คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Chapter 1 :: คำมั่นสัญญา
Once Again :: แค่อีกสักครั้ง ให้คุณรัก
“ได้เวลาแล้วครับ” ร่างสูงที่กำลังยืนมองทิวทัศน์ผ่านกระจกของโรงแรมหรูค่อยๆหันหลังกลับมามอง
“รู้แล้ว” เขาตอบรับสั้นๆก่อนจะเอื้อมมือหยิบสูทที่พาดเอาไว้อยู่ที่เก้าอี้ขึ้นมาสวมอย่างรวดเร็ว ก่อนจะจัดชุดพร้อมติดกระดุมให้เข้าที่ “หลังจากเซ็นสัญญาเสร็จเราจะเดินทางทันที” ปากพูดไปพลางกลัดกระดุมไปพลางไม่ได้หันมองสบตาอีกฝ่ายเลยสักนิด
“เรื่องนั้นผมจัดการให้แล้วครับไม่ต้องเป็นห่วง” ร่างสูงที่ได้ยินอย่างนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีคนๆนี้ก็ยังเป็นคนเดียวที่เข้าใจความคิดของเขามากที่สุด
“งั้นรีบไปกันเลย” พอพูดจบก็เดินผ่านคนที่เข้ามารายงานไปอย่างรวดเร็ว
“ถึงเวลาซะที” เขาเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะรีบเดินตามนายน้อยของเขาไป
:: Once Again ::
‘อีทงเฮ นักธุรกิจหนุ่มสัญชาติเกาหลี จับมือทำธุรกิจร่วมกับนายโคลด เฟรเดริก เจ้าของโรงผลิตไวน์ที่ใหญ่ที่สุดในฝรั่งเศส (อ่านต่อหน้า ..)’ พาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ในเช้าวันนี้ชวนให้ซองมินรีบพลิกเปิดไปอ่านในหน้านั้นอย่างรวดเร็ว
อีทงเฮ ชื่อนี้อาจจะไม่ได้เป็นที่รู้จักมากมายนักที่เกาหลี แต่ในโลกของวงการธุรกิจไม่มีใครที่ไม่รู้จัก เขาอาจจะเป็นหนึ่งในนักธุรกิจหนุ่มมหาเศรษฐกิจที่อายุน้อยที่สุดของโลก แต่สำหรับซองมินแล้ว..เขาเป็นแค่อีทงเฮผู้ชายคนหนึ่งที่เขาเฝ้ารอคอย เฝ้าคิดถึง และอยากเจอมาตลอด15 ปี
ไม่รู้เป็นเพราะความบังเอิญหรือพรมลิขิตที่ทำให้เขากับทงเฮได้พบกัน
.. ย้อนกลับไปเมื่อ15 ปีที่แล้ว .. วันนั้นแม่พาซองมินไปเยี่ยมหลุมศพของพ่อ
และวันนั้นเองเป็นวันที่เขาได้พบกับทงเฮ
เด็กชายในชุดสูทและเนคไทสีดำกำลังนั่งกอดเข่าเหม่อมองออกไปอย่างไร้จุดหมาย ตามร่างกายมีผ้าพันแผลพันอยู่เต็มไปหมดเหมือนเขาเพิ่งจะผ่านอุบัติเหตุหนักมา แต่เหมือนมีแรงดึงดูดอะไรบางอย่างที่นำพาให้ร่างบางเดินก้าวเข้าไปใกล้
อาจเป็นเพราะ..สายตาของเขาที่ทำให้เขานึกถึงวันที่ต้องสูญเสียคุณพ่อไป
ความเจ็บปวดที่ไม่สามารถอธิบายได้
ซองมินนั่งลงข้างๆเด็กชายที่แลดูจะสูงกว่าเขาเล็กน้อย สายตาที่ดูเหม่อลอยไร้จุดหมายไม่รับรู้ถึงการมาของร่างบางเลยสักนิด แต่นั่นก็ไม่สำคัญอะไร ..
ไม่มีคำพูดใดออกจากปากเรียวบาง แต่สิ่งที่ซองมินทำเพียงแค่หยิบผ้าเช็ดหน้ายื่นตรงไปหน้าร่างสูงที่ค่อยๆเบือนหน้าหันมามองสบตา
บางทีคนเราอาจแค่ต้องการใครสักคนอยู่เคียงข้าง ...
