ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศึกเทพอสูรมหาสงคราม ภาคพิเศษ๑ ภาคงานแต่งของกวินฟ้า

    ลำดับตอนที่ #1 : กวินฟ้า๑

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 294
      0
      30 ก.ย. 48

    ศึกเทพอสูรมหาสงคราม ภาคพิเศษ๑

    ภาคงานแต่งของกวินฟ้า ๑



        “ ซ่าๆๆๆ “

        เสียงคลื่นทะเลกระทบกับโขดหิน ระลอกแล้วระลอกเล่า หมู่นกน้อยบินว่อนในท้องนภา ท้องทะเลในยามนี้ช่างดูงดงามจนเหลือเชื่อ ฟ้าเป็นสีคราม น้ำทะเลดั่งมรกต หากจะเปรียบที่นี้เป็นแดนสวรรค์ของเหล่าเทพ เหล่านกน้อยก็คือนางฟ้าที่แต่งแต้มให้แดนสวรรค์แห่งนี้ ดูงดงามไม่สร่างสาง



        “ ย๊ากกกกกกกก ”  เสียงของหนุ่มน้อย ดังมาจากโขดหินอีกด้านหนึ่ง

        “ วิวๆๆ ”  พร้อมกับบังเกิดกระแสลมลูกใหญ่ขึ้นมาดั่งพายุสลาตันที่รุนแรงเกินใครต้าน ภายในพายุนี้ปรากฏร่างของหนุ่มน้อยรูปงามทะลวงผ่านออกมาก่อนกลายร่างเป็นพญานาคสีมรกตแต่จะแปลกตาหน่อยก็ตรงที่เกล็ดของพญานาคตนนี้บางครั้งกลับสะท้อนแสงสีฟ้าครามออกมาด้วย



        “ ตูมมมมมมม ” นาคใหญ่กระโจนตัวลงสู่ทะเลดำผุดดำว่ายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนทะยานร่างขึ้นมาอีกคราพร้อมกับพายุที่หมุนหอบเอาน้ำในท้องทะเลขึ้นมาเป็นสาย

        “ นาคาวายุรุณ ”

    สุดท้ายก็มาหยุดลงที่โขดหินใหญ่เปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์หนุ่มอีกครั้ง



    “ อืมมมมม ” หนุ่มน้อยสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด

    “ วันนี้อากาศดีจังเลย ”

    เขาคือ…

    “ กวินฟ้า ”

    นาคหนุ่มรูปงามผู้มีนัยตาเปล่งประกายราวกับอัญมณี ผมยาวสยายถึงกลางหลัง รูปร่างล่ำสัน เขามักจะมาที่นี้อยู่เสมอ เพื่อหลีกหนีความจำเจที่น่าเบื่อในนครบาดาล



    “ ระบำมยุรา ไกลดุจฟ้าใกล้เพียงชิด ” สายพลังสายหนึ่งพุ่งตรงมายังเขาอย่างสุดรุนแรง อานุภาพที่สามารถทำลายพื้นแผ่นดินที่ไกลออกไปนับ ๑๐ โยชน์ได้ การบุกจู่โจมที่ไวปานสายฟ้านี้หมายเอาชีวิตเขาอย่างนั้นหรือ?

    กวินฟ้า ไม่ได้หลบหลีกออกหมัดโต้พลังที่พุ่งมา

    “ พระเวทย์วายุรุณท่าที่ ๘ เว้าวอนแก้วตา ” บังเกิดลมสลาตันออกมาจากหมัดทั้งสองข้าง มีทั้งช้าและเร็วดึงดูดพลังที่พุ่งมาเอาไว้และสลายไปเสียสิ้น

    หลังจากสลายพลังได้ กวินฟ้า ปล่อยพลังออกโจมตีคนที่ลอบทำร้ายเขาในทันที

    “ พระเวทย์วายุรุณท่าที่ ๒ โอบกอดอรชร ” ลมสลาตันลูกใหญ่คุมทั่วร่างของคนที่แอบลอบทำร้าย บุรุษรุ่นใหญ่ ยิ้มรับกับฝีมือของเด็กรุ่นหลัง รวบพัดสะบัดไปมา ๑๒ จุด

    “ ระบำมยุรา เทพพิทักษ์เนรมิตรสิบสองสถาน ” อย่างไรฝีมือของหนุ่มใหญ่ก็ร้ายกาจกว่าเพียงแค่สะบัดมือก็สลายพลังที่รุนแรงของลมสลาตันออกได้ โดยไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่ก้าวเดียว



    “ ฮะๆๆ ไม่ได้พบกันเพียงแค่พักเดียว ฝีมือของหลานข้าร้ายกาจขึ้นทุกครา ไม่เสียทีที่เป็นลูกของ อนันตวาโย ”

    กวินฟ้า สุดแสนจะดีใจที่ได้พบกับเสด็จอา

    “ เสด็จอา โภคินันท์  ….เสด็จอา กุสุมาวดี ”

    นอกจาก โภคินันท์ แล้วยังมี กุสุมาวดี อีกคนหนึ่ง เวลานี้นางมีสง่าราศีสมกับเป็นเมเหสีของพญาหงส์ผู้เกรียงไกร

    “ หลานขอถวายบังคมเสด็จอาทั้งสองพระองค์ พระเจ้าข้า ”

    กุสุมาวดี ยื่นมือลูบผมของกวินฟ้า อย่างเอ็นดู

    “ เจ้านี้นับวันจะมีส่วนคล้าย กรรณิการ์นาคี โดยเฉพาะเวลาที่ยิ้มนี้แหละช่างเหมือนแม่ของเจ้านัก ” นาคน้อยยิ้มอย่างสดใสเมื่อได้รับคำชม

    “ เสด็จอามาหาเสด็จแม่หรือพระเจ้าข้า ” กวินฟ้า ถาม

    “ ไม่ใช่หรอก อากับเสด็จอาโภคินันท์ ออกมาตรวจดูพวกวิหคตระกูลครุฑ ต่างหาก เห็นว่าเดี๋ยวนี้มีพวกครุฑออกมาระราน มนุษย์และนาคอยู่บ่อยๆ ไม่รู้ว่าเป็นพวกไหนกันแน่ ท่านสุบรรณก็ทรงพิโรธ ถึงขนาดออกคำสั่งให้ตามล่าพวกมันมาให้ได้ ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอเจ้าอยู่ที่นี้ แล้วนี้เจ้าจะกลับเข้านครบาดาลหรือยังล่ะอาจะได้ตามไปเยี่ยมแม่ของเจ้าด้วย ”

    กวินฟ้าถึงกับอึกอักพร้อมกับทำหน้าเจื่อนๆ

    “ เออ…. คือหลานยังไม่กลับหรอกพระเจ้าข้า คือ….หลาน ”

    กุสุมาวดี พอจะเดาอะไรออก

    “ นี้อย่าบอกอานะว่า เจ้าแอบหนีออกมาจากนครบาดาล ”

    กวินฟ้ารู้สึกเกลอเขินไม่น้อย เมื่อเสด็จอาเดาถูก

    “ ….พระเจ้าข้า ”

