ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Mo dao ​zu ​shi​ (MDZS)​ | ปรมาจารย์ลัทธิมาร]​ เซียนหญิงท่องโลก

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 มายุค​ไหน​หนิ!?

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.32K
      136
      2 มี.ค. 65


    บทที่ 1 มายุคไหนหนิ!? 


    ---------------------------------------


    ฟ่านซิงมองเหล่าศิษย์​สกุลฟ่านที่พากันขนย้ายสิ่งของขึ้นเรือกันอย่างขมักเขม้น​ โดยมีท่านประมุขและฟูเหรินทั้งสามยืนคุมอยู่ไม่ห่าง

     

    เวลาล่วงเลยมาจนถึงยามที่ฟ่านซิงต้องเดินทางไปศึกษาต่อที่กูซู ซึ่งแน่นอนในคราแรกนั้นท่านประมุขฟ่านแทบจะ​ย้ายเรือนส่วนตัวของเธอไปที่กูซูแล้วด้วยซ้ำ ดีที่มีเหล่าฟูเหรินคอยห้ามปราม​ความบ้าดีเดือดนั่นไว้

     

    ขณะเรือค่อยแล่นออกจากสกุลฟ่านไป เหล่าศิษย์น้อยใหญ่ต่างพากันร้องไห้โฮ เสียงร้องไห้ดังก้องจนฟังคล้ายเสียงโอดควรญของจ้าวป่าเจ้าเขาเสียมากกว่า

     

    "ศิษย์​พี่หญิง โ​ฮร!!"

     

    "ท่านไม่อยู่แล้วพวกเราจะทำอย่าง​ไ​รกันเจ้าคะ!!"

     

    "หนึ่งปีเชียวหนา ยาวนานเกินไปแล้ว​ ฮือ!!"

     

    "จะไม่เห็นแล้ว เรือแล่นไปโน้นแล้ว แงงง!!" 

     

    แม้จะสะเทือนแก้วหูมากเพียงใด ฟ่านซิงกลับรู้สึกอบอุ่มอยู่ภายในอกไม่น้อย

     

    มันทำให้รู้สึกว่าเธอยังมีคนคอยให้ความรักและคนึงหา

     

    ไม่ได้โดดเดี่ยว​อีกแล้ว

     

    ฟ่านซิงนั่งชมวิวทิวทัศน์​รอบตัวอย่างเพลิดเพลิน​ มือก็พับกระดาษสีแก้เบื่อไปด้วย น่านน้ำของที่นี่ใสกระจ่าง​แทบจะเห็นฝูงปลาแหวกว่าย

     

    สองสามวันที่ผ่านมา ฟ่านซิงได้ลองทำกายบริหาร​เพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายของตนเองซึ่งก็พอช่วยได้บ้าง

     

    อดีตหญิงสาวนั้นเป็นถึงนักกีฬายิมนาสติก​ทีมชาติ คว้าเหรียญ​ทองมาได้ไม่รู้กี่สนาม 

     

    จนกระทั้งเกิดอุบัติเหตุ​ทางรถยนต์​ขึ้นระหว่างการเดินทางไปแข่งขัน เท้าของเธอไม่สามารถขยับได้ดั่งใจ จนต้องเลิกลากิจกรรมที่ตนรักไป

     

    เมื่อไม่สามารถสร้างชื่อเสียง​ให้กับวงศ์​ตระกูลได้ ก็เท่ากับว่าเธอเป็นเพียงหมาหัวเน่าไม่ได้รับความสนใจจากทางบ้านอีก

     

    ซึ่งคิดว่าเธอสนใจเหรอ? ก็ไม่... 

     

    ครอบครัวที่หวังใช้เธอเป็นเครื่องมือแบบนั้น หลุดพ้นมาได้ก็ดีแล้ว

     

    "คุณหนูขอรับ" 

     

    เสียงเรียกจากศิษย์ในตระกูลทำเธอหลุดจากภวังค์​ รีบเก็บดอกไม้กระดาษเข้าแขนเสื้อ

     

    กูซูมิได้มีท่าเรือที่โดยสารไปถึงยอดเขาอวิ๋นเซินปู้จื้อฉู่ จึงต้องเปลี่ยนเป็นเดินเท้าขึ้นไปแทน

     

