คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Chapter 7
Chapter 7
ยามราตรีมืดมิด ไม่น่ากลัวเท่าหัวใจคนมืดบอด...เพราะความรัก
ความรัก สร้างขึ้นได้ และทำลายลงไม่ได้ยาก หากยังไม่รู้จักคุณค่าของมัน
และไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะรู้หัวใจตัวเองว่าต้องการสิ่งใด...
สำหรับคิมแจจุง มันเลยคำว่าสายเกินไปเสียแล้ว ไม่มีที่ว่างหลงเหลืออยู่เลยสำหรับการแก้ตัว เพราะอีกฝ่ายไม่เคยคิดหรือสำนึกอะไรเลยด้วยซ้ำ...
ร่างบอบบางนอนขดอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกับร่างแกร่งด้วยร่างกายที่ปราศจากอาภรณ์ใดๆปกปิด จุนซูหันหลังให้อีกฝ่ายไม่พูดไม่จา เนื้อนวลเนียนได้โผล่พ้นชายผ้าห่มท้าทายสายตาคมจนต้องก้มลงจูบซับที่ลาดไหล่บาง ก่อนจะเขยิบกายมานั่งพิงหัวเตียง เขาสังเกตเห็นอีกฝ่ายไม่พูดไม่จา อาจจะเป็นเพราะอีกฝ่ายเต็มใจนอนกับเขาเหมือนอย่างเคย ถึงไม่ได้เอ่ยห้ามอะไรสักคำ
“ทำไมนายถึงไม่ขัดขืนล่ะ ยอมทำไม ดูยังไง นายก็ง่ายสำหรับฉันอยู่ดี”กระนั้นจุนซูก็ไม่โต้ตอบ ยังคงนอนหันหลังให้ร่างแกร่งเงียบ ราวกับลืมเอาปากมา
ผมบอกให้คุณหยุด คุณยังไม่หยุด นับประสาอะไรถ้าผมขัดขืน แล้วคุณจะปล่อยผมอย่างนั้นเหรอ ผมเปลี่ยนความคิดใครไม่ได้ เมื่อคุณยังมองว่าผมเป็นของเล่น คุณก็ต้องเล่นจนกว่าจะเบื่อแล้วก็โยนทิ้ง ถ้าคุณเห็นผมมีค่า คุณจะไม่แตะต้องและดูถูกกันแบบนี้
ยาพิษที่ซึมเข้าฝ่ามือ ไม่มีแผลมันเป็นไปไม่ได้หรอกนะ ใครทำอะไรไว้ ก็ได้อย่างนั้น ผมขอให้คุณพบแต่ความเจ็บปวด...จากการกระทำของคุณ
“ลืมเอาปากมาด้วยเหรอไง” ร่างแกร่งหยิบผ้าขนหนูสีขาวสะอาดตรงหัวเตียงขึ้นมาคาดเอว พร้อมทั้งเดินเข้าห้องน้ำไปด้วยความหงุดหงิดที่อีกฝ่ายเงียบไม่ยอมพูดด้วย เขาเปิดฝักบัว ปล่อยให้สายน้ำเย็นไหลโชลมร่างกายแต่ไม่ทำให้หัวใจเย็นลงเลยสักนิด มีแต่ร้อนรุ่มเมื่อความเงียบของจุนซูนั้นทำเอาเขายิ่งรู้สึกผิด
คนอ่อนแอ คือคนขี้แพ้ คนที่เจ็บปวด จะไม่มีวันชนะ เขาจึงมักใช้คำพูดเพื่อข่มคนอื่นเสมอ เพื่อถีบให้ตัวเองอยู่เหนือกว่า แต่บางครั้งคำพูดของเขา...มันก็ส่งผลให้ตกลงสู่เหวเช่นกัน
“อยู่ๆนายก็หายไป ที่กลับมาเพราะฉันเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงหรอกเหรอ?”
เขามิอาจลืมลงได้ แม้ผ่านมาแล้วสิบปีก็ตาม เวลาก็มักจะเดินไปข้างหน้า แต่บางครั้ง เขากลับหยุดนิ่งและถอยหลังหวนนึกถึงสิ่งเก่า ๆ มันเรียกว่าความทรงจำรึเปล่า ก็อาจจะไม่ใช่ เพราะเราสองคน ไม่เคยมีความทรงจำดีๆร่วมกันแม้แต่นิด แต่แปลกที่มันก็ยังคงติดค้างอยู่ในใจเขาจนถึงตอนนี้...