        

        กุสุมาวดี ทั้งส่ายหน้าและตำหนิ

        “ อะไรกันกวินฟ้า เจ้าก็โตจนป่านนี้ไม่ใช่เด็กๆแล้ว ทำไมถึงทำอะไรไม่รู้จักคิด แล้วนี้แม่ของเจ้ารู้หรือเปล่าว่าเจ้าหนีออกมาอยู่ที่นี้ ”

        “ ทรงทราบพระเจ้าข้า ” กวินฟ้า ตอบ

        กุสุมาวดี ถึงกับส่งเสียงร้องด้วยความแปลกพระทัย

        “ เอ๊ะ… นี้อย่างไรกันแม่ของเจ้าก็เป็นไปกับเจ้าด้วยหรือ นี้นางคิดอะไรของนางอยู่กันแน่ ”

        กวินฟ้า กลัวว่าเสด็จอาทั้งสองจะทรงเข้าพระทัยผิดจึงรีบอธิบายเรื่องราวให้ฟัง

        “ คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้พระเจ้าข้า เสด็จยาย ทรงดำริจะให้หม่อมฉัน แต่งงาน จึงไปเกณฑ์ เหล่านางนาค นางไม้ นางฟ้า นางกินรี ทั้งแถบใกล้และไกลมาให้หม่อมฉันเลือก ไม่ว่าหม่อมฉันจะทัดทานอย่างไรก็มิทรงยอมรับฟัง หากหม่อมฉันไม่รีบหนีออกมาป่านนี้ก็คงถูกกักบริเวณเป็นแน่พระเจ้าข้า ”

        กุสุมาวดี ได้ฟังถึงกับเอามือตบที่พระอุระของพระนางเอง

        “ ต๊ายแล้ว นี้เสด็จป้าทรงเป็นมากถึงขนาดนี้เชียวหรือ แล้วพ่อกับแม่ของเจ้าว่าอย่างไรบ้าง? ”

        “ ก็ทรงคัดค้านอะไรไม่ได้นะสิพระเจ้าข้า แค่เสด็จยายทรงอ้างเรื่องที่เสด็จพ่อทรงทอดทิ้งเสด็จแม่ไป ก็ทรงไม่รู้ว่าจะตรัสอย่างไรดีแล้ว ”

        โภคินันท์ หัวเราะเบาๆ

        “ นี้แหละน๊า เพราะเสด็จยาย ทรงรักเจ้ามากนะสิ ถึงได้ทำแบบนี้ ”

        “ นี้นะหรือเพคะ เรียกว่าความรัก คลุมถุงชนเสียมากกว่า ” กุสุมาวดี ทั้งแย้งและทั้งไม่พอพระทัย

        “ เจ้าก็รู้อยู่นี้ กุสุมาวดี ตอนกวินฟ้า เกิด อนันตวาโย ก็ไม่ได้ทำหน้าที่ของพ่อ พระนางกิณยราตีก็ทรงกริ้วที่  กรรณิการ์นาคี ไปได้เสียกับ อนันตวาโย ทั้งยังอุ้มท้องกลับมาอีก เข้าหน้ากันไม่ติดอยู่ตั้งหลายปี กว่าแม่ลูกจะปรับความเข้าใจกันได้  เขาก็คงรู้สึกผิดกระมัง จึงไม่กล้าทูลคัดค้านพระนางกิณยราตี ไม่เช่นนั้น กวินฟ้า คงไม่หนีขึ้นมาบนโลกมนุษย์แบบนี้หรอก ”

        แม้อยากจะแก้ตัวแทนเสด็จพ่อแต่เรื่องที่เสด็จอาทรงตรัสมาล้วนแต่เป็นความจริงจึงจำเป็นต้องนิ่งเสีย

    “ แน่สิเพคะ  กวินฟ้า รักแม่ออกปานนี้จะให้มีนิสัยเหมือนกับ อนันตวาโย ที่มีหลายบ้านหลายเมียได้อย่างไร พูดแล้วก็น่าโมโหนัก หากไม่คิดว่าสงสารหลานแล้ว หม่อมฉันคงยุให้ กรรณิการ์นาคี เลิกกับ อนันตวาโย ไปตั้งนานแล้ว ”

    “ ไม่เอาน่า กุสุมาวดี เรื่องมันผ่านมาตั้งนานแล้ว อีกอย่างเขาก็ปรับปรุงตัวขึ้นตั้งเยอะ จะไปพรากลูกพรากเมียเขามันไม่ดีหรอก ”

    ว่าแล้ว ก็ทรงตรัสถาม กวินฟ้าต่อ

    “ แล้วนี้เจ้า จะไปอยู่ที่ไหนล่ะ? ”

    “ หลานคิดว่าจะออกท่องเที่ยวในโลกมนุษย์ซักหน่อย รอให้เสด็จยายทรงเลิกคิดที่จะจับหม่อมฉันแต่งงานเสียก่อน ค่อยกลับมาอีกทีพระเจ้าข้า ”

    “ ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจเจ้าเถอะ ”  โภคินันท์ ถอนแหวนที่สวมอยู่ที่นิ้วออกมา

    “ แต่เจ้าต้องเอาแหวนวงนี้สวมติดตัวเอาไว้ด้วย มันมีชื่อ สุวรรณธำรงค์ หากเกิดภัยอันตรายขึ้นมา มันจะช่วยให้เจ้ารอดพ้นอันตรายได้ ”

    กวินฟ้า ไม่กล้าขัดรับสั่งของเสด็จอาจึงรับแหวนวงนั้นมาสวมไว้ที่นิ้วของตัวเอง

    “ ขอบพระทัย เสด็จอา พระเจ้าข้า ”

    “ หากเจ้าต้องการให้อา ช่วยเหลืออะไรก็จงแจ้งแก่เหล่าวิหค พวกเขาจะส่งข่าวของเจ้ามาให้อาเอง แต่อย่างไรก็อย่าลืมส่งข่าวให้เสด็จแม่ของเจ้ารู้บ้าง แม่ของเจ้าจะได้ไม่ได้เป็นห่วงเจ้ามากนัก เข้าใจไหม? ” กุสุมาวดี กำชับ

    “ พระเจ้าข้า ”

    “ เออ.. นี้ก็สายมากแล้ว อากับกุสุมาวดี ต้องไปก่อนแล้วค่อยพบกันใหม่ ”

    “ พระเจ้าข้า เสด็จอา “

    หลังจากกำชับ กวินฟ้า เรียบร้อย แล้ว ทั้ง โภคินันท์ และ กุสุมาวดี ก็เหาะจากไปคงเหลือแต่เพียงกวินฟ้า อยู่ ณ ที่แห่งนั้นแต่เพียงลำพัง

    “ ว่าแต่จะไปทางไหนดีน่า ซ้าย หรือว่า ขวา ” กวินฟ้า หันรีหันขวาง อยู่นานเมื่อตัดสินใจไม่ได้ จนกระทั่ง…

    “ พระนัดดา พระเจ้าข้า ทรงอยู่ไหนพระเจ้าข้า พระนัดดา ”