และคำพูดก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็นเสมอไป ...
ใบหน้าสวยส่งยิ้มบางๆ ส่งผ่านความรู้สึกผ่านทางสายตาให้อีกฝ่ายได้รู้ว่าตัวเขาเอง
‘เข้าใจดี’
“อึก..อึก..” น้ำตาค่อยๆรินไหลออกมาจากดวงตาของร่างสูงที่อยู่ตรงหน้า ร่างกายเริ่มสั่นไหวเพราะแรงสะอื้นไห้ ซองมินชันเข่าลุกขึ้นอ้าแขนกอดร่างนั้นเอาไว้อย่างหลวมๆ
แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้จักกัน จะเรียกว่าคนแปลกหน้าก็คงได้ แต่สิ่งที่อยู่ในใจและความรู้สึกของพวกเขาแทบไม่แตกต่างอะไรกันเลย ..
การสูญเสียใครสักคน
“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร คุณต้องผ่านมันไปได้แน่ๆ” ซองมินตบหลังอีกฝ่ายเบาๆอย่างปลอบประโลม คนที่อยู่ในอ้อมแขนพยักหน้าน้อยๆ เวลาผ่านไปสักพักร่างสูงก็ค่อยๆผล่ะออกจากอ้อมกอดพร้อมกับยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา ร่างบางจึงยื่นผ้าเช็ดหน้าส่งให้เขาอีกครั้ง
“..ขอบใจ” น้ำเสียงตอบค่อนข้างเบา มือค่อยๆเอื้อมมาหยิบผ้าเช็ดหน้าไปถือเอาไว้เฉยๆ
“เมื่อปีแล้ว ผมเสียคุณพ่อไป ..ฉะนั้นผมถึงได้เข้าใจความรู้สึกของคุณ” คำพูดของซองมินเรียกให้สายตาของร่างสูงหยุดอยู่ที่ใบหน้าของร่างบางที่กำลังยิ้มหวานมองสบตาอยู่
“ถึงมันจะเจ็บปวดแต่เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ได้ เพราะเราคือคนที่ต้องอยู่ต่อไป ..” คำพูดที่ดูแล้วไม่น่าจะเป็นคำพูดของเด็กอายุ 10 ขวบ แน่ล่ะ..เพราะมันเป็นคำพูดของแม่ที่เคยพูดกับเขาเอาไว้
ปีที่แล้วซองมินสูญเสียพ่อไป เขาเองก็อยู่ในสภาพที่เรียกได้ว่าเหมือนกับอีกฝ่ายไม่มีผิด ในขณะที่แม่ของเขาที่ภายนอกดูเป็นผู้หญิงอ่อนแอแต่กลับแข็งแกร่งยิ่งกว่าใคร เตือนสติเขาให้คิด..ว่าถึงจะร้องไห้เสียใจแทบตายยังไงเราก็คือคนที่ต้องอยู่ต่อไป!
