ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศึกเทพอสูรมหาสงคราม ภาคพิเศษ๑ ภาคงานแต่งของกวินฟ้า

    ลำดับตอนที่ #2 : กวินฟ้า๒

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 246
      0
      18 พ.ย. 48

    ศึกเทพอสูรมหาสงคราม ภาคพิเศษ ๑

    ภาคงานแต่งของกวินฟ้า ๒



        ดูจากแววตาของ หะลูอา  กวินฟ้า ก็พอรู้อยู่ว่าคนผู้นี้มีฝีมือพอตัว

        “  ตุ๊บ ”  หะลูอา กระโดดลงมายืนอยู่ข้างหน้ากวินฟ้า พลางเพ่งพิศมองเด็กหนุ่ม

        “  ฝีมือไม่เลวนี้น้องชาย ”

        กวินฟ้าไม่ประมาทพิจารณาศัตรูอย่างถี่ถ้วน

        ‘ แปลกจริง ทำไมถึงไม่ให้พวกลูกน้องเขามาล้อมพวกเราไว้กลับยืนพูดคุยกับข้าอยู่เฉยๆ ’

        มรกตและมุก ขยับเข้ามาสมทบกับกวินฟ้า พยายามใช้อาวุธที่อยู่ในมือคุมเชิงไว้ไม่ให้ลูกสมุนของหะลูอา เข้ามาใกล้ได้



        “ เจ้าเป็นใครน้องชายดูเหมือนจะมิใช่คนละแวกนี้กระมัง ”

        น่าประหลาดดีแท้อยู่ๆก็มาถามชื่อเสียงเรียงนามในขณะกำลังปล้นเรืออยู่อย่างนี้ ถ้าจะเรียกก็เรียกได้ว่าเป็นโจรที่มีนิสัยแปลกประหลาดจริงๆ

        “ ข้าชื่อ กวินฟ้า เป็นบัณฑิต ( ผู้ใส่หาความรู้หรือผู้รับจ้างสอนวิชา ) จากนครอื่นกำลังออกเดินทางเพื่อศึกษาศาสตร์แห่งการปกครอง ”

        หะลูอา ขมวดคิ้วเล็กน้อย

        “ งั้นหรือ แต่ข้าว่าเจ้าคงไม่ใช่บัณฑิตกระมัง ”

        “ เหตุใดท่านโจรใหญ่จึงคิดเช่นนั้น ” กวินฟ้าเอ่ยถาม

        หะลูอา เดินวนรอบๆตัวเขาก่อนตอบว่า

        “ บัณฑิตประเภทไหนถึงได้รู้วิชาการต่อสู้เช่นเจ้า   วิชาการต่อสู้ที่เจ้าใช้บ่งบอกถึงการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดีของเหล่าทหารภายในวัง หากข้าเดาไม่ผิดเจ้ามิใช่ บัณฑิต หากแต่เป็นลูกผู้ดีหรือลูกขุนนางในวังต่างหาก ”

        กวินฟ้า รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย

        ‘ คิดไม่ถึงว่าเจ้าโจรปลายแถวนี้สายตามันจะแหลมคมอย่างนี้ ’



        “ ที่ข้ามีฝีมือในการต่อสู้นั้นเป็นเพราะข้ามีเพื่อนฝูงอยู่มากมายที่เป็นลูกขุนนางในวังต่างหาก ข้าเคยเห็นพวกเขาฝึกวิชาการทหารและวิชาการต่อสู้อยู่เป็นประจำ จึงได้ขอฝึกหัดกับพวกเขา ตัวข้าเองหาใช่ลูกขุนน้ำขุนนางแต่อย่างใดไม่ ” กวินฟ้า แก้ตัว



        “ หึๆ  คำพูดเจ้าพอฟังได้ หากแต่เชื่อได้ยาก ”  หะลูอา นั่งลงบนราวบันไดเรือ

        “ อย่างไรข้าก็ขอพิสูจน์หน่อยแล้วกัน หากเจ้าเป็น บัณฑิต จริง ...งั้นจงตอบข้ามาสิว่า จารีต ประเพณี วัฒนธรรม สิ่งไหนเกิดมาก่อนกัน ”

        ‘ เจ้าโจรบ้านี้ดันมาถามอะไรบ้าๆแบบนี้ ข้ายิ่งสอบตกวิชาจริยะอยู่ด้วย(- -“) ’

        กวินฟ้า อ้ำอึงอยู่ครู่หนึ่งไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี

        “ ว่าอย่างไร? ตอบไม่ได้อย่างนั้นหรือ ก็ไหนเจ้าบอกข้ามาว่าเจ้าเป็นบัณฑิต กะอีกข้าคำถามง่ายๆเช่นนี้ ยังตอบไม่ได้ ช่างน่าขันเสียจริงๆ ฮะๆๆๆๆ ”

        พอหะลูอา หัวเราะเหล่าลูกสมุนก็หัวเราะตาม

        “ ฮะๆๆๆๆ ”



        ‘ หนอยแน่เจ้าโจรชั้นต่ำนี้พอเห็นข้าอึกอักเข้าหน่อยทำเป็นได้ใจ ’ วิสัยนาคา รักศักดิ์ศรีเป็นยิ่งนักพอถูกหลู่เกียรติแบบนี้มีหรือจะทนได้

        ‘ เสด็จป้าอัคคีนาคา ก็เคยถูกเหล่าเทพอื่นๆดูถูกมาก่อนสุดท้ายเทพเหล่าล้วนแต่ตาต่ำทั้งสิ้น ข้าจะทำให้พวกมันหน้าหงายกับไปให้ได้ ’



        “ เฮอะ  พวกเจ้าหัวเราะอะไรกันคำถามง่ายๆเช่นนี้มีหรือข้าจะตอบไม่ได้ ข้าเพียงแต่สงสัยเท่านั้นเองว่า โจรที่ไร้การศึกษาเช่นพวกเจ้ารู้จักถามคำถามเช่นนี้ด้วยหรือ ข้าว่าเจ้าไม่ได้คิดเองหรอกอย่างมากก็แค่จำเขามาก็เท่านั้น ”

        คำพูดของ กวินฟ้า สร้างความไม่พอใจกับเหล่าโจรเป็นอย่างมาก

        “ ไอ้นี้ มันวอนหาเรื่องตายซะแล้ว สับมันเลยดีไหมหัวหน้า ”

        หะลูอา ยกมือห้ามเอาไว้ สีหน้าเขาไม่ได้โมโหโทโสกับคำพูดของ กวินฟ้า เลย

        “ ไม่ต้อง ข้าอยากจะลองทดสอบหน่อยว่า น้องชายคนนี้เก่งจริงอย่างที่ปากพูดหรือเปล่า รีบตอบคำถามข้ามาสิ ”