    กวินฟ้า รู้สึกเสียวสันหลังวาบ

    “ จะทางไหนก็ช่างมันก่อนเถอะ ตอนนี้รีบเผ่นก่อนดีกว่า ”

    ว่าแล้ว นาคหนุ่มก็เหาะหนีอย่างไม่คิดชีวิต และนี้ก็คือจุดเริ่มต้นของวุ่นวายที่ตามมาโดยที่เขาไม่เคยนึกถึงเอาก่อนไว้เลย



    ……กวินฟ้า เหาะหนีมาได้เป็นเวลาครึ่งค่อนวันแล้ว ถึงเรื่องหนีจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่ก็ยังมีเรื่องใหญ่กว่านั้นอีก

    “ จ๊อกๆๆ ” เสียงท้องร้องดังมาตลอดทาง

    “ โอย หิวชะมัดเลย ”

    แน่นอน กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ตั้งแต่เช้าแล้วยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย คงน่าอยู่หรอกที่ตัวเขาจะหิวซกขนาดนี้

    “ เอ๊ะ ข้าหน้าเป็นหัวเมืองนี้น่า น่าจะมีอะไรให้ข้ากินได้บ้าง ”

    กวินฟ้าเหาะลงมาสู่พื้น ก่อนเดินไปตามทาง หัวเมืองนี้เป็นเมืองค่อนข้างใหญ่ มีผู้คนมากหน้าหลายตา โดยเฉพาะสาวๆสวยๆก็หลายคน ยิ่งเวลานี้ มีหนุ่มรูปงาม ต่างถิ่นอย่างเขาเดินทางเข้ามาย่อมตกเป็นเป้าสายตาเป็นธรรมดา

    “ คนอะไร หล่อจังเลย ” สาวๆต่างแอบชม้ายส่งสายตามอง

    “ นี้ ข้าคงไม่โชคร้ายหนีเสือปะจระเข้หรอกนะ ” พูดแล้วก็อดหวาดหวั่นไม่ได้ จึงรีบเดินหนีเสีย เดินมาได้ครู่เดียวก็พบร้านอาหารร้านใหญ่ ร้านหนึ่ง

    “ ว้าว! นี้แหละ ร้านในฝัน มื้อนี้คงไม่อดแล้ว ”

    กวินฟ้าเดินเข้าไปภายในร้าน ลูกจ้างในร้านให้การต้อนรับเป็นอย่างดี

    “ เชิญเลยครับ นายท่าน ไม่ทราบว่านายท่านต้องการอาหารอะไร ไม่ว่าจะเป็น เนื้อแกะอบ ไก่ภูเขา เหล้าสาหร่าย หมูหั่น ปลาเก๋าราดพริก ต้มยำปลาแรด เรามีบริการให้ทั้งนั้นขอรับ ”

    ฟังแล้ว ก็ยิ่งเพิ่มความอยากอาหารขึ้นอีกนับสิบเท่า

    “ เอาทุกอย่างที่มีและเด็ดที่สุดในร้านเอามาให้ข้า “

    นานๆจะมีคนสั่งแบบนี้เสียที เหล่าลูกจ้างถึงกับกุลีกุจอเชื้อเชิญให้ กวินฟ้า ไปนั่งที่โต๊ะพิเศษ  และนี้ก็คือคติประจำใจของ กวินฟ้า

    รักไม่ยุ่งมุ่งแต่กิน

    ‘ นี้ถ้า ฤทธิ์นาคี ตามมาด้วยก็คงจะดีหรอก ’

    นึกถึง เพื่อนรักอีกคนที่ รักการกินไม่น้อยไปกว่าเขาก็อดที่จะรู้สึก หว่าเหว่  ไม่ได้ ที่เขาติดนิสัยเรื่องกินเป็นชีวิตจิตใจ ก็เพราะมาจาก ฤทธิ์นาคี นี้แหละ

    “ อาหารได้แล้วขอรับ นายท่าน ”

    บรรดาอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ ชวนให้น้ำลายสอเสียนี้กระไร

    “ ช่วยไม่ได้นะ ฤทธิ์นาคี เจ้าไม่ตามข้ามาเอง วันนี้ข้าจะหม่ำให้พุ่งก้างเลย ฮะฮา ”

    ระหว่างที่ กวินฟ้า กำลังอิ่มหน่ำสำราญ กับอาหารชุดใหญ่อยู่ ที่โต๊ะข้างๆ กลับมีเรื่องทะเลาะวิวาทกันแทน

    “ หนอย ไอ้หนู มาซ่าผิดที่ซะแล้วอยากตายหรือไงฟะ? ”

    เด็กหนุ่มหน้าตาดี ๒ คนกำลังมีเรื่อง กับกลุ่มอันธพาล

    “ นี้ๆ ไอ้น้อง ถ้าอยากเก็บปากไว้แตกหน้าหนาว ก็รีบไสหัวไปไกลๆ ดีกว่า ข้าไม่อยากทำร้ายคนไม่มีทางสู้หรอกนะ ”

    “ เจ้าอัดลูกน้องข้าปางตาย จะให้ข้าปล่อยเจ้าสองคนไปได้ง่ายๆอย่างนั้นนะหรือฝันไปเถอะ ”

    ได้ฟังแล้วก็ทำให้มีน้ำโหขึ้นมา

    “ แล้วทีลูกน้องเจ้าไปฉุดลูกสาวชาวบ้านมาล่ะ จะว่าอย่างไร ข้าไม่เอามันตายก็บุญโข แล้วนี้มันยังอุตสาห์หาเรื่องให้ลูกพี่ของมันตามมาเจ็บตัวอีกหรือ งี่เง่าสิ้นดี? ”

    เมื่อการเจรจาไม่เป็นผลการลงไม้ลงมือก็ตามมา

    “ ฮะ เจ้าสองคนนี้ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา เฮ้ย เอามันให้ตาย ”



    กลุ่มอันธพาลนับสิบคน พร้อมอาวุธครบมือรุมเข้าทำร้ายคนสองคนที่ไม่มีอาวุธในมือเลยแม้แต่ชิ้นเดียวช่างเป็นวิธีการที่สกปรกสิ้นดี แต่ฝีมือของสองหนุ่มกลับร้ายกาจกว่า แม้ไม่มีอาวุธในมือ แต่ก็ต่อสู้กับกลุ่มอันธพาลได้อย่างสบาย หนึ่งในกลุ่มอันธพาลจวกแทงมีดเข้าหาหนึ่งในสองหนุ่มน้อย แต่เด็กหนุ่มรู้ทันจึงเอี้ยวตัวหลบพร้อมทั้งศอกกลับเข้าให้  การทะเลาะวิวาททำให้ลูกค้าที่อยู่ภายในร้านต่างเผ่นหนีออกจากร้านไปทั้งหมด คงเหลือแต่เพียง กวินฟ้า เพียงผู้เดียวที่ยังคงกินอาหารอยู่บนโต๊ะอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว

    “ อร่อย อร่อยจริงๆ สุดยอด ”