“อยู่ต่อไปอย่างนั้นเหรอ?” ร่างสูงเอ่ยขึ้นราวกับกำลังพูดอยู่กับตัวเอง ก่อนที่จะหลับตาลงอย่างช้าๆเหมือนกำลังนึกถึงเรื่องอะไรบางอย่าง ก่อนจะเปิดดวงตาขึ้นสีหน้าและแววตาดูดีขึ้นเล็กน้อย พอเห็นอย่างนั้นซองมินจึงละสายตาจากใบหน้าของเขาเปลี่ยนมาเงยหน้ามองท้องฟ้าสีฟ้าครามแทน
“อากาศดีจังเนอะว่าไหม?” พูดด้วยน้ำเสียงสดใส ลมพัดเย็นสบาย ทำให้วันนี้ไม่ร้อนและไม่หนาวจนเกินไป
“อืม จริงด้วย” อีกฝ่ายตอบรับเผยรอยยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ซองมินที่เหลือบไปเห็นเข้าพอดีก็อดยิ้มตามไม่ได้เช่นกัน “ชั้นต้องอยู่ต่อไป” คำพูดของเขาเหมือนต้องการสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง
“ซองมิน..” เสียงร้องเรียกดังแว่วมาแต่ไกล ทำให้เจ้าของชื่อต้องชะโงกไปมองแหล่งที่มาของเสียง ส่วนอีกคนก็หันหลังกลับไปมองตามอย่างนึกสงสัย แต่ก็เหมือนจะไม่เห็นอะไรจึงหันกลับมามองร่างบางตามเดิม
“คือ..ผมคงต้องไปแล้วล่ะ” ซองมินเอ่ยก่อนจะใช้สองมือดันตัวเองให้ลุกขึ้น แต่ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวเท้าออกไป มือของร่างสูงก็คว้าข้อมือบางเอาไว้อย่างรวดเร็ว จนทั้งคู่หันมาสบตากัน
“พรุ่งนี้เราจะได้เจอกันไหม?” แววตาของเขาเหมือนกำลังร้องขอให้ตอบตกลง ซองมินมองมือของเขาที่กุมเอาไว้ที่ข้อมือของตนก่อนจะฉีกยิ้มกว้างส่งกลับไปให้
“แน่นอน” คำตอบรับสั้นๆแต่ก็สามารถเรียกรอยยิ้มจากอีกฝ่ายได้
“อื้มผมจะรอนะ รอจนกว่าคุณจะมา” เขาพูดพร้อมกับปล่อยมือออกเปลี่ยนเป็นโบกมือให้แทน ร่างบางเห็นแบบนั้นก็รีบโบกมือตอบกลับก่อนจะหันหลังวิ่งออกไป
วันถัดมาซองมินถึงได้รู้จักชื่อของเขาคือ ‘อีทงเฮ’ และแววตาเศร้าสร้อยที่เขาเห็นเนื่องจากการสูญเสียพ่อและแม่ของเขาเอง ไม่น่าแปลกใจเลยที่เมื่อวานเขาถึงได้ร้องไห้อย่างเจ็บปวดมากมายขนาดนั้น แถมบาดแผลตามร่างกายของเขาก็เป็นผลมาจากอุบัติเหตุที่คร่าชีวิตบุคคลอันเป็นที่รักยิ่งของเขาไป ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่เขาเป็นคนเดียวที่รอดชีวิตมาได้ แต่ความโชคดีบนความโชคร้ายที่อย่างน้อยยังเหลือพี่เลี้ยงคนสนิทที่ไว้ใจได้อยู่คนหนึ่งชื่อว่า ‘ลีทึก’ ซึ่งเป็นพี่ที่ดูแลเขามาตั้งแต่เด็กๆเหมือนกับแม่คนที่สองเลยก็ว่าได้ แค่ครั้งแรกที่ซองมินเห็นลีทึกก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่แสดงออกผ่านทางดวงตาเวลามองทงเฮ เป็นพี่ที่ดูใจดีมากคนหนึ่งเลย
เข้าสู่วันที่สามของพิธีตั้งสวดศพที่หมายรวมถึงพิธีฝังศพด้วย หลังเสร็จสิ้นพิธีสวดในโบสถ์ ศพของท่านทั้งสองถูกเคลื่อนมายังบริเวณหลุมฝังศพที่จัดเตรียมไว้เป็นอย่างดีตรงบริเวณริมหน้าผาที่ทางเบื้องหน้าเป็นแม่น้ำกว้างใหญ่
ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบทงเฮ ซองมินก็ไม่ได้เห็นน้ำตาของเขาอีกเลย แถมวันนี้ยังได้เห็นรอยยิ้มที่ฉายแววอยู่บนใบหน้าของเขา ทงเฮทรุดตัวลงนั่งแต่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของบุคคลทั้งสอง
ความทรงจำยามที่พ่อกับแม่ของเขายังอยู่ฉายแววผ่านเข้ามาในสมองอย่างรวดเร็ว เสียงหัวเราะสนุกสนาน ความอบอุ่น และดวงตาของท่านทั้งสองที่มองดูเขาด้วยความชื่นชมและยินดี
... ทุกอย่างมันไม่มีอีกแล้ว ...