สิบปีที่แล้ว เขาเคยเรียนอยู่ที่ชุงชองบ้านเกิด ชีวิตเขาในตอนนั้นเรียกว่าไม่มีอะไรเลยด้วยซ้ำ บ้านทรุดโทรมหลังเล็กๆในฝันร้ายช่วงหนึ่งของชีวิตที่เขาอาศัย ยังต้องอยู่อย่างหวาดระแวงว่าจะถูกยึดเอาตอนไหน ข้าวแต่ละมื้อหากไม่ดิ้นรนทำงานเสริมระหว่างเรียนคงไม่มีกิน อดมื้อกินมื้อ ไม่มีหรอกที่จะกินอย่างสุขสบายสักครั้ง ชีวิตช่างน่าสมเพชจนรู้สึกขยะแขยงตัวเอง และเริ่มมีความคิดในใจว่าอยากจะลบปมด้อยที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดคือความยากจนให้หลุดพ้นจากฝันร้ายเหล่านั้นให้ได้
ด้วยความทะเยอทะยานบวกกับความมุ่งมั่นที่มีอยู่ล้นเปี่ยม แจจุงมักฝึกซ้อมร้องเพลงในหอประชุมโรงเรียนในเวลาที่ไม่มีใครอยู่ จนถึงวันประกวดที่เขาลงสมัครไว้ก็ได้รางวัลชนะเลิศ และมีคนแนะนำให้ไปเป็นนักร้องฝึกหัดที่บริษัทต้นสังกัดปัจจุบันของเขา และเดบิวต์เมื่อ 5ปีก่อนจนโด่งดังมาถึงทุกวันนี้
เบื้องหลังความสำเร็จของคนที่ชื่อคิมแจจุงคือใครคนหนึ่งที่มักจะแอบมาฟังเขาร้องเพลงอยู่ที่หอประชุมเป็นประจำ จนวันหนึ่งเขาจับได้ และยอมให้อีกฝ่ายฟังเขาร้องเพลงทั้งที่ยังไม่รู้จักกัน แต่กลับรู้สึกดีที่อีกฝ่ายคอยให้กำลังใจเสมือนแรงผลักดันให้เขาลุกขึ้นที่จะต่อสู้กับความฝันของตัวเอง
เขาไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อ รู้เพียงว่าอีกฝ่ายเพิ่งอยู่มัธยมต้น ส่วนเขาอยู่มัธยมปลายปีสุดท้าย
กระทั่งเขารู้มาว่าอีกฝ่ายฐานะร่ำรวยซึ่งต่างกับเขาราวฟ้ากับเหว จึงตีตัวออกห่าง แต่อีกฝ่ายกลับพยายามเข้าหา และบอกว่าไม่สนว่าเขาจะเป็นอย่างไร ความเย็นชาที่ติดตัวมาก็เริ่มละลายลงช้าๆเมื่อคนๆนั้นได้ก้าวเข้ามาในชีวิต
จู่ๆอีกฝ่ายกลับหายไปไม่บอกไม่กล่าว เขาอยากจะมาบอกแค่ว่าเขาชนะการประกวดร้องเพลงเพื่ออยากให้อีกฝ่ายแสดงความยินดี แต่รู้มาว่าใครคนนั้นได้ย้ายไปเรียนที่กรุงโซลเสียแล้ว
ส่วนฮโยจูนั้นก้าวเข้ามาในชีวิตตอนที่เขาไม่เหลือใคร ความรักจึงเกิดขึ้นไม่ยาก เพราะหัวใจกำลังโหยหาใครบางคน และเธอก็ได้เข้ามาเติมเต็มส่วนที่เขาขาดหายไป...
ฮโยจูคือคนที่เขารัก แต่จุนซูคือคนที่เขารู้สึกดีเมื่อได้อยู่ใกล้
แต่ตอนนี้...เขาไม่รู้ เขายังอยากคบกับฮโยจู แต่เขาก็ปล่อยจุนซูไปไม่ได้
หัวใจของเขา...มันช่างเห็นแก่ได้เหลือเกิน
เมื่อแจจุงอาบน้ำเสร็จ จึงสวมเสื้อผ้าพร้อมทั้งเดินออกมา เขาชะงักและยืนมองคนตัวเล็กที่นอนบนเตียงอยู่ห่างๆ ทบทวนอะไรบางอย่างอยู่เงียบๆคนเดียว
วันแรกที่เขาได้เจออีกฝ่ายอีกครั้ง
ความลับที่ไม่เคยให้แฟนคลับรู้ แต่อาจจะมีซาแซงบางคนที่รู้ไปเสียทุกเรื่องว่าเมื่อเสร็จสิ้นการแสดงคอนเสิร์ตครั้งไหน สปอนเซอร์ของงานมักหาหญิงสาวมาให้เสพสวาทเพื่อเป็นการตอบแทนความเหนื่อยล้า สำหรับเขามันแค่บางครั้งเท่านั้น เวลารู้สึกเบื่อหน่าย
