “ พวกเจ้าทั้งสองคน พร้อมแล้วหรือยัง? “



    “ หม่อมฉันทั้งสองพร้อมแล้วเพคะ “



    พวกนางตรัสทูลตอบ องค์อัมรินทร์  ทาง องค์อัมรินทร์เอง ก็ทรงเริ่มให้สัญญาณการประลอง เสียงกลองเริ่มรัวดังขึ้น ท่ามกลางความเป็นห่วงของจามนาคราช และ อินทรนาคราช ที่มีต่อ อัคคีนาคาแม้แต่ตัว สุบรรณ เองที่ดูจะมั่นใจในฝีมือของหลานสาวของตน ก็ยังระงับความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ จ้องมองดู อินทรนาคราช เหมือนเริ่มจะไม่แน่ใจว่าการต่อสู้ครั้งนี้ฝ่ายพวกเขาจะเป็นผู้ที่ได้ชัยชนะ ทาง มยุราเทวี สูดลมหายใจเข้า ก่อนที่จะเรียกอาวุธประจำตัวของนางออกมา ปรากฎดาบอัสนี มีลักษณะ เหมือนสายฟ้า ทั้งสองด้าน มีด้ามจับอยู่ตรงกลาง นางยืนมือจับอาวุธของตัวเองไว้อย่างแนบแน่นและหมุนไขว้ดาบไว้ข้างหลังของตน   ฝ่าย อัคคีนาคา หลับตาลงคล้ายไม่อยากเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า และนางก็ลืมตาขึ้น ถอด บ่วงนาคบาศก์ ออกจากตัวของนางยื่นออกไปข้างๆ ตัวเอง พร้อมก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เตรียมพร้อมที่จะต่อสู้



    “ เริ่มการประลองได้ “



    สิ้นเสียงของ องค์อัมรินทร์ การประลอง ระหว่าง มยุราเทวี และ อัคคีนาคา ก็เริ่มขึ้น พวกนางกระโดดเข้าหากันและร่างของพวกนางทั้งสองก็หายวับไปกับตาของเหล่าเทพ ที่เข้าร่วมชุมนุม ซึ่งขณะนี้ต่างก็มองหาพวกนางทั้งสองคนอยู่



    “ พวกนางหายไปไหนแล้ว พวกเจ้าเห็นบ้างหรือเปล่า? “



    “ ข้าไม่เห็นเลย ไม่รู้พวกนางอยู่ที่ไหน? “



    เหล่าเทพต่างส่งเสียงอืออึงมองหาพวกนางทั้งสอง ขณะที่กำลังชุลมุนในการหาตัวพวกนางอยู่นั้น อนันตวาโย กลับรู้สึกถึงพลังอะไรบ้างอย่าง ก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้าและตะโกนขึ้นว่า



    “ ข้างบน “



    หลังคำพูดของ อนันตวาโย เพียงครู่เดียวก็เกิดประกายแสงจนแสบตาจากการกระทบกันของอาวุธทั้งสอง ทั่วบริเวณท้องฟ้าแถบนั้น พวกนางหายขึ้นไปบนทองฟ้าตั้งแต่ตอนไหนไม่มีใครรู้ หากแต่สิ่งที่เหล่าเทพกำลังเห็นอยู่ตอนนี้ก็คือฉากการต่อสู้อันดุเดือดระหว่าง มยุราเทวี และ อัคคีนาคา  มยุราเทวี เป็นฝ่ายบุก ใช้ดาบอัสนี ฟาดฟัน อัคคีนาคา ไม่ยั้ง เกิด สายฟ้าฟาดลง มาบริเวณนั้นโดยทั่วจน เหล่าเทพต่างต้องพากันหลบเพราะกลัวจะโดนลูกหลงจากการต่อสู้ของพวกนาง อัคคีนาคา กลับไม่ถอย บุกเข้าหา มยุราเทวี ด้วยเช่นกัน นางเหวี่ยงบ่วงนาคบาศก์ ต้านรับอยู่ตลอดเวลา พร้อมหาจังหวะเหวี่ยง บ่วงนาคบาศก์ กระแทกไปที่ตัวของ มยุราเทวี  ฝ่าย มยุราเทวี หลบไม่ทันใช้ ดาบอัสนี ต้านรับการจู่โจมของ อัคคีนาคา เอาไว้ พวกนางต่างเร่งพลังเข้าหากันเพื่อกระแทกอีกฝ่ายให้กระเด็นกลับไป



    “ แรงเยอะเป็นบ้า พลังของนางยังร้อนจนข้าแทบทนไม่ไหว “



    “ ขนาดนี้แล้วยังต้านได้อีก ร้ายกาจมาก “



    สองสาวงามคิดได้แค่นั้น ก็ผละจากกันออกมา มยุราเทวี จับจังหวะได้เร็วกว่า ทะลวงบุกเข้ามาอีก ระลอก สะบัดมือของนางหมุนเหวี่ยง ดาบอัสนี ทะลวงแนวรับของ อัคคีนาคา



