คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทที่1...จุดเริ่มต้น
บทที่ 1...จุดเริ่มต้น
ยามบ่ายอันเงียบสงบ ภายในบ้านเก่าแก่หลังหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านหนิงหลินนัก เด็กหญิงตัวน้อยราวตุ๊กตาสลักด้วยหยกล้ำค่า นั่งมือหนึ่งเท้าคาง มือหนึ่งเขียนหนังสือ ทั้งยังทำหน้าตาเหยเกน้ำตาเจียนหยดชวนให้คนทั้งรักทั้งสงสาร
“แม่จ๋า ข้าไม่ทำได้หรือไม่” เด็กน้อยเอ่ยเสียงออดอ้อน พยายามใช้มือเล็กๆจับพู่กันที่ขนปลายหลุดเสียเป็นส่วนใหญ่ จุ่มลงบนหมึกสีดำ ก่อนจะเริ่มขีดเขียนคำว่า ซัน ที่แปลว่าภูเขา แต่ละขีดที่เขียนลงไปดูบิดเบี้ยวยึกยือราวกับไส้เดือนใต้ต้นไม้ ที่นางนำมาตกปลาริมลำธารยิ่ง
“ไม่ได้ จิ้งเอ๋อร์ ถ้าขืนจับพู่กันอย่างนี้ คงได้เปรอะเปื้อนแขนเสื้อเจ้าอีกเป็นแน่ มือซ้ายต้องจับที่ชายเสื้อเข้าใจหรือไม่?”
เด็กหญิงเบะปากน้ำตาคลอเจียนหยด มือใหญ่บางสีขาวของท่านแม่ผละจากเสื้อที่ต้องปะชุน ใบหน้าที่นางคิดว่าใจดีเป็นที่สุดเริ่มจะ เอ่อ...เอาเป็นว่าบางครั้งก็ใจร้ายที่สุด จ้องมองนางเขม็ง ความคิดที่จะออกไปวิ่งเล่นข้างนอก ปลิวไปกับสายลม เด็กหญิงเบือนหน้าหนีจากประตูไม้สีน้ำตาลที่เก่าจวนผุพัง จำใจกลับมามองแผ่นไม้แผ่นใหญ่ตรงหน้า
อักษรคำว่า ซัน ถูกเขียนลงไปแทบทุกพื้นที่ แม้ขีดจะน้อยนิดเพียงแค่สี่ขีด สำหรับ ลู่ซูจิ้ง ผู้ไม่ชอบอยู่นิ่งแล้ว การที่ต้องมานั่งขีดๆเขียนๆต่อหน้าท่านแม่ เป็นการลงโทษที่สาหัสยิ่ง!
“มือของเจ้าต้องนิ่ง เพี๊ยะ! อย่าจับแบบนั้นสิ” ผู้เป็นมารดาใช้ด้ามพัดสีขาวขมุกขมัวตีไปที่เด็กน้อย เป็นการสั่งสอนให้เชื่อฟัง แม้ใจจริงจะมิชอบการกระทำรุนแรงใดๆ แต่เพื่ออนาคตของลูกสาว ผู้เป็นมารดาอย่างนางจะไม่ยอมให้ผู้ใดมาดูถูกเด็กน้อยได้
เด็กหญิงนิ่วหน้า ใช้มือซ้ายลูบตรงต้นแขนขวาปอยๆ ก้มหน้าก้มตาขีดเขียนอักษรโย้เย้ต่อไป
ท่านแม่ช่างน่ากลัวยิ่ง... นางพึมพำออกมาเบาๆ พลางคิดถึงโตรกหินลึกลับข้างลำธารที่พบเจอเมื่อวานนี้ แต่เพราะท่านแม่เอาแต่ตะโกนเรียกชื่อนางครั้งแล้วครั้งเล่า ให้กลับไปทานข้าวเย็นที่บ้าน จึงหยุดการสำรวจสถานที่แห่งใหม่เอาไว้เพียงเท่านั้น ไม่ใช่ว่านางกลัวฝ่ามือของท่านแม่จริงๆนะ
มือเล็กๆของเด็กหญิงเริ่มขีดเขียนอีกครั้ง พร้อมกับเหลือบดวงตาใสกระจ่างดุจหยาดน้ำค้างคู่เล็กมองไปที่เสี้ยวหน้าของท่านแม่ ที่กำลังก้มหน้าก้มตาซ่อมแซมเสื้อผ้าของท่านพ่อ เสียงเข็มสีเงินแทงทะลุผ้าสีน้ำเงินตุ่นอย่างคล่องแคล่ว แน่นอนว่าฝีมือของท่านแม่คนงามนั้นเก่งที่สุดในหมู่บ้าน นางภูมิใจยิ่ง
เด็กน้อยอย่างนางก็ไม่รู้หรอกว่าคนงามนั้นหมายถึงอะไร ท่านพ่อเองก็มักจะเรียกท่านแม่ว่าคนงามอยู่บ่อยครั้ง ทุกครั้งที่ท่านแม่คนงามได้ยินท่านพ่อเรียกอย่างนั้น มักจะมีอาการแปลกๆ ใบหน้าขาวนวลเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อราวกับคนป่วย อาจจะเป็นเพราะท่านแม่ทานข้าวมากเกินไปก็เป็นได้
เฮ้อ! อยากนอนยิ่ง...
เวลาผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม หญิงสาววัยกลางคนเงยหน้าผละจากงานที่ทำ พลันถอนใจเฮือกใหญ่ “เฮ้อ เจ้าเด็กจอมขี้เกียจ”
บนโต๊ะไม้ไผ่สีน้ำตาลเก่าๆ มีเด็กหญิงตัวน้อยกำลังนั่งสัปปะหงก มือบางที่ถือพู่กันเปื้อนหมึกสีดำห้อยลงมาจวนจะหล่นพื้น ใบหน้ากลมป้อมหลับตาพริ้มสองแก้มที่เคยขาวเนียนดุจผิวซาลาเปา ตอนนี้มีรอยเปื้อนหมึกติดอยู่มากกว่าครึ่งหน้า ลำตัวโอนเอนจนฟุบลงบนแผ่นไม้หัดเขียนบนโต๊ะ ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นง่ายๆ
ลู่หนิงหนิงยิ้มน้อยๆ หยิบเอาแผ่นไม้ใต้ใบหน้าเปื้อนหมึกของลูกสาวออกมาตรวจสอบ อักษรทั้งหมดไม่ขีดเกินก็ขาดเสียครึ่ง อีกครึ่งล้วนเขียนปนกันมั่วไปหมด ยิ่งมองยิ่งน่าปวดหัว ไม่อยากเชื่อเลยว่าเด็กคนนี้เป็นลูกสาวของอดีตหญิงงามอันดับหนึ่งผู้เพียบพร้อมแห่งฉางอัน ดูท่านางต้องเข้มงวดให้มากขึ้นไปอีก
รอยยิ้มยามหลับใหลของเด็กน้อย ช่างใสซื่อไร้เดียงสาจนผู้ใหญ่อย่างนางอดยิ้มตามไม่ได้
หญิงสาวเอื้อมไปหยิบผ้ากันลมบนชั้นไม้ข้างโต๊ะคลี่ห่มให้เด็กน้อย ก่อนเดินออกจากห้องมาที่ลานกลางบ้านเพื่อเก็บเสื้อผ้าที่ตากผึ่งแดด ภายในบ้านชื่อเหอย่วนเก่าทรุดโทรมหลังนี้ นางกับสามีลู่ฉางเซิง ตั้งแต่หนีตามกันมาตั้งรกรากที่นี่เมื่อเก้าปีก่อน ก็อาศัยสถานที่แห่งนี้ดำเนินชีวิตอย่างสงบ ได้ทำหน้าที่ภรรยาและแม่อย่างที่ตั้งใจ ไม่เคยมีวันไหนที่ไม่มีความสุข แม้ไม่ร่ำรวย แต่ก็พอมีพอกินตามประสาชาวบ้าน นางคิดถูกแล้วที่เลือกชีวิตด้วยความรักมากกว่าหน้าที่
หลังจากทำความสะอาดลานกลางบ้านเสร็จ หญิงสาวเดินลัดเลาะผ่านห้องที่ลูกสาวนอนหลับอุตุ ใช้เชือกคล้องหัวปลาเก๋าตัวใหญ่ในตุ่มน้ำข้างห้องครัวขึ้นมาเตรียมอาหารเย็น
นางดึงเอามีดหั่นผักออกมาขอดเกล็ดปลาและควักเครื่องในทิ้ง ก่อนจะเอามันไปล้างให้สะอาดเตรียมตุ๋นน้ำแกงปลาสูตรลับของตระกูลอย่างช้าๆ ใส่เครื่องเคียงและสมุนไพรบำรุงกำลังอย่างหนิวชีและตังกุย ก่อนเติมเครื่องปรุงลงไปอีกเล็กน้อย ตบท้ายด้วยหัวไชเท้าหั่นบางอีกหลายกำมือ
เมื่อสุกได้ที่ ก็โรยขี้เถ้าใส่เตาลดความแรงของไฟ หันไปเตรียมผักดองและผัดเต้าหู้เพิ่มอีกเป็นอย่างสุดท้าย
“ท่านแม่ ให้ข้าช่วยได้หรือไม่?” เด็กหญิงตัวน้อยโผล่หัวผลุบโผล่อยู่ข้างประตู ดวงตากลมโตบ้องแบ๊วแฝงแววอยากได้บางสิ่ง มองไปที่หม้อบนเตาเขม็ง
กลิ่นแบบนี้...ข้างในต้องเป็นน้ำแกงปลาของโปรดนางแน่!
น้ำแกงชนิดนี้เป็นอาหารที่ใช้เวลาทำค่อนข้างนาน ท่านแม่จึงไม่ค่อยทำนัก ส่วนมากมักจะทำเพื่อบำรุงร่างกายท่านพ่อ และนางไม่มีสิทธิ์ได้กินเกินกว่าหนึ่งถ้วยน้ำชา ท่านแม่ใจร้าย! ไม่ยุติธรรมชัดๆ เพราะนางตัวเล็กท่านแม่จึงให้กินแค่นิดเดียว ผิดกับท่านพ่อที่ได้กินทั้งหม้อ เป็นเรื่องเดียวที่ทำให้นางเคืองท่านพ่อที่สุด
ถ้าได้เข้าไปข้างใน คราวนี้ล่ะ...จะแอบกินให้พุงน้อยๆกางเชียว
“เด็กขี้เซาอย่างเจ้าจะช่วยแม่ทำอะไรได้ นอกจากแอบกินและนอน หือ?” หญิงสาวถอนหายใจอย่างระอา สองมือสองตายังคงจดจ่ออยู่กับการหั่นเต้าหู้ให้มีขนาดเท่ากัน ถ้าเผลอเสียสมาธิเพียงเล็กน้อย เต้าหู้ที่นิ่มราวกับปุยเมฆจะแตกแลดูไม่น่าทาน จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ นางไม่คิดอนุญาตให้ลูกสาวจอมป่วนก้าวเท้าเข้ามาเด็ดขาด สวรรค์เท่านั้นล่ะที่รู้ว่าเด็กน้อยจะทำเรื่องน่าปวดหัวอะไร
ครั้นได้ฟัง เด็กน้อยก็ใช้มือเช็ดน้ำลายตรงมุมปากเพราะกลิ่นหอมในอากาศ ก่อนก้มหน้างุด บอกอ้ำอึ้งด้วยท่าทางเอียงอายว่า “ข้าช่วยพับผ้าได้นะ แล้วก็...แล้วก็ ก็...ช่วยท่านแม่ต้อนรับท่านพ่อหน้าประตูไงเจ้าค่ะ”
“แค่นั้นจะทำอะไรกินได้เล่า” ผู้เป็นมารดาหันมากวาดสายตาขึ้นลงมองดูสภาพหนูตกถังหมึกของลูกสาวอย่างพินิจพิจารณา ยิ่งมองคิ้วเรียวสวยยิ่งขมวดเข้าหากัน สองมือหยุดชะงัก ผละจากมีดทำครัวมายืนเท้าสะเอว “ตายแล้ว หน้าเจ้าดำเหมือนถ่านแบบนี้ ถ้าพ่อเจ้าเห็นได้วิ่งหนีหัวกระเซิงเป็นแน่ ไปล้างหน้าล้างตาซะ ถ้าไม่สะอาดห้ามเจ้ากินข้าวเข้าใจหรือไม่?”