และวันนั้น...ก็เป็นวันที่เขารู้สึกเบื่อๆจึงตอบตกลงไป
“ลองเด็กผู้ชายน่ารักๆดูบ้างสิ เผื่อจะติดใจนะ อ้อ...เด็กคนนี้ชื่อคิมจุนซูนะ” เขาเบิกตากว้างทันทีเมื่อเห็นคนคุ้นเคยข้างๆกับชายหนุ่มตรงหน้า แววตาไร้เดียงสาจ้องมองมาที่เขาอย่างกล้าๆกลัว
คิมจุนซู....ชื่อของนายเหรอ
เมื่อเข้ามาภายในห้อง vip กันเพียงสองคน อีกฝ่ายไม่เห็นจะมีแววสะทกสะท้านอะไรกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปเลยสักนิด
“ทำไมถึงมาที่นี่” เขาเอ่ยถาม พร้อมตรงเข้าไปนั่งยังปลายเตียงด้วยแววตาที่ว่างเปล่า
“ผมแค่อยากเจอคุณ” ใบหน้าหล่อเหยียดสายตามองอีกฝ่ายให้ชัดๆ เป็นเด็กคนนั้นจริงๆด้วย เขาจำไม่ผิดแน่
“แล้วทำไมถึงอยากมาเจอในที่แบบนี้ อยากมากนักเหรอไง?” จุนซูไม่ตอบ เพราะคิดว่าคงเป็นทางเดียวที่จะทำให้เขาได้กลับมาพบกับแจจุงอีกครั้ง อยากขอโทษที่ไปโดยไม่บอกไม่กล่าว เขาจำเป็นจริงๆที่จะต้องย้ายมาอยู่กับพี่ยุนโฮที่กรุงโซลเพราะครอบครัวล้มละลาย และผู้เป็นแม่ได้ฝากเขาให้กับพี่เขยดูแล แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายไม่อยากจะฟังเขาพูดสักเท่าไหร่
“ขึ้นมาบนเตียง...จะได้จบๆ” ดวงตาเรียวเล็กเบิกกว้าง เขาไม่ต้องการแบบนั้น เขาแค่อยากเจอ ไม่ได้อยากอยากได้อะไรที่สูงเกินไป
“ผม..ขอโทษ ฮึ่กก”
“ขอโทษทำไมกัน ฮึ!” ฝ่ามือใหญ่คว้าหมับเข้าที่ข้อมือเล็กของคนตรงหน้าจนร่างบางล้มลงนั่งบนตักแกร่ง ใบหน้าหล่อจูบซับลงบนลำคอขาวเนียนบางเบา แขนอีกข้างรั้งสะโพกอวบไว้ไม่ให้อีกฝ่ายลุกขึ้นไปไหน
“อ..อย่านะครับ ผมไม่ได้ต้องการแบบนี้”
“เหรอ? ที่เสนอตัวมาถึงที่แบบนี้หมายความว่ายังไงดีล่ะ” มือที่ว่างอยู่ตรงเข้าจับที่ท้ายทอยของอีกฝ่ายและกดลงมาเพื่อให้ริมฝีปากนุ่มแตะลงบนริมฝีปากของเขา ก่อนที่ร่างแกร่งจะมอบรสจูบที่เร่าร้อนจนอีกฝ่ายมิอาจร้องทัดทานได้ และสุดท้ายคิมจุนซูก็ยอมตกเป็นของเขาในคืนนั้น
แต่พักหลังๆกลับเป็นเขาที่มักจะโทรหาอีกฝ่ายเพื่อมีอะไรกัน...ราวกับขาดไม่ได้
จุนซูแค่เพียงหลับตา แต่ไม่ได้หมายความว่าเผลอหลับไป เขาก็ยังคงคิดถึงเรื่องนี้เช่นกัน ครั้งแรกที่เสียไปยังรวดร้าวไม่เท่ากับครั้งนี้ที่มีแต่ความเจ็บปวดใจ เขาเหนื่อยเหลือเกินกับความรักที่ทุ่มเทให้อีกฝ่ายจนหมดหัวใจ หากแต่ได้ผลตอบแทนกลับคืนคือความขมขื่นอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ การที่เขายอมอีกฝ่ายทุกอย่างเหตุผลมีเพียงข้อเดียว...เขารักคิมแจจุง รักคิมแจจุงในอดีตที่มีแต่ความมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ เขาตกหลุมรักเสียงของอีกฝ่ายตั้งแต่ครั้งแรกที่บังเอิญได้เดินเข้าไปในหอประชุม หลังจากนั้นก็คอยติดตามแจจุงมาตลอดราวกับแฟนคลับ เขายังจำได้ไม่เคยลบเลือนออกไปจากหัวใจ แต่เขาเกลียดคิมแจจุงคนปัจจุบันที่เอาแต่ดูถูกร่างกายของเขาราวกับของเล่นไร้ค่า ความรักที่มีให้เต็มร้อยมันเหลือเพียงติดลบเสียแล้ว