    “ ดูสิว่าเจ้าจะแน่แค่ไหน? อัคคีนาคา ฟาดสายฟ้า “



    มยุราเทวี ตะโกนบอก อัคคีนาคา คล้ายเป็นเชิงบอกให้ อัคคีนาคา ตั้งใจรับมือให้ดี พระเวทย์ อัสนียบาต ของ มยุราเทวี เป็นแบบรุก ไม่ใช่แบบรับเหมือนกับ พระเวทย์ เพชรมหากาฬ ของ อัคคีนาคา  ฝึกสำเร็จแล้วสามารถบังคับสายฟ้าได้ดังใจต้องการ ไม่มีระดับขั้นในการฝึก แต่มี ๓ รูปแบบในการจู่โจม คือ เหินสายฟ้า บังคับสายฟ้าจู่โจมจากระยะไกล  ฟาดสายฟ้า  บังคับสายฟ้าจู่โจมในระยะประชิดตัว และผนึกสายฟ้า รวมสายฟ้าไว้ที่ร่างกายของตนเอง ไม่ว่าศัตรูจะจู่โจมจากทางทิศไหนก็สามารถส่งสายฟ้าเข้าไปทำร้ายศัตรูได้ เสียงฟ้าผ่า ยังดังก้องไปทั่ว นี้เป็นการประลองเพื่อพิสูจน์ว่าพระเวทย์แนวรุกหรือแนวรับ อย่างไหนจะแน่กว่ากัน ? ขณะที่ อัคคีนาคาเอง กำลังคิดหาวิธีโต้กลับอยู่ กลับปล่อยแนวรับของตัวเองออก รับพลังฟาดสายฟ้า ของ มยุราเทวี เข้าไปอย่างจัง หากแต่พลังกลับสะท้อนออกจากตัวของ อัคคีนาคา กลับไปหา มยุราเทวี นางตั้งรับพลังกลับคืนไม่ทันใช้ดาบอัสนี ปัดสายฟ้าของตนเองกระเด็นออกไปถูกภูเขาข้างๆ เสียงดังสนั่น



    “ ตูมมมมมม “



    มยุราเทวี ชำเลืองมองดูภูเขาข้างๆ ที่ถูกสายฟ้าของนาง ทลายลงจนภูเขามีรอยลึกขนาดใหญ่ ก่อนจะเอ่ยถาม อัคคีนาคา ขึ้น



    “ นี้มันวิชาอะไรของเจ้านะ “



    อัคคีนาคา ยิ้มให้กับ มยุราเทวี ก่อนตอบนางกลับไป



    “ ขั้นที่ ๒ ของ พระเวทย์เพชรมหากาฬ มหาสะท้อน ข้าสามารถสะท้อนพลังกลับได้ทุกชนิด หากเจ้าคิดจะล้มข้าคงยากหน่อยนะ “



    อัคคีนาคา อวดสรรพคุณวิชาของนางหวังข่ม มยุราเทวี แต่ มยุราเทวี กลับยิ้มออกมาคล้ายมั่นใจว่าจะชนะ อัคคีนาคา ได้แน่นอน



    “ งั้นก็ไม่เท่าไร ถึงเจ้าจะสะท้อนพลังข้ากลับได้แต่เจ้าก็ใช้ได้แค่จะต้านหรือสะท้อนเท่านั้น เรื่องที่จะล้มเจ้าคงไม่ยากนักหรอก “



    มยุราเทวี เข้าจู่โจม อัคคีนาคา อีกครั้งคราวนี้นางใช้ เหินสายฟ้า บังคับสายฟ้าจู่โจมจากระยะไกล สายฟ้าต่างรุมล้อมกระหน่ำ อัคคีนาคาไว้ ตัวของ อัคคีนาคา ถูกสายฟ้าฟาดเข้าไปนับไม่ถ้วน ทำให้นางออกจากกระแสการโหมกระหน่ำของสายฟ้าไม่ได้ แต่ มยุราเทวี กลับพุ่งตัวเข้าหา อัคคีนาคา เข้าไปในเขตสายฟ้าของตัวเอง และนางก็รวมสายฟ้าเข้ามายังตัวของนางประสานกับดาบอัสนี เป็นผนึกสายฟ้า พร้อมฟันลงยังร่างของ อัคคีนาคา



    “ ที่นี้เจ้าก็ไม่มีเวลาต้านหรือสะท้อนพลังข้าได้แล้ว ยอมรับความพ่ายแพ้เสียเถอะอัคคีนาคา “



    ดาบอัสนี ฟาดฟันลงมาอย่างแรง คล้ายกับว่า จะเป็นสัญญาณบอกความพ่ายแพ้ของ อัคคีนาคา ทันใดนั้น ดวงตาของอัคคีนาคา กลับเปล่งแสงสีแดงจ้าออกมา พลันปรากฏพลังอีกรูปแบบหนึ่งนอกจะต้านทานสายฟ้าที่กระหน่ำลงมายังตัวของนางแล้ว ยังสะท้อนพลังดาบของ มยุราเทวีกลับไปด้วย