“เจ้าค่ะ...” ลู่ซูจิ้งเดินหน้าม่อยคอตกไปที่ลำธารนอกบ้าน เพื่อล้างหน้าล้างมือตามคำสั่งมารดา
น้ำในลำธารเย็นเสียจนมือเรียวเล็กกระจ้อยร่อยสั่นสะท้าน เด็กน้อยกัดฟันแช่มือในน้ำนั้นจนรู้สึกได้ว่ามือทั้งสองข้างเริ่มไร้ความรู้สึก จึงยกขึ้นมาสะบัดแรงๆ ฝืนบังคับให้ตัวเองกลั้นหายใจเอาหน้าจุ่มลงไปในน้ำต่อ และเงยหน้าขึ้นจัดการใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กที่อยู่ข้างเอว ขัดๆถูๆทำความสะอาดตามใบหน้าและมือ หลังจากตั้งหน้าตั้งตาขัดจนสะอาด ก็รีบวิ่งกลับเข้ามาในบ้าน เพื่อหาวิธี แอบ เข้าไปในห้องครัวของท่านแม่อีกครั้ง
“ท่านแม่ข้าล้างหน้าเรียบร้อยแล้ว ให้ข้าช่วยได้หรือยัง?”
“เจ้าอยากทำงานหรือ จิ้งเอ๋อร์” ผู้เป็นแม่เบือนหน้าถาม รอยเปื้อนบนหน้ายังมีให้เห็นอยู่ประปราย แค่มองก็รู้แล้วว่าลูกสาวเจ้ามารยาของนางต้องการอะไร
“ใช่แล้ว” เด็กน้อยพยักหน้า ทำท่าทางภูมิอกภูมิใจที่ได้กิน เอ่อ...ช่วยงาน
“ดีมาก แม่ดีใจที่เจ้าเป็นเด็กดี” นางพยักหน้าหงึกๆ ก่อนชี้นิ้วไปที่แคร่ไม้ข้างประตู “เจ้าเห็นสมุนไพรที่วางเอาไว้ตรงนั้นหรือไม่? แม่จะให้เจ้าแกะมันออกและวางลงในตะกร้าทีละใบ ตอนที่วางเจ้าต้องระมัดระวังไม่ให้ใบของมันทับกันเพื่อกันความชื้น เข้าใจหรือไม่?ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยแม่”
เด็กหญิงเบิกตาโต ปากน้อยๆเริ่มเบะออกอย่างขัดใจทำท่าจะปฏิเสธ แต่เพราะใบหน้ายิ้มแย้มของท่านแม่ ที่ดูจะ...
“ได้” เด็กน้อยเอ่ยเสียงอ่อยเดินคอตกไปยังแคร่ไม้ เอาเป็นว่าข้ายอมช่วยท่านแม่หักใบไม้ทิ้งทีละใบยังดีกว่าถูกดุ
ลู่หนิงหนิงแอบหัวเราะเบาๆ เมื่อมองลูกสาวตัวน้อยเด็ดใบยี่หร่าวางผึ่งลมทีละใบ นางหันไปมองท้องฟ้าเล็กน้อยก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำอาหารต่อ จวนได้เวลาที่สามีนางจะกลับแล้ว
หมู่บ้านหนิงหลิน ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างเขาเจิ้นซานตะวันออกและเขาหานเฟิงตะวันตก ไกลจากเมืองหลินอันหลายสิบลี้ ใช้เวลาในการเดินทางหลายสิบวัน เป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆกลางป่าเขาที่มีผู้คนอาศัยอยู่ไม่ถึงร้อย เนื่องจากดินในพื้นที่ไม่อุดมสมบูรณ์มากนัก ทำให้ปลูกพืชผักสวนครัวได้เพียงเล็กน้อยไม่พอกับการประกอบอาชีพ แม้จะปลูกได้ ผักเหล่านั้นก็มักจะลีบเล็กไม่น่าทาน ทุกครัวเรือนจึงทำอาชีพล่าสัตว์ประทังชีวิต ไม่ว่าจะเป็นหนังของหมีภูเขาหรือแม้แต่เขากวางป่า ต่างก็เป็นสินค้าที่ขายได้ราคา โดยเฉพาะกับกองคาราวาน ที่เดินทางมารับซื้อสินค้าและค้าขายทุกวันที่สิบของเดือน สามีของนางมักจะล่าสัตว์จำพวกหมีขาวหายากมาแลกกับของที่พวกนางแม่ลูกจำเป็นต้องใช้ ทั้งกระดาษ พู่กัน เครื่องนุ่งห่ม ไปจนข้าวสารอาหารแห้ง ได้เสียทุกครั้ง
อย่างเช่นวันนี้ สามีของนางแบกหนังหมีสีขาวดุจหิมะแรกเหมันต์ ที่ล่าได้เมื่อสามวันก่อนเข้าไปในหมู่บ้านตั้งแต่เช้า โชคดีที่ข้าวสารในหม้อดินเผาเหลือพอหุงหม้อสุดท้าย ช่วยไม่ได้ที่สามีกับลูกของนางชอบกินข้าวขาวๆทุกวัน ข้าวสารจึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อครอบครัวเราที่สุด
บ้านหลังนี้ อยู่ห่างจากถนนสายหลักของหมู่บ้านค่อนข้างไกล ใช้เวลาเดินเท้าประมาณสองชั่วยาม ใกล้กันนั้นเป็นลำธารกว้างและป่าไผ่ เป็นสภาพแวดล้อมที่ดีสุขสงบยิ่งนัก กำแพงไม้ไผ่นอกบ้านแม้ไม่สูง แต่ก็แลดูแข็งแรงคงทน เครื่องเรือนส่วนใหญ่แม้จะมีลักษณะหนาเทอะทะแต่เน้นประโยชน์ใช้สอยเป็นหลัก
นางรักที่นี่มาก เพราะของทุกชิ้นแม้แต่บ้านทั้งหลัง เป็นสามีผู้อ่อนโยนสร้างด้วยตนเองทั้งหมด
ไม่น่าเชื่อว่ายอดคนผู้หนึ่ง จะกลายเป็นชายหนุ่มที่ตัดขาดจากโลกภายนอก สามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อนางและลูก
“กลับมาแล้ว”
ทันทีที่ลู่ฉางเซิงก้าวเท้าสู่ลานหน้าบ้าน เด็กหญิงตัวน้อยพลันโผล่หัวออกมาจากเรือนด้วยใบหน้าดีใจ วิ่งแล่นถลาเข้าหา
“ท่านพ่อ! ท่านกลับมาแล้ว”
มุมปากของผู้เป็นพ่อโค้งเป็นรอยยิ้ม วางห่อผ้าขนาดใหญ่สองห่อบนหลังที่บรรจุข้าวของเครื่องใช้มากมาย พร้อมกับคานไม้ที่เต็มไปด้วยข้าวสารมัดใหญ่สองมัดลงบนพื้น เพื่อย่อตัวอุ้มร่างเล็กๆของตุ๊กตาตัวน้อยเข้าสู่อ้อมกอด
“เสี่ยวลู่ เจ้าเอาหน้าไปคลุกกับหมึกมาหรืออย่างไร?”