แม้เรื่องของเรามันเริ่มต้นด้วยความเข้าใจผิด...แต่ตอนนี้เราได้เดินทางมาผิดๆอย่างน่าละอาย
เขาได้แต่ภาวนาให้แจจุงหยุดเรื่องของเราไว้แค่นี้...และต่างหันหน้าหนีราวกับไม่รู้จักกันเลยยิ่งดี
ได้แต่ภาวนาให้คิมแจจุงคิดได้ในเร็ววัน...เพราะหากไม่มีความรักให้กัน ก็ควรที่จะปล่อยเขาไป
เช้าวันต่อมา
ยุนโฮโทรหาอาจารย์ที่ปรึกษาห้องของจุนซูแต่เช้าว่าขอลากิจให้เด็กในปกครอง หากแต่อีกฝ่ายกลับบอกมาว่ามีคนโทรมาลาให้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว และขอลาให้จุนซูเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ แค่นั้นเขาก็ตัดสายทิ้ง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นคิมแจจุงที่โทรไป
“ถ้าจุนซูเป็นอะไรไป ฉันก็จะไม่ไว้หน้านายเช่นกัน” เขาพยายามใจเย็นอย่างถึงที่สุด แต่ก็ยังคงเป็นห่วงจุนซูไม่หาย ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง
วันนี้ยุนโฮทำงานผิดพลาดหลายอย่าง แม้กระทั่งเซ็นเอกสารยังลืมได้ เพราะเขาไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรแล้วในตอนนี้ แม้เอกสารจะมากองอยู่ตรงหน้าเป็นตั้งๆก็ยังไม่คิดจะหยิบจับหรือทำอะไรเลยสักอย่าง จนเลขาสาวที่สังเกตเห็นอาการของเจ้านายแปลกๆไปเลยเอ่ยถาม
“คุณยุนโฮเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
“เปล่า..ไม่มีอะไรหรอก เมื่อคืนฉันนอนดึกน่ะ ขอพักผ่อนสักพักนะ เธอออกไปก่อนเถอะ” เลขาสาวทำตามคำสั่งของเจ้านาย พร้อมทั้งเดินออกไปทันที ร่างแกร่งหันหน้าไปทางกระจกใสพลางถอนหายใจ ทัศนียภาพภายนอกที่สบายตาแต่ไม่ได้ทำให้รู้สึกสบายใจเลยแม้แต่นิด
ดวงตาเรียวค่อยๆลืมตื่นขึ้น แพขนตายาวกระพริบช้าๆ ก่อนมือทั้งสองข้างจะยกขึ้นขยี้เปลือกตาอย่างงัวเงีย เขานึกขึ้นได้ว่าอาทิตย์หน้าช่วงปลายสัปดาห์เขามีสอบ ดีที่เอาหนังสือมาด้วยเลยไม่น่าเป็นห่วงสักเท่าไหร่ ที่น่าหวั่นใจคือวิชาดนตรีที่ต้องสอบเปียโนโดยเลือกเพลงอะไรมาเล่นก็ได้ โจทย์ดูไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่ายสำหรับเขาเลยแม้แต่น้อย เพาะเขาเล่นไม่เป็น นั่นคือการสอบที่ยากที่สุดสำหรับเขา
ร่างเล็กเดินออกมาจากห้อง สายตาเหลือบเห็นใครบางคนนั่งจิบไวน์อยู่ตรงโต๊ะบาร์อย่างสบายใจ แต่จุนซูกลับเดินหนี และตรงไปเปิดประตูเพื่อจะก้าวออกไปข้างนอกแต่ถูกมือไวคว้าไว้
“ยังไม่ถึงเวลา ฉันยังไม่ให้กลับหรอกนะ นี่มันเพิ่งวันแรกเองนี่”
“ผมจะออกไปเอาหนังสือในรถของคุณ อาทิตย์หน้ามีสอบ” จุนซูตอบกลับอย่างไม่เหลือเยื่อใย ดูห่างเหินและหมางเมินเขามากขึ้นทุกวัน จนเขาต้องปล่อยมือ
“ฉันหยิบออกมาแล้ว วางไว้บนโต๊ะเปียโนในห้องนั่งเล่น”
เปียโนเหรอ...ดีสิ แม้มีพื้นฐานมานิดหน่อยก็ยังดี เผื่อจะแอบเข้าไปฝึกบ้าง