    “ ขั้นที่ ๓ พระเวทย์ เพชรมหากาฬ มหาอุบัติ “



    มยุราเทวี รับสายฟ้าของตัวเองเข้ามา แต่นางไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเพราะนางสามารถรวมสายฟ้าเข้ากับพลังของตัวเองได้อยู่แล้ว มยุราเทวี ยิ่งโมโหที่วิชาของนางทำอะไร อัคคีนาคา ไม่ได้รวมสายฟ้าทั้งหมดไว้ที่ดาบอัสนี พร้อมขวางดาบอัสนีออกไปหา อัคคีนาคา ดาบอัสนี หมุนเหวี่ยงเป็นกงล้ออัสนียบาตใหญ่กำลังเข้าใกล้ อัคคีนาคา  ทางฝ่าย อัคคีนาคา กัดฟันสู้ หมุนตัวเองดุจพายุ พร้อมเหวี่ยง บ่วงนาคบาศก์ออกต้าน บ่วงนาคบาศก์ หลุดออกจากมือเปลี่ยนเป็น นาคบาศก์เพลิง เข้าต้านพลัง ดาบอัสนี ของ มยุราเทวี อาวุธทั้งสองหมุนเหวี่ยงปะทะกันอย่างต่อเนื่อง เหมือนอาวุธทั้งสองต่างมีชีวิต เข้าต่อสู้กันเอง  ฝ่ายสาวงามทั้งสอง ไม่มีอาวุธในมือ ต่างพุ่งตัวเข้าหากัน ปักหลักแลกหมัดกันอยู่กลางอากาศ เสียงดังสนั่นไปทั่ว โดยมีเหล่าเทพที่ร่วมชุมนุมยืนมองดูอยู่จนลืมหายใจ



    “ อะไรจะร้ายกาจปานนี้ “



    เสียงของหนึ่งในบรรดาเหล่าเทพที่เคยคัดค้าน อัคคีนาคา ครางออกมาเบาๆ ขณะที่บรรดาเหล่าเทพอื่นๆ ต่างตกตะลึงตาค้าง อ้าปากหุบไม่อยู่ มองดูการต่อสู้ของทั้งสอง หมัดสายฟ้าและหมัดอัคคี ปะทะกันอย่างต่อเนื่องนับเป็นพันครั้งยังไม่มีใครเป็นฝ่ายเพียงพล้ำ มยุราเทวี สบโอกาสประเคนเข่าให้ อัคคีนาคา จนตัวงอ ยังไม่ทันได้ทำอะไรต่อ ถูกหมัดอัคคีของ อัคคีนาคา สวนกลับต่อยเข้าที่ท้องให้อย่างจัง ทำให้นางมีสภาพไม่ต่างจาก อัคคีนาคา เท่าไร มยุราเทวี ฝืนใจลืมความเจ็ดปวดรวบรวมกำลัง ประสานมือทั้งสอง ทุ่มสุดตัว ทุบที่กลางหลังอัคคีนาคา บีบให้ อัคคีนาคา ลงไปที่พื้นแท่นพิธีคัดเลือกข้างล่าง  อัคคีนาคา ถูกบีบลงมาตัวตกถึงพื้นแท่นพิธี เท้าทั้งสองของนางกระแทกจนพื้นที่ยืนอยู่แตกร้าวไปหมด อัคคีนาคารีบเงยหน้ามองขึ้นบนฟ้า เห็นมยุราเทวี กำลังรวมพลังสายฟ้าทั้งหมดที่มีอยู่รอบๆตัวนาง เข้ามารวมอยู่ในตัวของนาง พลังสายฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลในพริบตา



    “ นางจะทำอะไรนะ “



    อัคคีนาคา สงสัยการกระทำของ มยุราเทวี แต่ก็ยังเดาไม่ออกว่านางจะทำอะไร  ทางมยุราเทวีรู้ว่าจะชนะอัคคีนาคานั้นไม่ง่าย จึงตัดสินใจใช้พระเวทย์ที่ร้ายกาจที่สุดของนาง เพื่อจัดการกับกับอัคคีนาคา นางรวมพลังทั้งหมดที่มีอยู่ผนึกอยู่ในตัว พลันดวงตาของนางก็เปล่งแสงสีเหลืองจ้า ยื่นมือทั้งสองมาประกบกันและทิ้งตัวพุ่งลงมาหาอัคคีนาคา



    “ แกว๊กๆๆๆๆๆ “



    ร้องของนกยักษ์ดังขึ้น ปรากฏร่างวิหคอัสนีแผ่พลังสายฟ้ารุนแรงออกมา  ....นั้นคือ



    “ หนึ่งในสุดยอดพระเวทย์เผ่าพันธุ์วิหค พญาวิหคอัสนี กำราบ นาคราช “



    ฝ่ายอัคคีนาคารู้ว่า มยุราเทวี ไม่ยอมอ่อนข้อให้หน่ำซ้ำ ยังใช้พลังทั้งหมดเพื่อเอาชนะนางอีก ก็โมโหดวงตาของนางเปล่งแสงสีแดงจ้า ปรากฎเพลิงกรดอยู่รอบๆ ตัวนาง สัญชาตญาณในตัวนางถูกปลุกจากการต่อสู้กับ มยุราเทวี  อัคคีนาคา รวมพลังทั้งหมดที่มีอยู่และพระเวทย์เพชรมหากาฬ เป็นหนึ่งเดียวทะยานตัวพุ่งเข้าหา มยุราเทวี ยื่นหมัดทั้งสองเข้าปะทะด้วย พร้อมปรากฏร่างและเสียงของสัตว์ที่ดุร้ายดังขึ้น



