ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กบฏชาติบัลลังค์เลือด

    ลำดับตอนที่ #1 : ปฐมบทสองขุนศึก

    • อัปเดตล่าสุด 7 ส.ค. 53


    .......................... “ดูผู้คนพ่อค้าแม่ค้าบริเวณนี้คึกคักนัก  ผู้คนมากหน้าหลากตา หนุ่มสาวร้องรำทำเพลงเกี้ยวพาราศีกัน น่าชมนัก”      ………แหม่ ท่านก็ทำเหมือนมิเคยเห็น ท่านขุนราชสิงห์ขร(สิงห์)......           “ข้าหมายถึง น่าดู  น่ามองดีแท้ หาใช่มิเคยเห็น ข้าคงจากที่นี่ไปเสียนานน่ะ ท่านขุนจ่าแสนยากร”(แสน)         …….ก็ใช่สิ ท่านกับข้าไปรับราชการกับท่านพระยากำแพงเพชรเสียนานนม เอ....ว่าแต่คงไม่ได้แค่น่าชม น่ามองกระมัง ท่านคิดถึงใครรึ บอกมาเถิด  รึมิใช่....      “แหม่ ไอ้นี่รู้ไปเสียหมด” (ไอ้สิงห์อมยิ้ม แล้วมองไปที่แม่น้ำ)   “ว่าแต่อีจำปาจะลืมข้าไปรึยัง อาจออกเหย้าออกเรือนไปเสียแล้วกระมัง”         ….โธ่ถัง  จะมาพร่ำบ่นทำอันใดเล่าท่าน ก็ไปเยี่ยมแม่หญิงสิปัทโธ่
    “ข้ามิกล้าไปดอก มิกล้าแม้แต่จะรับสภาพ หากนางนั้นจักมีอื่นไปแล้ว”
    ….ท่านจะคิดมากไปไย อย่างน้อยก็ได้พบมิใช่รึ เฮ่อ ....อันพวกเราเป็นข้า ข้าแห่งพระเจ้าแผ่นดิน ทหารกล้าแห่งกรุงศรี แล้วก็....               “ท่านขุนจ่า  ข้าจักไปเยี่ยมนางบัดเดี๋ยวนี้ จักไป รือ จักพล่ามอยู่ที่นี่”         (ไอ้สิงห์หันมาพูดทีเล่นทีจริง ด้วยรำคาญเต็มที่แล้วหันหลังเดินไป)         ....โธ่!!ไปสิท่าน รอข้าด้วย)))))))...

    “ถึงบ้านคลองสวนพลูใจคิดถึง
    ยังคะนึงถึงแต่เธอมิรู้หาย
    ภาพสองเราเคยอิงแอบแนบชิดกาย
    แม้นชีพวายยังมิคลายสิ้นรักเธอ”

    “ด้วยหน้าที่จำต้องลาจากแก้วตา
    ด้วยสัญญาและวาจายังยึดมั่น
    ด้วยชีวิตและวิญญาณหลอมรวมกัน
    เฝ้ารอวันเวียนบรรจบพบกับเธอ”

    (ไอ้สิงห์เดินทางมาถึงบ้านคลองสวนพลู เดินผ่านไปที่โคกโพธิ์ ที่ซึ่งทั้งจำปาและไอ้สิงห์เคยหยอกเย้ากัน  ใจของสิงห์นั้นสับสนกระวนกระวายสับสนยิ่ง เมื่อภาพที่ใกล้เข้ามาคือบ้าน บ้านของอีจำปา)