เหลือเพียงร่างอันไร้วิญญาณที่เขากำลังมองเพื่อจดจำรายละเอียดเกี่ยวกับพวกท่านทั้งสองเอาไว้เป็นครั้งสุดท้าย
เพราะนี่คือการจากลาที่ไม่ใช่เพื่อจะพบกันอีกในวันถัดไป ไม่มีอีกแล้วพรุ่งนี้ หรือวันไหนๆ .. แต่เป็นการจากลาที่ไม่สามารถจะพบเห็นกันได้อีก
ตลอดกาล
“พ่อครับ ... แม่ครับ ... หลับให้สบายนะครับไม่ต้องเป็นห่วงผม” ทงเฮเอ่ยก่อนจะค่อยๆวางดอกกุหลาบสีแดงลงไปอย่างช้าๆ
“กำลังทำอะไรอยู่เหรอ?” ทงเฮพูดพร้อมกับนั่งลงข้างร่างบางที่กำลังง้วนกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ในมือ รอยยิ้มงามปรากฏอยู่บนใบหน้าเมื่อในที่สุดผลงานชิ้นสวยของเขาก็ทำออกมาได้สำเร็จ
“ทงเฮ ... ผมให้” ซองมินยื่นมงกุฎดอกไม้ที่ทำจากเถาวัลย์ประดับประดาไปด้วยดอกแว๊กซ์สีขาว สีแดง และสีม่วง ร่างสูงรับมาถือเอาพร้อมกับมองมงกุฎดอกไม้ที่อยู่ในมืออย่างนึกประหลาดใจ
“คุณทำเองเหรอ?” ร่างบางพยักหน้ารับก่อนจะเอื้อมมือมาหยิบมงกุฎดอกไม้จากมือของเขามาสวมเอาไว้บนหัวของเขาแทน
“ผมชอบดอกไม้เพราะมันคือสิ่งสวยงามที่พระเจ้ามอบให้กับโลกใบนี้” ซองมินเอ่ยพร้อมกับจัดมงกุฎดอกไม้ให้เข้าที่ “แค่เพียงมองมันก็ทำให้มีความสุขแล้ว” ร่างบางแย้มยิ้มสบตากับร่างสูงที่กำลังเอื้อมมือมาจับมือของร่างบางเอาไว้
“ขอบคุณมากนะที่มาอยู่เป็นเพื่อนผมตลอดเลย” มือของเขาค่อยๆประครองมือบางขึ้นมา ก่อนจะวางสิ่งของบางอย่างลงไป
“หิน?” คนที่ได้รับเลิกคิ้วมองอย่างสงสัยก่อนจะชูมันขึ้นมาส่องดู แสงแดดที่ส่องมากระทบทำให้ประกายของมันดูแวววาวสวยงาม ร่างบางมองมันอย่างตื่นตาตื่นใจ ทงเฮมีสีหน้าดีใจไม่น้อยที่เห็นคนตรงหน้าถูกใจกับสิ่งที่เขาให้ไป
“ผมให้คุณไว้เพื่อเป็นตัวแทนของผม จนกว่าเราจะได้พบกันอีก” คำพูดของเขาที่พูดขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัว รอยยิ้มในตอนแรกที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าซองมินค่อยๆหุบยิ้มลง ตอนนี้หัวใจของเขารู้สึกเย็นวาบและโหวงเหวงราวกับมันกำลังสูญเสียความสมดุลไป
“ม..หมายความว่ายังไง?” ซองมินกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากเหมือนมีอะไรบางอย่างจุกอยู่ที่คอ สิ่งที่ทงเฮพูดไม่ได้กำกวมอะไรเลยแต่ทำไมในเวลานี้เขารู้สึกเหมือนจะไม่เข้าใจขึ้นมา
ทุกอย่างเงียบลง ภายในจิตใจของทั้งสองคนคงมีความรู้สึกไม่แตกต่างกัน .. ทงเฮเอื้อมมือหยิบมงกุฎดอกไม้มาถือเอาไว้มองมันอยู่พักหนึ่งก่อนจะเงยหน้าสบตากับซองมิน
