ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Mo dao ​zu ​shi​ (MDZS)​ | ปรมาจารย์ลัทธิมาร]​ เซียนหญิงท่องโลก

    ลำดับตอนที่ #10 : บทที่ 9 คณะเยี่ยเลี่ย

    • อัปเดตล่าสุด 13 พ.ค. 65



    บทที่ 9 คณะเยี่ยเลี่ย

    ***มีเลือดและการฆ่าสัตว์ ใครรักสัตว์ควรทำใจก่อนอ่าน(จริงๆฉากนั้นมีแค่นิดเดียว แต่เตือนไว้ก่อน)

    ---------------------------------------


    คณะเยี่ยเลี่ยนำโดยตระกูลหลานออกเดินทางจากหน้าประตูทางอวิ๋นเซินปู้จื้อฉู่ตั้งแต่ยามซวี(19.00น.-20.59น.)


    จากที่นางพินิจดูคร่าวๆ กลุ่มคนที่ถูกคัดเลือกมานั้นคือกลุ่มอนุชนของห้าตระกูลใหญ่แม้แต่กับจินกวงซ่านที่ดูจะมิได้สันทัดเรื่องนี้ยังได้รับเลือกมาและหากพินิจเข้าไปอีกเหล่าคุณชายที่ได้ร่วมเยี่ยเลี่ยในครานี้ล้วนมีตำแหน่งหน้าที่ที่ต้องแบกรับในภายภาคหน้าทั้งสิ้น


    ดีไม่ดีการต้องมาปราบวิญญาณครานี้อาจเป็นแผนการทดสอบวัดฝีมือของเหล่าว่าที่ประมุขในอนาคตก็เป็นได้


    "พวกเจ้ารอสักครู่"


    ในที่สุดกลุ่มเยี่ยเลี่ยก็มาถึงหมู่บ้านดังกล่าว ผู้ที่ออกตัวพูดคุยกับหัวหน้าหมู่บ้านคงมิใช่ใครอื่นนอกจากชิงเหิงจวินผู้ที่อาวุโสที่สุดในกลุ่มเซียนรุ่นเยาว์​


    บุรุษอาภรณ์ขาวทำความเคารพผู้อาวุโสของหมู่บ้าน ถามไถเรื่องราวอยู่ครู่นึงจึงได้ความว่าไม่นานมานี้มีผู้คนหายไปจากหมู่บ้าน แม้จะกักตัวไม่ออกมาข้างนอกยามค่ำก็มิอาจช่วยได้ ผู้คนยังค่อยๆหายตัวไปจนมาวันนี้รวมไป 12รายแล้ว


    บ้างว่าถูกสัตว์ร้ายเข้าโจมตีแต่ที่ชาวบ้านปักใจเชื่อที่สุดนั้นคือบุคคลเหล่านั้นจะถูก วิญญาณร้ายตระกูลหลงซึ่งเมื่อ10ปีก่อนถูกฆ่าล้างตระกูลสังหารจนสิ้น


    รายละเอียดไม่มีมากกว่านี้เหล่าอนุชนจำต้องทำการหาลือกันเสียก่อนที่จะเริ่มลงมือ


    "แบ่งออกเป็นกลุ่มสร้างค่ายกลรอบหมู่บ้าน รอเวลาให้วิญญาณร้ายออกมาให้เร่งจัดการหากไม่ไหวต้องส่งสัญญาณทันที"ชิงเหิงจวินสั่งการโดยมีเสียงรับคำของเหล่าอนุชนขานรับ


    ทว่า... 


    "ทำเช่นนั้นมิเสียเวลาไปหน่อยรึชิงเหิงจวิน?"