    “จำปา จำปาเอ๊ย ไอ้สิงห์กลับมาแล้ว  กลับมาหาอีจำปาแล้ว”     (ไม่นานนักก็มีเสียงคนเดินมาช้าๆบนเรือนไม้เก่าๆ)   ..ใครน่ะ!!.. (เสียงชายสูงอายุตอบรับ)  “เอ่อ ผมสิงห์ขอรับ เอ่อ ใครน่ะขอรับ”     อ้าว  ..ไอ้สิงห์เอ็งหายไปไหนมาเสียนานนม ไม่รู้จักส่งข่าวส่งคราวมาบ้าง        “อ้าวพ่อครู จำปาล่ะขอรับ”       …เอ็ง ขึ้นมาบนเรือนก่อนเถิด ข้ามีเรื่องจักบอกเอ็ง มาดื่มน้ำดื่มท่าให้คลายเหนื่อยก่อน   (ไอ้สิงห์ใจเต้นรัว ด้วยกลัวสิ่งที่พ่อจำปาจะบอก ไอ้แสนเห็นทีท่าไอ้สิงห์ไม่ค่อยดี จึงตบบ่าไปเบาๆ เพื่อเป็นการปลอบใจ   เมื่อขึ้นไปนั่งบนเรือนพ่อครูของทั้งสองก็กุลีกุจอหาน้ำหาท่าให้ทั้งสองกินแต่  ไอ้สิงห์นั้นอยากรู้คำตอบใจจะขาด)     
    “พ่อครู อีจำปามันไปอยู่ที่ใดกันรึ ข้าอยากพบมันใจจะขาด”   ……เฮ้ย ไอ้นี่ นี่กะจะไม่ถามไถ่กูเลยรึไร  มาถึงก็ถามแต่อีจำปา อีจำปา  ปัทโธ่  ไอ้นี่.........    “โธ่ พ่อครู  ข้าจากที่นี่ไปนานนักพ่อครูก็รู้ดีนี่”   …เอาน่า เอาน่า  มึงนี่ใจร้อนไม่เปลี่ยนไอ้สิงห์  อีจำปาน่ะเหรอ เออ มันไปเป็นชาววังแล้ว        “ฮะ!! นี่มันไปเป็นสนมในวังรึ โธ่!!จำปาของพี่ พี่หาได้มีวาสนากับเจ้า  อุตส่าห์ได้รับตำแหน่งจนเป็นขุน เพื่อให้คู่ควรกับเจ้า  แต่เจ้ากลับทิ้งพี่ไปมิใคร่ใยดี  วาสนาเจ้าสูงนักได้เป็นถึงสนมในรั้วในวัง  โธ่.....”      (พ่อครูหันมามองหน้าไอ้แสนแล้วอมยิ้ม ไอ้แสนเองก็งุนงงกับอาการที่ไอ้สิงห์แสดงออกมา
    ....ไอ้สิงห์กูบอกมึงรึ ว่ามันไปเป็นสนมน่ะ  ตีโพยตีพายเป็นเด็กๆไปได้   (ไอ้สิงห์เปลี่ยนอาการทันทีเงยหน้า แล้วมองหน้าพ่อครูกับไอ้แสน)   “แล้วมันไปทำอันใดในวังล่ะพ่อ” ….มันไปช่วยคุณท้าวจันทร์  คุณท้าวจันทร์มารับตัวมันไป หลังจากเอ็งไปอยู่กับพระยากำแพงเพชรนั่นแหล่ะ  คุณท้าวเองก็หาใช่ใครอื่นที่ไหน เคยเป็นสหายเก่าของแม่อีจำปามันนั่นแหล่ะ  คุณท้าวอยู่ในครัวชาววังของวังเจ้าฟ้าอภัยนั่นแล    นี่เมื่อสักสองสามวันก่อนมันก็ฝากนี่ไว้ เอ้า!!เอ็งรับไปสิ  ข้าไม่รู้ว่าในห่อผ้านี้มีอะไร      (ไอ้สิงห์รีบรับผ้ามาไว้กับตัว แล้วแอบคลี่ผ้าออกดู )     ....  มันกำชับเป็นหนักหนาว่าให้เอาส่งเอ็งให้ได้ มันบอกว่า มันฝันว่าเอ็งจักกลับมา มาในคราบของนายทหาร เป็นถึงท่านเจ้าพระยา .......