เด็กน้อยได้ยินแล้วหน้าหงิกลงทันที ซ้ำยังค้อนฟ้าค้อนดินไปเรื่อย เป็นนัยว่ามันเป็นเรื่องปกติที่หน้าเล็กๆต้องเจอ หลายครั้งหลายหนแล้ว แม้จะเอาหน้าจุ่มน้ำเสียหลายสิบรอบ คราบดำพวกนี้ยังไม่ยอมวิ่งหนีไปเสียที
ผู้เป็นพ่อหลุดหัวเราะออกมา ฝ่ามือหนาหยาบกร้านสีน้ำตาลลูบหัวลูกสาวสุดที่รัก ค่อยๆวางร่างเล็กลงก่อนใช้เศษผ้าที่ชายเสื้อเช็ดคราบหมึกสีดำออกให้
“ท่านพี่ ท่านคิดว่าข้าว่างงานใช่หรือไม่?”
ลู่ฉางเซิงมองภรรยาที่เดินเข้ามาหายิ้มๆ เรือนร่างบอบบางในชุดสีฟ้าอ่อนดูอวบอิ่มขึ้นหลังจากคลอดลูกสาว ทำให้นางที่เคยงดงามอยู่แล้วกลับงามขึ้นไปอีก แม้ว่าจะสวมเสื้อผ้าธรรมดา แต่ก็ไม่อาจปิดบังความงามเลิศล้ำได้ ริมฝีปากสีแดงระเรื่อดุจผลอิงเถา ดวงตาคู่สวยหวานซึ้งทอประกายใสกระจ่างกำลังเพ่งมองเขาอยู่ ดวงหน้างามเหมือนดอกเหลียนฉายแววหงุดหงิดแกมระอาออกมา
เอ่อ...เขาทำให้นางโกรธอีกแล้วหรือ?
ลู่ฉางเซิงเริ่มรู้ตัวว่าทำเสื้อผ้าเปื้อนต่อหน้าภรรยา รีบเดินเข้าไปกอดร่างบางอย่างคลอเคลียหวังให้อีกฝ่ายหายโกรธ
“ท่านนี่นะ ตามใจซูจิ้งจนเหลิงแล้ว! เด็กคนนี้เพาะเลี้ยงแมลงขี้เกียจเอาไว้เต็มท้อง แค่คำว่าภูเขาตั้งแต่เช้ายังเขียนไม่ได้ซักตัวเดียว นางใช่ลูกข้าแน่หรือไม่”
“ลูกยังเล็ก ไม่จำเป็นต้องหักโหม ข้ารู้ว่าเจ้าอยากให้ลูกของเราเก่งเหมือนเจ้า ส่วนเรื่องใช่ลูกของเจ้าหรือไม่นั้น ต่อให้คนตาบอดยังรู้เลย ทั้งใบหน้าทั้งผิวพรรณล้วนเหมือนเจ้าทั้งสิ้น เจ้าคือหญิงที่งามที่สุดในสายตาข้าเสมอ”
นางโบกผ้าขี้ริ้วในมือด้วยท่าทางเหนียมอายอยู่บ้าง ขณะกล่าว “เรื่องนั้นช่างเถอะ ว่าแต่คราวนี้ได้ของมาครบไหม”
ลู่ฉางเซิงหัวเราะเมื่อเห็นแก้มขาวนวลร้อนผ่าวแดงเป็นลูกตำลึง หันไปแบกของทั้งหมดเข้าบ้านโดยไม่ลืมอธิบายถึงของที่ได้มาไปด้วย
กลางคืนดึกสงัด สายลมกรรโชกพัดพาไอเย็นของต้นฤดูหนาวกระจายไปทั่ว ความมืดของรัตติกาลแผ่ขยาย ผืนเมฆดำทะมึนพลันลอยเคลื่อนมาบดบังแสงจันทร์ ที่สาดส่องผ่านต้นสนร้อยปีอย่างรำไร ยามท้องฟ้ามืดมิดไร้แสงดาวและเดือน แทบจะไม่มีผู้ใดออกมาเดินเพ่นพ่านนอกเสียจากสัตว์ป่าเจ้าแห่งราตรี
ร่างสามร่างในชุดสีดำปิดใบหน้า แฝงเร้นกายอยู่ภายใต้เงาไม้ ต่างก็เร่งวิชาตัวเบารุดไปข้างหน้า หลบหนีอะไรบางอย่างที่ตามมาอยู่เบื้องหลัง สิ่งที่คร่าชีวิตพี่น้องหลายสิบรายอย่างไร้ปราณี เสียงหอบหายใจกระชั้นชิดของทั้งสาม บ่งบอกถึงขีดจำกัดของร่างกายที่อ่อนล้าจากการเสียเลือด หยดเลือดน้อยใหญ่พร่างพรมดุจดอกโลหิตแดงฉานตลอดทาง จะเรียกว่าวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนยังน้อยไป
ดาบใหญ่ใบมีดกว้างราวหนึ่งฝ่ามือ บริเวณสันดาบมีอักษรสลักว่า ดาบวงพระจันทร์ เป็นหนึ่งในสิบอาวุธชั้นยอดที่ปรมาจารย์ตงเว่ยสุดยอดนักตีดาบอันดับหนึ่งของยุคสร้างขึ้น ปลายดาบที่เคยโค้งมนสวยงามราวจันทร์เดือนเสี้ยว บัดนี้ได้หักครึ่งเป็นเส้นตรง ราวกับถูกตัดขาดด้วยอาวุธชั้นสูง ด้ามดาบถูกพันด้วยผ้าขนสัตว์สีดำเนื้อนุ่ม ปลายด้ามมีพู่ไหมราคาแพงสีม่วงห้อยเอาไว้ ตรงปลายของมันเป็นหยกสีขาวรูปเสือขนาดเท่ากำปั้น ซึ่งเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดดำคล้ำและแห้งกรังของผู้ที่เป็นเจ้าของ
ทั้งสามต่างก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นไปอีก เมื่อเสียงไล่ล่าจากทางด้านหลังใกล้เข้ามา
แต่เนื่องจากพวกเขาเร่งรุดหนีมาตลอดสามวันสามคืน ไม่มีเวลาแม้แต่พักหยุดหายใจ ความแข็งแกร่งที่เคยมีล้วนหมดสิ้น แค่พยุงร่างกายอันเหนื่อยล้าใช้วิชาตัวเบาได้ก็ย่ำแย่เต็มที เหล่าพี่น้องที่เคยกอดคอกันดื่มสุราพากันทยอยตายทีละคนสองคน จากสามสิบเจ็ดเหลือเพียงแค่สามเท่านั้น พวกมันเก่งเกินไปราวกับไม่ใช่มนุษย์
“นายท่าน! ข้าว่าท่านรีบหนีไปก่อนเถอะขอรับ พวกข้าสองคนจะล่อพวกมันไปอีกทางเอง”
บุรุษชุดดำผู้ที่มีปานสีแดงรูปจันทร์เสี้ยวใต้ตาซ้ายเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน พร้อมทั้งช่วยพยุงร่างของเจ้านายที่บาดเจ็บบริเวณช่องท้องด้านซ้ายไว้ เขาไม่คิดว่าจะมีใครรอดไปได้ ถ้าไม่มีใครสักคนเสียสละ เขายอมตายเพื่อปกป้องเจ้านาย แม้ตายก็ไม่เสียดายชีวิต!