    เสียงทุ้มทรงอำนาจของคุณชายเวินแทรกขึ้นมา เจ้าตัวกอดอกเชิดหน้าอย่างถือตัวมุมปากยกยิ้มเย้ยหยันราวกับว่าสิ่งที่ตนได้ยินนั้นช่างน่าขบขันยิ่ง


    หากนับกันตามจริง คุณชายเวินนั้นมีอายุเทียบเท่ากับชิงเหิงจวินที่สุดด้วยตระกูลเวินต้องการให้เขาจบหลักสูตรของตระกูลเสียก่อนแล้วค่อยมาศึกษาเล่าเรียนที่กูซู


    เหตุนั้นเวินรั่วหานจึงเป็นบุคคลที่อาวุโสพอๆกับคุณชายใหญ่หลาน มิแปลกที่เจ้าตัวนั้นไม่คิดวางท่าอย่างผู้ที่มีอายุน้อยกว่า


    "คุณชายเวินมีสิ่งใดจะแย้งรึ"


    มิมีท่าทีขัดใจคุณชายใหญ่หลานเพียงโค้งตัวขอคำแนะนำ ช่างเป็นท่วงท่าที่สง่างามราวกับเทพเซียนโดยแท้


    ฝ่ายเวินรั่วหานกระตุกยิ้ม"รูปแบบการตั้งค่ายกลเชื่องช้าเป็นเต่าคลาน คิดว่าวิญญาณมันจะโง่รอให้พวกเจ้าตั้งค่ายกลกันจนเสร็จรึ?"วาจาเชือดเฉือนทำให้อนุชนสกุลหลานคนอื่นๆอดลอบกำหมัดเหตุจากคุณชายผู้น่าเคารพของพวกตนถูกกล่าววาจาล่วงเกินเช่นนั้น ทว่าฝ่ายชิงเหิงจวินราวสายธารน้ำแข็งที่ไม่ถูกมรสุมร้อนพัดพาโดยง่าย เจ้าตัวยังคงยิ้มบางและตอบกลับไปด้วยท่วงท่าสงบนิ่ง


    "แม้เชื่องช้าไปบ้างทว่าปลอดภัยต่อเหล่าอนุชน เรายังมิรู้รายละเอียดของวิญญาณร้ายตนนี้มากนักมิควรทำอะไรบุ่มบ่าม"


    ฟ่านซือเยว่มองซ้ายทีขวาทีสลับระหว่างผู้อาวุโสทั้งสองโต้เถียงกันไปมาใจหนึ่งนางก็เห็นด้วยกับเวินรั่วหานที่รูปแบบนั้นดูเชื่องช้าเกินไป ทว่าอีกใจก็เห็นด้วยกับชิงเหิงจวินที่ควรนึกถึงความปลอดภัยเซียนรุ่นเยาว์​ของคนๆอื่นก่อน 


    "คุณชายทั้งสอง ข้ามีเรื่องจะเสนอแนะ"สิ้นเสียงคุณหนูน้อย ทุกคนพร้อมใจหันมามองนางเป็นตาเดียว บ้างรอฟังความเห็นของสตรีแห่งสกุลฟ่านบ้างหันไปซุบซิบว่ากล่าวถึงกิริยาไร้มารยาทบังอาจเอ่ยแทรกการสนทนาของคุณชายทั้งสองได้อย่างไร


    แหม...เห็นนางหัวเดียวกระเทียมลีบเข้าหน่อยก็พร้อมใจกันรุมประชาทัณฑ์กันเลยนะ คราวเวินรั่วหานไม่เห็นซุบซิบกันต่อหน้าแบบนี้บ้างล่ะจ๊ะ


    ยังดีที่ชิงเหิงจวินนั้นเป็นบุคคลใจกว้างขวาง เขาพร้อมเปิดอกรับความเห็นจากอนุชนทุกคนแม้บุคคลนั้นจะมิได้มาจากสกุลหลานก็ตาม


    ส่วนเวินรั่วหาน รายนั้นเพียงต้องการยลว่าแม่นางน้อยสกุลฟ่านนั้นจะแสดงความคิดเห็นต่อสถานการ์ณนี้อย่างไรเท่านั้น ถือเป็นการวัดคุณสมบัติศิษย์เอกแห่งมู่อันฟ่านไปในที