    (เมื่อพ่อพูดจบ ไอ้สิงห์ก็เก็บห่อผ้ายัดเข้าไปในชายพก)    “นี่เอ็งยังไม่ลืมข้าจริงๆ แม้นกลับมาครานี้ข้าจักไม่มีบุญถึงยศพระยาก็เถิด”  (ไอ้สิงห์ยิ้มด้วยความดีใจที่ยังเก็บสิ่งที่ตนให้ไว้ก่อนจาก)
     (ไอ้แสนที่นั่งนิ่งอยู่นานก็หันไปถามพ่อครูของมัน) .......พ่อครู แล้วนี่พ่อเป็นเยี่ยงไรบ้าง แล้วสำนักดาบของเราเหตุใดจึงรกร้างเยี่ยงนี้เล่า  ข้าเห็นลานซ้อมหน้าบ้าน หยากไย่ขึ้นราวกับไม่มีผู้ใดซ้อมมานาน ....     (ไอ้แสนเอ้ย  ก็ตั้งแต่ไอ้อู่บ้านเพนียดมันยกพวกมามีเรื่องกับพวกเอ็งนั่นแล ข้าก็ไม่ได้สอนใครอีกเลย  ตอนนี้ก็ได้ข่าวว่าไอ้อู่กับลูกน้องมัน เห็นเค้าว่าออกจากคุกแล้ว          แต่นี่ถ้าไม่มีเหตุการณ์นั้น เอ็งสองคนก็คงไม่ได้มีวาสนาแบบนี้หรอก  )   ....นั่นสิพ่อ  เหมือนเหตุการณ์เพิ่งผ่านมาไม่นานนี้เองนะพ่อ   ถ้าตอนนั้นไม่มีท่านหลวงไกรพิชิตแล้วล่ะก็.....
    “ใช่ไอ้แสน เหมือนเวลาเพิ่งผ่านไปมินานนัก  หากหลวงไกรพิชิตไม่ได้มาเยี่ยมเยียนพ่อครูล่ะก็ เราสองคนคงเสียท่าเป็นแน่  ”  (ไอ้สิงห์ไอ้แสนเข้าขากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเมื่อพูดถึงเรื่องเมื่อคราก่อน)
    (พวกเอ็งน่ะ มันโชคดีมากด้วย หากหลวงไกรพิชิต ไม่ได้เป็นลูกของสหายสนิทข้า คงไม่ยื่นมือไปช่วยเจ้าทั้งสองเป็นแน่  และที่แน่ๆ ป่านนี้เจ้าทั้งสองคงไม่ได้เป็นขุนกันทั้งคู่แบบนี้หรอก   จริงมั้ยพวกเอ็ง)                     ....จริงจ้าพ่อ  หากไม่มีหลวงไกร เราคงไม่ได้ไปฝากฝังตัวกับท่านพระยากำแพงเพชรเป็นแน่
    (แต่นั่นมันก็เป็นเพราะฝีมือดาบของเอ็งทั้งสอง เป็นที่ประจักษ์แก่หลวงไกร พวกมึงมีแค่สอง  แต่พวกไอ้อู่มันมากันทั้งบาง เอ็งสองคนยังเล่นพวกมันเสีย งอมได้)
    “แต่หากไม่มีพ่อครูอบรมประสิทธิ์ประสาทวิชาให้พวกฉัน    พวกฉันจะมีวิชาเยี่ยงนี้หรือจ๊ะพ่อ”
    (ทั้งสามคนมองในตาของกันและกัน แล้วยิ้มปลาบปลื้มที่ทั้งสามคนได้มาพบกันอีก ความสัมพันธ์ของทั้งสามหาใช่แค่ครูกับลูกศิษย์ แต่ทั้งสามเป็นเหมือนดั่งพ่อลูกที่มีสายเลือดเดียวกันเสียอีก)
    “เอาล่ะพ่อ ฉันสองคนลาล่ะ วันพรุ่งจักต้องมีธุระเข้าวังแต่เช้า ด้วยพระยากำแพงเพชรจะนำพวกเราไปถวายตัวเป็นคนในสังกัดของเจ้าฟ้าสุเรนทรพิทักษ์”    .......( เออแน่ะ!! พวกเอ็งนี่มันมีบุญวาสนาจริงๆ เออข้าขออำนวยโชคชัยกับเอ็งทั้งสองด้วยแล้วกัน เออๆโชคดีมีชัยคุณพระคุ้มครองนะเอ็งทั้งสอง ไอ้สิงห์ ไอ้แสน)        ...ขอรับพ่อครู!!!..               ....ทั้งสองกล่าวพร้อมกันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แล้วกล่าวลาพ่อครู 