    แต่นับเป็นความโชคร้ายก็ว่าได้ เพราะบังเอิญกลุ่มอันธพาลคนหนึ่ง อาวุธหลุดจากมือ จึงยกเก้าอี้ ทุ่มใส่ ชายหนุ่มทั้งสอง ปรากฏว่า สองหนุ่มหลบได้ทัน แต่เก้าอี้ตัวนั้นกลับไปถูกโต๊ะ อาหารของ กวินฟ้า จนล้มระเนระนาดทั้งหมด

    “ เพล้งงงงงงงงง ”

    “ อะ…อาหารของข้า ”

    เจ็บปวด เจ็บปวดที่สุด ความรู้สึกเจ็ดปวดในการที่ถูกขัดขวางในการทานอาหารอันแสนอร่อยของเขาพุ่งปรี๊ดขึ้นมาแทบทะลักจุดเดือด เขาหรือสู้ทนอุตสาห์หนีออกมาอย่างอยากลำบาก อาหารก็กินเข้าไปยังไม่ได้ถึงครึ่งของที่มี กลับกลายต้องมาเป็นเศษขยะที่ดูแสนทุเรศนี้แทน แค้นนี้ฝังลึกจนเกินจะทนได้

    “ เอาอาหารของข้า คืนมา ”

    กวินฟ้า พุ่งพรวดอย่างเร็ว ซัดหมัดถูกกลุ่มอันธพาลไม่ต่ำกว่า ๔-๕ คน จนจุกลุกไม่ขึ้น

    “ อุ๊บ ”

    “ ย๊ากกก ” อันธพาลคนหนึ่งรีบยกเก้าอี้ขึ้นมาฟาดเข้าที่กลางหลังของ กวินฟ้า หมายแก้แค้นให้กับพวกพ้อง

    “ ปัง ” เก้าอี้หักไม่มีชิ้นดีแต่ตัวของ กวินฟ้า กลับไม่มีแม่แต่รอยขีดข่วน อันธพาล คนนี้เริ่มรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดี เมื่อ กวินฟ้า หันหน้ามามองอย่างช้าๆ พร้อมกับแววตาที่ดุร้ายเหมือนสัตว์ร้ายที่กำลังกระหายเลือด

    “ โครมมมมมมม ”

    ร่างของอันธพาลคนนั้นและคนอื่นๆต่างลอยละลิ่วปลิวออกมากองอยู่นอกร้านคนแล้วคนเล่า พร้อมกับ ฝ่าเท้า ของ กวินฟ้า ก็ตามมาประเคนติดๆถึงที่

    “  นี้แน่ๆ ชดใช้อาหารของข้ามานะ เอาอาหารของข้าคืนมา ”

    “ พลั่ก ”

    กลุ่มอันธพาลถูกกระทืบโครมใหญ่

    “ โอยๆๆ พอแล้ว พวกข้ายอมแล้ว ...พวกข้ายอมแล้ว ”

    “ เอาอาหารข้าคืนมาๆๆ “ กวินฟ้า ยังร่ำร้องไม่เลิก

    พวก อันธพาล ต่างล้วงเงินออกมาให้ พร้อมกับรีบเผ่นหนี

    “ ไอ้พวกบ้า ข้าบอกให้เอาอาหารของข้าคืนมา ไม่ใช่เศษเงินนี้ ”

    “ นายท่านขอรับ ร้านของข้าพังหมดแล้วขอรับ จะทำอย่างไรดีขอรับ ฮือๆๆ ”



    เจ้าของร้านโผล่หน้าออกมา หลังจากหลบไปได้พักใหญ่

    “ เออ… คือ….. นั้นสินะ ”

    กวินฟ้า เพิ่งสังเกตว่า ร้านอาหารพังลงเป็นแถบๆ แล้วนี้เขาจะต้องจ่ายเงินค่าเสียหายเท่าไรกันล่ะ

    “ ตุ๊บ ”

    ทองก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งถูกโยนเข้ามาตรงหน้าเจ้าของร้าน

    “ นี้เป็นค่าเสียหาย พร้อมกับจัดอาหารชุดใหญ่ เลี้ยงขอบคุณเพื่อนของพวกข้าด้วย ”

    เจ้าของร้านถึงกับตาโต เมื่อเห็นทองก้อนนี้ ส่วน กวินฟ้า หันกลับมามองหนุ่มหน้ามนสองคนที่มีเรื่องกับกลุ่ม อันธพาล ก่อนหน้าเขา

    “ มื้อนี้ข้าเป็นเจ้ามือเอง เจ้าจะรังเกียจไหม? ”

    กวินฟ้า สูดลมหายใจเข้า พร้อมกับยืดอกและยกมือขึ้นเปลี่ยนเป็นสองนิ้ว

    “ โอเช เลย ”

    ของฟรีใครล่ะจะไม่ชอบ เพราะสำหรับ กวินฟ้า เรื่องกินมันเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องอื่นๆมันเป็นเรื่องเล็ก



    ......... กวินฟ้า นั่งอยู่กับชายหนุ่มแปลกหน้าทั้งสองคนจากลักษณะหน้าตาย่อมรู้กันเป็นอย่างดีว่าพวกเขาคือพี่น้องกัน ส่วนตัวเขาเองไม่ได้สนใจเรื่องอื่นหากแต่กำลังจัดการอาหารที่วางอยู่ตรงหน้า อย่างเอร็ดอร่อย

    “ พวกเจ้านี้ใจดีจริงๆ อุตสาห์จ่ายเงินแทนข้า ทั้งค่าอาหารแล้วก็ค่าเสียหายด้วย ”

    หนึ่งในสองหนุ่มตอบกลับมาว่า

    “ เรื่องเล็กน้อยเอง พวกข้าก็ต้องขอบใจเจ้าเหมือนกันที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกข้า เจ้านี้ช่างเป็นคนมีคุณธรรมจริงๆ ”

    ชายหนุ่มทั้งสองคนหารู้ไม่ว่าที่จริงแล้วมันไม่เกี่ยวกับเรื่องคุณธรรม แต่มันเกี่ยวกับเรื่องที่ กวินฟ้า หิวจนหน้ามืดต่างหาก

    “ แฮะๆ งั้นหรือ? ” หากพวกเขารู้จะว่าอย่างไรบ้างเนี้ยะ

    “ เออ...จริงสิ คุยกันมาตั้งนานแล้ว ข้ายังไม่รู้ชื่อของพวกเจ้าเลย ” กวินฟ้า เพิ่งจะนึกขึ้นได้

    ชายหนุ่มทั้งสองจึงแนะนำตัวเอง

    “ ข้าชื่อ มรกต ”

    “ ส่วนข้าชื่อ มุก ”

    กวินฟ้า รู้สึกแปลกๆอย่างไรชอบกล

    “ มรกต กับ มุก ทำไมชื่อมันคล้ายๆกับชื่อของผู้หญิงอย่างนั้นล่ะ รูปร่างหน้าตาก็ดูอ้อนแอ้นผิดวิสัยผู้ชาย ” นาคหนุ่ม แอบรำพึงกับตัวเองเบาๆ แต่กลับกลายเป็นว่าเหมือน กวินฟ้า กำลังพูดคุยกับชายหนุ่มทั้งสองอยู่

    “ เมื่อกี้เจ้าว่าอะไรนะ? ” มุกถาม

    “ อะ..อ๋อ เมื่อกี้ข้าว่าชื่อของพวกเจ้าดูแปลกดี ”

    กวินฟ้าแก้ตัว



    “ พวกข้าสองคนเป็นคนในตระกูลนักรบทางแถบเหนือชื่อก็เลยออกไม่ค่อยคุ้นหูซักเท่าไร แล้วเจ้าล่ะชื่ออะไร เป็นคนที่ไหน? ”

    หน้าตานวลเนียร ผิวพรรณ์ก็ดูไม่หยาบกร้าน นี้นะหรือคนของตระกูลนักรบ?