    ฟ่านซือเยว่โค้งเบาๆเป็นการขอบคุณทั้งคู่ที่ให้โอกาสนางได้แสดงความคิดเห็น


    "จากคำพูดของผู้อาวุโส ผู้คนมักหายไปอย่างไร้ที่มาที่ไปแม้จะหลบอยู่ภายในเรือนก็ตาม ข้าสันนิฐานว่าวิญญาณตนนั้นจะเคลื่อนไหวอยู่ในเงามืดเราควรให้มันออกมาจากที่ซ้อนเสียก่อน"


    "ถ้ามันง่ายเช่นนั้น พวกเราคงมิต้องมาหารือกันเช่นนี้หรอกแม่นางฟ่าน"อนุชนคนหนึ่งโพล่งขัดอย่างไร้มารยาท ฟ่านซิงหันไปมองก็พบว่าเขาคือคุญชายน้อยจากสกุลหนึ่งท่าทางกร่างใช้ได้คงมิแคล้วออกปากดูแคลนนางต่อหน้ากลุ่มชนเป็นแน่


    คุณชายน้อยสกุลหยางไห่กอดอกเชิดหน้าขึ้น"เจ้าเป็นสตรีคงคิดว่าการเยี่ยเลี่ยเป็นเรื่องง่ายดายงั้นสิ มันต้องใช้ทั้งสติปัญญาและวิชาแกร่งกล้าในการกำจัดวิญญาณร้าย มิใช่คิดอยากจะทำอะไรก็ทำราวกับมิใช้หัวคิดเช่นนี้"


    คำพูดคำจาวางท่าใหญ่โตทั้งๆที่นี่เองก็เป็นคราวแรกในการออกล่าภูติผีของเจ้าตัวแท้ๆ ทว่ามองๆไปแล้วการตีท่าวางอำนาจเช่นนั้นก็คล้ายคลึงกับท่วงท่าของเวินรั่วหานที่ออกตัวแย้งชิงเหิงจวินเมื่อครู่มิน้อย


    ไม่ใช่ว่ากำลังเลียนแบบอยู่หรอกนะ?


    "นี่เจ้า!"คุณชายเจียงที่ได้ยินวาจาร้ายกาจเช่นนั้นแหวกฝูงชนเข้ามาหมายจะเอาเรื่องคุณชายคนนั้น ยังดีที่เว่ยฉางเจ๋อปรามไว้เสียก่อน


    ฟ่านซิงเห็นแล้วลอบขบคิด...เจียงเฟิงเหมียนที่ถูกเหล่าแฟนๆยกเป็นคนสุขุม อ่อนนุ่มไทป์แด๊ดดี้นั้นจะมีมุมหัวร้อนแบบออกหน้าเช่นนี้ด้วย

    ...ถือว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว


    นางแสร้งตีหน้าสลดยกมือป้องปากอย่างมีจริต"ตายจริง เป็นเช่นนั้นเองหรือ?งั้นซือเยว่ต้องขออภัยด้วย"


    "แม่นางฟ่าน..."เจียงเฟิงเหมียนพึมพำ เขาอยากจะแย้งว่านางไม่จำเป็นต้องกล่าวขอโทษเลยเป็นฝ่ายหยางไห่ต่างหากที่จิตใจคับแคบทว่าถูกผู้ติดตามคนสนิทล็อคแขนไว้


    "ทว่า...หากท่านไตร่ตรองสักนิด ท่านน่าจะรู้ได้มิยากว่าเมื่อครู่ข้ายังกล่าวมิจบแม้แต่อนุชนรุ่นน้อยกว่าท่านยังสามารถคิดในจุดนี้ได้"มือบางผายมืออกไปรอบตัวเผยให้เห็นราวอนุชนทั้งหลายที่แม้จะเคลือบแคลงใจทว่ามิได้เร่งเร้าเอาความอย่างที่คุณชายหยางไห่กำลังกระทำ


    คราวนี้นางหันไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายโดยตรงไล่สำรวจใบหน้าซีดเผือดที่ก่อนหน้านี้ยังแสดงออกว่าพออกพอใจที่สามารถกดหัวคุณหนูตระกูลฟ่านได้ ก่อนยกยิ้มหวานปานผลผิงกั่ว(แอปเปิ้ล)อาบยาพิษ


    "เช่นนี้แล้ว...การออกตัวโต้แย้งโดยมิฟังเนื้อความให้ชัดแจ้งเสียก่อน นั่นนับว่าเป็นสิ่งที่ผู้มีปัญญาสมควรกระทำหรือไม่?"