    ระยะทางนั้นจัดได้ว่ามากพอสมควร หากเป็นคนปกติคงล้มลงหอบแฮ่กไปนานแล้ว แต่เมื่อเป็นถึงผู้ฝึกตน เพียงแค่นี้ยังอดทนมิได้จะไปทำอะไรกิน

     

    ในยุธภพนั้นมีผู้ใคร่ฝึกฝนเป็นยอดเซียนอยู่มากมาย แน่นอนแต่ละสกุลทั้งน้อยใหญ่ต่างฝึกฝนบุตรรวมไปถึงเหล่าศิษย์ต่างๆ เพื่อให้สกุลตนนั้นแข็งแกร่งไม่น้อยไปกว่าใครเพื่อที่จะสามารถเชิดหน้าชูตาให้กับสกุลได้

     

    กูซูหลาน อวิ๋นเมิ่งเจียง หลันหลิงจิน ชิงเหอเนี่ยและฉีซานเวิน

     

    ห้าตระกูลใหญ่ที่แข็งแกร่งไปด้วยกำลังพลและความสามารถ ไม่มีใครคิดเป็นปรปักษ์ด้วย กลับกันหลายสกุลต่างหาทางประจบประแจงหมายเป็นทองแผนเดียวกันเพื่อเสริมกำลังพลให้กับสกุลตนเอง

     

    กูซูหลาน...งดงามดุจงานจิตรกรรมแต่ก็เคร่งครัดมากด้วยกฎเกณฑ์นับพันข้อ

     

    อวิ๋นเมิ่งเจียง...ท่าสัตตบงกช น่านน้ำที่ประดับด้วยดอกบัวงามผู้คนล้วนตั้งมั่นในเป้าหมายจิตใจแน่วแน่มั่นคง

     

    หลันหลิงจิน...เย่อหยิ่งทะนงตน หรูหราไฮโซ ที่จินหลิงไถนั้นสว่างไสวด้วยแสงสีทองอร่าม

     

    ชิงเหอเนี่ย...ดุดันดั่งสัตว์ร้าย กลิ่นอายเย็นยะเยือกน่าเกรงขามนัก

     

    ฉีซานเวิน...อำนาจบาทใหญ่สำนักเซียนไหนๆ เป็นต้องหวั่นเกรง รุ่งโรจน์ดุจดวงตะวัน คงกระพันดังอาทิตย์อัสดง

     

    แม้ตระกูลฟ่านจะไม่ได้ยิ่งใหญ่​เท่าห้าตระกูล ทว่าก็มีอิทธิพล​ไล่เลี่ยกัน​เพียงแค่ไม่ได้มีผลงานมากมายก็เท่านั้น

     

    ฟ่านซิงถึงกับทำตัวไม่ถูกเมื่อระหว่างทางการขึ้นมายังอวิ๋นเซินปู้จื้อฉู่ นั้นมีสายตาหลายคู่จับจ้องมาที่ตัวเธออย่างปิดไม่มิด

     

    จริงอยู่ที่ศิษย์​สกุลหลานส่วนใหญ่จะเป็นบุรุษ นานครั้งถึงจะมีนางเซียนมาเล่าเรียนเพื่อเป็นผู้ฝึกตน ด้วยหน้าที่ส่วนใหญ​่ของเหล่าสตรีนั้นคือการอยู่เรือนรอคอยการกลับมาของฟูจวิน คุณหนูทั้งหลายจึงเรียนเรื่องการเข้าครัวและเย็บปักถักร้อย​เสียมากกว่า

     

    นั่นจึงเป็นสาเหตุ​ที่เธอกลายเป็นที่จับตามอง

     

    ร่างระหงของฟ่านซิงย่างกายลัดเลาะ​ไปตามเส้นทางสลับซับซ้อนของหุบเขาอวิ๋นเซินปู้จื้อฉู่ รอบกายเต็มไปด้วยพรรณไม้​นานาพันธุ์บางชนิดนั้นช่าง​แปลกตาหาไม่ได้จากถิ่นกำเนิดของนาง​

     

    เส้นเกศา​สีดำสนิท​ดุจนิลกาฬ ผิวพรรณ​ผ่องใสอย่างคนสุขภาพ​ดีและนัยตาสีโอรสชวนให้ลุ่มหล​ง​

     

    ฝ่ายถูกจ้องจนตัวพรุนรีบเร่งฝีเท้าเพื่อหลบสายตานับสิบที่มองมาอย่างจาบจ้วง 


    น้อยๆหน่อยเถอะ มองกันตาเป็นมันเชียว เกรงใจสักนิดก็ดี=*=​


    "ให้ตายสิ..." 