        กวินฟ้า เชิดหน้าพูดจาอย่างฉะฉาน

        “ จารีต ประเพณี วัฒนธรรม ความจริงล้วนคือสิ่งเดียวกัน เพียงแต่กาลเวลาที่ผ่านมาผันแปรเปลี่ยนจนเรียกทั้งสามให้ต่างกัน จารีต คือความดีงามในตัวบุคคล เป็นเอกลักษณ์แบบอย่างในการดำรงชีวิต เมื่อคนส่วนใหญ่อยู่ร่วมกันในสังคมก็ให้เกิดเป็นประเพณีขึ้นมา ประเพณีแต่ละอย่างเกิดขึ้นมาจากร่วมกลุ่มคนในสังคมหลายๆกลุ่ม แม้จะอยู่ใกล้กันก็อาจจะมีประเพณีที่แตกต่างกันได้ เมื่อประเพณีเหล่านี้มีมากเข้าก็ถูกหล่อหลอมเป็นสังคมใหญ่ก่อเกิดวัฒนธรรมตามมา ทั้งสามสิ่งไม่ว่าจะ จารีต ประเพณี หรือ วัฒนธรรม ล้วนมาจากจุดเดียวกันนั้นก็คือจริยะ ”

        “ แปะๆๆๆ “ หะลูอา ตบมือชอบใจ

        “ เยี่ยมตอบได้ดี ถ้าเป็นเช่นอย่างที่เจ้าจริงลองตอบข้ามาอีกสักคำถามสิว่าทำไมใน สังคม ยังมีคนดีและคนไม่ดีอยู่ด้วยกัน ทำไมยังต้องมีเจ้าและยังต้องมีโจร? ”

        คำถามข้อนี้ช่างน่าคิดยิ่ง หากคนส่วนใหญ่มีจริยะอย่างที่ว่าแล้ว ทำไมในโลกนี้ยังมีความดีและความชั่วอยู่ด้วยกันด้วยได้อีก ก็ในเมื่อจริยะอันเป็นต้นแบบที่ดีงามน่าจะถูกหล่อหลอมและขัดเกลาความชั่วให้หายไปจนหมดสิ้นแล้ว

        “ เอ้อ....คือ.... ”

        คำถามนี้ออกจะเกินความสามารถของเขาไปหน่อย

        “ หึ ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ก็ได้น้องชาย  อำนาจ คือเหตุผลของทุกสิ่ง หรืออีกในหนึ่งก็คือ อบายทั้งสี่ได้แก่ รัก โลภ โกรธ หลง ไม่ว่ามนุษย์คนไหนก็ไม่อาจหลีกพ้นได้  ราชาดีใช่ว่าขุนนางจะดีด้วย ในทางกลับกัน ขุนนางดีใช่ว่าจะได้ราชาที่ดี  เหตุที่ยังมีคนชั่วอยู่ก็เพราะว่าความชั่วนั้นฝังรากลึกอยู่ในจิตใจของมนุษย์มาช้านาน เจ้าเคยเห็นชาวนาหรือไม่ทำนามาทั้งปีกลับถูกขูดรีดภาษี อย่างร้ายกาจ ผู้เป็นพ่อแม่อาจทนแต่ผู้เป็นลูกหรือหลานเมื่อได้เห็นก็ซึมซับและต่อต้าน แม้คำพูดที่สวยหรูจะบอกว่าคนเรานั้นเกิดมาจากพื้นดินและผืนฟ้าเดียวกันแต่ฐานะและสังคมหาเป็นเช่นนั้นไม่ สุดท้ายเมื่อถูกสังคมและความชั่วร้ายที่อยู่ในใจครอบงำ ก็ย่อมจะเดินสู่หนทางที่เบี่ยงเบนจนยากจะถอนตัว น้องชาย ภาคทฤษฎี เจ้าอาจจะสอบผ่านได้คะแนนเต็ม แต่ภาคปฏิบัตินั้น เจ้าสอบตกจนยากจะแก้ตัวได้ ” หะลูอา ลุกขึ้นและเปลี่ยนท่าทีเป็นแข็งกร้าว



        “ กวินฟ้า เจ้าหลงกล หะลูอา แล้ว ” มรกต ร้องบอกเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ในเวลานี้กำลังแย่ลง

        “ ข้าหลงกล? หลงกลอะไร? ”

        “ ก็แทนที่เจ้าจะเอาเวลาที่มีอยู่หลบหนี ดันมาตอบคำถามบ้าๆของมันอยู่นี้สิ เจ้าลองมองดูให้ทั่วสิตอนนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง? ” มุก ว่า

        กวินฟ้า เพิ่งจะรู้ตัวว่าบัดนี้ได้ถูกลูกสมุนของ หะลูอา เปิดล้อมไว้จนหมด ช่วงเวลาที่เขากับ หะลูอา ถกเถียงกันอยู่นั้น เหล่าสมุนโจรได้ปล้นชิงของมีค่าจากผู้คนภายในเรือจนหมดสิ้นแล้ว คงเหลือเพียงก็แต่เพียงเขา มรกต และมุก เท่านั้น

        “ ฮะๆๆๆ ตอนนี้ข้าถึงได้เชื่อแล้วว่าเจ้าเป็นบัณฑิตจริงๆ ”

        “ โธ่เอ้ย!!! ข้านี้บ้าที่สุดเลย หลงกลแผนตื้นๆแบบนี้ได้ไง ”

        ในเมื่อเหตุการณ์ออกมาเป็นเช่นนี้จึงมีเพียงวิธีเดียว

        “ ไหนๆก็ถูกหลอกแล้ว ข้าก็ขอสู้ให้รู้ดำรู้แดงไปเลย ”



        แทนที่ หะลูอา จะสั่งลูกสมุนให้เขาเล่นงานกลับพูดขึ้นว่า

        “ พวกเจ้าไปซะ ”

        “ หะหา ....ว่าไงนะ ไปงั้นหรือ? ” กวินฟ้า ทวนคำอย่างไม่แน่ใจ

        “ ใช่ ....ไปซะ และหวังว่าคราวหน้าข้ากับพวกเจ้าคงไม่ได้พบกันอีก เพราะข้าอาจไม่ใจดีเช่นวันนี้ก็ได้ ”

        โจรก็คือโจรอยู่วันยังค่ำแม้นไม่ใช่โจรที่ชั่วร้ายแต่ก็ไม่ใช่เหตุผลสำคัญอะไรที่จะไม่ฆ่าใคร

        “ ไปกันเถอะกวินฟ้า ” มรกต รีบลากตัวเขาออกไปก่อนที่ หะลูอา จะเปลี่ยนใจ

        “ น้องชาย ข้าของเตือนเจ้าอะไรซักอย่าง ทางที่ดีอย่าไปที่นครโรมพัตร เป็นอันขาด หากยังไม่อยากประสบชะตากรรมที่เคราะห์ร้าย ”



        ...... มรกต มุก และ กวินฟ้า เดินทางโดยทางบกแทนเส้นทางน้ำ หลังจากถูกกลุ่มโจรแม่น้ำทะเลซัด ดักปล้นเรือ ตลอดเวลาที่เดินทางต่างครุ่นคิดถึงคำพูดของ หะลูอา ที่ทิ้งท้ายเอาไว้