“จี้เหิน เจ้าจงนำสิ่งนี้หนีไปก่อน จำเอาไว้ว่าต้องส่งให้ถึงมือท่านผู้นั้นเข้าใจหรือไม่ ส่วนข้ากับไท่สงจะล่อพวกมันไปอีกทางเอง”
“แต่ว่า...นายท่าน!”
ฝ่ายผู้เป็นนายหาได้กลัวตายไม่ เสียงดุดันเอ่ยขึ้นไม่สนใจเสียงทักท้วงของทั้งสอง ผลักถุงผ้าสีดำที่บรรจุกล่องไม้สนแดงขนาดครึ่งจั่นส่งให้จี้เหิน ข้างกล่องมีสลักล็อคสีทองและสัญลักษณ์ของนกกระสาสีเงินสองตัวกำลังฟ้อนรำประทับอยู่ ตรงปลายของกล่องทั้งสองด้าน มีกุญแจทองคำขนาดเล็กอีกสองดอกปิดผนึกเอาไว้ ราวกับว่าสิ่งที่อยู่ภายในนั้นมีค่ามหาศาล กับคัมภีร์บุด้วยผ้าไหมสีน้ำเงินเข้มสามเล่ม ประทับอักษรด้วยผงทองคำว่า คัมภีร์ไร้ใจ
จี้เหินเอื้อมมือรับสิ่งที่ทำให้พรรคพวกของตนตายอย่างอนาจอย่างจำใจ นัยน์ตาเรียวเล็กสีดำเอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตา เพ่งมองไปที่เจ้านายและเพื่อนรักเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะพลิ้วกายเร่งฝีเท้าแยกออกมาอีกด้านหนึ่งทันที
ร่างของจี้เหินลับตาหายไปจากยอดสนพร้อมกับสิ่งนั้น ภายในกล่องนั้นมีบางอย่างที่สำคัญมาก เขาได้รับมอบหมายให้ทำทุกวิถีทางเพื่อส่งถึงคนผู้นั้น ในเมื่อรับค่าจ้างมาแล้วก็ต้องทำให้ถึงที่สุด ไม่ว่าจะเป็นหรือตายล้วนพอใจ มือหนาสีน้ำตาลคล้ำเอื้อมกระชับผ้าคลุมหน้าสีดำให้แน่นหนายิ่งขึ้น เตรียมเร่งฝีเท้าให้ไวกว่าเดิม
ไม่คาดคิดว่า ในเวลานั้นเองเสียงตวาดเย็นเยียบเสียงหนึ่งดังก้องขึ้นจากทางด้านหลัง
เสียงที่ดังขึ้นทำเอาทั้งสองรู้สึกคล้ายหัวใจถูกบีบรัด เย็นวาบไปทั้งสันหลัง โดยไม่รั้งรอให้เจ้าของเสียงอันดุดันตามมาได้ทัน เขาก็พุ่งตัวไปข้างหน้าเต็มแรงด้วยพลังเฮือกสุดท้าย สายลมในยามค่ำคืนแม้จะหนาวเย็นเสียดกระดูกเพียงไร ก็ไม่อาจทำให้เหงื่อที่พรั่งพรูดุจสายน้ำหวงโหวเหือดแห้งไปได้ ทั้งสองต่างเหนื่อยล้าและอ่อนแรงจนแทบจะใช้วิชาตัวเบาไม่ได้อยู่รอมร่อ
พลังขุมหนึ่งแหวกอากาศ อัดกระแทกเข้ามาที่กลางแผ่นหลังของไท่สง พลังจู่โจมนั้นรุนแรงและรวดเร็วยิ่ง เลือดสีแดงสาดกระเซ็นดุจสายฝนทะลักพร่างพรม เสียงของกายเนื้อที่กระแทกกับต้นไม้ใหญ่ดังสนั่นไปทั่วบริเวณ กระดูกแหลกละเอียด วิญญาณออกจากร่างแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ฝ่ามือไร้รัก... แม้จะไม่สมบูรณ์ก็พอจะทำให้ผู้ที่โดนตายแบบทันที
“ไท่สง!”