    “ ข้าชื่อ กวินฟ้า เป็นชาวนคร ..บา........ “ กวินฟ้า หยุดพูดไปทันทีใด เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเกือบจะหลุดคำพูดชื่อนครบาดาลออกมา

    “ นครบา...บาอะไร?”  มุก เป็นฝ่ายถามขึ้นเมื่อเห็น กวินฟ้า หยุดพูดไป

    “ บาเล ข้าเป็นชาวนครบาเล ”

    สองหนุ่มต่างมองหน้ากันและครุ่นคิด

    “ นครบาเล เกิดมาพวกข้าสองคนยังไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลย ”

    ‘ ขืนข้าบอกพวกเจ้าสองคนไปว่าข้าเป็นชาวนครบาดาลก็ยุ่งนะสิ ’ กวินฟ้า รีบคิดหาคำตอบเพื่อไม่ให้ทั้งมรกต และ มุก สงสัยในตัวเขา

    “ ไม่แปลกหรอก ที่พวกเจ้าจะไม่เคยได้ยิน นครของข้านะเป็นนครเล็กๆ แค่เป็นทางผ่านของนครใหญ่ๆ ไม่ค่อยมีคนแวะเวียนเข้ามามากนักหรอก ”

    ทั้งมุกและมรกตได้ฟังก็รู้สึกว่าอาจจะเป็นไปได้เช่นกัน

    “ คงจะเป็นอย่างที่เจ้าว่าจริงๆ นครใหญ่ๆส่วนมากจะมีชื่อเสียงมากกว่าอยู่แล้ว ส่วนนครเล็กๆไม่ค่อยมีคนสนใจเท่าไร ยิ่งถ้าเป็นรายทางด้วยแล้วแทบจะไม่มีใครสนใจจดจำเลย เท่าที่พวกข้าเคยเดินทางผ่านมาก็มีหลายนครเช่นกันที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก ”

    เพื่อไม่ให้ทั้งสองถามต่ออีก กวินฟ้า จึงเปลี่ยนเรื่องพูดคุย

    “ แล้วนี้พวกเจ้ากำลังจะเดินทางไปที่ไหนกัน? ”

    สองหนุ่มตอบว่า

    “ ข้าสองคนเดินทางมาติดต่อสั่งซื้ออาวุธ นี้ก็เสร็จธุระแล้ว คิดว่าจะเดินทางไปนครโรมพัตรต่อ ”

    “ นครโรมพัตร? พวกเจ้าจะไปที่นครนั้นทำไมกัน? ”



    สองหนุ่มต่างแสดงสีหน้าที่แปลกใจ

    “ อ้าว! นี้เจ้าไม่รู้หรอกหรือว่า  นครโรมพัตร กำลังมีงานใหญ่ ”

    กวินฟ้า ส่ายหน้า

    “ ไม่รู้หรอก นครโรมพัตรมีงานอะไรอย่างนั้นหรือ? “

    “ ก็จะอะไรซะอีกเล่า ก็งานพิธีคัดเลือกราชบุตรเขยของ นครโรมพัตรไงล่ะ ”

    ‘ นึกว่าเรื่องอะไรเสียอีก ที่แท้ก็เรื่องไร้สาระนี้เอง ’ กวินฟ้า สุดแสนจะเซ็งเพิ่งหนีมาอยู่หยกๆกลับมาเจอเรื่องแบบนี้อีกแล้ว

    “ อ๋อ .. ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าพวกเจ้าคิดจะไปเข้าร่วมพิธีคัดเลือกราชบุตรด้วยล่ะสิ ”

    พวกเขาต่างตอบขึ้นพร้อมกันว่า

    “ เปล่า ”

    “ อ้าว ”  ทำไมถึงผิดคาดอย่างนี้ ช่างน่าสงสัยเสียจริง แล้วพวกเขาจะเดินทางไปที่ นครโรมพัตร ทำไมกัน?

    “ แล้วพวกเจ้าจะไปที่นครโรมพัตร ทำไมกันถ้าไม่ไปเข้าร่วมพิธีคัดเลือกราชบุตรเขย ”



    มรกตตอบว่า

    “ พวกข้าจะไปเที่ยวชมงานสมโภชนครโรมพัตรต่างหาก เพราะวันพิธีคัดเลือกราชบุตรเขยมาตรงกับงานสมโภชนครด้วย เห็นใครๆเขาก็ว่ากันว่านครนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย อีกทั้งอาหารก็เลิศรส หากไม่ได้ไปก็เสียดายแย่ ”

    ประโยคหลังนี้แหละที่น่าสนใจขึ้นมาหน่อย

    “ ฮะฮ่า อย่างนี้ก็ดีเลยสิ ข้าเองก็ออกมาท่องเที่ยวเหมือนกัน เจ้าเห็นเป็นอย่างไรบ้างถ้าพวกเราสามคนจะเดินทางไปนครโรมพัตรด้วยกัน ”

    “ ภาษิตว่า คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย สามคนมันก็สบาย พวกข้าไม่ขัดข้องอยู่แล้ว “

    ได้ข้อสรุปในทันที

    “ งั้นก็ตกลงตามนี้ ”

    มรกต และ มุก ต่างดีใจที่จะได้เพื่อนร่วมเดินทางอีกคน

    “ เออ… กวินฟ้า ไหนๆเจ้าก็ไปที่นครโรมพัตรแล้ว ทำไมเจ้าไม่ลองเข้าร่วมพิธีคัดเลือกราชบุตรเขยดูบ้างล่ะ? รูปร่างหน้าเจ้าก็ดี ฝีมือก็เป็นเยี่ยม ดีไม่ดี อาจมีสิทธิ์ได้เป็นราชบุตรเขยนะ ”

    หากต้องการอย่างนั้น กวินฟ้า คงไม่หนีมาจนถึงที่หรอก

    “ มะ...ไม่ดีกว่า ข้านะยังไม่อยากแต่งงาน เอาไว้ข้าอยากแต่งงานเมื่อไรจะขอใช้บริการพ่อสื่ออย่างพวกเจ้าก็แล้วกัน ”

    สองหนุ่มหัวเราะ

    “ คิก ฮะๆ นี้พวกข้าคิดแพงนะเจ้าจ่ายไหวหรือ? ”

    กวินฟ้า ยิ้มและตอบว่า

    “ เจ้ารับเงินผ่อนหรือเปล่าล่ะ หากรับข้าคิดว่าอย่างไรก็จ่ายไหว ”