    ฟ่านซิงถอดถอน​หายใจเฮือกเมื่อคาดว่าตนเดินหลีกมาไกลพอที่จะไม่ต้องไปยืนอยู่ท่าม​กลางสายตาผู้คนแล้ว ยังถือโอกาสมาสูดกลิ่น​อายธรรมชาติของอวิ๋นเซินฯ​อีกด้วย 


    แม้ที่มู่อันบรรยากาศ​ก็ดีไม่แพ้กัน แต่ที่อวิ๋น​เซิน​ปู​้​จ​ื้อฉู่กับให้ความรู้สึกเย็นสบายมากกว่า


    "กระต่ายน่ารัก~"ฟ่านซิงอุ้มเจ้าก้อนขนขึ้นมาแนบอก เอานิ้วเขี่ยๆไปตามจมูกของมันเบาๆอย่างเอ็นดู


    บนเขาอวิ๋นเซินปู้จื้อฉู่นั้นเต็มไปด้วยกระต่ายขาวมากมาย สัตว์หูยาวที่ควรจะขวัญ​กระเจิงเมื่อได้พบกับคนแปลกหน้า กลับยืนนิ่งให้จับขึ้นมาฟัดเล่นซะงั้น


    "น่าหมั่นเขี้ยวมั้ยล่ะเนี่ย"ผู้บุกรุกเอาหน้าไซๆไปตามท้องฟูๆของกระต่ายขาวอย่างเมามันส์​


    'คาวาอี้เดส~~'​


    คุณหนูสกุลฟ่านแทบตัวลอยเหนือพื้นเมื่อถูกสัตว์หูยาวขนปุกปุยพากันเข้ามาซุกไซรนัวเนีย บ้างก็อยู่ในอ้อมแขน บ้างก็มุดเข้ามาอยู่ในอกเสื้อ


    "อ๊ะๆตรงนี้ไม่ได้นะต่ายน้อย"ฟ่านซิงร้องเตือนเมื่อเจ้าขนปุยแสนซนตัวหนึ่งทำท่าจะมุดเข้ามาในแขนเสื้อของเธอ


    "ตรงนี้มัน'​อันตราย'​นะห้ามมุดเข้ามา"เธออุ้มมันขึ้นสบตาครู่หนึ่งก่อนจะวางมันลงที่หน้าตัก


    การใช้ชีวิตอยู่ในเกมแบบนี้ก็ทำเธอรู้สึกดีเหมือนกัน ได้ใช้ชีวิตอย่างที่เฝ้าฝันมานานโดยไม่มีอะไรมาเหนี่ยวรั้ง​


    นี้ก็ใกล้เข้ายามเฉิน(07.00 น.-08.59 น.)​แล้ว อีกไม่นานคงใกล้ถึงพิธีมอบตัวเป็นศิษย์​แล้ว ฉะนั้น เธอรีบลงไปก่อนดีกว่า


    คิดได้เช่นนั้นคุณหนูสกุลฟ่านก็ลุกขึ้นมาจากฝูงกระต่ายขาวจนเจ้าก่อนขนพากันวิ่งแตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง​


    คนเป็นต้นเหตุ​ยิ้มขบขันก่อนพาตนเดินออกมาจากจุดที่มีกระต่ายชุกชุม


    ฟ่านซิงเดินอย่างไม่รักษาภาพรัก โยกย้ายส่ายสะโพก​ไปมาอย่างเริงร่า​ หมุนตัวเดินกลับหลังบ้างครั้งคราวเพื่อมองทิวทัศน์​รอบกายเติมเต็มอรรถรส​


    จนได้เรื่อง... 


    ตุบ! 


    "โอ๊ะ?/อุ๊ป!" 