“ผมจะเข้าไปอ่านหนังสือที่ห้องนั้นได้มั้ย” หน้าของอีกฝ่ายดูเศร้าหมองกว่าเมื่อวาน และน้ำเสียงดูบางเบาราวกับคนไร้เรี่ยวแรง ดูเงียบไปอย่างน่าใจหายทั้งที่เมื่อวานยังเถียงคำไม่ตกฟาก
“ตามใจ” เขาแอบเปิดสมุดที่อีกฝ่ายได้จดเลคเชอร์ลงไป รู้ว่ามีสอบอาทิตย์หน้า และยังต้องสอบเปียโนอีก จุนซูจดไว้เพียงแค่นี้ เขาก็เลยเอาหนังสือไปวางไว้บนโต๊ะเปียโนภายในห้องนั่งเล่น เพราะเงียบสงบเหมาะแก่การอ่านหนังสือ อีกอย่างถ้าอีกฝ่ายเห็นเปียโนก็คงฝึกเล่นเพื่อเตรียมตัวสอบในอาทิตย์หน้าได้
แต่คิมแจจุงได้แอบหยิบสมุดวาดภาพของอีกฝ่ายมาเปิดดูในขณะที่นั่งทอดกายอยู่บนเก้าอี้นอนไม้ริมสระน้ำภายในบ้าน สายตาคมพินิจมองรูปวาดแต่ละรูปอย่างนึกชื่นชม
“วาดสวยดีนี่” เรียกได้ว่าวาดเก่งเลยทีเดียว ทั้งลายเส้น รายละเอียดของภาพวาดดูเป็นคนมีฝีมือ แต่เขาดูไม่ค่อยออกนักหรอกเรื่องวาดรูป รู้แค่ว่ามองแล้วคิดว่าสวยมากเหลือเกิน
จุนซูวาดไว้หลายรูปมาก ไม่ว่าจะเป็นวิวทิวทัศน์ ดอกไม้ หรือแม้กระทั่งคน...เพียงแค่เห็นก็รู้เลยว่าเป็นเขา รูปนั้น คิมจุนซูวาดเขาด้วยเหรอเนี่ย?
แต่ข้อความที่เขียนด้วยหมึกเข้มทับลงไปบนรูปของเขาทำให้รู้สึกขุ่นเคืองไม่น้อย แถมยังมีรอยขีดทับเต็มหน้ากระดาษราวกับคนทำระบายอารมณ์แค้นอะไรบางอย่างลงไป
“ผมเกลียดคุณ...คิมแจจุง” ข้อความนั้นเด่นชัดจนหัวใจกระตุกวาบ เขาอยากหาอะไรมาลบออก แต่คงลบไม่ได้อีกแล้ว เพราะรูปภาพนั้นมันเละไม่มีชิ้นดีแต่ก็พอเห็นว่ารูปนั้นคือเขา เพราะมันเหมือนมากราวกับตัวจริง
คิมแจจุงดึงภาพนั้นออกมาเก็บไว้ แม้จะเต็มไปด้วยร่องรอยของความเกลียดชังจากน้ำมือของใครคนหนึ่งแต่เขาก็ฉีกมันไม่ลง เขาเดินเข้าไปในบ้านเป็นจังหวะเดียวกับที่ร่างเล็กเดินเข้ามาหาอย่างร้อนรน
“คุณเห็นสมุดวาดภาพของผมหรือเปล่า”จุนซูหน้าตาเลิ่กลั่ก น้ำตาเริ่มคลอหน่วงแทบจะไหลออกมาเมื่อไม่เจอสมุดวาดภาพแสนหวง
“นี่น่ะเหรอ เอาไปสิ” จุนซูรีบรับไว้อย่างรู้สึกเคือง หาแทบตายสุดท้ายก็อยู่ในมือของผู้ชายใจร้ายอย่างคิมแจจุง
“เกลียดฉันมากขนาดนั้นเลยเหรอ” จุนซูยืนนิ่งอย่างรู้สึกหวาดกลัวแปลกๆที่ได้ยินน้ำเสียงเย็นชาแบบนั้น จู่ๆทำไมถึงถามออกมา...ใช่ เขาเกลียด แต่เขาพูดไม่ได้
“เกลียดมากมั้ย ฮึ!” ฝ่ามือใหญ่บีบแขนเรียวอย่างแรงจนอีกฝ่ายนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด จุนซูรู้สึกกลัวขึ้นมาจนเนื้อกายบางสั่นเทา
“ก็ไม่รู้ว่ามากหรือเปล่า แค่ไม่เคยรู้สึก...อยากจะกลั้นใจตายขนาดนี้ ฮึ่ก” เมื่ออีกฝ่ายถามย้ำ จึงพูดออกมาตรงๆตามที่รู้สึก ดวงตาคู่สวยหลบสายตาอีกคู่ที่มีประกายไฟลุกโชนเพราะความโกรธ จุนซูก้มหน้าสะอื้นไห้ ความทุกข์และความขมขื่นที่สะสมมามากมายทำให้กลายเป็นคนที่อยู่ในภาวะซึมเศร้าอีกครั้งอย่างเลี่ยงไม่ได้ โรคประจำตัวที่ต้องบำบัดด้วยความสุขแต่สิ่งที่อีกฝ่ายปฏิบัติกับเขามันตรงกันข้าม