    "หึ!"


    แว่วเสียงกลั้วหัวเราะดังมาจากทางบุรุษแดนตะวันฉายที่มิคิดจะรักษากิริยาหรือไว้หน้าคุณชายหยางไห่ผู้ถูกตอกหน้าเลยสักนิดยิ่งทำให้เขารู้สึกอับอายเข้าไปอีก เจ้าตัวตวัดดวงตาไปทางสตรีแพศยาที่ทำให้เขาต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ซึ่งนางมิได้หลบตาเขาสักนิดกับจ้องกลับมาอย่างมิหวั่นเกรงจนกลายเป็นฝ่ายคุณชายตระกูลหยางไห่ที่ต้องหลบตาเสียเอง


    ยังดีที่นางมิใช่คนกัดไม่ปล่อย อะไรปล่อยได้ก็ปล่อยไป


    คุณชายท่านนี้เองก็อาจกระทำไปเพราะถูกยกตัวเป็นใหญ่มาตลอดอาจรู้สึกขุ่นเคืองที่ถูกศิษย์สกุลอื่นนำหน้า บทเรียนเพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วไม่จำเป็นต้องจี้ให้มากความ


    เช่นนั้นปากบางจึงเริ่มเอ่ยต่อจากเมื่อครู่อย่างพยายามหักห้ามอารมณ์


    "จากที่ข้ากล่าวเมื่อครู่ วิญญาณตนนี้คงมิถูกกับแสงสว่างเท่าใดข้าจึงขอเสนอให้เราพุ่งเข้าหาและไล่ต้อนมันออกมาจนกว่าจะหลุดเข้าไปในค่ายกล"


    นางหยุดพักชั่วครู่เพื่อสังเกตปฏิกิริยาของแต่ละคน หลานฉี่เหรินลูบเคราสั้นของตนพลางเอ่ย


    "เจ้าว่าต่อสิ"


    ซือเยว่ยิ้มบาง"ตระกูลฟ่านมีเทคนิคการเขียนยันต์ระเบิดอยู่ ตัวข้าสามารถสอนการเขียนยันต์ระเบิดแบบอนุภาพน้อยที่จะสร้างเพียงแสงสว่างให้แก่พวกท่านได้ ระหว่างนั้นตระกูลหลานที่เชี่ยวชาญเรื่องค่ายกลก็ดักตั้งค่ายกลอยู่ ณ จุดหนึ่ง ส่วนอีกกลุ่มก็ไปไล่ต้อนวิญญาณร้ายโดยใช้ยันต์ระเบิดจุดลงที่ๆมีแสงน้อยที่สุด ล้อให้มันหนีออกมาจากที่ซ้อนให้เข้าไปในค่ายกล ซึ่งจำนวนคนที่เยอะเป็นทุนเดิมเราจะได้ค่ายกลที่มีความทนทานมากกว่าและสามารถจับวิญญาณได้อย่างแน่นอน"


    ชิงเหิงจวินขบคิดชั่วครู่ก่อนใบหน้าอ่อนโยนจะเผยยิ้มออกมาและตกลงใช้้แผนการของฟ่านซือเยว่ในการจับวิญญาณร้าย


    กลุ่มเยี่ยเลี่ยแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่นั่นคือกลุ่มวาดค่ายกลและกลุ่มไล่ล่าวิญญาณร้ายซึ่งกลุ่มหลังนั้นจะแบ่งแยกย่อยไปอีกเป็นกลุ่มละหกคนซึ่งในแต่ละกลุ่มจะมีผู้นำดังนี้


    กลุ่มที่1หัวหน้ากลุ่มคือ'ชิงเหิงจวิน' คอยดูแลศิษย์สกุลหลานในการวาดค่ายกลอยู่ที่นี่