    “ กร๊าซๆๆๆๆๆๆ “



    อัคคีนาคา กลายร่างเป็น นาคอัคคี ตัวใหญ่ บุกเข้าต้านทานพลังของ มยุราเทวี เสียงร้องของ นาคอัคคี ที่ดังก้องไปทั่ว และนั้นก็คือ



    “ หนึ่งในสุดยอดพระเวทย์เผ่าพันธุ์นาคา ราชันย์นาคราชอัคคี สยบ ปักษี “



    สองพลังปะทะกันอย่างรุนแรงส่งผลให้เหล่าเทพต่างกระเด็นกันไปคนละทิศละทาง ฝ่ายที่ที่มีพลังเวทย์สูงต่างสร้างเกาะกำบังป้องกันผลกระทบจากพลังที่กระจายออกมา แต่มหาเทพทั้งสามกลับไม่เป็นอะไรเลย ยังคงนั่งนิ่งจ้องมองดูการต่อสู้ของ มยุราเทวี และ อัคคีนาคา อยู่ตลอดเวลา ทางฝ่ายมยุราเทวี และ อัคคีนาคา ปะทะพลังกันอย่างต่อเนื่องเหมือนถ้าไม่มีใครตายก็ไม่ยอมแพ้ พลันเหมือนพวกนางจะรู้สึกตัวขึ้นได้ มองเห็นเหล่าเทพที่วิ่งหนีหลบพลังของตน จนวุ่นวาย กลัวว่าจะมีใครต้องตายเพราะฝีมือของพวกนาง จึงรั้งพลังกลับและร่างของพวกนางก็ลอยต่ำลงมายังพื้นเบื้องล่าง ก่อนที่พวกนางจะล้มลงไปนอนกองอยู่บนพื้น อาวุธที่ต่างต่อสู้กันอยู่ก็หมดฤทธิ์ ตกลงมาอยู่ใกล้ๆ กันกับที่ มยุราเทวี และ อัคคีนาคา นอนอยู่ มยุราเทวี และ อัคคีนาคา พวกนางรู้สึกเหนื่อยหอบ พลังหดหายไปมากเนื่องจากการที่รั้งพลังกลับคืนมาอย่างฉับพลัน เหมือนคนไม่มีเรี่ยวแรง แต่ท่าทางของ มยุราเทวี จะเป็นหนักกว่า อัคคีนาคา เหนื่อยหอบอย่างเห็นได้ชัดและตามตัวก็มีบาดแผลหลายแห่ง กลับกันกับอัคคีนาคา ซึ่งไม่มีบาดแผลติดตัวแม้ตัวน้อย ด้วยความวิเศษของพระเวทย์เพชรมหากาฬ  อัคคีนาคา มองเห็น มยุราเทวี เป็นเช่นนั้น ก็คลานเข้าไปหานาง จับมือของนางเอาไว้ พลันถ่ายพลังของตัวเองเข้าสู่ในร่างของ มยุราเทวี ขณะเดียวกัน มยุราเทวี เอง รู้ว่า อัคคีนาคา ช่วยเหลือนาง  นางก็ถ่ายพลังของนางเข้าสู่ร่างของ อัคคีนาคา เช่นกัน พลังทั้งสองสายเหมือนจะเกื้อกูลกันนอกจากพลังของพวกนางฟื้นคืนมาแล้ว บาดแผลของมยุราเทวี ก็หายเป็นปลิดทิ้ง เหมือนกับว่านางไม่ได้รับบาดเจ็บเลย ขณะที่พลังของ อัคคีนาคา ก็ฟื้นคืนมาดังเดิมเช่นกัน



    “ อะไรกันนี้! นอกจากพลังของข้าจะคืนกลับมาแล้ว บาดแผลยังหายสนิทอีกด้วย ไม่มีร่องรอยหลงเหลืออยู่เลย “



    มยุราเทวี อุทานออกมาด้วยความแปลกใจ พลางพวกนางก็ลุกขึ้นยืน และ ยื่นมือไปหยิบอาวุธของตนเองกลับคืนมา และจ้องมองไปดูยังเหล่าเทพที่วิ่งหนีพลังของพวกนาง ซึ่งบรรดาเหล่าเทพกำลังกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง และมีเสียงของ พระพรหม ตรัสบอกเหล่าเทพว่า



    “ ท่านทั้งหลาย ผลการต่อสู้ระหว่าง มยุราเทวี และ อัคคีนาคา นั้นได้ปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกท่านแล้ว ผลการต่อสู้ของพวกนางคือ เสมอกัน มีผู้ใดจะคัดค้านหรือไม่ ? “