“คิดจะหนีอย่างนั้นหรือเจ้าหัวขโมย? ถ้าเจ้าสามารถก็ลองดู...” น้ำเสียงโหดเหี้ยมเย็นเฉียบดังขึ้นดุจภูตผี
ทันใดนั้น เบื้องหน้าพลันปรากฏบุรุษชุดสีน้ำเงินพลิ้วกายลงมาขวางเขาไว้ ผู้ไล่ล่ามีเรือนร่างสูงโปร่งแลดูบอบบาง เรือนผมสีดำดุจรัตติกาลยาวสยายปลิวไปตามแรงลมดุจไร้น้ำหนัก ดวงตาคมกริบเรียวเล็กดูเอื่อยเฉื่อยฉายแววสนุกกับการเข่นฆ่า คิ้วคมเข้มรับกับจมูกคมสัน ริมฝีปากบางที่เผยรอยยิ้มน้อยๆออกมานั้น คล้ายจะเอื้อนเอ่ยวจีอยู่ตลอดเวลา ใบหน้าหล่อเหลาคมคายแลดูสุภาพเหมือนบัณฑิตมากความรู้ บางมุมจะคล้ายคลึงอิสตรีเสียแปดส่วน แต่ล้วนแฝงไปด้วยกลิ่นอายอำมหิตและรังสีแห่งการเข่นฆ่า โดยเฉพาะแววตาหิวกระหายในการต่อสู้
เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่นั้นเป็นผ้าไหมทอมือราคาแพงลิบ สีน้ำเงินเข้มขอบดำมีลวดลายของนกกระสาสีเงินดิ้นทองปักอยู่ทั่วผืน เส้นด้ายสีเงินทำมาจากแร่เงินแท้ ผ่านกรรมวิธีมากมายนับไม่ถ้วน ถูกรีดและบีบจนกลายเป็นเส้นด้ายเหมือนบางเบาขาดง่ายแต่คมกริบดุจคมมีด เช่นเดียวกันกับด้ายที่สีทองที่ทำมาจากทองคำบริสุทธิ์ บ่งบอกถึงความร่ำรวยและยิ่งใหญ่ของผู้ใส่ได้เป็นอย่างดี ผู้ที่ใส่เสื้อผ้าสีและลวดลายเหล่านี้ มีเพียงผู้เดียวเท่านั้น
“ซุนจี้เสียน...เจ้า!”
ผู้บุกรุกเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดันคลั่งแค้น แม้จะรู้ว่าฝีมือมิอาจเทียบชั้นได้ แต่ก็ดีกว่าตายโดยไม่ได้ประมือ เขาทุ่มพลังไปที่ฝ่าเท้าเพื่อกระโจนเข้าใส่อีกฝ่าย ดาบหักกลางตวัดเข้าใส่ใบหน้างดงามดุจมารร้ายหลายต่อหลายครั้ง ซุนจี้เสียนสามารถรับการโจมตีทั้งหมดได้ด้วยปลายนิ้ว ท่วงท่าสบายๆราวกับกำลังเดินเล่นอยู่ภายในสวนดอกไม้ มินำพาต่อดาบหักๆที่แทบจะใช้การไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
“ช่างดื้อด้านยิ่งนัก ตายซะ” บุรุษชุดน้ำเงินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงดูเลื่อนลอยเบื่อหน่ายแต่แฝงไปด้วยกลิ่นอายสังหารผู้คน
“เหอะ! เจ้าหาว่าพวกข้าเป็นขโมยอย่างนั้นหรือ ช่างน่าหัวร่อ ผู้ที่เป็นขโมยคือเจ้าต่างหากเล่า!”
กระบี่สีเงินคมกริบเล่มหนึ่งพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว เสียงแหวกอากาศรุนแรงเสียจนบุรุษชุดดำรีบคว้าดาบวงพระจันทร์ขึ้นมาตั้งรับ อาวุธทั้งสองปะทะกันรุนแรง เสียงโลหะกระทบดังสนั่น ฝ่ายผู้บุกรุกออกกระบวนท่าจู่โจมซุนจี้เสียนด้วยพลังทั้งหมดที่มี พร้อมทั้งต้านทาน ตั้งรับ ทั้งรุกและสกัดกั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย
ไหนเลยมดจะสู้น้ำได้ เพียงแค่ชั่วพริบตา ดาบวงพระจันทร์หักๆก็หลุดจากมือผู้บุกรุก เมื่อพลังสายหนึ่งที่ซุนจี้เสียนปล่อยออกมากระแทกเข้ากลางลำตัวบุรุษชุดดำเต็มแรง เขากระอักเลือดสีดำคล้ำออกมามิขาดสาย
“ฉึก!”
ปลายกระบี่แทงทะลุกลางอกของหัวขโมยผู้บ้าบิ่น สีหน้าของซุนจี้เสียนยังคงนิ่งเฉยมีแค่รอยยิ้มระคนเบื่อหน่าย เพราะอีกฝ่ายเป็นเพียงแค่หมาจนตรอกที่สู้อย่างไรก็ไม่มีทางชนะเขาได้
“ของๆข้าอยู่ไหน”
“เหอะ...ต่อให้ข้าตาย ข้าก็ไม่มีวันบอกเจ้า อ้าก!” เสียงแหบแห้งพยายามเปล่งคำพูดสาแก่ใจออกมา แต่ก็มิวายร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เมื่ออีกฝ่ายจับกระบี่ที่เสียบทะลุร่างเขาบิดไปมาราวกับการเล่นสนุก
“บอกมา!” ซุนจี้เสียนมีสีหน้าอำมหิตขึ้นมาชั่วแวบหนึ่ง ก่อนจะแย้มยิ้มรื่นรมเฉกเช่นเดิม “พวกไร้ประโยชน์”
“เจ้า...ไม่มีวันได้ในสิ่งที่ต้องการ ปะ ป่านนี้ สิ่งนั้น... คงไปไกลแล้ว อึก...”
ซุนจี้เสียนส่ายหน้าอย่างระอา “ข้าไม่ได้โง่หรอกนะเจ้าสำนักเงา ฉีเฟย ระหว่างที่เราสู้กันอย่างรื่นรมย์ที่นี่ ข้าได้ส่งลูกน้องคู่ใจหลายคนไปเล่นสนุกเป็นเพื่อนลูกน้องเจ้าเรียบร้อยแล้ว ป่านนี้...ไม่ตายก็พิกลพิการ ข้าใจดีใช่หรือไม่?”