    ร่างทั้งสองเซถอยไปคนละก้าว นับเป็นโชคดีที่ไม่มีใครล้มลงไปกองกับพื้น


    "ขออภัยแม่นาง ข้ามิทันมองทางให้ดี" 


    "เป็นความผิดข้าเองคุณชาย ที่คิดอุตริเดินกลับหลัง..."เสียงใสเริ่มเงียบลงเมื่อได้ยลใบหน้าของคุณชายที่เธอไปชนเข้า


    เบื้องหน้าเธอนั้นคือบุรุษร่างสูงโปร่ง วัยน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกัน​กับเธอนี่ล่ะ จริงๆอาจจะแก่มากกว่าสักสามสี่ปีได้ ใบหน้าเรียบง่ายแต่ยังมีเค้าความหล่อเหลา​อยู่ไม่น้อย เส้นผมที่ถูกทักเป็นเปียไว้ครึ่งศีรษะ​เหมือนกับเธอ


    "ข้า'เฟิงเหมียน'​ ตระกูลเจียงแห่งอวิ๋นเมิ่งขอทราบชื่อแซ่ของแม่นาง"


    เจ้าของถุงมือหนังเนื้อดีประสานมือไว้บริเวณ​อกก่อนโค้งคำนับ


    "ฟ่านซิง ตระกูลฟ่าน แห่งมู่อัน นามซือเยว่"ฝ่ายคุณชายตระกูลเจียงเมื่อได้ทราบชื่อของแม่นางเบื้องหน้าก็ส่งรอยยิ้มมาให้อย่างพึงใจ ผิดกับคนเอ่ยราวกับฟ้ากับเหว


    ฝ่ายฟ่านซิงแม้จะเอ่ยแนะนำตัวอย่างฉะฉาน แต่ตอนนี้วิญญาณ​เธอได้หลุดลอนออกจากร่างไปแล้วเรียบร้อย 


    เดี๋ยว-เ​กม!!!!


    ​​​​​แกพาฉันมายุคไหน(วะ)​ห๊ะ!? 


    ฟ่านซิงไม่ถูกใจสิ่งนี​้!! 


    เจียงเฟิงเหมียนเอียงคอ เมื่อแม่นางตรงหน้านั้นไม่มีปฏิกิริยา​โต้ตอบอะไรนอกจากยืนเบิกตาโพรง อ้าปากหวอจนเสียกิริยา


    เพื่อไม่ให้บรรยากาศ​ชวนอึดอัดไปมากกว่านี้ คุณชายเจียงจึงเร่งหยิบบางสิ่งมาจากอกเสื้อก่อนส่งให้กับแม่นางฟ่าน


    "กระดาษพับของข้า?" 


    ไปอยู่กับอีกฝ่ายได้ยังไง? 


    "เจ้าทำตกเมื่อตอนเดินขึ้นมาบนอวิ๋นเซินปู้จื้อฉู่ เพราะกฎห้ามส่งเสียงดังจึงมิอาจร้องเรียกแม่นางได้"ว่าพลางวางดอกไม้กระดาษลงบนมือของเธอ


    "ขออภัยที่ต้องแอบตามมาเช่นนี้" 


    ฟ่านซิงมองดอกบัวกระดาษในมือ ระหว่างที่นั่งเรือมาที่นี่เลยหาอะไรทำแก้เบื่อ ดอกบัวกระดาษ​ในมือเธอก็แค่งานฝีมือทั่วไป ไม่ใช่สิ่งของสำคัญอะไรขนาดนั้น


    แต่เพื่อไม่ให้เป็นการเสียน้ำใจ เธอจึงส่งยิ้มให้กับอีกฝ่ายพร้อมกล่าวขอบคุณ


    "ขอบคุณคุณชายเจียง หากมีโอกาส​ข้าจะรีบตอบแทน"


    เจ้าของชื่อยิ้มร่า"นี่ก็ใกล้ได้เวลามอบตัวเป็นศิษย์​แล้ว รีบไปเถอะก่อนที่เราทั้งคู่จะเข้าสายตั้งแต่วันแรก" 


    ภายในห้องโถงขนาดใหญ่มีผู้ฝึกตนจากหลายๆ สำนักมาเข้าศึกษาที่อวิ๋นเซินปู้จื้อฉู่แห่งนี้ เหล่าบุรุษมากหน้าหลายตานั่งเรียงรายอยู่เต็มพื้นที่ ทำเอาเธอแอบรู้สึกเกร็งมิได้