    เหล่าเทพต่างนิ่งเงียบหันหน้ามามองกันและคอยดูว่าจะมีใครคัดค้านหรือไม่ หากแต่ก็ไม่มีใครคัดค้านออกมาคล้ายกับจะยอมรับว่า อัคคีนาคา สมควรเป็น ๑ ใน ๗  เทพ ผู้ที่จะปราบ กัลย์ปาอสูร อัคคีนาคา จ้องมองเหล่าเทพที่คัดค้านนาง และเอ่ยขึ้นว่า



    “ พวกท่านยังมีใครสงสัยในตัวของข้าอีกหรือไม่? ถ้ายังมีก็ขอให้ออกมาสู้กับข้าเถอะ ”



    เหล่าเทพที่คัดค้านได้ยินดังนั้นต่างถอยกรู ยกมือบอกปัดเป็นพัลวัน



    “ ไม่ต้องพิสูจน์หรอก พวกข้าเชื่อแล้วว่าเจ้ามีความสามารถจริง ไม่ต้องจำเป็นพิสูจน์อีกแล้ว พวกข้ายอมรับแล้วว่าเจ้าสมควรเป็นผู้ที่ถูกเลือกให้ปราบ กัลย์ปาอสูร โดยถูกต้องสมบูรณ์แล้ว “



    อัคคีนาคา ยิ้มออกมาที่เหล่าเทพต่างยอมรับในตัวของนางแล้ว ไม่เพียงแต่เหล่าเทพเท่านั้น ผู้ที่ถูกเลือกให้ปราบ กัลย์ปาอสูร คนอื่นๆ ต่างก็ยอมรับตัวนางด้วยเช่นกัน



    “ สุดยอดจริง ๆ พลังร้ายกาจทั้งคู่ “



    พยัคฆ์วารี ชื่นชมพวกนางอยู่ในใจ ขณะที่ อนันตวาโย และ นันทาเทพธิดา  ต่างตกตะลึงในความสามารถของ อัคคีนาคา  ฝ่ายเปมิกา ยืนอมยิ้มอยู่ข้างๆตรัยสูรและเอ่ยพูดกับเขาเบาๆว่า



    “ เห็นไหม? ตรัยสูร ข้าบอกแล้ว อัคคีนาคา นางไม่ธรรมดาจริงๆ “



    ตรัยสูรพยักหน้ายอมรับว่าความคิดของ เปมิกา ถูกต้อง อัคคีนาคา ไม่ธรรมดาอย่างที่นางคิดจริงๆ ในตอนแรกเขายังคิดว่านางคิดไปเองฝ่ายเดียว แต่จริงๆ แล้วเขาต่างหากที่ไม่สนใจคนรอบข้างเลยว่ามีอะไรที่พิเศษแตกต่างจากคนอื่นบ้าง คิดแล้วเห็นทีว่าต่อไปคงจะประเมินว่าใครเป็นอย่างไร เพียงแค่ได้เห็นรูปร่างกายภายนอกไม่ได้อีกแล้ว



    “ เมื่อไม่มีผู้ใดคัดค้าน เราขอตัดสินว่า การต่อสู้ในครั้งนี้ ของ มยุราเทวี และ อัคคีนาคา ทั้งคู่ต่างเสมอกัน และ อัคคีนาคา มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็น ๑ ใน ๗ เทพ ผู้ที่จะปราบ กัลย์ปาอสูร “



    พระพรหม ประกาศคำตัดสินออก พร้อมกับเสียงกลองดังลั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า พิธีการคัดเลือกได้เสร็จสิ้นลงแล้ว และยังมีเสียงไชโยโห่ร้องของเหล่าเทพที่ดังขึ้น เพื่อยินดีกลับเทพทั้ง ๗ ที่ผ่านการคัดเลือกเป็นผู้ปราบ กัลย์ปาอสูร อินทรนาคราช และ จามนาคราช ต่างวิ่งเข้ามาหา อัคคีนาคา ฝ่ายสุบรรณ และ นิลบุตรปักษี ก็วิ่งเข้ามาหา มยุราเทวี



    “ ลุงดีใจมาก อัคคีนาคา ที่เจ้าไม่อะไร “



    อินทรนาคราช วิ่งมาถึงตัวของ อัคคีนาคา พลางพูดด้วยความยินดี ในขณะที่ จามนาคราช สวมกอดลูกสาวในใบหน้ายังมีคราบน้ำตาหลงเหลืออยู่  



    “ พ่อนึกว่าจะต้องเสียเจ้าไปซะแล้ว อัคคีนาคา รู้ไหม ? ตอนที่เจ้าต่อสู้อยู่หัวใจของพ่อแทบจะสลายไปเลยลูกเอย กลัวว่าเจ้าจะเป็นอะไรไป “



    “ หม่อมฉันไม่เป็นอะไรเพคะ เสด็จพ่อไม่ต้องห่วง อย่างไรหม่อมฉันก็จะอยู่กับเสด็จพ่อตลอดไป เพคะ “