“เจ้า! อึก...” เสียงกระบี่ถูกดึงออกดัง สวบ! ผู้บุกรุกสะดุ้งเฮือก นอนหอบฮัก หัวใจเต้นรัว ไร้สิ้นเรี่ยวแรงอยู่บนพื้นที่เต็มไปด้วยใบไม้แห้งเปื้อนเลือด สีหน้าซีดเซียว ลมหายใจอ่อนรวยริน
ชายฉกรรจ์แม้มิได้ฉลาดหลักแหลม หากก็มิได้โง่เขลาเบาปัญญาจนถึงขนาดฟังไม่ออกว่าชะตากรรมของลูกน้องคงได้ดับดิ้นไปพร้อมกับเขาเสียแล้ว ตลอดสามสิบปีที่อยู่ในยุทธภพ เขาไม่เคยพ่ายแพ้แก่ผู้ใดมากก่อน ไม่ว่าภารกิจร้ายแรงสาหัสเพียงใด คนอย่างฉีเฟย บุรษผู้เดินตามเงาสามารถกระทำได้ทั้งสิ้น ยกเว้นภารกิจในครั้งนี้ที่คู่กรณีเก่งกาจเกินไป หรือไม่เขาก็แก่เกินกว่าจะสู้กับคนหนุ่มสาวเหล่านี้ได้
ภาพสุดท้ายคือซุนจี้เสียนที่ยกปลายกระบี่เปื้อนเลือดสีแดงชาดขึ้นมาจรดที่ริมฝีปาก ปลายลิ้นค่อยๆไล้เลียตามคมกระบี่อย่างช้าๆ แลดูเย้ายวนและน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก นัยน์ตาสีดำมืดมิดหรี่ลงเล็กน้อยก่อนจะตวัดมือมาทางเขาเบาๆ
ศรีษะของผู้บุกรุกหลุดแยกออกจากร่างกายทันที ซุนจี้เสียนจิกมือลงไปที่มวยผมของหัวที่ดวงตายังคงเบิกโพลง ราวกับไม่รู้ตัวว่าหลุดออกจากร่างกายเสียแล้ว พร้อมกับยกขึ้นมาดูราวกับกำลังพิจารณาเครื่องลายครามราคาแพง และเดินจากไปท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี
ฝ่ายจี้เหินที่เร่งฝีเท้าทะยานไปตามยอดไม้ เขารู้ว่าทำไมท่านหัวหน้าถึงได้ให้เขาเป็นผู้ถือของเหล่านี้หนีมา ในสำนักมีเพียงเขาและท่าหัวหน้าเท่านั้นที่มีวิชาตัวเบาเป็นเลิศ พอที่จะหลบหนีได้ไกลหลายสิบลี้ในหนึ่งราตรี
ทั้งสองอาจจะรอดก็เป็นได้ หรือเขาควรกลับไปช่วย...
ขณะที่จี้เหินกำลังกระวนกระวายไม่รู้จะทำเช่นไรดี จู่ๆก็มีเสียงวัตถุพุ่งผ่านอากาศ อาวุธลับมากมายพุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็ว เสียงใบไม้กระทบกันซู่ซ่า เพียงชั่วพริบตาก็เห็นเงาหลายสายปรากฏขึ้นตรงหน้า
ชายฉกรรจ์สี่คน ตวัดอาวุธในมือใส่ร่างของผู้บุกรุกแบบไม่ยังมือ โชคดีที่จี้เหินเตรียมการตั้งรับป้องกันมิให้ร่างกายขาดเป็นสองท่อนได้ทันท่วงที
“มอบสิ่งนั้นมาซะ พวกข้าจะไม่ทรมานเจ้ามากเกินไป” บุรุษผมแดงในชุดเครื่องแต่งกายสีเขียวมรกตทั้งร่าง ยืนตระหง่านภายใต้แสงจันทร์ ใบหน้าคมคายหล่อเหลาฉายแววดุร้าย สายตาคมกริบประหนึ่งเครื่องมือสังหารมีชีวิต เบื้องหลังคือสามบุรุษผู้ไร้พ่าย
“อยากได้ก็เข้ามา” จี้เหินยืนหยัดตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะยอมตายเพื่อปกป้องมัน ไม่ให้ผู้ใดหน้าไหนได้ไป เขาตวัดกระบี่ในมือออกเป็นวงกว้างเพื่อเว้นระยะห่าง ก่อนจะซัดกระดุมเหล็กบนมือใส่ร่างทั้งสี่ในพริบตา
ทั้งสี่สบตากัน ชักกระบี่ออกมาอย่างพร้อมเพรียง ต่างก็ฟาดฟันใส่ร่างผู้บุกรุกพร้อมๆกัน
จี้เหินพยายามใช้ความไวของเท้าและความยืดหยุ่นของร่างกายที่ผิดคนทั่วไปหลบหลีก เคลื่อนกายไปทางนั้นทางนี้กลางดงกระบี่ไร้ตา เมื่อเห็นช่องว่างเขารีบควักผงพิษคันคะเยอออกมาใส่คนทั้งสี่ เป็นการถ่วงเวลาใช้พลังภายในรุดหน้าไปต่อโดยมิย่อท้อ
“มารดามันเถอะ! รีบๆฆ่ามันเสีย” บุรุษหน้าดำร้องโหวกเหวก ทั้งหงุดหงิดทั้งโมโหเพราะอาการคันยุบยิบทั่วร่างกาย แม้จะไม่เจ็บปวดก็มากพอให้รำคาญใจ ดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงมดตัวกระจ่อยร่อย ทั้งเล็กทั้งไร้ค่าแต่ก็มิใช่ว่าจะไร้พิษสง
“ตามไป!” บุรุษผมแดงตะโกนสั่ง พลิ้วกายตามผู้ที่หนีไปอย่างกระชั้นชิด
ฝ่ายผู้บุกรุกที่อาศัยจังหวะหลบหนีมาได้ รีบทะยานผ่านยอดไม้ให้ไวกว่าเก่า กระทั่งกำลังภายในแทบหมดสิ้นในหนึ่งชั่วยามต่อมา จึงหยุดพักหายใจบริเวณเนินเขาริมน้ำตกสูงชันกลางพงไพร
ไม่กี่อึดใจร่างทั้งสี่สายก็โผล่ขึ้นมากลางอากาศ บุรุษหน้าบากตวัดปลายกระบี่ใส่กลางหลังของผู้บุกรุก ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะตายหรือไม่ ขอเพียงได้แก้แค้นผู้ลงมือสาดผงคันคะเยอใส่ได้เป็นพอ
“ฮ่าๆๆ วิทยายุทธแบบแมวสามขาของเจ้า คิดเหรอว่าจะหนีข้าพ้น” บุรุษผมแดงแค่นยิ้มนัยน์ตาอำมหิต เตรียมปลิดชีพอีกฝ่ายในดาบเดียว ยังไม่ทันได้แสดงฝีมือ ลูกน้องข้างกายกลับกระโจนโรมรันกับอีกฝ่ายเสียก่อน
จี้เหินฉวยจังหวะก่อนที่หนึ่งในนั้นจะโถมตัวฟาดคมดาบเข้าใส่ เขาเบี่ยงกายไปด้านข้าง เป็นผลให้บุรุษหน้าบากถลาลงไปกองกับพื้น เตะกระบี่ในมือให้หลุดกระเด็น ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบวิถีอาวุธของพวกที่เหลือ จากนั้นใช้ฝ่ามือซัดเข้าใส่กระบี่เล่มหนึ่งจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
“ไอ้หัวขโมย! ต่อให้ติดปีกเจ้าก็หนีพวกข้าไม่พ้น” กล่าวจบบุรุษผมแดงก็ไม่เปิดโอกาสให้ผู้บุกรุกได้ตอบคำ กระโจนร่างปราดเปรียวตวัดกระบี่คู่ในมือใส่ด้วยท่วงท่าดุจร่ายรำ ทุกการโจมตีล้วนดุดันและรุนแรง แม้จี้เหินจะเก่งด้านการต่อสู้มากเพียงไรก็ไม่อาจเทียบเท่าอีกฝ่ายได้ ภายในสามกระบวนท่า เขาก็ถูกแทงเข้าที่กลางลำตัวและแขนซ้าย
หากปล่อยเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าเขาจะต้องสูญเสียสติสัมปชัญญะจนหมดสิ้นเพราะเลือดไหลหมดตัวเป็นแน่
จี้เหินตัดสินใจใช่พลังภายในทั้งหมดที่มี ฟาดใส่พื้นดินเต็มแรง
เสียงระเบิดดังสนั่นไปทั่วบริเวณ ทั้งเศษดิ้นใบไม้และหญ้ารวมทั้งฝุ่นละอองคละคลุ้งในอากาศ วิสัยทัศโดยรอบพร่ามัว เมื่อฝุ่นควันจางลง ร่างของผู้บุกรุกก็สลายไปในอากาศ
“แย่แล้ว! มันหนีไปแล้วทำอย่างไรดีท่านเว่ย” บุรุษหน้าบากหันไปถามชายชุดเขียวด้วยอาการตื่นตระหนก ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าพวกเขาจะตายอย่างอนาจเพียงไร เมื่อนายท่านรู้ว่าผู้บุกรุกหายไปอย่างไร้ร่องรอย
นายท่านไม่ใช่ผู้ที่ปล่อยให้คนกระทำผิดลอยนวล พวกเขาต้องตายแน่!