    ซึ่งคงไม่ได้​มีเพียงแม่นางฟ่านคนเดียวที่กำลังเนื้อกายเต้นอย่างบ้าคลั่งอยู่ลำพัง เพราะบุรุษ​ต่างสกุลและศิษย์สกุลหลานคนอื่นๆก็กำลังเนื้อเต้นอยู่เช่นกัน


    ดูรูปโฉมของแม่นางฟ่านนั้นช่างดึงดูดสายตา 


    ความงามของแม่นางฟ่านนั้นช่างโดดเด่น​จนมิอาจละไปมองสิ่งอื่นได้ นอกจากความงามที่เผยออกมาตั้งแต่ยังเยาว์​แล้วก็ยังมีเสน่ห์เฉพาะตัว​อย่างเหลือร้าย อดทำให้ใจกระชุ่มกระชวย​มิได้


    มองเท่าไหร่​ก็มิรู้สึกหน่าย​เลยสักนิด


    ฟ่านซิงอยากกรีดร้องออกมาเมื่อสำรวจคนรอบข้างเพื่อให้แน่ใจกับข้อสันนิษฐาน​ของเธอ ซึ่งก็เป็นไปตามนั้น


    บุรุษ​หน้าห้องที่ไว้เครานั่นมองยังไงก็'หลานฉี่เหริน'​ชัดๆ นี่เริ่มไว้เคราตั้งแต่เด็กเลยเหรอ?


    หรือบุรุษ​สวมเสื้อลายตะวันนั่นก็ดี มองจากปากทางเข้ากูซูก็รู้ว่าอีกฝ่ายมีนามว่า'เวินรั่วหาน'


    อ่าห๊ะ


    เกมมันพาเธอย้อนมายันรุ่นพ่อ! 


    แล้วนี่กว่าจะได้เจอตัวละครหลักอย่างเว่ยอู๋​เซี่ยนกับบหลานวั่งจี ไม่ใช่ว่าเธอจะกลายเป็นยายแก่ไปก่อนเหรอ!? 


    แต่คิดอีกที ผู้ฝึกตนจะไม่มีวันแก่นี้เนอะ งั้นก็ต้องฝึกฝนตนให้เก่งฉกาจ​เข้าไว้+++


    เขากูซูมีผู้คนมากหน้าหลายตาที่มาศึกษาเล่าเรียน คงจะเป็นเรื่องหน้ายินดีถ้าหากทุกคนสามารถเล่นสนุกหรือทำตามใจตัวเองได้มากกว่านี้หน่อย


    ติดตรงที่เขากูซูนี้เติมไปด้วยกฎนับพันข้อซึ่งสลักไว้บนหน้าผาสูง


    ห้ามนอนหลังยามไฮ่(21.00 น.-22.59 น.)แล้วตื่นยามเหม่า(05.00 น.-06.59 น.)​ยังพอทน แต่ห้ามร่ำสุรานี่ฟ่านชิงขอค้านสุดใจขาด​ดิ้น!!


    เป้าหมายอันดับต้นๆอีกอย่างของเธอคือการได้ลองลิ้มรสชาติสุราจีนโบราณ​เลยนะ! 


    แต่ถามว่าฟ่านซิงคนนี้กล้าขนาดนั้นเลยเหรอ? 


    ไม่อ่ะ รอเรียนจบก็ได้._. 


    พอดีไม่อยากโดนไม้พายหวดลงหลังอ่ะนะ... 




    การรำเรียนที่อวิ๋นเซินปู้จื้อฉู่ในวันแรกช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วและเรียบง่าย​ เพราะหลังผ่านพิธีมอบตัวเป็นศิษย์​แล้วท่านอาจารย์​หลานไม่ได้สอนอะไรมากเพียงนั่งอ่านกฎสกุลให้ฟังจนจบ3000ข้อ เท่านั้น


    "โอ้ย~" 


    ฟ่านซิงนั่งพักอยู่บริเวณ​โขดหิน​ใต้สะพานข้ามแม่น้ำ  คนเดินผ่านน้อยนิดทำให้เธอสามารถปล่อยตัวปล่อยใจได้อย่างเต็มที่


    แต่จู่ๆก็มีตลับยายืนมาตรงหน้าเธอ หันไปมองก็พบเข้ากับใบหน้ายิ้มแย้มของคุณชายเจียง และผู้ติดตามคนสนิท


    ฟ่านซิงยิ้มค้างยกขาที่นั่งไขว่ลงแล้วรีบดึงกระโปรงที่ก่อนหน้านี้ถลกขึ้นจนเกือบถึงขาอ่อนอย่างขัดเขิน​


    เอาจริงๆคนน้อยก็ใช่ว่าปลอดภัย


    รู้งี้ไปนั่งโอดครวญ​ในเรือนทีเดียวเลยดีกว่า... 