    อัคคีนาคา สวมกอด จามนาคราช ผู้เป็นพ่อขณะที่ตัวเองก็ยังร้องไห้ เหมือนเด็กๆ อยู่ ขณะที่ อินทรนาคราช แทบจะไม่เชื่อถ้าไม่ได้เห็นด้วยตาของตนเองว่า นางจะเก่งกล้าสามารถ อย่างนี้ ในทีแรกเขาเองหลงเป็นห่วง อัคคีนาคา เสียแทบแย่ โดยเฉพาะไม่น่าเชื่อนางสามารถใช้หนึ่งในพระเวทย์สุดยอดของเผ่าพันธุ์นาคาได้



    “ เจ้าเก่งมาก อัคคีนาคา ลุงไม่คิดเลยว่าเจ้าจะต่อสู้ได้เก่งถึงขนาดนี้ โดยเฉพาะเจ้าใช้หนึ่งในสุดยอดพระเวทย์ ของเผ่าพันธุ์นาคาต่อสู้กับ มยุราเทวี ได้  ว่าแต่ใครสอน ราชันย์นาคราชอัคคี สยบ ปักษี  ให้กับเจ้าหรือ อัคคีนาคา ? “



    อัคคีนาคา ผละออกจากการสวมกอดของพ่อ ใช้มือของตนเองปาดน้ำตาที่มีอยู่บนใบหน้า ก่อนมองหน้าของ อินทรนาคราช  และบอกต่อเขาด้วยสีหน้าที่ไม่เข้าใจ



    “ เสด็จลุง พูดถึงอะไรเพคะ?  อะไรคือ ราชันย์นาคราชอัคคี สยบ ปักษี เพคะ? “



    อินทรนาคราช ได้ฟังคำตอบจากหลานสาว หน้าซีดเหมือนคนตาย เนื้อตัวเย็นวูบ ไม่เพียงแค่ อินทรนาคราช จามนาคราชเอง ก็มีสภาพไม่ต่าง อินทรนาคราช  เลย



    “ อะไรนะ อัคคีนาคา นี้เจ้ากำลังจะบอกลุงว่า เจ้าไม่รู้จัก ราชันย์นาคราชอัคคี สยบ ปักษี หรือ ? “



    “ เพคะเสด็จลุง แม้แต่ชื่อหม่อมฉันก็เพิ่งจะเคยได้ยินนี้แหละเพคะ “



    อินทรนาคราช และ จามนาคราช มองหน้ากัน ต่างคนก็ต่างตกใจ เมื่อ อัคคีนาคา ไม่รู้จักพระเวทย์นี้ทำไมถึงใช้มันออกมาได้ ทั้งสองต่างคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ หากนางไม่เคยฝึกพระเวทย์นี้จริง แล้วที่พวกเขาเห็นเมื่อครู่นี้คืออะไรกัน?  ทางฝ่าย มยุราเทวี ถูกห้อมล้อมด้วย สุบรรณ และ นิลบุตรปักษี ซึ่งพวกเขาต่างก็ถามไถ่ อาการของนางอยู่



    “ เจ้ายังเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า? มยุราเทวี “



    “ ข้าไม่เป็นอะไรเลย นิลบุตรปักษี เมื่อครู่นี้ อัคคีนาคา นางถ่ายพลังจากตัวของนางให้กับข้า ข้ารู้สึกสบายตัวอีกทั้งบาดแผลก็หายสนิทอีกด้วย “



    พวกเขาทั้งสองต่างจ้องมองดู มยุราเทวี สภาพของนางเป็นจริงดังคำของพูดของนาง ตัวของนางไม่มีบาดแผลใดๆ เลย แถมท่าทางของนางเหมือนกับว่าเมื่อครู่ไม่ได้ผ่านการต่อสู้ที่เกือบเป็นเกือบตายมาก่อน



    “ มหัศจรรย์จริงๆ เจ้าไม่เป็นอะไรเลยหรือนี้ นกยูง  ตอนแรกลุงคิดว่าเจ้าจะชนะนางได้ง่ายๆ เสียอีก คิดไม่ถึงเลยว่า ขนาดเจ้าใช้  พญาวิหคอัสนี กำราบ นาคราช แล้ว ยังทำอะไรนางไม่ได้ เห็นทีลุงต้องประเมิน อินทรนาคราช ใหม่เสียแล้ว นี้แสดงว่าเขาคงสอนวิชาให้กับหลานสาวของเขามามากกว่าที่ลุงคิดเสียอีก “



    ขณะที่ทั้งพวกเขากำลังพูดคุย กันอยู่ อัคคีนาคา เดินเข้ามาหา มยุราเทวี  มยุราเทวี หันมามอง อัคคีนาคา ทั้งสองต่างจ้องมองกัน อัคคีนาคา เป็นคนแรกที่เอ่ยพูดขึ้นก่อน