แม้แจจุงจะโกรธจนเลือดขึ้นหน้า แต่เมื่อเห็นจุนซูดูซึมๆไปและร้องไห้ไม่หยุดราวกับไม่ใช่คิมจุนซูคนเดิมจึงได้สติ ฝ่ามือค่อยๆคลายออกจากแขนเรียวช้าๆ ก่อนจะประคองใบหน้าหวานที่ดูเศร้าหมองและและเลื่อนลอยอย่างนึกสงสารอยู่ลึกๆ
“จุนซู นายเป็นอะไรไป ไม่สบายหรือเปล่า หืม” น้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความห่วงใย แต่ดวงตาเรียวเล็กกลับจ้องมองสายตาคมเข้มอย่างโรยแรงพร้อมกับต่อว่าอีกฝ่ายในใจ และน้ำตาก็ไหลออกมาไม่หยุด
คุณยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ ว่าผมเป็นอะไร...เพราะใคร
ร่างแกร่งไม่รู้เช่นกันว่าจะทำอย่างไรให้อีกฝ่ายดีขึ้น ได้แต่สวมกอดร่างบางพลางลูบกลุ่มผมสีน้ำตาลอย่างอ่อนโยน จุนซูได้แต่ฟุบหน้าสะอื้นไห้ตรงอกแกร่ง แม้อยากจะออกจากอ้อมกอดนี้แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเวลานี้เขาต้องการไออุ่นจากใครสักคน แม้อีกฝ่ายจะเป็นคนที่ทำลายหัวใจดวงนี้ก็ตาม
ผ่านมาแล้ว 3 วันกับการพิสูจน์หัวใจ ทว่ากลับเหมือนปล่อยเวลาให้ผ่านไปเรื่อยๆโดยยังไม่ได้เริ่มบททดสอบอะไร แต่เพียงแค่นี้ก็ทำให้หัวใจของคนทั้งสองต่างก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน
สำหรับคิมแจจุงก็เจ็บปวด...ที่หัวใจตัวเองยังเลือกใครคนหนึ่งไม่ได้ กลัวจะเสียฮโยจูไปก็กลัว กลัวจะเสียจุนซูไปก็กลัว
สำหรับคิมจุนซูก็เจ็บปวด...กับการที่ต้องเป็นตัวเลือกให้กับคนที่เห็นแก่ตัว ไม่ยอมเลือก และไม่ยอมปล่อยเขาไปเสียที
ร่างเล็กเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นเหมือนเคย สามวันมานี้อาการซึมเศร้าของเขายังคงอยู่ แต่ไม่ได้รู้สึกแย่เหมือนในวันนั้น เพราะใครบางคนได้นอนกอดเขาทุกคืนราวกับรู้ว่าเขากำลังต้องการไออุ่นจากใครสักคน อ้อมกอดที่อบอุ่นพานให้นึกถึงพี่ยุนโฮ...คนที่คอยกอดปลอบและให้กำลังใจเขาในเวลาที่รู้สึกแย่ แม้ตัวจะอยู่กับคิมแจจุง แต่คนที่เขาคิดถึงมีเพียงพี่ชายที่แสนดี คนที่คอยสมานรอยแผลในหัวใจให้จางหายไป
เขาเข้ามาอ่านหนังสือแต่ก็ไม่ได้ซึมซับเข้ามาในสมองเลยสักนิด เพราะในหัวคิดถึงแต่เรื่องอื่น ไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรแต่ต้องฝืนอ่านต่อไป จุนซูรู้สึกปวดตากับการจ้องอ่านหนังสือนานๆจึงวางมันลง เขายันกายขึ้นยืนพร้อมทั้งเดินมานั่งยังโต๊ะเปียโนตัวใหญ่ สายตาเรียวเล็กได้แต่จ้องมองโน้ตบนเปียโนอย่างรู้สึกท้อ ก่อนจะค่อยๆฟุบหน้าลงกับเปียโนตรงหน้า จู่ๆน้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตู่สวยโดยไม่ทันตั้งตัว เขาปล่อยให้มันไหลออกมาอาบสองแก้มนวลด้วยความสิ้นหวัง เสียงสะอื้นไห้ดังระงมอย่างน่าสงสาร