    "ให้ท่านเห็นภาพน่าอาย​แล้ว คุณ​ชายเจียง" 


    "น่าอายอันใด คนเราเจ็บปวดเมื่อย​กายเป็นธรรมดา"


    เจียงเฟิงเหมียนกล่าวปนเสียงหัวเราะก่อนยื่นตลับยามาให้กับเธอ


    "ขอบพระคุณ คุณ​ชายเจียงได้ท่านช่วยไว้อีกแล้ว"ติดบุญคุณ​คนอื่นมากก็เริ่มใจไม่ดีแล้วสิ


    คุณชายจากเมืองท่าน้ำยิ้มรับ


    "อย่าได้เกรงอกเกรงใจไปเลย มีอะไรช่วยเหลือ​กันได้ข้าก็ยินดี"


    "ขอบคุณ​คุณชาย"


    "อ่อ แล้วนี้ผู้ติดตามคนสนิทของข้า"ร่างสูงผายมือไปทางบุรุษ​ด้านหลัง ฝ่ายถูกกล่าวถึงโค้งคำนับเธอก่อนเอ่ยแนะนะตัว


    "เว่ยฉางเจ๋อ คารวะแม่นางฟ่าน" 


    เว่ยฉางเจ๋อ บุรุษ​รูปงามอีกคนหนึ่งเป็นผู้ติดตามคนสนิทของคุณชายเจียงเฟิงเหมียน หรือก็คือบิดาของเว่ยอู๋เซี่ยนในอนาคตนั่นเอง


    ทั้งสามพูดคุยกันอีกเล็กน้อยก่อนจะแยกกันกลับเรือนพักตน


    "อ๊ะ ประเดี๋ยวก่อน"ฟ่านซิงเอ่ยรั้งทั้งสองคนไว้ก่อนก้าวขาตามไปยืนประจันหน้า​กับคุณชายทั้งสอง


    "น้ำใจเล็กน้อยจากข้า ตอบแทนสำหรับตลับยาที่คุณชายให้มา และถือเป็นของขวัญ​แทนมิตรภาพ​ของพวกเรา" 


    ดอกบัวกระดาษถูกยื่นให้กับทั้งสอง แต่ผ่านไปสัก​พักก็ยังไร้ปฏิกิริยา​จากทั้งสองจนฟ่านซิงแอบหน้าเสีย


    หรือเราเข้าหาปุบปับ​เกินไป คนสมัยนี้คงไม่ชอบสินะ


    "เอ่อ...ขออภัย​คุณชายหากข้-"


    "ขอบใจเจ้ามาก"


    ดอกบัวกระดาษถูกคว้าไปพินิจพิเคราะห์​อย่างใกล้ชิด นิ้วเรียวไร้สัมผัสไปตามกลีบบัวที่ได้รับมาจากแม่นางฟ่าน เจียงเฟิงเหมียนยิ้มกว้างด้วยความปิติยินดี​


     "จะรักษา​ไว้อย่างดี" 


    ไม่ทันที่จะเอ่ยขัด ร่างทั้งสองก็เดินห่างออกไปไกลเสียแล้ว จะรั้งไว้อีกก็คงเสียมารยาท ฟ่านซิงได้แต่ถอนหายใจเฮือก


    จริงๆไม่ต้องเก็บรักษาอะไรมากมายก็ได้


    ก็แค่ดอกไม้กระดาษนา... 





    ---------------------------------------


     #โดนเกมแกงแล้วมั้ยละ ต้องรออีกกี่ปีกว่าจะได้เจอวั่งเซี่ยน ตอนนี้ยังเป็นวุ้นอยู่เลยมั้ง555

    #รุ่นพ่อเป็นอะไรที่น่าลอง​มาก ดูมีอะไรๆเยอะดี ดีไม่ดีพระเอกอาจอยู่ในรุ่นพ่อนี้แหละ


    #อย่าลืมคอมเม้นเป็นกำลังกันด้วยน่า~

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×