    ..............วันรุ่งขึ้น หลวงไกรพิชิต  พระยากำแพงเพชร ได้พาทั้งสองเข้าวังไปฝากตัวกับเจ้าฟ้าสุเรนทรพิทักษ์   หลวงไกรพิชิตกำชับเป็นหนักหนาว่าให้วางตัวให้สุภาพ
    .....ใจข้าเต้นไปหมดแล้ว  มิคิดมิฝันว่าจะได้เข้าวัง  แล้วจักให้ข้าวางตัวเยี่ยงไรกันนี่ ทำตัวไม่ถูกแล้ว จะยืนขายังสั่นเลยไอ้สิงห์....       “เอาเถิด     เก็บอาการไว้เถิดมึง ไม่กี่เพลาก็จะได้เข้าเฝ้าแล้ว”           …….เชิญท่านพระยากำแพงเพชร  ท่านพระยายมราช  เข้าเฝ้า     (เสียงจากขุนนางที่ยืนประตูวังเรียก  ... แต่ขณะที่ทั้งสองกำลังเดินเพื่อเข้าสู่ตำหนักเจ้าฟ้าสุเรนทรพิทักษ์อยู่นั้น)   .......ไอ้สิงห์เอ็งมองดูคนนั้นสิ ข้าคลับคล้ายคลับครา เหมือนจักเคยเห็นมันมาก่อนว่ะ     “ไหนกันรึไอ้แสน!!     เฮ้ย ไอ้แสน  นั่นมันไอ้อู่มิใช่รึ”   ….เออ จริงซะด้วยสิ นี่มันมาทำอันใดที่นี่รึ  รึว่ามันก็จะมาฝากตัวเป็นข้าในสังกัดเจ้าฟ้าสุเรนทรพิทักษ์เช่นกันกับเรา  ....
    “ข้าเห็นเยี่ยงนั้นเช่นกันไอ้แสน เพราะนายของมันก็หาใช่ใครที่ไหน พระยายมราชยังไงเล่า     นี่ข้าจักต้องมีนายเดียวกับมันรึ!!    แต่ก็เอาเถิด คงเป็นบุญกรรมร่วมชาติกันมาจึงจักต้องมาพบพาลกันอีก..”    
    …………..หลังจากทุกคนถวายบังคมเป็นที่เรียบร้อย    เจ้าฟ้าสุเรนทรพิทักษ์ตรัสทักทายพระยากำแพงเพชรและพระยายมราช  พระยาทั้งสองได้ให้ไอ้แสน ไอ้สิงห์  ไอ้อู่ เข้ากราบถวายบังคมถวายตัว   เจ้าฟ้าสุเรนทรพิทักษ์ตรัสกล่าวกับทั้งสาม   ….พวกเจ้าทั้งหลายที่ได้มาถวายตัวกับเราในวันนี้ เราจักชุบเลี้ยงพวกเจ้าให้ก้าวหน้าต่อไป .......      ((เป็นพระมหากรุณาธิคุณพระพุทธเจ้าข้า))
    (((((กรมพระราชวังบวรเสด็จ!!!)))))  (ทันใดนั้นสมเด็จวังหน้าก็เสด็จตำหนักเจ้าฟ้าสุเรนทรพิทักษ์)   ...ถวายบังคมพระเจ้าอาพระพุทธเจ้าข้า ....   (ในขณะที่เจ้าฟ้าสุเรนทรพิทักษ์ถวายความเคารพพระเจ้าอา  ขุนนางต่างๆก็ถวายบังคมไปพร้อมๆกัน  ไอ้สิงห์ ไอ้แสน รู้สึกปลาบปลื้มใจเป็นทวี  เมื่อได้เข้าเฝ้าวังหน้าโดยไม่ได้คาดคิดมาก่อน สมเด็จวังหน้านั่งลงข้างๆเจ้าฟ้าสุเรนทรพิทักษ์ แล้วหันมาตรัสกับทุกคน)     ....วันนี้เราแวะมา เยี่ยมหลานของเรา ไม่ได้คิดว่าจะได้พบพวกเจ้าที่นี่ ซึ่งกำลังมาถวายความภักดีต่อหลานเรา สิ่งนี้เราเห็นว่าดีนัก  ขอให้พวกเจ้าในภายภาคหน้า จงทำหน้าที่ของตนให้ให้ลุล่วง และรู้จักหน้าที่ของตนเอง เพื่อรักษาไว้ซึ่ง เกียรติยศของพวกเจ้าเอง                              ((เป็นพระมหากรุณาธิคุณพระพุทธเจ้าข้า))
    ( หลังจากได้ฝากฝังตัวเป็นอันเสร็จเรียบร้อย พระยายมราช พระยากำแพงเพชร  พร้อมด้วยข้าทาสบริวาร จึงกราบบังคมทูลลา )