        “ โอย ...ไอ้โจรบ้านี้ มันจะเอายังไงของมันกัน จู่ๆก็มาปล้นเรือ จู่ๆก็ปล่อยพวกเรา นี้พวกเราจะหลงกลอะไรมันอีกหรือเปล่าเนี้ยะ? ”

        กวินฟ้า ปวดหัวเสียจริงๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัวแต่ มรกต กลับเยือกเย็นและสุขุมทั้งๆที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์ที่ร้ายแรงมา

        “ ข้าว่าเราไม่ได้หลงกล หะลูอา หรอกแต่ เจ้านั้นไม่ได้บอกอะไรกับพวกเราทั้งหมดต่างหาก ”

        “ หมายความว่าไง พี่มรกต ” มุก ถาม

        มรกต นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบว่า

        “ มันบอกพวกเราว่า อย่าไปที่นครโรมพัตร แสดงว่าที่นครโรมพัตร กำลังจะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น ”

        ประโยคนี้ทำเอา มุก ถึงกลับมีสีหน้าวิตกกังวล

        “ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ก็แย่นะสิพี่มรกต  นิล กำลังเดินทางไปหาเราที่นั้น ”

        “ นิล? ใครกัน? ”  กวินฟ้า ถาม

        “ นิลเป็นน้องของพวกข้า ตอนออกเดินทางพวกข้าสั่งให้ นิล และคนของพวกข้าไปสมทบกับพวกข้าที่นครโรมพัตร ”

        ได้ยินดังนั้น กวินฟ้า ก็ให้เป็นห่วงกังวลแทน

        “ ถ้าเช่นนั้น พวกเราควรรีบเร่งเดินทางเถอะ หากพบน้องของพวกเจ้าแล้วก็ควรรีบออกจากนครโรมพัตร เห็นทีงานนี้ชักจะไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว ”

        ทั้งสามจึงรีบเร่งเดินทางโดยไม่หยุดพัก การเดินทางบกทำให้พวกเขามาถึงนครโรมพัตรล่าช้าก่อนปกติ พวกเขามาถึงนครโรมพัตรถึงเป็นเวลาเกือบจะเที่ยงแล้ว แต่สิ่งที่มาเร็วเกินคาดก็คือข่าวที่เรือโจรแม่น้ำบุกปล้นเมื่อวานนี้แพร่สะพัดไปทั้งนคร ผู้คนภายในนครต่างพูดคุยถึงเรื่องนี้กันอย่างหนาหูแต่งานพิธีคัดเลือกราชบุตรเขยและสมโภชพระนครก็หาได้ถูกยกเลิกไม่ กวินฟ้า มรกต และมุก ต่างเข้าพักในเรือนพักที่ใหญ่ที่สุดในนครโรมพัตร พร้อมกับรอคอยการมาของ นิล อย่างใจจดใจจ่อ พวกเขาเก็บตัวกันอยู่แต่ภายในห้อง แม้กระทั่งทานอาหารก็ยังทานกันในห้องพัก



        “ ตอนข้าลงไปสั่งอาหาร เห็นคนเขาพูดกันว่า ตอนนี้ทหารกำลังออกตามล่ากลุ่มโจรแม่น้ำทะเลซัดอยู่ แต่ยังไม่พบร่องรอย ” มุกเล่าเรื่องที่ได้ยินมาให้ กวินฟ้า ฟัง

        “ ดูๆไป นครโรมพัตร ก็มีการตรวจตราอย่างเข้มงวด อีกทั้งบ้านเมืองก็ยังดูสงบดี ไม่เห็นเหมือนอย่างที่ หะลูอา พูดกับพวกเราเลย ”

        คำพูดกับสภาพภายในนครออกจะขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง

        “ หรือว่ามันหลอกพวกเรา ” มุก สงสัย

        “ พี่มั่นใจว่า หะลูอา มันไม่ได้หลอกพวกเราแน่ ” มรกต แย้ง

        “ ทำไมเจ้าถึงคิดเช่นนั้น ” กวินฟ้าถาม

        มรกต อธิบายว่า

        “ เพราะมันจะได้ประโยชน์อะไรจากการหลอกพวกเรา จะปล่อยข่าวลืออย่างนั้นหรือ? มันฉลาดออกขนาดนั้นก็น่าจะดูออกว่าพวกเราไม่ใช่พวกหลงเชื่ออะไรง่ายๆ มีหรือจะเอาข่าวเช่นนี้มามาโพนทะนาให้ถูกเพ่งเล็งแทนพวกมัน ”

        กวินฟ้า ได้ฟังก็รู้สึกเห็นด้วย

        “ ที่เจ้าพูดมาก็ถูก แสดงว่าเรื่องนี้ยังต้องมีลับลมคมนัย อะไรที่เรายังไม่รู้อยู่แน่ๆ ” ระหว่างที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น กวินฟ้า ก็ได้ยินเสียงฝีเท้า

        “ มีคนมา ”

        มรกต และ มุก แยกย้ายกันอยู่ที่หน้าประตู ชักอาวุธเตรียมพร้อม ส่วนกวินฟ้า นั่งอยู่ที่เดิมและคลี่พัดออก

        “ ก๊อกๆๆ ” มีเสียงคนเคาะประตู

        “ นั้นใครนะ? ”  มุก เป็นคนถาม

        “ พี่มุก ข้าเองนิลไงล่ะ เปิดประตูให้ข้าหน่อย ”

        “ เสียง นิล จริงๆ ด้วย ” ทั้งสองต่างเปิดประตูให้ นิล เข้ามา ส่วน กวินฟ้า หุบพัดไว้อย่างเดิม

        พอประตูเปิดออกก็พบชายหนุ่มหน้าตาอ่อนเยาว์ ผิวพรรณอย่างคนทั้งสองแต่รูปร่างอ่อนแอ้นยิ่งกว่ายืนอยู่ที่หน้าประตู

        “ เข้ามานี้เร็วเข้า ” มรกต กระชากแขน นิล ให้เข้ามา

        “ โอย!! ... พี่มรกต เบาๆหน่อย นี้ข้าเจ็บนะ แล้วนี้ทำไมพี่ต้องทำทางลับๆล่อๆอย่างนี้ด้วย ”

        นิล รู้สึกแปลกใจยิ่งนัก เมื่อเห็นคนแปลกหน้าและท่าทางของผู้เป็นพี่

        “ เรื่องมันยาว เดี๋ยวพี่จะเล่าให้เจ้าฟัง แล้วนี้คนอื่นๆล่ะไม่ได้ตามเจ้ามาด้วยหรือ? ”

        “ อ๋อ พวกเขาเดินทางกลับกันไปแล้ว พอข้าสั่งซื้อของเสร็จก็แยกมาหาพวกพี่ สั่งให้พวกเขาขนของกลับไป แล้วนี้ใครกันล่ะพี่มรกต? ” นิลถาม พลางชี้นิ้วไปหาชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้

        “ นี้ กวินฟ้า เพื่อนของพี่เอง  กวินฟ้า นี้ นิล น้องของข้า ”