    กลุ่มที่2 หัวหน้ากลุ่มคือ'เวินรั่วหาน' นำศิษย์สกุลเวินออกล่าทางทิศตะวันออก


    กลุ่มที่3 หัวหน้ากลุ่มคือ'เจียงเฟิงเหมียน' นำศิษย์สกุลเจียงออกล่าทางทิศตะวันตก


    กลุ่มที่4 หัวหน้ากลุ่มคือ'จินกวงซ่าน' นำศิษย์สกุลจินออกล่าทางทิศเหนือ


    กลุ่มที่5 หัวหน้ากลุ่มคือ'ฟ่านซือเยว่' นำศิษย์ต่างสกุลที่เหลือออกล่าทางทิศใต้


    ฟ่านซือเยว์ได้ฟังอดเอียงคอมิได้ รู้สึกว่าคุณชายใหญ่ตระกูลหลานนั้นช่างแบ่งปันหน้าที่อันยิ่งใหญ่มาให้นางเสียเหลือเกินหนา เล่นเสียนางรู้สึกกดดันเล็กน้อยเลยเชียว...


    "เป็นข้า... เหมาะสมหรือ?"นางยกนิ้วปัดเส้นผมทัดหลังหู ตากลมฉายแววกังวล


    "มีสิ่งใดมิเหมาะเล่า?"


    กับเป็นหลานฉี่เหรินกล่าวขึ้นคิ้วหนาเลิกอย่างสงสัยใคร่รู้ ตัวเขารู้ดีว่าแม้ภายนอกฟ่านซือเยว่นั้นจะดูเป็นคุณหนูน้อยผู้มั่นอกมั่นใจทว่าในใจลึกๆนางก็ยังมีความวิตกกังวลตามประสาวัยเยาว์อยู่


     "ศิษย์เอกที่ประมุขสกุลฟ่านให้การยอมรับ ปัญญาเจ้าก็มิด้อยไปกว่าใครเช่นนี้แล้วมีสิ่งใดที่มิเหมาะสม"


    ศิษย์สกุลหลานพากันอ้าปากค้างมินึกมิฝันว่าคุณชายรองจะกล่าวเยินยอผู้อื่นจนออกนอกหน้าเช่นนี้ได้ ไม่ผิดกฎหรือ? เหล่าอนุชนน้อยส่งสายตากันล่อกแล่กจนเจ้าของประโยคต้องกระแอ่มเตือน


    เขาเพียงกล่าวตามจริงเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้แก่นาง ที่กล่าวมาล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้นมินับเป็นการเยินยอเกินจริงแต่อย่างใด


    ...นับว่าไม่ผิดกฎสกุล


    ทว่าครั้งหันมองทางบุคคลผู้ถูกเอ่ยชมก็ถึงกับผงะ เมื่อใบหน้าของศิษย์หญิงแห่งสกุลฟ่านนั้นถูกสีแดงแต่งแต้มไปทั่วใบหน้าจนมิต่างจากผลอิงเถาสุกพานให้คนรอบข้างตกอยู่ในภวังค์


    เพี๊ยะ!


    ทว่าต้องชะงักไปเมื่อนางเล่นยกสองมือตบเข้าที่สองข้างแก้มไปเต็มแรงจนกลัวว่าแก้มน้อยๆนั้นจะเป็นรอนช้ำเอา


    "เช่นนั้นต้องขอบคุณคุณชายทั้งสองมาก ข้าจะมิทำให้ผิดหวัง"


    "อ่ะแฮ่ม! เช่นนั้นก็แยกย้ายเถอะ...อย่าลืมดูแลตัวเองด้วย"ประโยคหลังนั้นหลานฉี่เหรินกล่าวเสียงเบาประหนึ่งกระซิบให้ตนได้ยินเพียงผู้เดียวทว่าชิงเหิงจวินผู้เป็นพี่กับได้ยินประโยคนั้นอย่างชัดเจน...


    "แม่นางฟ่านดูแลตัวเองด้วย"คุณชายเจียงกล่าวโดยมีเว่ยฉางเจ๋อประกบอยู่ข้างกาย


    "คุณเจียงก็เช่นกัน"นางกล่าวด้วยรอยยิ้มก่อนเดินแยกออกมาและโยกหลบคุณชายจินที่กำลังจะพุ่งเข้ามากล่าวอวยพรเฉกเช่นผู้อื่นอย่างง่ายดาย ปล่อยให้จินกวงซ่านหันซ้ายแลขวาหาร่างนางที่จู่ๆก็หายต่อไป...