“แค่นี้ก็ต้องร้องไห้เหรอ ยังไม่คิดจะพยายามอะไร แล้วจะรู้ได้ไงว่าเราทำได้หรือไม่ได้” แจจุงทรุดกายลงนั่งข้างๆร่างเล็ก ใบหน้าหวานเงยขึ้นพร้อมน้ำตา ก่อนจะยกมือขึ้นเช็ดลวกๆอย่างนึกละอายแก่ใจ ที่ได้แสดงความอ่อนแอให้อีกฝ่ายได้เห็นอีกครั้ง จุนซูได้แต่นั่งสะอื้นไห้อยู่เงียบๆ ทำให้แจจุงรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย
“หยุดร้อง แล้วก็ซ้อมซะทีสิ”
“ผมเล่นไม่เป็น ฮึ่ก” ใบหน้าขาวใสเบี่ยงหนีไปทางอื่น พร้อมทั้งพูดออกมาเบาๆ
“ฉันจะสอน” จุนซูหันมามองคนข้างๆเพียงนิด เขาเห็นอีกฝ่ายจดจ้องเปียโนตรงหน้าก่อนจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาทาบบนตัวโน๊ต เสียงเปียโนดังขึ้นอย่างไพเราะเมื่อแจจุงเริ่มบรรเลงบทเพลงที่แสนคุ้นเคย แต่เขากลับนึกไม่ออกว่าเป็นเพลงอะไร ได้แต่นั่งมองอีกฝ่ายราวกับต้องมนต์สะกด แม้หัวใจของเขาจะเจ็บปวดจนด้านชาไปแล้ว แต่มันกลับเต้นแรงขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด
“เพลงนี้ชื่อเพลงว่าอะไรเหรอครับ?” เสียงใสเอ่ยถาม เมื่อเสียงเพลงจบลง
“River flows in you” จุนซูพยักหน้า เขาถูกแจจุงสอนแกมบังคับจนเสียน้ำตาหลายครั้ง แต่ไม่คิดจะซับน้ำตาให้อีกฝ่ายเลย เพราะคิดว่ามันช่างเป็นน้ำตาแห่งความงี่เง่าสิ้นดี
กระทั่งเวลาผ่านไปครึ่งค่อนวันคนตัวเล็กก็เริ่มเล่นเปียโนคล่องขึ้น และสามารถเล่นเพลง River flows in you ได้ แต่เขาคิดว่ายังเล่นไม่เก่งเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับแจจุง เรียกว่าไม่เห็นฝุ่นเลยด้วยซ้ำ
“พอแค่นี้ก่อนแล้วกัน ออกไปเดินสูดอากาศข้างนอกก่อนดีกว่า จะได้ไม่เครียด” ร่างแกร่งลุกขึ้นยืนพร้อมทั้งเดินออกไปข้างนอก เมื่อคิดได้ว่าตัวเองควรออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกบ้าง เพราะอยู่แต่ในบ้านก็อึดอัดไม่ใช่น้อย
สายลมเย็นพัดผ่านเมื่อยามก้าวออกมาพ้นประตูบ้าน อากาศที่นี่สดชื่นกว่าที่โซลหลายเท่า สายตาเรียวเล็กทอดมองไปยังทะเลสาบกว้างใหญ่ที่รายล้อมไปด้วยทิวเขาและร่มไม้ บรรยากาศดีเสียจนลืมความขนขื่นในใจจนหมดสิ้น
หากยังคงหลงเหลือก้อนตะกอนตกค้าง มันก็กลับมาสร้างความร้าวรานในใจได้ไม่ยาก
“ผมรักคุณนะ ฮโยจู” ร่างแกร่งกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์เป็นประโยคสุดท้าย ก่อนจะตัดสายทิ้งเมื่อได้ยินเสียงเดินแว่วมาจากข้างหลัง แจจุงค่อยๆหันไปมอง ก็พบกับใครอีกคนที่เดินเข้ามาด้วยแววตาที่ไม่รู้สึกอะไร แต่เขามั่นใจว่าจุนซูได้ยินที่เขาพูดแน่นอน
ผิดคาดที่คนตัวเล็กจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า กลับเดินผ่านไปราวกับมองไม่เห็นเขา แจจุงได้แต่มองตามแผ่นหลังนั้นไป ก่อนจะตัดสินใจเดินตามอยู่ห่างๆ โดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
คุณรักเขา...แล้วทำไมคุณถึงพาผมมาที่นี่
คุณเห็นผมเป็นตัวตลกหรือไง?