    “ เอาไว้พวกข้าจะรับไว้พิจารณาก็แล้วกัน ”

    กวินฟ้า ลองแย้มถามพวกเขาดูบ้าง

    “ แล้วพวกเจ้าจะไม่ลองเข้าร่วมพิธีการคัดเลือกบ้างหรือ? เผื่อวาสนาพวกเจ้าดีได้เป็นราชบุตรเขยกับเขาบ้าง ข้าจะพลอยสบายไปด้วย ”

    ทั้งสองยิ้มและหัวเราะ

    “ เห็นที จะคงไม่ได้หรอก เพราะพวกข้ามีคู่หมั้นคู่หมายแล้ว ”

    กวินฟ้า สบช่องพูดต่อทันที

    “ โอย ข้าเห็นนรกร่ำไร แทนพวกเจ้าแล้ว แต่บอกไว้ก่อนงานแต่งของพวกเจ้าอย่าลืมเชิญข้าไปด้วย ”

    “ แน่นอน ข้าต้องเชิญเจ้าแน่ เจ้าต้องมาให้ได้นะ ”

    กวินฟ้า เข้ามากอดคอพวกเขา

    “ ฮะฮะๆๆ  เพื่อนเอ๋ย ไม่ต้องห่วงหรอกข้าไปแน่ เพราะข้ากะจะถล่มอาหารในงานแต่งของเจ้าให้ราบเลย ”

    ทั้งสามต่างประสานเสียงหัวเราะพร้อมกัน เพียงเวลาไม่นาน พวกเขาก็สนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว นี้คือโชคชะตาที่ไม่แน่นอนของแต่ละคนวันนี้อาจเป็นเพื่อน วันหน้าอาจเป็นศัตรู แต่พวกเขาทั้งสามย่อมจะเป็นอย่างแรกมากกว่าอย่างหลังแน่นอน



    พอใกล้ค่ำเขาทั้งสามก็หาที่พักและนอนห้องเดียวกัน ห้องนอนของพวกเขาแบ่งออกเป็นสองเตียง แต่ละเตียงสามารถนอนสองคนได้อย่างสบาย ภายในห้องมีเครื่องหอมสมุนไพรเอาไว้คอยไล่แมลงที่จะเข้ามารบกวน ถัดจากนั้นเป็นห้องอาบน้ำที่ถูกออกแบบอยู่ภายในห้องเดียวกับห้องพัก กวินฟ้า อาบก่อนเป็นคนแรก เพียงได้สัมผัสกับน้ำ เขาก็รู้สบายไปทั้งตัว เพราะวิสัยของนาคย่อมรู้สึกสบายเมื่อได้สัมผัสกับน้ำเป็นเวลานานๆ พอออกจากห้องอาบน้ำและแต่งตัวเสร็จก็ล้มตัวลงนอนเลย ทีแรกตั้งใจว่าจะพูดคุยกับ มรกต และ มุก ต่อ แต่พอได้กลิ่นที่หอมเหมือนกับกลิ่นของดอกไม้ ตาของเขาก็ค่อยหรี่ลง

    “ หาว.... ” และหลับลงไปในที่สุด

    กลิ่นหอมของดอกไม้นั้นเหมือนนำพาให้เขาเข้าสู่ห้วงเวลาแห่งความฝัน ณ ดินแดนสวรรค์ อันวิจิตรและงดงาม

    “ ซ่าๆๆ ” เสียงอาบน้ำดังมาเป็นระยะๆ แต่เขาหาได้รู้สึกตัวไม่

    “ เอี๊ยดๆ ” สุดท้ายประตูห้องน้ำก็เปิดออกพร้อมกับกลิ่นหอมของดอกไม้ก็ฟุ้งกระจายยิ่งกว่าเดิม

    หญิงสาวแรกรุ่นสองคนหน้าตาหมดจด ผิวเนียรขาวแซมชมพูที่ราวกับไข่มุกเม็ดงาม เปล่งปลั่งในยามค่ำคืน เนินอกที่อวบอิ่ม รูปร่างที่เย้ายวนบุรุษเพศ ซ่อนอยู่ในใต้ผื้นผ้าที่พันกายคนละพื้น พวกนางต่างเดินเข้าไปหาชายหนุ่มที่นอนหลับใหล และใช้เส้นผมเขี่ยเล่นที่ใบหน้าของหนุ่มรูปงาม

    “ เจ้านี้ ทึ่มกว่าที่ข้าสองคนคิดไว้ตั้งเยอะ ”

    หญิงสาวทั้งสองต่างมองหน้าและยิ้มให้แก่กัน เหมือนต่างมีความคิดบางอย่างอยู่ในใจ



    ……..เวลาสายของอีกวัน เรือลำหนึ่งที่บรรจุคนได้ประมาณสี่สิบกว่าคน กำลังแล่นอยู่ในแม่น้ำใหญ่  เรือลำนี้มีเป้าหมายเดินทางไปนครโรมพัตร ในเรือประกอบด้วยคนหลายประเภท ทั้งนักเดินทาง พ่อค้า และกลุ่มคนผู้หมายจะเข้าร่วมพิธีการคัดเลือกราชบุตรเขย กวินฟ้า มรกต และ มุก ต่างนั่งอยู่ที่บนหัวเรือ เอาอาหารที่ติดตัวมาออกมาแบ่งกันกิน

        “ อีกนานเท่าไร เราจะถึงนครโรมพัตร? ” กวินฟ้า ถามพลางเคี้ยวเนื้อย่างไปด้วย

        “ คงพรุ่งนี้เช้านั้นแหละ ”  มรกต เป็นผู้ตอบ

        ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาพวกเขาต่างเห็นเรือหลายลำทำให้ กวินฟ้า อดเป็นห่วงไม่ได้

        “ พวกคนตั้งมากมายต่างเดินทางไปนครโรมพัตรกันทั้งนั้น แล้วนี้พอเราไปถึงแล้วจะมีที่พักบ้างหรือเปล่า? “

        มรกต และ มุก ไม่มีท่าทีทุกข์ร้อนแต่อย่างใด

        “ ไม่ต้องห่วงหรอก พวกข้าจองที่พักเอาไว้แล้ว เพียงพอให้พวกเราพักกันได้อย่างสบาย “

        กวินฟ้า ออกจะรู้สึกถึงความไม่ถูกต้องในคำพูด

        “ พวกเจ้าบอกว่าจองที่พักไว้แล้วข้าออกไม่แปลกใจ แต่ทำไมเจ้าถึงบอกว่าเราถึงสามารถพักได้อย่างสบาย ตอนเจ้าจองห้องพักเจ้าจองเผื่อข้าไว้ด้วยอย่างนั้นหรือ? ”

        

        พวกเขาเพิ่งจะรู้จักกันจะเป็นไปได้อย่างไรที่ มรกต และ มุก จะสามารถจองที่พักให้กวินฟ้า ในอีกนครหนึ่งได้ อย่างมากก็น่าจะแค่จองห้องพักให้กับตัวพวกเขาเองเท่านั้น