    ขณะเดินทางออกจากตำหนักเจ้าฟ้าสุเรนทรพิทักษ์      พระยายมราชได้หันไปสนธนากับพระยากำแพงเพชร      “ท่านพระยากำแพงเพชรเด็กของท่านสองคนนี่หน่วยก้านดีไม่เบานี่ท่าน”     …..เด็กของท่านก็หน่วยก้านไม่เบาเช่นกัน  ท่านพระยายมราช......  (ทั้งสองทักทายกันตามมารยาท แต่ใครๆก็รู้ว่าทั้งสองไม่กินเส้นกันมานานมากแล้ว)  

                       ....... ข้าเพิ่งแจ้งใจในพระบารมีของจ้าวทั้งสองวันนี้เอง  โดยเฉพาะกรมพระราชบวรนั้น เมื่อท่านก้าวเข้ามาในตำหนัก ข้านี่เหมือนถูกสะกดไว้ทีเดียว...           “ข้าก็เป็นเยี่ยงเจ้าไอ้แสน  ข้าเองก็เหมือนดั่งถูกเหยียบให้จมธรณีด้วยพระบารมีโดยแท้ ”
        
                  …..เป็นเยี่ยงไรกันบ้าง  มิได้พบปะเสียนาน เป็นเยี่ยงไรกันบ้างเล่า ไอ้สิงห์ ไอ้แสน   (เสียงทักทายจากชายลึกลับที่เดินเข้ามา  ซึ่งเสียงนั้นทั้งสองคุ้นเคยเป็นอย่างดี)  
      ((((ไอ้อู่!!! )))) “ที่แท้ก็ไอ้อู่บ้านเพนียดนี่เองรึ”    .....ไอ้อู่นี่มึงไม่รู้หรอกรึ รึแกล้งโง่บ้าใบ้เบาปัญญา  ข้าน่ะขุนจ่าแสนยากร  ส่วนนั่น ขุนราชสิงห์ขร  หาได้เป็นไอ้สิงห์ ไอ้แสน เหมือนแต่เก่าก่อนไม่
    ….ข้าคงมิได้โง่เง่าเยี่ยงนั้น  แต่ก็ใช่ว่า จักเรียกเยี่ยงเดิมมิได้ พวกมึงยังจักเรียกกูดังเก่าก่อนได้ ทั้งที่ยศกูก็เป็นถึง  “ขุนชำนาญชาญณรงค์!!”

    “ไม่คิดว่าคนเยี่ยงมึงจะได้มียศมีศักดิ์กับเขาด้วย”          ….ไอ้สิงห์!!!จัดการสะสางเรื่องเก่าของเราทั้งสองเลยดีรึไม่ หากเอ็งไม่ ข้าไอ้ขุนจ่าแสนยากรผู้นี้จะล้างผู้อาสัตย์เอง  ............ 
    …….บ๊ะ!!! นี่ข้ามิได้มา  เพื่อหาเรื่องหาความพวกเอ็ง  แค่จักมาแจ้งว่าถ้าพวกเอ็งอยากแก้มือล่ะก้อ   เดือนหน้าจักมีงานประลองมือดาบ ที่สำนักดาบพุทไธศวรรย์   ผู้ชนะจักได้รับรางวัลพระแสงดาบพระราชทานจากกรมพระราชวังบวร   หากเอ็งสองคนยังจักพอมีน้ำยา ไปพบข้าที่นั่น เดือนหน้าข้าว่าคงจักพอมีเวลาให้พวกเอ็งพอนะ ….
    .......( แล้วไอ้อู่ก็เดินจากไป พร้อมกับทิ้งคำถากถางเย้ยหยันไว้  ในใจไอ้สิงห์ในวินาทีมันลืมแม้กระทั่งอีจำปา ไอ้แสน  เพราะสิ่งที่มันเห็นในดวงตาของมันมีเพียงภาพไอ้อู่ และแม้มันจะหาได้ตอบรับในคำท้านั้น แต่ใจมันนั้นได้ตกลงรับคำท้านั้นไปแล้ว )
                                   ......ไอ้สิงห์มึงมิไปเยี่ยมอีจำปารึ  ตำหนักสวนกระต่ายอยู่มิไกลนี้เอง
    “เออจริงสิ  ข้าลืมไปสนิท”    …ไอ้สิงห์ เรื่องรบน่ะเก็บไว้ก่อน  เรื่องรักเอ็งก็ไปจัดการเสีย  อย่าให้ต้องมีห่วง   “ขอบน้ำใจเอ็งมากไอ้แสน เพื่อนข้า”  …. รีบไปกันเถิดหากเย็นย่ำกว่านี้จะมิงาม...