        “ ยินดีที่ได้รู้จัก ” กวินฟ้า กล่าวคำทักทาย

        “ เช่นกัน ” นิลก็ทักทายตอบและยิ้มอย่างมีมิตรไมตรี



        มรกต พา นิล มานั่งที่เก้าอี้พร้อมกับพูดว่า

        “ นิล ฟังให้ดีนะ ตอนนี้ที่นครโรมพัตรกำลังจะเกิดเรื่องร้ายขึ้นเราจะต้องรีบไปจากที่นี้ ”

        “ เรื่องร้ายแรง? เรื่องอะไรหรือพี่มรกต? ”

        “ พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ”

        “ อ้าว!  แล้วนี้มันอย่างไรกันแน่เนี้ยะ ตกลงเรื่องมันเป็นอย่างไรกันแน่ข้างงไปหมดแล้ว ”

        “ เอางี้เจ้าฟังเรื่องที่พี่จะเล่าต่อไปนี้ให้ดีและเข้าใจเสียก่อนแล้วเจ้าจะรู้เองว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างไรมาอย่างไร ”



        จากนั้น มรกต ก็เล่าเรื่องทุกอย่างให้ นิล ฟัง  ตั้งแต่ที่ทั้งสองได้เจอกับ กวินฟ้า และตกลงใจกันมาท่องเที่ยวที่นครโรมพัตรและถูกกลุ่มโจรแม่น้ำทะเลซัดดักปล้นในระหว่างเดินทางรวมทั้งเรื่องที่หัวหน้ากลุ่มโจรแม่น้ำทะเลซัด หะลูอา ปล่อยตัวพวกเขามาโดยไม่ได้เอาทรัพย์สินแม้แต่ชิ้นเดียวและบอกทิ้งทายปริศนาไม่ให้มายังนครโรมพัตรหากไม่อยากพบเจอเรื่องเลวร้าย

        “ อ๋อ เรื่องมันเป็นอย่างนี้เองหรอกหรือ ”

        “ ใช่แล้ว ” มรกตเอ่ยตอบ

        “ นิลในเมื่อเจ้ามาก็ดีแล้ว พรุ่งนี้เรารีบเดินทางออกจากนครโรมพัตรกันดีกว่า อยู่ที่นี้นานอาจจะไม่ปลอดภัย ”

        ได้ฟังที่ มุก พูด นิล ก็ถอนหายใจออกมา

        “ เฮ้อ... เห็นทีเรายังคงไปไหนไม่ได้หรอกพี่มุก ”

        “ ทำไม เพราะอะไรเราถึงไปไหนไม่ได้ ” ทั้งสามคนแทบจะถามขึ้นมาพร้อมกัน

        “ ก็เพราะว่าตั้งแต่เมื่อวานที่พวกโจรแม่น้ำดักปล้นนั้นแหละ ทางนครโรมพัตร ก็เลยออกประกาศไม่ให้ผู้คนภายในนครเดินทางออกจากนครโรมพัตรในเวลานี้ จนกว่างานฉลองสมโภชนครจะผ่านพ้นไป แม้แต่คนภายนอกที่จะเข้ามายังภายในนครยังถูกตรวจตรากันอย่างเข้มงวดกวดขัน มีแต่ผู้ที่เดินทางค้าขายปกติเท่านั้นถึงจะสามารถเข้าออกนครโรมพัตรได้ ตอนนี้ฐานะของพวกเราเป็นแค่ผู้ที่มาท่องเที่ยวยังไม่สิทธิ์ออกจากนครหรอก ”

        เหตุการณ์นี้เหนือความคาดหมายเป็นอย่างยิ่งทีแรก กะว่าจะรอให้พบนิลแล้วก็รีบออกเดินทางแต่ที่ไหนได้พวกเขาทั้งสี่คนกลับมาติดเหง็กอยู่ที่นครโรมพัตรจนได้



        “ บ้าจริง ทำไมเหตุการณ์ถึงได้กลายเป็นแบบนี้ได้แล้วนี้พวกเราจะทำอย่างไรกันดี? ”

    มุก เริ่มเป็นห่วงเหตุการณ์ในอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้นดูท่า คำพูดของ หะลูอา เริ่มจะเป็นจริงขึ้นมาบ้างแล้ว

        “ เวลานี้เราทำอะไรไม่ได้นอกจากรอแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ” เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ มรกต คิดได้ในตอนนี้

        “ ข้าไม่เห็นด้วยนะพี่มรกต พี่ก็เห็นอยู่แล้วว่าสถานการณ์ตอนนี้มันเริ่มแปลกๆขึ้นมาเรื่อยๆแล้วข้าว่าเราลองพูดคุยกับพวกทหารดูบ้างจะดีกว่า เผื่อพวกเขาอาจจะให้พวกเราออกไปก็ได้ ”

        คำพูดของ มุก ก็ฟังดูเข้าที

        “ ลองดูก็ดีเหมือนกัน ไหนๆพวกเราก็ออกไปจากนครโรมพัตรไม่ได้แล้วนี้ เผื่อบางทีอาจจะมีหนทางออกบ้าง ”



        ทั้งสี่คนจึงออกจากห้องพักไปพบกับเหล่าทหารที่ดูแลนคร เผื่อขอความช่วยเหลือในการออกจากนครโรมพัตรแต่ทว่า....

        “ ท่านหัวหมู่ ให้พวกข้าออกไปจากนครโรมพัตรด้วยเถอะ พวกข้ามีธุระสำคัญจริงๆที่จะต้องรีบออกเดินทาง ”

        “ ไม่ได้หรอก ข้าจะให้พวกเจ้าทั้งสี่คนออกไปไม่ได้ นี้เป็นคำสั่งมาจากภายในวังอีกไม่กี่วันก็จะถึงงานพิธีสมโภชพระนครแล้ว ”

        “ เอ้อ .. ท่านหัวหมู่ โปรดช่วยเหลือพวกข้าด้วยเถอะ เวลานี้ญาติของพวกข้ากำลังเจ็บหนักพวกข้าต้องรีบออกเดินทางด่วนไม่อาจรอช้าได้ ” กวินฟ้า ขอร้อง

        หัวหมู่ได้ยินก็รู้สึกเห็นใจพวกเขาเหลือเกิน

        “ เฮ้อ .. ข้าเองก็เห็นใจพวกเจ้าเหมือนกัน แต่อย่างไรข้าก็ช่วยเหลือพวกเจ้าไม่ได้จริงๆ ”

        ทั้งสี่ต่างแสดงสีหน้าที่ผิดหวัง

        “ ถ้าเช่นนั้นพวกข้าก็ไม่รบกวนแล้ว ขอบคุณท่านหัวหมู่มาก ”

        พวกเขาทั้งหมดต่างเดินออกมาจากหน้าประตูนครกลับไปยังที่พัก

        “ เห็นทีพวกเราคงต้องอยู่ภายในนครโรมพัตรจนกว่างานฉลองสมโภชพระนครจะผ่านพ้นไป ”