    การหาลือสิ้นสุดเพียงเท่านี้กลุ่มล่าวิญญาณร้ายจึงแยกย้ายกันไปตามทิศทางที่ตนได้รับมอบหมาย ซึ่งรูปแบบของแต่ละกลุ่มล้วนแตกต่างกันออกไปตามแต่ผู้เป็นหัวหน้าจะบัญชา


    ส่วนขบวนของนางนั้นจะให้ผู้ที่ฝึกลมปราณจนสามารถสำผัสสิ่งผิดปกติรอบตัวไปอยู่แนวหน้าแล้วให้คนที่มีทักษะวรยุทธ์แกร่งกล้าตามหลังเพื่อกันภัยอันตรายและแม้หน่ายสอดแนมจะถูกโจมตีก็ยังมีหน่วยจู่โจมคอยกันไว้อยู่แล้ว


    !?


    ฟ่านซือเยว่หันควับ เมื่อครู่นางเห็นเงาบางอย่างแล่นผ่านหางตาไปคิดในแง่ดีอาจเป็นสัตว์เล็กแต่หากร้ายหน่อยก็คงเป็นเป้าหมายที่เราตามหา ทว่ากลับเป็นเพียงจิ้งจอกตัวเดียวมันส่งเสียงขู่เธอเล็กน้อยก่อนจะกระโจนหายไป


    เฮ้อ...นึกว่าเป็นวิญญาณร้ายเสียอีก...


    แต่ถ้าเจอเป้าหมายอย่างรวดเร็วเช่นนี้ก็ต้องนับเป็นโชคดีสิ?


    เจอวิญญาณร้ายนับเป็นโชคดีได้ด้วยหรือ?


    อ่า จัดหมวดหมู่ให้มิถูกแฮะ


    "เอาเป็นว่าช่างมันเถอะ"นางกระซิบกับตัวเอง และออกเดินต่อโดยไม่ลืมสอดส่องสายตาไปรอบกายเพื่อเสาะหาวิญญาณร้าย


    หลังพุ่มไม้นั้นเอง...


    แควก-!


    ร่างของหมาจิ้งจอกผู้น่าสงสารที่กระโดดออกจากรังเพราะสัมผัสได้ถึงภัยอันตรายถูกบางสิ่งบางอย่างฉีกออกจนส่วนหัวและตัวแยกออกจากกัน เห็นเพียงเยื้อบางๆที่ยังเชื่อมอยู่เล็กน้อย โลหิตสีเข้มไหลนองเต็มพื้น


    สิ่งนั้นขว้างหัวจิ้งจอกออกไปอีกทางด้วยความหงุดหงิด สตรีนางนั้นเกือบจับมันได้ถ้าไม่ใช่เจ้าสิ่งมีชีวิตหน้าขนนี่มันคงตามสอดส่องกลุ่มคนพวกนี้ได้โดยมิต้องหวาดระแวงใดๆ


    ถือว่าชดใช้ไปแล้วกันหนา...


    สิ่งนั้นขบคิดก่อนจะตามกลุ่มเยี่ยเลี่-ไม่สิ สตรีจากกลุ่มเยี่ยเลี่ยนั้นต่อไปโดยมิคิดจะกลับมาใส่ใจเจ้าซากจิ้งจอกนั่นอีกเป็นครั้งที่สอง



    ---------------------------------------


     น้องจิ้งจอกกกกกกกT[ ]T!!!!


    นางเอกเราเป็นคนปล่อยว่างง่ายค่ะถ้าเรื่องนั้นไม่ร้ายแรงมาก แต่ถ้าร้ายแรงเมื่อไหร่ เผาพริกเผาเกลือก็ยังไม่พอ


    คุณชายจินโดนแกงอีกแล้ว555+(รีด : แบบนั้นเรียกรังเกียจ)


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×