                    ณ ตำหนักสวนกระต่าย  เรือนเจ้าฟ้าอภัย      ……จักหาเรือนครัวนั้นมิยาก แต่จะเข้าไปข้างในนั้น ข้าว่ายากอยู่นักนะไอ้สิงห์......            “ข้าจักไปถามทหารเฝ้ายามดู  เผื่อจักได้ความ ”            “พี่ยาม ท่านรู้จักอีจำปารึไม่  เด็กคุณท้าวจันทร์น่ะ”
    … อ่อ อีจำปาน่ะรึ  มิได้รู้จักมันดอก แต่เคยเห็นมันตามคุณท้าวจันทร์ไปไหนต่อไหน... “ท่านช่วยไปเรียกมันมาพบข้าที บอกว่ามีคนมารอพบ”  ….เอ่อ.... ข้ามีหน้าที่ต้องทำ จักไปมิได้ดอกท่าน โธ่               ......ทันใดนั้นไอ้แสนเดินตัดหน้าไอ้สิงห์เข้ามาทันที     .....เอ้า!!ข้ามีอยู่3ตำลึง  เก็บไว้แล้วรีบไปเรียกให้ท่านขุนราชสิงห์ขร บัดเดี๋ยวนี้!!!    …ขอรับท่าน!!!!!!!!....
    “ประเดี๋ยวก่อน!!จงนำสิ่งนี้ไปให้จำปาด้วย มันจะรู้ว่าเราคือใคร”  ..ทหารยามนำผ้าห่อเล็กไปหาจำปาที่โรงครัว          อีจำปา!!!อีจำปา!!!  มีอ้ายผู้ชายมาพบ  อีจำปาอยู่ที่นี่มั้ย              .....ใครมาพบชั้นรึ พี่ยาม.....       อ่อ ข้าคิดว่าเอ็งไม่อยู่เสียอีก ให้ข้าตะโกนอยู่นานสองนาน               ....แล้วใครกันรึพี่ยาม ที่มาพบข้า...          เอ้า!!!นี่อ้ายผู้ชายเค้าฝากนี่มาให้เจ้า รับไปสิ!! ข้านั้นละเวรมา อยู่ช้านานมิได้ดอก   ...................                               (จำปารับห่อผ้าแล้วคลี่ดู)    พี่สิงห์รึ!!!!พี่สิงห์มารึ  นี่มันปิ่นปักผมข้านี่   รึพ่อข้ามากันพี่ยาม       .....คงมิใช่พ่อเจ้าดอก อายุรุ่นราวคราวเอ็ง  เห็นมากับอ้ายบ่าวอีกคน เห็นเรียกเค้าว่า “ขุนราชสิงห์ขร”            พี่สิงห์!!! จริงๆด้วย  พี่สิงห์อยู่ที่ใด  พาข้าไปพบอย่าช้าที !!      ….โธ่ ทีอย่างนี้จะมาเร่ง  ทีตะกี้นึกนานนัก  มาๆ ตามข้ามา
    (ในที่สุดสองคนก็ได้พบหน้ากัน  หลังจากที่จากกันไปหลายเพลานัก ทั้งสองวิ่งเข้าโผกอดกันอย่างไม่เขิลอายสายตาไอ้แสน และพี่ยาม)   ...พี่สิงห์ข้าเฝ้านับรอวันพบพี่มานานเหลือเกิน       “ข้าก็เหมือนกันจำปา  ข้านั้นข่มตานอนก็เห็นแต่หน้าเจ้า จำปา”   …นี่พี่ได้เป็นขุนแล้วรึ เห็นพี่ยามบอกข้า ว่าพี่ได้เป็นถึงขุนราชสิงห์ขร....        “ใช่จำปาและ มิใช่พี่เพียงคนเดียว  แต่ไอ้แสนก็เช่นกัน”     ….พี่แสน!!! ทำไมไม่ให้พี่สิงห์ของข้ากลับมาหาข้าบ้าง พี่เนี่ย!!!    ….