        “ ข้ากลัวว่าระหว่างนี้จะเกิดเหตุร้ายขึ้นนะสิพี่มรกต ” มุก พูดอย่างเป็นห่วง

        “ ในเมื่อเราทำอะไรไม่ได้ก็ต้องอยู่อย่างระมัดระวัง พยายามอย่าแยกย้ายกันไปไหนตามลำพังเป็นอันขาดอย่างน้อยถ้าพวกเราอยู่กันครบก็พอจะช่วยเหลือกันได้บ้าง ”



        กวินฟ้า เดินตามทั้งสามเงียบๆ และครุ่นคิดหาวิธีการแก้ไข

        “ ไม่แน่บางทีข้าอาจจะหาวิธีช่วยพาพวกเราออกไปจากที่นี้ได้ก็ได้ ”

        “ เจ้าจะทำอย่างไร? ”  นิล ถามขึ้นโดยที่ยังนึกไม่ออกว่ายังจะพอมีหนทางไหนที่ทำได้

        “ คืนนี้ข้าจะลองติดต่อกับพรรคพวกของข้าดู อย่างน้อยน่าจะมีพรรคพวกของข้ามาที่นครโรมพัตรนี้บ้าง? ”

        “ พรรคพวกของเจ้า? พวกบัณฑิตนะหรือ? ”

        มุก ถามด้วยความแปลกใจ ด้วยวิสัยของพวกนักศึกษาเล่าเรียนแล้วย่อมไม่ทำการใดๆที่เป็นการแหกกฎเกณฑ์

        “ ไม่ใช่หรอกเอาเป็นว่าพวกของข้าที่หมายถึงไม่ใช่ บัณฑิตก็แล้วกัน นี้ก็จวนค่ำแล้วพวกเจ้ากลับไปรอข้าที่ห้องก่อนขอจะรีบไปสืบหาพรรคพวกของข้าที่อาจอยู่ในนครโรมพัตรนี้ ไม่ต้องเป็นห่วงข้าจะรีบไปรีบกลับ ”

        กวินฟ้า แยกตัวออกไปโดยไม่ฟังเสียงคัดค้านใดๆ

        “ เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อน ”

        มรกต ร้องเรียกไม่ทัน กวินฟ้า ได้เดินเข้าไปเดินปะปนกับกลุ่มคนภายในนครเรียบร้อยแล้ว

        “ ปล่อยเขาไปอย่างนั้นจะดีหรือพี่มรกต ” นิล ถามและมองตาม

        “ พี่เองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ”

        ลึกๆแล้ว มรกต เป็นห่วง กวินฟ้า มากถึงแม้ภายในนครโรมพัตร ยังไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นก็ตาม แต่คำพูดของ หะลูอา ยังคงก้องอยู่ในหูตลอดเวลา

        ....................................

        “ ......น้องชาย ข้าของเตือนเจ้าอะไรซักอย่าง ทางที่ดีอย่าไปที่นครโรมพัตร เป็นอันขาด หากยังไม่อยากประสบชะตากรรมที่เคราะห์ร้าย ”



        ความมืดเริ่มเข้ามาบดบังแสงสว่างในยามเย็น มีร่างบุรุษผู้หนึ่งพร้อมกับพัดด้ามเล็ก กระโดดข้ามหลังคาบ้านเรือนภายในนครโรมพัตรไปหลังแล้วหลังเล่า

        “ ต้องรีบไปที่ป่านั้นให้ทันเวลา ”

        กวินฟ้า แอบส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือจากหมู่วิหค ให้ติดต่อกับเสด็จอาโภคินันท์ ยามนี้ทหารภายในนครโรมพัตรออกตรวจตราทั้งภายในนครและตามหมู่บ้านต่างๆเนื่องจากใกล้วันฉลองสมโภชพระนคร หากใครถูกจับในยามนี้ย่อมเป็นที่สงสัยว่ามาทำอะไรในยามค่ำคืน

        “ ฟ้าวๆๆๆๆ ”

        ท่าร่างของ กวินฟ้า แคล้วคล่องดังนก รวดเร็วดุจอสรพิษ หลบผ่านทหารไปได้หลายคน เขาต้องการไปถึงจุดนัดพบให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้แต่....

        เขาลืมอะไรไปอย่างหนึ่ง

        “ เอี๊ยดดดด ”

        กวินฟ้าหยุดร่างเกือบไม่ทัน

        “ ว่าแต่ป่าที่ว่ามันอยู่ตรงไหนเนี้ย? ”

        กวินฟ้า เกาหัวเกราะๆ

        “ ทำไมต้องนัดที่ป่าด้วยนะ ข้ายิ่งหลงทิศอยู่ด้วย แล้วทางไหนมันทิศตะวันตกเนี้ย? ”

        “ เจ้าโง่ ” เสียงบ่นของ กวินฟ้า ดังไปเข้าหูงูเห่าตัวหนึ่งพอดี

        “ ตะวันตกทางทิศไหนทิศนั้นก็ทิศตะวันตกไงเล่า เจ้าไม่เคยเรียนมาบ้างหรือไง? ”

        กวินฟ้า หันไปตามเสียงก็พบ งูเห่า ตัวหนึ่งกำลังชูคอแผ่แม่เบี้ยบอกทิศทางให้กับเขาอยู่

        “ เคยสิทำไมข้าจะไม่เคย เพียงแต่ตอนอาจารย์สอนข้าเผลอหลับเท่านั้นเอง ขอบใจเจ้ามากนะที่บอกข้า ”

        ว่าแล้ว กวินฟ้า ก็กระโดดพรวดหายวับไปกับตา

        “ เออ... ไอ้เจ้านี้.. ฮะเฮ้ย เจ้าฟังภาษาข้าออกด้วยหรือ? ” งูเห่า ตัวนั้นชูคอหันไปมองและถามแต่กวินฟ้าก็หายไปไกลลิบแล้ว

        

        หลังจากเสียเวลาอยู่ชั่วครู่หนึ่งในที่สุด กวินฟ้า การหาที่นัดพบเจอแต่ระหว่างทางนั้น กวินฟ้า กลับพบอะไรบางอย่าง

        “ นั้นมันสมุนของเจ้า หะลูอา นี้นา เอ๊ะ! ... นั้นเจ้าหะลูอา ก็อยู่ด้วย ”

        กวินฟ้า พบหะลูอาและสมุนกำลังเดินทางไปยังป่าอีกด้านหนึ่ง ด้วยความอยากรู้ กวินฟ้า จึงได้ติดตามไป จนลืมเรื่องที่นัดพบกับเสด็จอา โภคินันท์ เสียสนิท

        “ รีบหน่อย พวกเรามีเวลาไม่มากนักเร็วเข้า ” เสียงของใครคนหนึ่งกำลังสั่งการแทน หะลูอา น้ำเสียงที่ได้ฟังก็รู้ว่าเป็นเสียงของอิสตรี

        “ อุษา เจ้าไม่ต้องรีบร้อนนักก็ได้ ดูพวกเขาสิ เร่งฝีเท้าตามเจ้าไม่ทันแล้ว ”