เมื่อมองจากด้านหลัง คนข้างหลังจะไปรู้ถึงความรู้สึกของคนตรงหน้าได้อย่างไร มองไม่เห็นแม้กระทั่งน้ำตาที่เริ่มไหลออกมา มองไม่เห็นว่าคนข้างหน้าเจ็บปวดสักแค่ไหน...ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองอยู่ในสถานะอะไร อยู่ในส่วนเสี้ยวไหนในหัวใจของคนเห็นแก่ตัว
แม้จะเดินมาเรื่อยๆ แต่สิ่งที่หยุดสายตาคู่หนึ่งได้คือดอกไม้ชนิดหนึ่งที่คล้ายถุงมือจิ้งจอก เขาไม่รู้ว่ามันคือดอกไม้อะไร แต่มันดึงดูดให้เดินเข้าไปใกล้ โดยหารู้ไม่ว่าสิ่งที่สวยงามตรงหน้าจะเป็นกับดักนำอันตรายมาสู่ตัวเอง
“จุนซู..อย่าไปจับมันนะ อันตราย” แจจุงเอ่ยห้าม เขารู้ดีว่ามันคือดอก foxglove ดอกไม้ที่อันตรายเป็นอันดับ 2 ของโลก เขาสั่งปลูกไว้ก็จริงๆ เพราะดูด้วยตาแล้วคิดว่ามันสวยงามมากเหลือเกิน แต่พอรู้ประวัติของมันเขาก็ไม่เคยคิดจะแตะต้องอีกเลย
เพราะมัน...สามารถฆ่ากระต่ายให้ตายได้เลยทีเดียว
“นอกจากคุณผมก็ไม่คิดว่าสิ่งไหนมันอันตรายเลยสักนิด” จุนซูไม่ฟัง กลับเดินเข้าไปใกล้มากกว่าเดิม ใบหน้าหวานยื่นเข้าไปใกล้แล้วสูดกลิ่นหอมของดอกไม้เข้าไปเต็มปอด มือเล็กยกขึ้นจะจับ หากแต่ถูกมือใหญ่คว้าเอาไว้แล้วกระชากข้อมือบอบบางอย่างแรงเพื่อให้อีกฝ่ายออกห่าง
“บอกว่ามันอันตราย ทำไมถึงพูดไม่ฟัง” น้ำเสียงเริ่มมีแววโมโห แต่จุนซูกลับตีสีหน้านิ่งเฉย
“ถ้ามันจะทำให้ผมตายผมก็ยอม อยู่แบบนี้มันทรมานกว่า” แววตาเริ่มแข็งกร้าวเมื่อได้ยินประโยคเมื่อครู่ หากแต่เห็นอีกฝ่ายมีอาการแปลกๆ แววตาเลยอ่อนลง
“ฮึ่ก..อุ้บ!” จุนซูรู้สึกปวดท้องอย่างหนัก และเหมือนของข้างในจะตีขึ้นมาจนจุกลำคอ ท้องไส้ปั่นป่วนไปหมด
“จุนซู...นายเป็นอะไร จุนซู!” ผ่ามือใหญ่ยกขึ้นจับต้นแขนเล็ก แต่กลับถูกอีกฝ่ายผลักไส พร้อมถอยห่างออกมา
ร่างเล็กโก่งคออาเจียนอย่างหนัก น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด ใบหน้าเริ่มขาวซีดไร้สีเลือดฝาด ตามเนื้อตัวเริ่มมีผื่นแดงขึ้นเล็กน้อย เพราะโดนพิษของดอก foxglove เล่นงาน
“ฉันบอกแล้วทำไมไม่เชื่อ” แจจุงรู้สึกสงสารคนตัวเล็กจับใจ แต่ก็นึกโมโหที่เตือนแล้วอีกฝ่ายไม่ยอมเชื่อ ฝ่ามือใหญ่ตรงเข้าลูบแผ่นหลังบาง แต่อีกฝ่ายอาการไม่ดีขึ้นเลย
“ไปหาหมอมั้ย?” จุนซูไม่ตอบ ได้แต่พยักหน้าถี่ แม้ของข้างในจะออกมาจนหมดแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกพะอืดพะอม หน้ามืดและมึนงงไปหมด ร่างทั้งร่างแทบจะทรุดลงไปนอนกองกับพื้น หากแต่ร่างแกร่งเข้ามาช้อนตัวไว้ทัน
“ผมเหนื่อย..ฮึ่กก..เหนื่อย” ริมฝีปากบางได้แต่พูดออกมาเสียงผะแผ่ว เขาหายใจโรยรินอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่าย ก่อนจะสลบใสลคาอกแกร่งพร้อมลบหายใจที่แสนแผ่วเบา
“จุนซู! จุนซู!” ไม่รอช้า เขารีบอุ้มคนตัวเล็กไปที่รถหวังจะพาไปหาหมอในย่านตัวเมืองของชุนชอน เขารู้ว่าจุนซูบอบบางมากอาจจะเป็นอันตรายได้ บางคนก็เคยช็อกหมดสติจนเกือบเสียชีวิตเพราะพิษของถุงมือจิ้งจอกมาแล้วเช่นกัน
ถ้าหากผมตายไป คุณคงเลือกได้ง่ายขึ้นใช่มั้ย...คุณแจจุง
...........................
มาต่อให้แล้วนะคร้าา ยังไม่ได้หนีไปไหนน๊าา วันนี้ฝึกงานวันสุดท้ายแล้ว T^T
อยากฝึกต่อ สนุกดี เหนื่อย แต่ได้เรียนรู้อะไรเยอะแยะเลยค่ะ ^^
พาร์ทนี้จะเม้น ด่า อะไรใครตามสบายเลยนะคะ หรือด่าไรท์เตอร์ก็ได้ แต่งไรก็ไม่รู้ มึนๆ ง๊ากกก 555
ว่างแล้วจะมาต่อนะจ๊าา ไปเล่นเกมส์ก่อน งิงิ สวัสดีค่ะ ^^
.
.
ความคิดเห็น