เอ้าๆ เหตุใดจึงมาโยนผิดให้ข้าเล่าอีจำปา   บ๊ะ!!เดี๋ยวข้าปั๊ดตีตายอีนี่              ......ข้าหยอกเล่นน่ะพี่แสนก็....   “นี่ก็เข้าเวลาพลบคล่ำแล้ว แล้วข้าจักมาใหม่วันพรุ่งนะจำปา  หากใครมาเห็นจะมิงาม”   …จ้าพี่สิงห์ ชั้นจะรอพี่จ้า       “เออ..พี่เกือบลืมไป เดือนหกที่สำนักดาบพุทไธศวรรย์ จักจัดงานประลองดาบขึ้น พี่กับไอ้แสนคงจะลงชิงชัยกับเค้าด้วย  ช่วยเป็นกำลังใจให้พี่ด้วยนะจำปา”    …ได้สิจ๊ะพี่  หากชั้นแอบออกไปได้   ชั้นจะไปให้กำลังใจพี่นะจ๊ะ  ....      “ขอบน้ำใจเอ็งมากจำปาเอ๊ย  ข้าไปก่อนล่ะ”
    …ระหว่างที่เดินทางกลับ คืนนี้เป็นคืนเดือนแรม  บริเวณวัดสุทธาวาส   กลุ่มชายฉกรรจ์ในชุดดำได้มายืนขวางทางไว้ ........
    “พวกมึงเป็นใครกัน !!! เหตุใดจึงมาขวางทางเรา ” (ไอ้สิงห์ตะโกนใส่คนกลุ่มนั้น)

    …..ข้าว่าไม่ค่อยดีแล้วล่ะไอ้สิงห์    ...แต่ยังไม่ทันสิ้นเสียงไอ้แสน     กลุ่มชายชุดดำหกคนก็รุมเข้าทำร้ายไอ้สิงห์ และไอ้แสน.........       ... เฮ้ย!! ไอ้แสนระวัง)))    (ทั้งสองเข้าต่อสู้ด้วยกระบวนดาบที่พ่อครูได้อบรมสั่งสอนมา อย่างไม่เสียเปรียบ แม้จะเป็นการรุมหกต่อสองก็ตาม  แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น  เมื่อชายห้าคนที่สู้นั้นล้มลงด้วยความเจ็บปวดจากบาดแผล  แต่ชายคนที่หกกลับใช้***ดาบที่พันเอวดึงสะบัดเข้าใส่ไอ้สิงห์ขณะที่เผลอ)                      “โอ้ย!! ดาบนี้มีพิษ!!”            .....แล้วชายลึกลับกลุ่มนั้นก็ช่วยกันลากคนที่บาดเจ็บแล้วหนีไปในความมืด                  “ไอ้สิงห์นี่มึงถูกพิษรึ!! กูจักพามึงเข้าไปในวัดตะไกร  เผื่อจักมีใครถอนพิษให้มึงได้”   (****ดาบที่ใช้พันเอวนี้ในสมัยอยุธยา ผู้ชายในสมัยนั้นชอบพกนัก เนื่องจากสามารถพันรอบเอวได้แทนเข็มขัดเงินหรือเชือกกล้วย ตัวดาบทำมาจากเหล็กน้ำพี้ตีให้บางแบนจนงอได้ เหล็กน้ำพี้มีความยืดหยุ่นเหนียวตัวสูง วิธีใช้จะใช้ในลักษณะอาวุธลับยามจนมุม หรือตามสถานที่ที่ไม่สามารถพกดาบได้  ที่ปลายดาบจะทาพิษงู หรือพิษของสัตว์มีพิษไว้ เมื่อดึงเชือกกล้วยออกแล้วกระชากออกจากเอวเหล็กที่ม้วนจะดีดใส่คู่ต่อสู้ สร้างบาดแผลไม่ใหญ่นัก แต่พิษที่ทาก็จะเข้าสู่บาดแผลได้โดยง่ายดาย แล้วแต่พิษที่ใช้ โดยมากจะใช้พิษงูเห่า  )

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×