        หะลูอา พูดบอกน้องสาว

        “ ข้าก็แค่ไม่อยากให้ ไผ่สีทอง มาว่าพวกเราว่าไปตามนัดช้าก็เท่านั้นเอง ”

        “ หึๆ ที่เจ้าพูดนั้นพูดนี้ ที่แท้ก็อยากไปพบไผ่สีทอง เร็วๆมากกว่ามั๊ง ”

        อุษา แกล้งทำค้อนเล็กน้อย

        “ แหม ก็ปล่อยให้คนหล่อๆรอนานๆมันไม่ดีหรอกจริงไหม? ”

        “ เอาเถอะ พี่ขี้เกียจเถียงกับเจ้าแล้ว นั้นไงถึงแล้วที่ๆพวกเรานัดพบกัน ”

        หะลูอา ชี้บอกพร้อมกับให้ลูกน้องส่งสัญญาณเสียง



        สักพักครู่หนึ่ง ก็มีคนจำนวนหนึ่งโผล่ออกมาจากป่า หนึ่งในนั้นเป็นชายรูปร่างกำยำหน้าตาจัดว่าหล่อเหลา ดูลักษณะคล้ายกับเป็นหัวหน้าของคนกลุ่มนั้น

        “ เจ้าสบายดีไหม? ไผ่สีทอง ” หะลูอา เอ่ยทัก

        “ ข้าสบายดีท่านหะลูอา ”     ชายผู้ถูกเรียกเอ่ยตอบ

        

        “ ไผ่สีทอง? เอ๊ะ! มรกตเคยบอกข้าว่าคนที่ชื่อไผ่สีทองเป็นหัวหน้ากลุ่มโจรแม่น้ำฟ้าครามนี้น่า ” เวลานี้ กวินฟ้า ชักสงสัยแล้วว่าเรื่องที่นครโรมพัตรกำลังจะเกิดเรื่องร้ายขึ้นต้องมาจากฝีมือของทั้งสองคนนี้แน่นอน

        

        “ แหม ไผ่สีทอง ไม่คิดจะทักข้าบ้างหรือ? ” อุษา ทำเสียงออดอ้อนคล้ายกับลูกแมว

        ไผ่สีทอง ยิ้มเล็กน้อย

        “ ตามมารยาทข้าควรทักพี่ชายของเจ้าก่อน สำหรับเจ้าแล้วข้ามีเวลาอีกเหลือเฟือที่จะพูดคุยกันเรื่องหัวใจ ”

        อุษา ทำท่าจะเข้าไปเกาะแขนแต่ถูกพี่ชายดึงตัวไว้

        “ นอกเรื่องกันมามากแล้ว พูดเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า เจ้าได้ข่าวอะไรเกี่ยวกับ กามลี มาบ้าง? ”

        ไผ่สีทอง รีบเล่าเรื่องที่ได้ยินมาให้ หะลูอา ฟัง

        “ สมุนของข้าสืบมาได้ว่าในงานพิธีฉลองสมโภชพระนคร กามลี มันจะทำการปล้นสดมภ์และบุกยึดนครโรมพัตร ”

        “ มันกล้าทำถึงขนาดนั้นเชียวหรือ? ” หะลูอา ทำสีหน้าคล้ายไม่เชื่อ

        “ ข้าก็ไม่รู้แน่ชัดแต่ถ้าหากมันไม่มีอะไรดี คงกล้าคิดการใหญ่แบบนี้แน่ ”

        ชื่อเสียงของ กามลี โด่งดังมากในทางชั่วร้าย หากปล่อยให้กระทำสำเร็จพวกเขาอาจต้องพลอยลำบากไปด้วย

        “ หากมันยึดนครโรมพัตรได้ มันต้องไม่หยุดเพียงแค่นี้แน่ หากข้าเดาไม่ผิด หลังจากมันทำการสำเร็จ เป้าหมายต่อไปก็คือพวกเรา ”

        แม้ต่างฝ่ายต่างก็เป็นโจรเหมือนกันแต่วิธีการปล้นชิงอันเลวร้ายของ กามลี นั้น หะลูอา และ ไผ่สีทอง ไม่อาจจะรับได้

        

        “ ข้ามีอุดมการณ์ของข้า เจ้าก็มีอุดมการณ์ของเจ้า ความคิดพวกเราแม้จะต่างกันแต่ก็ไม่เห็นด้วยที่จะให้ กามลี เป็นใหญ่ ”

        “ กามลี มันมักใหญ่ใฝ่สูงนัก หากมันได้อำนาจดั่งที่มันต้องการทุกๆคนจะต้องเดือดร้อนกันไปหมด ”

        “ เราแกล้งปล่อยข่าวว่ามันจะออกปล้นในวันพระราชพิธี ให้พวกทหารจัดการมันดีไหมพี่หะลูอา? ” อุษา ลองถามพี่ชายดู

        “ ไม่ได้ ถ้าเราทำอย่างนั้นก็เท่ากับแหวกหญ้าให้งูตื่น ”

        “ แล้วถ้าเราส่งข่าวให้พวกทหารรู้ล่ะ? ”

        “ เจ้าคิดอะไรตื้นอย่างนั้นอุษา พวกเราเป็นโจรมีหรือพวกทหารจะเชื่อ อีกอย่างหากสุ่มสี่สุ่มห้าไปอาจถูกพวกทหารจับกุมตัวไว้ อย่าลืมว่าพวกเรามีคดีปล้นชิงนับไม่ถ้วน ค่าหัวของพวกเราก็เป็นที่หมายตาของนักล่าเงินรางวัลด้วย ”

        “ ถ้าเช่นนั้น ท่านหะลูอา มีความเห็นว่าอย่างไร? ” ไผ่สีทอง ขอความเห็น

        “ ข้าว่าพวกเรามาร่วมมือกันดีกว่า อย่างไร กามลี มันก็หาเรื่องใส่ตัวส่งตัวเองไปหาความตายอยู่แล้ว เราก็ช่วยกันสืบข่าวและคอยขัดขวางแผนการมันจะดีกว่าเพราะอย่างไรพวกเราก็ออกหน้าไม่ได้สะดวกแต่ถ้าจัดการเรื่องนี้ลับหลังก็คงไม่ยากเย็นนัก ”

        “ ท่านหัวหน้า ข้าเห็นด้วยกับท่านหะลูอา ถ้าทำอย่างนี้จะเป็นผลดีกับพวกเราทั้งสองฝ่าย ”

    ลูกสมุนคนสนิทของ ไผ่สีทอง เอ่ยสนับสนุนแผนการของอีกฝ่าย

        “ อืม... ก็เป็นวิธีที่ดีอย่างหนึ่ง หากพวกเราออกหน้ามากเกินไปก็จะตกเป็นเป้านิ่งของพวกทหาร งั้นตกลงทำตามแผนของท่านหะลูอา ข้าไผ่สีทอง ไม่ขัดข้องและยินดีช่วยเหลือเต็มที่ ”