        “ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว พวกข้านะส่วนใหญ่แล้วเวลาเดินทางมักจะมากันเป็นกลุ่มขนาดใหญ่ เวลาจองที่พักอย่างน้อยที่สุดหากได้เพียงแค่ห้องเดียวก็ต้องเป็นห้องที่ใหญ่ที่สุด แม้กระทั่งพวกข้าเองจะเดินทางเพียงแค่สองคนก็ตาม ก็ต้องจองห้องที่ใหญ่ที่สุดเอาไว้ เพราะหากพวกพ้องของข้าเกิดเดินทางมาสมทบกระทันหัน และไม่สามารถออกเดินทางได้ทันที อย่างน้อยก็มีที่พักให้พวกเขาอยู่อย่างสบายได้ ” มรกต อธิบายเหตุผลให้ฟัง

        กวินฟ้า พยักหน้าอย่างเข้าใจ

        “ อย่างนี้ๆเอง ข้าเข้าใจแล้ว พวกเจ้าเป็นนักรบและมักเดินทางอยู่บ่อยๆจึงต้องเตรียมตัวสำหรับเหตุการณ์ล่วงหน้าไว้เสมอ ผิดกับข้าที่เพิ่งจะออกเดินทางจึงไม่ได้คิดถึงข้อนี้เอาไว้เลย ”

        “ แรกๆพวกข้าก็เหมือนกับเจ้านี้แหละ พอได้รับคำแนะนำจากผู้ใหญ่และประสบการณ์ในการเดินทางย่อมจะคิดแผนการในการเดินทางล่วงหน้าได้ อีกหน่อยเจ้าก็จะเรียนรู้ได้เอง ” มุก ว่า

        เตรียมพร้อมทุกสถานการณ์เป็นคำกล่าวที่ไม่เคยผิดเลย

    ‘ พวกเขาสองคนดูเหมือนไม่ประสีประสาแต่แท้จริงแล้วทั้งฉลาดและรอบคอบ เทียบกับข้าแล้วพวกเขาดูเหมือนเป็นผู้ใหญ่มากกว่าข้าเสียอีก ’ ยิ่งได้พูดคุยกับพวกเขากวินฟ้ายิ่งรู้สึกชื่นชม



    ถึงแม้ กวินฟ้า จะมีฝีมือติดตัวแต่เนื่องจาก ได้รับการเอาใจใส่ อย่างดี จึงไม่เคยตกระกำลำบากมาก่อนหรือจะพูดอีกในหนึ่งก็คือ กวินฟ้า ก็เหมือนลูกคุณหนูดีๆนี้เอง แม้จะเป็นลูกผู้ชาย แต่ก็ไม่เคยออกมาร่อนเร่แบบนี้ดังนั้นความรู้เท่าที่มีในการเดินทางจึงเป็นความรู้ที่เกิดจากความนึกคิดของตนเองหาใช่ประสบการณ์ที่แท้จริงไม่

    “ พี่มรกต แถวนี้ใช่ไหมที่มีข่าวลือ? ”  

    “ อือ ”  มรกตพยักหน้าและทานอาหารต่อ

    “ ข่าวลืออะไรอย่างนั้นหรือ? ” กวินฟ้า สังเกตสีหน้าของเพื่อนแล้วก็รู้ว่าเป็นเรื่องไม่ดีเท่าไร

    “ ก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่ข่าวลือเกี่ยวกับโจรแม่น้ำเท่านั้นเอง ”

    นครโรมพัตรอยู่ติดกับแม่น้ำใหญ่หลายสาย การส่งสินค้าส่วนใหญ่จึงอาศัยการขนส่งทางน้ำแม้กระทั่งสินค้าที่มาจากทะเลยังต้องขนส่งมาทางแม่น้ำเช่นกัน จึงทำให้เกิดการปล้นชิงจากกลุ่มโจรหลายกลุ่ม

    “ โจรแม่น้ำอย่างนั้นหรือ? ”

    “ ใช่.. มีข่าวลือกันมาว่าพวกมันดักปล้นเรืออยู่ตรงบริเวณแถวนี้ ส่วนใหญ่เรือที่โดนดักปล้นจะเป็นเรือที่เดินทางมาในเวลาค่ำคืน ”

    “ พวกมันมีกันเยอะไหม? ” กวินฟ้าถาม

    “ เท่าที่ข้ารู้มาก็มีอยู่ด้วยกัน ๓ กลุ่ม กลุ่มเลือดทมิฬ พวกนี้โหดเหี้ยมทั้งฆ่าปล้นและข่มขืน หัวหน้าของพวกมันมีชื่อว่า กามลี   อีกกลุ่มคือกลุ่มทะเลซัด พวกนี้ไม่ค่อยทำร้ายใคร ปล้นเอาแต่ข้าวของมีค่า ไม่ค่อยเข้ามาหากินทางแม่น้ำใหญ่ ส่วนใหญ่จะดักปล้นอยู่ปากทางเชื่อมต่อระหว่างแม่น้ำกับทะเล หัวหน้าของพวกมันมีชื่อว่า หะลูอา  กลุ่มสุดท้ายกลุ่มฟ้าครามหากินทางแถบนี้ ทั้งยังค้าของเถื่อน ( สินค้าต้องห้ามส่งออกบางประเภทเช่น ไม้หอม ) ไม่ค่อยทำร้ายใคร บ้างครั้งก็ปล้นเรือส่งสินค้าของเศรษฐีหน้าเลือดแล้วเอาเงินมาแจกชาวบ้าน  หัวหน้ากลุ่มมีชื่อว่า ไผ่สีทอง ”

    “ โอ้โห พวกเจ้านี้ทำไมรู้มากจัง? ” กวินฟ้า เกาหัวเกราะๆ แค่ฟังอย่างเดียวก็แทบจะงงแล้วไหนเลยจะจำได้ไหว



    “ ข้าไม่ได้รู้มากหรอกแต่ช่วงนี้ข่าวเรือถูกปล้นมีบ่อยขึ้น ถ้าเจ้าสังเกตให้ดีผู้คนภายในเรือต่างพกพาอาวุธมากันทั้งนั้น แม้กระทั่งเรือขนส่งที่เรานั่งมายังต้องติดปืนใหญ่เอาไว้เลย ”

    “ หา.... ”  กวินฟ้าลองเหลียวมองดูก็เห็นจริงผู้คนส่วนใหญ่ต่างพากันพกพาอาวุธกันทุกคนแม้กระทั่งลูกเรือยังไม่ยอมให้อาวุธอยู่ห่างมือยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าออกมารบมากว่าออกมาเดินเรือตามปกติ

    “ ถ้าอย่างงั้นพวกเจ้าก็มี.... ”

    “ พวกข้าพกดาบมากันคนละเล่ม แล้วเจ้าล่ะมีอะไรติดตัวมาบ้าง? ”

    ทั่วตัวของกวินฟ้าไม่มีอาวุธแม้แต่ชิ้นเดียว

    “ คือ...ข้าไม่มีอาวุธอะไรติดตัวมาเลย ”