    “ เจ้ายังเจ็บตรงไหนบ้างอีกหรือเปล่า มยุราเทวี ? “



    “ ขอบใจเจ้ามากที่เป็นห่วงข้า อัคคีนาคา ข้าไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ แต่ข้าไม่อยากให้เจ้าเรียกข้าว่า มยุราเทวี “



    อัคคีนาคา ขมวดคิ้วไม่เข้าใจคำพูดของ มยุราเทวี และต้องแปลกใจยิ่งขึ้นเมื่อ มยุราเทวี ยิ้ม ก่อนจะพูดต่อไปว่า



    “ ถ้าเจ้าจะเรียกชื่อของข้า ควรเรียกข้าว่า นกยูง มากกว่า  “



    “ ทำไม เจ้าอยากให้ข้าเรียกเจ้าว่า นกยูง ล่ะ “



    อัคคีนาคา เอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจในเหตุผลของมยุราเทวี ก่อนที่คำตอบที่ได้ฟังจะทำให้หัวใจของนางเบิกบานขึ้น



    “ เพราะว่า ข้า อยากจะเป็นเพื่อนกับเจ้าไงล่ะ อัคคีนาคา “



    มยุราเทวี พูดจบ ก็จับมือของ อัคคีนาคา ทั้งสองต่างวิ่งมาที่ แท่นพิธีที่สอง มารวมกับผู้ที่ได้รับการคัดเลือกคนอื่นๆ ทั้งหมดต่างคุกเข่าลงตรงหน้า มหาเทพทั้งสาม และ พระอิศวรก็ทรงตรัสขึ้นว่า



    “ บัดนี้การคัดเลือกเทพผู้ปราบ กัลย์ปาอสูรได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ผู้ที่จะทำหน้านี้ ได้แก่ อนันตวาโย พยัคฆ์วารี  นันทาเทพธิดา ตรัยสูร เปมิกา มยุราเทวี และ อัคคีนาคา ข้าจะให้พวกเจ้าทั้งหมดออกเดินทางปราบ กัลย์ปาอสูร ในวันรุ่งขึ้น พวกเจ้าทั้งหมด จงไปรวมตัวกันที่ ชายฝั่งทะเลตะวันออก ข้าจะให้เทพมาตุลี เป็นคนไปพบพวกเจ้าและบอกทางที่พวกเจ้าจะต้องสืบหาที่อยู่ของ กัลย์ปาอสูร พวกเจ้าต้องทำหน้าที่นี้ให้สำเร็จ เพื่อนำความสงบสุขของสามโลกกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง ข้าจะให้พรแก่พวกเจ้าทั้งหมดให้พวกเจ้ามีพลังเพิ่มขึ้นอีกเท่าหนึ่ง เพื่อที่จะสามารถต่อสู้กับกองทัพอสูรของ กัลย์ปาอสูรได้ “



    หลังจากรับพรจากพระอิศวรแล้ว พวกเขาทั้งหมดมีพลังในร่างเพิ่มขึ้นอีกเท่าหนึ่งในทันที ต่างสำแดงพลังของตนเองออกมาจนสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งสามโลก และทั้งหมดต่างก็ประสานมือกันคล้ายบ่งบอกถึงภาระหน้าที่และมิตรภาพของพวกเขาที่กำลังจะเกิดขึ้น เหมือนเป็นการเริ่มต้นศักราชใหม่ของหนุ่มสาวที่พร้อมจะผจญภัยอันตรายเพื่อปราบอสูรร้ายไม่ให้รุกรานโลกนี้ หลังจากนั้นก็มีแสงเรืองรองขึ้นจากแท่นที่ประทับทั้งสาม และหายไปในพริบตา มองดูอีกที ทั้งพระพรหม พระอิศวร และ พระนารายณ์ ต่างเสด็จกลับขึ้นไปยังบนสวรรค์แล้ว ทั้งสามพระองค์ต่างกลับขึ้นมาประทับนั่งในวิมานบนสวรรค์ ต่างจ้องมองดูพวกเขาทั้ง ๗ จากเบื้องบน



    “ พวกเขายังต้องรับหน้าที่นี้อีกนานกว่าจะเสร็จและยังต้องผ่าฟันอุปสรรคอีกมาก “



    พระนารายณ์ ตรัสออกมาคล้ายเป็นกังวล ห่วงเหล่าเทพที่พระองค์ได้ทรงคัดเลือกไว้



    “ นารายณ์ ท่านไม่ต้องห่วงไปหรอกชะตาชีวิตได้ลิขิตไว้แล้วให้พวกเขาต้องกระทำภาระหน้าที่สำคัญนี้ พวกเขาจะต้องทำสำเร็จอย่างแน่นอน “



    พระพรหม ตรัสบอก พระนารายณ์ ขณะที่ พระอิศวร ทรงตรัสบอก พระนารายณ์ ว่า



    “ พวกเขาทั้งหมดไม่เป็นอะไรหรอก นารายณ์ พวกเขาทั้งหมดล้วนเก่งกาจเรืองฤทธิ์ สามารถที่จะปราบ กัลย์ปาอสูร ได้แน่ และยังไม่ใช่เพียงแค่พวกเขาทั้ง ๗ ที่ต้องรับหน้าที่นี้ ท่านอย่าลืมสิยังมีอีก ๑ ที่ยังไม่ปรากฏ “