        ในที่สุด กวินฟ้า ก็ได้เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด

        “ อย่างนี้ๆเอง มิน่า หะลูอา ถึงบอกไม่ให้พวกเรามาที่นครโรมพัตร เจ้า กามลี บ้าอะไรนี้ก็ใจกล้าไม่เบาเป็นแค่โจรกระจอกยังคิดกล้าใฝ่สูงขนาดนี้ ”

        “ จริงอย่างเจ้าพูด กวินฟ้า ไอ้ กามลี นี้ถ้าไม่บ้าก็คงต้องเมาแน่ๆจู่ๆคิดจะมาบุกยึดนครโรมพัตรในวันงานพระราชพิธี ไหนจะทหารภายในนครรวมทั้งทหารจากนครต่างแดนอีก ถ้าไม่บ้าจะให้เรียกว่าอะไร? ”

        “ จริงด้วย มรกต เจ้าพูดถูก ….. เฮ้ย!..... ”

        กวินฟ้า ตกใจ จนเกือบส่งเสียงดัง

        “ พวกเจ้ามาได้อย่างไรนี้? ” เขาเอ็ดถามเบาๆ เพราะตอนนี้ทั้ง มรกต มุก และ นิล ต่างมาอยู่ข้างกายเขาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

        “ ก็พวกข้าเป็นห่วงเจ้านะสิ ก็เลยแอบตามเจ้ามา ไหนว่าเจ้าจะมาพรรคพวกของเจ้าไง แล้วไหนล่ะพรรคพวกของเจ้า อย่าบอกว่านั้นนะพรรคพวกของเจ้านะ ”

        กวินฟ้า ปฏิเสธ

        “ ใครบอกเจ้ากันเล่า ข้าบังเอิญเจอพวกมันต่างหากเลยแอบตามมาฟัง ”

        “ ล้อเล่นน่าพวกข้ารู้อยู่หรอก ก็แอบตามหลังเจ้ามานี้นา เจ้านี้ก็แปลกดีนะ พูดคุยกับงูก็ได้ด้วย ”

        “ พวกเจ้าเห็นด้วยหรือ? ” กวินฟ้า ตกใจไม่น้อย

        “ ก็ใช่นะสิ ชาวนครบาเลนี้ แปลกดีนะรู้จักภาษาสัตว์ด้วย ว่างๆ ก็สอนพวกข้าบ้างสิ ”

        “ เอาไว้ทีหลังเถอะ ข้าว่ามาฟังต่อดีกว่าว่าพวกมันจะทำอย่างไรต่อไป ”

        ถึงจะว่าอย่างนั้นแต่ในใจก็อดตำหนิตัวเองไม่ได้

        ‘ ข้านี้ไม่เอาไหนจริงๆ ไม่รู้จักระมัดระวังตัวเลยเกือบทำให้พวกเขารู้ความจริงแล้วว่าข้าเป็นใคร ’



        ทางด้านหะลูอา กับ ไผ่สีทอง เมื่อตกลงกันได้แล้วก็กำลังจะแยกย้ายกันจากไป

        “ แหมเพิ่งเจอกันไม่เท่าไรก็จะไปอีกแล้ว ” อุษา ตัดพ้อนิดๆ

        “ เอาไว้ข้าจะเชิญเจ้ามาที่พักของข้าอย่างเป็นทางการดีกว่า เราจะได้พูดคุยกันนานๆ ”

        “ จริงๆนะ ” อุษา ทำท่างดีใจ

        “ ฮะแฮ่ม .... ”

        หะลูอา สงเสียงกระแอมพร้อมกับกระซิบกับน้องสาวเบาๆ

        “ เก็บอาการหน่อย เห็นแก่หน้าพี่บ้าง? ”    

        ขณะที่พวกเขากำลังจะแยกย้ายกันไปนั้นเอง เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นจู่ๆ ก็มีคลื่นลมที่ไม่ทราบต้นสายปลายเหตุพัดมาอย่างแรงจนใบไม้ปลิวว่อน

        ก้อนเมฆเคลื่อนตัวมาทับรอบบริเวณๆป่ามืดมากไปกว่าเดิมพร้อมกับเสียงสัตว์อะไรบางอย่างกำลังพุ่งเข้ามา

        “ พือๆๆๆๆ ”

        “ ท่าทางไม่ดีแล้ว พวกเราระวังตัวไว้ ” หะลูอา ตระหนักดีว่าสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล

        “ อ๊ากกกกกกกกกกกกกก ” ไม่ทันสังเกต ลูกสมุนคนหนึ่งก็ถูกอะไรบ้างอย่างกระแทกเข้าที่ตัวจนกระเด็นไปติดกับต้นไม้และขาดใจตายในทันที

        “ พี่หะลูอา นี้มันอะไรกันนะ? ” อุษา ส่งเสียงตกใจ

        “ พี่ไม่รู้เหมือนกัน อุษา อย่างห่างจากตัวพี่เป็นอันขาด ”

        เงาสัตว์ตัวใหญ่ตัวหนึ่งเคลื่อนตัวมาในความมืด หะลูอา ปล่อยเวทย์มนต์ออกมาเป็นลำแสงยิงสกัดวัตถุที่ต้องสงสัย สัตว์ใหญ่นั้นหลบหลีกได้อย่างทันท่วงที พุ่งเป้ามาหา ไผ่สีทอง แทน

        “ เจ้าเป็นใคร? ”

        ไผ่สีทอง ก็ไม่น้อยหน้าซัดพลังเวทย์มนต์ออกจากนิ้วทั้งห้าเข้าหาสัตว์ประหลาดตัวนั้น เจ้าสัตว์ใหญ่ ฉลาดเป็นกรดหลบสายพลังที่พุ่งมากราดเข้าหาลูกสมุนโจรแทน

        “ ฉึกกกก ”

        “ อ๊ากกกกกกกกกกกกกก ”

        เสียงอะไรที่แหลมคมจิกเข้าเนื้อพร้อมกับเสียงร้องอย่างโหยหวนของเหยื่อเคราะห์ร้าย



        ความโหดร้ายที่อยู่ตรงหน้าทำเอา กวินฟ้า ลืมตัว พุ่งเข้าไปช่วยเหลือ หะลูอา และ ไผ่สีทอง โดยลืมไปว่าพวกเขาไม่เป็นมิตรกัน

        “ ย๊ากกกกกกกกกกกกก ”

        มรกต มุก และ นิล เมื่อเห็นกวินฟ้า พุ่งตัวออกไปก็รีบติดตามไปช่วยเหลือ

        กวินฟ้า คลี่พัดออกมา พร้อมกับร่ายรำ

        “ ท่ารำสกุณาโผผิน คลื่นลมตัดอากาศ ”

        เพื่อให้ได้ผลที่สุดในการปะทะ กวินฟ้า แอบแฝงพลังอีกสายเข้าไปด้วย

        “ พระเวทย์วายุรุณ ท่าที่๑ แนบชิดนงนุช ”    