    ทั้งสองเข้าใจเพราะรู้ว่ากวินฟ้าเพิ่งจะออกเดินทางเป็นครั้งแรก

    “ ไม่เป็นไรเดี๋ยวข้าจะลองสอบถามพ่อค้าเร่ที่อยู่บนเรือดูให้อย่างน้อยเขาก็น่าจะมีมีดสั้นขายให้เราบ้าง ” มรกตพูดบอก

    “ ขอบใจนะ ”

    เป็นครั้งแรกที่ กวินฟ้า รู้สึกว่าตัวเองไร้เดียงสาเสียนี้กระไร



    ทานอาหารกันยังไม่ทันอิ่มพลันก็เกิดเรื่องขึ้น

    “ ตูมมมมมมมมม ”

    ลูกปืนใหญ่กระทบกับน้ำเกิดเสียงดังสะนั่น

    “ เกิดอะไรขึ้นนะ!!!! ” ทั้งสามต่างตกใจกับเสียงระเบิดที่เกิดขึ้น

    ปรากฏเรือใหญ่สามลำวิ่งขวางมาทางแม่น้ำบนใบเรือทั้งสามลำปรากฏรูปหัวกะโหลกที่มีเกลียวคลื่นทะเล พร้อมกับคนและอาวุธเต็มลำเรือ

    “ โจรแม่น้ำ ” เสียงอลหม่านโกลาหลของผู้คนในเรือดังออกมาไม่ขาดสาย เรือที่พวกเขาโดยสารมาต่างถูกโจรแม่น้ำล้อมไว้ทั้งหมดทุกด้าน

    “ กลุ่มโจรแม่น้ำทะเลซัด เป็นไปได้ไง ทำไมพวกมันถึงบุกเข้ามาหากินทางแถบแม่น้ำแถวนี้ ”

    ความสงสัยยังไม่มีประโยชน์ใดๆในเวลานี้ กลุ่มโจรแม่น้ำทะเลซัดต่างระดมยิ่งปืนใหญ่ปิดสกัดการหนีของเรือโดยสาร เรือโดยสารแม้มีปืนใหญ่ติดตั้งอยู่แต่อนุภาพการยิงยังไม่เท่ากับของอีกฝ่าย  เพียงเวลาไม่นานลูกสมุนโจรกลุ่มใหญ่ก็พาดบันไดบุกขึ้นมาบนเรือแล้ว

    “ กวินฟ้า หาทางหนีกันก่อนเถอะ ”

    แทบไม่ต้องบอกกวินฟ้าวิ่งตามทั้งสองมาติดๆหมายลงเรือเล็กพายเข้าฝั่งขึ้นบกแต่ถูกลูกสมุนโจรแม่น้ำที่ขึ้นมาบนเรือเข้าขวางทาง

    “ เคร้งๆๆๆ ”

    มรกตและมุกชักดาบออกจากฝักตรงเข้าต่อสู้กับพวกโจร กวินฟ้าที่ไม่มีอาวุธในมือได้แต่ใช้สองเท้ากับสองหมัดเข้าต่อสู้  



    “ อ๊อคคคคคค ” นาคหนุ่มออกหมัดทั้งเร็วและหนักเขาแทบไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธเลย โจรอีกพวกหนึ่งที่ถือหอกมาด้วยเห็นชายหนุ่มมีแรงมากกว่าคนปกติก็ให้รู้สึกประหลาดใจ รีบตรงเข้ามาช่วยเหลือพวกพ้องที่กำลังต่อสู้อยู่

    “ ย๊ากกกกกกกกกกกก ”



    “ เฮ้ย! หมาหมู่นี้หว่า ”

    กวินฟ้า เอี้ยวตัวหลบพร้อมเตะกลับเข้าที่ด้านหลังโจรจนล้ม ช่วงระหว่างนั้นพัดเล่มหนึ่งลอยมาตกอยู่ที่มือของกวินฟ้าพอดี

    “ มาจากไหนนั้นเนี้ยะ ”

    เวลาไม่มีให้ถามเพราะต้องคอยหลบคมอาวุธที่พุ่งแทงเข้ามา ขณะที่หลบคมอาวุธนั้น ก็ยังถือพัดไว้ในมือด้วย ดูไปดูมาเหมือนกับโภคินันท์กำลังต่อสู้อยู่อย่างไรก็อย่างนั้น

    ‘ เสด็จอา..... ’

    เพียงนึกถึงเสด็จอา กวินฟ้า ก็จดจำถึงท่าเพลงรำเพลงหนึ่งของสกุลหงส์เข้าได้



    “ เสด็จอา ทรงรำสวยจังเลย ”

    ภาพในห้วงความคิด เสด็จอาโภคินันท์ ทรงหันพระพักตร์มายิ้มและบอกว่า

    “ จำไว้นะ กวินฟ้า หงส์นอกจากสง่าแล้วต้องเร็วและกรีดกราย ”

    กวินฟ้า คลี่พัดเหมือนกับที่เสด็จอาโภคินันท์ทรงรำให้เขาดูในวันนั้น



    “ ท่ารำสกุณาโผผิน ”

    กวินฟ้า เอี้ยวตัวตามจังหวะของนก แม้ถึงเขาจะเป็นนาคแต่ท่าทางก็ปราดเปรียวไม่แพ้วิหคเลย จังหวะเท้าเดินหน้าและกลับ เคลื่อนไหวตัวอย่างอิสระ บังคับมือดั่งใจ

    “ ฉับบบบบบบบบ ” เสียงพัดกระทบกับอากาศ

    “ อ๊าคคคคคคคคคคคค ”  ส่วนปลายของพัดคล้ายกับใบมีดที่คมกริบตัดได้แม้กระทั่งโลหะ



    “ ท่ารำสกุณาโผผิน คลื่นลมตัดอากาศ ”

    เหล่าสมุนโจรถูกคมอากาศบาดเข้าเป็นแผลลึก ได้รับบาดเจ็บหลายคน ไม่ว่ากวินฟ้าเคลื่อนไหวไปทางทิศใดสมุนโจรล้วนแต่ได้รับบาดเจ็บ ”

    “ ฟ้าวววววววววว ”  ลูกธนูดอกหนึ่งแล่นเข้ามา

    กวินฟ้า ตวัดพัดกลับคืนถูกลูกธนูดอกนั้น ลูกธนูถูกตัดออกเป็นสองท่อน

    “ พัดดี ท่ารำสวย ”  เสียงทุ้มใหญ่ของคนผู้หนึ่งดังอยู่บนหัวเรือ ชายคนนี้สวมชุดสีดำเสื้อที่ใส่เปลือยแผ่นอกมีหนวดและเคราอยู่เต็มใบหน้า ผมยาวพอประมาณ คนที่อยู่ในเรือส่วนใหญ่ต่างรู้จักเขาเป็นอย่างดี

    “ หัวหน้ากลุ่มโจรแม่น้ำทะเลซัด หะลูอา ”







    ************* ให้อ่านคั่นเวลาระหว่างรอ ศึกเทพอสูรมหาสงคราม ตอนที่ 44 ***************

                   หนทางยังอีกยาวไกลสู้เข้าไปเถอะตัวเรา

                        ^______^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×