เว่ยหานมองหาร่องรอย อีกฝ่ายจงใจระเบิดพื้นดินเพื่อสร้างโอกาสหนีให้ตนเอง บริเวณนี้เป็นสถานที่สูงชันไม่มีทางที่ผู้บุกรุกจะเล็ดลอดสายตาพวกเขาไปทางป่าด้านหลังได้โดยง่าย จะมีก็แต่โดดลงไปจากตรงนี้เท่านั้น “พวกเจ้าสองคนไปทางนั้น ข้ากับเจ้าหม่าหลงจะลัดเลาะไปตามลำธารสายนี้เอง หาดูให้ทั่วห้ามพลาดแม้แต่น้อย ไม่อย่างนั้นพวกเราได้หัวหลุดจากบ่าแน่ ต่อให้เป็นแค่ศพก็ต้องพากลับมา เข้าใจหรือไม่!”
“ขอรับ!” ทั้งสามรับคำสั่ง และปฏิบัติตามทันที ภาวนาอย่าให้นายท่านมาถึงก่อนเจออีกฝ่ายเถอะ
ลู่ฉางเซิงพลันรู้สึกตัวขึ้น เมื่อได้ยินเสียงอะไรบางอย่างแว่วมาจากภายนอก ดวงตาทั้งคู่เริ่มคุ้นกับความมืดทีละน้อยๆ ในความมืดนั้นเขาเห็นร่างบอบบางร่างหนึ่งนอนอยู่ข้างกาย ถัดไปเป็นร่างเล็กๆของเด็กหญิงตัวน้อย
เขาพยายามยันกายขึ้นมองไปรอบๆห้องนอน
มีบางอย่างไม่ถูกต้อง
ทันใดนั้นเสียงร้องดังแว่วมาจากที่ไกลๆ แม้แผ่วเบากลมกลืนกับเสียงลม สำหรับคนที่ฝึกวรยุทธเช่นเขากลับได้ยินอย่างชัดเจน เขารับพุ่งไปที่ตู้เสื้อผ้าข้างเตียงนอน รื้อกองผ้าออกจนพบสิ่งที่ต้องการ
“ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้น...” ลู่หนิงหนิงเอ่ยถาม ลืมตาอันสะลืมสะลือตื่นขึ้นเพราะร่างอันอบอุ่นข้างกายหายไป และตื่นเต็มตาเมื่อเห็นผู้เป็นสามีถือกระบี่คู่กายที่ไม่ได้เห็นมานานนับเก้าปีอีกครั้ง “ท่านจะไปไหน...”
สามีของนางไม่เคยจับกระบี่อีกเลยนับตั้งแต่ซูจิ้งเกิด เพราะอะไรกัน?
“ มีบางอย่างข้างนอกนั่น ข้าจะออกไปดูสักหน่อย อยู่แต่ในนี้อย่าออกไปไหนเข้าใจหรือไม่ ” ลู่ฉางเซิงกระซิบเสียงเบา ใช้สายตาปลอบประโลมผู้เป็นภรรยาไม่ให้ตื่นตระหนกจนเกินไป ก่อนรีบเร่งฝีเท้าออกจากบ้านตามเสียงนั้นไป
เมือพ้นประตู ลู่ฉางเซิงกระโดดขึ้นยืนอยู่บนหลังคาบ้านด้วยฝีเท้าไร้น้ำหนัก มองไปรอบๆตัวบ้านที่เงียบสงบ จะมีก็แต่เสียงลมพัดใบไผ่ให้ลู่ตามลมสลับกับเสียงน้ำในลำธารเท่านั้น เพื่อหาที่มาของเสียงประหลาด
เสียงที่คล้ายกับคนร้องครางออกมาด้วยความเจ็บปวด ดังขึ้นข้างโตรกหินไม่ไกลจากเรือนหลังนี้มากนัก
เขารีบพริ้วกายไปที่นั่น ภาพที่เห็นคือชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งครึ่งตัวบนนอนคว่ำหน้าอยู่บนก้อนหินลักษณะคล้ายถั่วดำที่เสี่ยวจิ้งเคยวาดรูปปลาเล่น ครึ่งท่อนล่างจุ่มอยู่ในน้ำ นอนหายใจรวยรินรอความตาย กลิ่นความเลือดคละคลุ้งในอากาศ เมื่อตรวจชีพจรดูก็รู้ว่ายังไม่ตาย กระดูกขาและแขนหักเหมือนตกจากที่สูงชัน ไม่รวมบาดแผลจากคมกระบี่ตามร่างกาย ถ้าไม่รีบรักษาเกรงว่าคงไม่รอดพ้นคืนนี้
ความคิดเห็น