        ท่าที่ใช้เป็นวิชาของเสด็จอาโภคินันท์ แต่แอบแฝงความรุนแรงของ อนันตวาโย ผู้เป็นเสด็จพ่อ กระแสลมที่อยู่โดยรอบกลายเป็นคมมีดพุ่งเข้าหา สัตว์ประหลาดลึกลับ

        ในความมืดมองเห็นไม่ชัดว่าสัตว์นั้นทำอะไรเหมือนใช้โล่อะไรบางอย่างสกัดกั้นลมมีด และมีบางที่คล้ายกับคีมที่แหลมคมพุ่งสวนเข้าหา กวินฟ้า ในวินาทีที่รู้ว่า อันตราย ใกล้จะถึงตัว กวินฟ้า เอี้ยวตัวหลบตามสัญชาตญาณ  มรกต มุก และนิล กลัวว่า กวินฟ้า จะได้รับอันตราย รีบลงมือช่วยเหลือในทันที สะบัดมือออกทั้งสองข้าง ปล่อยพลังที่ไร้รูปอย่างหนึ่งออกมา บังคับ เศษใบไม้และดอกไม้ที่มีอยู่ในป่าทั้งหมดได้ตามใจต้องการ

        “ ปราณเวทย์วิชาเกสร ”

        ไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรือไกลล้วนตกอยู่ในการควบคุมของคนทั้งสามทั้งสิ้น เศษใบไม้และดอกไม้หมุนควงเข้าหาสัตว์ประหลาดลึกลับนั้น อานุภาพการทำลายเพียงพอถล่มป่าทั้งป่าได้

        สัตว์ร้ายลึกลับคล้ายกริ่งเกรงไม่กล้าสู้โผทะยานขึ้นสูงท้องฟ้า

        กวินฟ้า เห็นสัตว์ประหลาดกำลังจะหนีไป ซัดพลังไล่ติดตาม

        “ แน่จริงอย่าหนีสิโว้ย ”

        “ ฟ้าวววววววววววว ”

        มีดลม จำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าหาราวกับลูกศรพุ่งออกจากคันธนูแต่....

        “ ครืนนนนนนนนนนน ”

        สัตว์ประหลาดลึกลับ ตวัดอะไรบางอย่างสร้างคลื่นลมต้านทานไว้ ก่อนหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย

        “ โธ่โว้ย ”

    กวินฟ้า รู้ว่าไม่มีทางติดตามทันก็ให้รู้สึกเสียดายเป็นอย่างยิ่ง



    สมุนของ หะลูอา และ ไผ่สีทอง ต่างพากันจุดคบเพลิงเผื่อดูเหตุการณ์รอบๆ เห็นลูกน้องตายไปสองคน ส่วนคนอื่นๆล้วนปลอดภัย

    “ พวกเจ้านั้นเอง ”    

        หะลูอา ไม่คิดว่าจะได้พบเจอกับพวกเขาอีก ทั้งยังมีอีกคนที่ไม่รู้จักโผล่มาด้วย

        “ ....หล่อจัง ”

        อุษา ถึงกับเพ้อเมื่อเห็นใบหน้าของ กวินฟ้า อย่างชัดเจน

        “ จะว่าเทพบุตรก็ใช่ จะว่าเจ้าชายก็ไม่ผิด ”



        “ กวินฟ้า เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ” มุกถาม พลางสังเกตดูว่าเขาบาดเจ็บตรงไหนบ้าง

        “ ข้าไม่เป็นไรขอบใจที่เป็นห่วง ”

        เวลาที่ กวินฟ้า ลืมตัว แทบเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือดูองอาจกล้าหาญอีกทั้งยังสง่าจนบอกไม่พูด แม้แต่ หะลูอา ยังไม่แน่ใจว่าชายคนนี้คือคนที่เขาเจอเมื่อวานจริงหรือเปล่า?

        กวินฟ้า จ้องมองดู หะลูอา อย่างไม่มีท่าทีหวั่นเกรง แต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องตกใจกลับเป็นศพโจรผู้หนึ่งที่ถูกคล้ายอาวุธที่มีคมฉีกเข้าที่เนื้อ พร้อมกับรอยเล็บอะไรบ้างอย่างที่ฝังลึกจนทะลุร่าง นาคหนุ่ม นั่งลงและมองดูร่างที่ไร้วิญญาณนั้นอย่างลืมตัว

        …………………..

        “ ยิ่งที่ใหญ่สุดในนภา อิทธิฤทธิ์เกรียงไกรเบิกฟ้า ทรงฤทธิ์เหนือใครในใต้หล้า เหล่าเทพเทวายังเกรงกลัว ”

        กวินฟ้า เนื้อตัวชาวูบหากรอยแผลนี้บ่งบอกถึงผู้ที่เขาปะทะฝีมือด้วยจะเป็นใครไปได้เล่านอกจาก

        ‘ ……..พญาครุฑ ’



    ...............................................................

    มหาดาบสปรัญณวิสูต

    อาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาเทพ



    ระเบียบผลการเรียนเทพวิชาของกวินฟ้า คะแนนเต็ม ๑๐๐ คะแนน



    ๑. เวทย์วิชามนตรา        ได้   ๗๐     คะแนน        

    ๒. วิชาจริยะ                 ได้    ๐    คะแนน ( ส่งกระดาษเปล่า )

    ๓. หลักศาสตร์ปกครอง   ได้    ๐     คะแนน  ( ไม่เข้าสอบ )

    ๔. วิชาการการต่อสู้        ได้  ๑๐๐    คะแนน ( วางยาเพื่อนทำให้ไม่มีแรงต่อสู้ )

    ๕. คีตศิลป์                   ได้  ๑๐๐    คะแนน

    ๖. นาฏศิลป์                  ได้  ๔๐๐    คะแนน    ( ทดสอบโดยเทพนาฏศิลป์ ๔ องค์ ไม่สามารถลดคะแนนให้เหลือ ๑๐๐ ได้จึงต้องเลยตามเลยได้คะแนนเกินกว่าใครในประวัติศาสตร์ในรอบสี่ร้อยปี )



    ๗. เทพวิชาเลือกเฉพาะด้าน

        ๗.๑    วิชากระยาหาร             ได้  - ๑๐๐    คะแนน ( ทำโรงครัวไหม้และยังไม่ชดใช้ )

        ๗.๒    วิชาว่าด้วยทิศ              ได้      ๐    คะแนน ( นอนหลับในเวลาเรียน )

        ๗.๓    วิชาก่อสร้าง                ได้     ๕๐     คะแนน ( ก่อสร้างเทวะตำหนักผิดแบบแต่เทวะตำหนักไม่ล้ม )

        ๗.๔    วิชาคำนวณ                 ได้     ๓๐    คะแนน ( แอบดูคำตอบเพื่อน )



    ๘. วิชาเศรษฐนิยม                                       ได้      ๐    คะแนน ( ลืมลงทะเบียนเรียนถือเป็นความผิดของผู้เรียนปรับให้สอบตกวิชานี้ )

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×