    “ จริงด้วยพระเจ้าข้า หม่อมฉันลืมเสียสนิท อีก ๑ ที่ยังไม่พบเจอ “



    พระนารายณ์ ทรงยิ้มออกมา และทั้งสามพระองค์ต่างจ้องมองดูพวกเขาจากเบื้องบนต่อไป อีก ๑ ที่เป็นปริศนา คือใคร? เวลานี้ยังไม่มีใครรู้ หากแต่เวลานี้บนยอดเขาไกรลาศเหล่าเทพต่างพากันแยกย้ายกันกลับไปหมดแล้ว  อินทรนาคราช พาพวกพ้องของตนกลับไปยังนครบาดาล ในใจขณะนี้คิดว่าจะบอกเรื่องราวต่างๆ กับ พระพันปี คีตรนาคราช อย่างไรดี ?โดยเฉพาะ พระนางมัณนิยา เสด็จแม่ของ อัคคีนาคา





    จบตอนที่ ๓ ครับ  อันนี้เป็นโบนัสให้กับผู้อ่านครับ ประวัติตัวละครของเทพผู้ปราบ กัลย์ปาอสูรทั้ง ๗ คน ฉบับย่อ



    คนที่ ๑ พยัคฆ์วารี  ลูกชายของ เทพพยัคฆ์ บนสวรรค์ กับองค์หญิงน้ำแข็ง แห่งภูเขาหิมะ แต่เดิมมีหน้าที่เฝ้าอุทยานสวรรค์ นิสัย กล้าหาญ เข้มแข็ง  มีวิชาบังคับวารี ที่เก่งกาจ ไม่มีใครเทียบได้ ใช้ ดาบคู่ ชื่อ  เขี้ยวพยัคฆ์ เป็นอาวุธ



    คนที่ ๒  อนันตวาโย ทายาทรุ่นหลังๆ ของ จ้าวพายุ ( พระพาย ) เป็นคนรูปหล่อ นิสัยเจ้าชู้ แต่รักจริงหวังแต่ง เคยทำให้เหล่านางฟ้าตบตีกันอยู่บ่อยๆ ด้วยความหล่อของตน บังคับลมให้เคลื่อนที่ได้ดังใจต้องการ มี จักรแก้ว เป็นอาวุธ



    คนที่  ๓ นันทาเทพธิดา  ทายาทตระกูลเทพนารี มีหน้าที่คุมตาชั่งสวรรค์ รักษาความสมดุลของสามโลก  เป็นคนสวย น่ารัก และเป็นเพื่อนรักของ อนันตวาโย คอยเป็นกันชนให้กับเหล่าบรรดาสาวๆ ของ อนันตวาโย อยู่บ่อยๆ  ใช้ ลูกแก้ว เป็นอาวุธ ประจำตัว



    คนที่ ๔ อัคคีนาคา หลานสาวของ อินทรนาคราช หน้าตางดงาม นิสัยขี้เล่น ทะเล้น ไม่กลัวใคร มีวิชาพระเวทย์มหากาฬ อันร้ายกาจ  มีพลังอัคคี ตั้งแต่เกิด ไม่เหมือนนาคตนอื่นๆ ในนครบาดาล ใช้ บ่วงนาคบาศก์ เป็นอาวุธ



    คนที่ ๕ มยุราเทวี หรือ นกยูง หลานสาวของสุบรรณคู่ปรับของ อินทรนาคราช สายตระกูลมณีวิหค หน้าตางดงาม ไม่แพ้ อัคคีนาคา นิสัยรักความยุติธรรม  มีวิชา พระเวทย์อัสนียบาต ที่น่ากลัวเป็นวิชาประจำตัว  ใช้ ดาบอัสนี เป็นอาวุธ



    คนที่ ๖ ตรัยสูร ลูกชายคนที่สองของ ท้าวรณจักร เป็นยักษ์สืบเชื้อสายจากวงศ์พรหม นิสัย สุขุม รอบคอบ เยือกเย็น เป็นยักษ์ที่มีจิตใจดี  รูปงาม แต่ยังไม่เท่า อนันตวาโย  ใช้ คันธนูสวรรค์ เป็นอาวุธประจำตัว



    คนที่ ๗ เปมิกา หรือ ดวงใจมาร ลูกสาวของ ท้าววัลนุราช เป็นยักษ์สาวสืบเชื้อสายจากวงศ์พรหมเช่นเดียวกัน นิสัย พูดจา โผล่ผาง ขี้โมโห แต่จริงใจ หน้าตางดงามไม่น้อย แต่ไม่ค่อยมีรอยยิ้มให้เห็น หยิ่งทรนงในศักดิ์ศรีของตนเอง ใช้ ดาบปราบลิขิตฟ้า เป็นอาวุธ



    คนที่ ๘ ........  ปริศนา ที่ยังไม่มีใครรู้ ???????? .......

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×