“คืนนี้..ผมต้องบินกลับไปอเมริกาแล้ว ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนเราถึงจะได้พบกันอีก” น้ำเสียงของทงเฮในประโยคสุดท้ายกระตุ้นให้น้ำตาของซองมินไหลมารวมกันอยู่ที่เบ้าตา สำหรับซองมินแล้วแม้ว่าทงเฮจะเป็นคนที่เขาเพิ่งจะพบเพียงไม่กี่วันแต่ความรู้สึกมันช่างยาวนานจนเรียกได้ว่าเริ่มรู้สึกผูกพันกัน
“ม..ไม่จริงใช่ไหม? ทำไมถึงเร็วแบบนี้..” น้ำเสียงเบาโหวง ทงเฮยิ้มให้บางๆก่อนจะเอื้อมมือทั้งสองข้างมากระชับมือนุ่มเอาไว้
“ผมสัญญาว่าผมต้องกลับมาหาคุณแน่นอน” น้ำเสียงของร่างสูงดูหนักแน่น ตอกย้ำคำมั่นสัญญาอย่างชัดเจน ในขณะที่อีกคนเริ่มร้องไห้ออกมา ทงเฮดึงซองมินเข้ามากอดพร้อมกับเอามือลูบศีรษะซองมินเบาๆ
คล้ายเหมือนกับที่เคยปลอบเขาในวันนั้น
“..ฮานึล*” ทงเฮเอ่ยขึ้นขณะที่ใบหน้าซองมินยังคงซบอยู่ที่ไหล่ “คุณคือฮานึลของผม ...” น้ำเสียงของเขาที่เอื้อนเอ่ยฟังดูอ่อนโยนจนน้ำตาของซองมินพาลจะไหลลงมาอีกรอบ ทงเฮค่อยๆดันร่างบางออกช้าๆ ใช้นิ้วเกลี่ยไปที่ใบหน้างามที่เปรอะไปด้วยน้ำตาอย่างแผ่วเบา ก่อนที่มือทั้งสองข้างของเขาจะเลื่อนลงมาเกาะกุมที่ไหล่ของซองมินพร้อมโน้มริมฝีปากเข้าไปสัมผัสที่แก้มอย่างนุ่มนวล
“หอมจัง” คำพูดของเขาทำให้อีกคนสับสนไม่รู้จะเขินดีหรือจะร้องไห้ดีแล้ว แต่เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นหินสีฟ้าที่อยู่ในมือร่างบางจึงเงยหน้าขึ้นสบตาพร้อมกับกำหินในมือเอาไว้แน่น
“ผมจะรอคุณกลับมา ม..ไม่ว่าจะนานแค่ไหน .. ผมก็จะรอ” เสียงที่เปล่งออกมาติดขัดเล็กน้อยเพราะแรงสะอื้น
“ตอนนั้นคุณต้องเป็นคนที่น่ารักมากแน่ๆเลย ส่วนผมก็จะกลายเป็นคนที่ดูดีกลับมา .. เมื่อถึงวันที่เราได้พบกันอีกครั้ง .. หลังจากนั้นอีกสามเดือนให้มาพบกันที่เราเจอกันครั้งแรกนะ” ซองมินรีบพยักหน้ารับปากทันที
“สัญญานะ” เขายกนิ้วก้อยขึ้นมาตรงหน้า
“สัญญา” ซองมินตอบรับก่อนจะเกี่ยวนิ้วก้อยของตัวเองกับเขา
ซองมินไม่เคยลืมสัญญาวันนั้นเลย
เฝ้ารอแต่วันที่จะได้พบกับเขา
ไม่มีวินาทีไหนที่ไม่คิดถึง ไม่มีวินาทีไหนที่จะลืมเขา
... แม้แต่นิดเดียว ...
(ฮานึล [하늘] = ท้องฟ้า)
หลังจากก็ผ่านไปสามปี ซองมินที่กำลังนั่งเบื่อกับการหาข่าวเศรษฐกิจในอินเตอร์เน็ตเพื่อทำเป็นการบ้านส่งอาจารย์ บังเอิญจริงๆที่สายตาของเขาเหลือบไปเห็นข่าวเศรษฐกิจข่าวหนึ่ง มันเป็นข่าวภาษาอังกฤษที่เขาอ่านแล้วไม่เข้าใจสักนิด แต่ที่ไม่อาจทำให้เขาละสายตาไปจากข่าวนี้ได้ก็คือภาพของทงเฮที่เขาไม่ได้ข่าวคราวมาตลอดสามปี .. ซองมินไม่รอช้าที่จะพริ้นท์ข่าวนั้นออกมา จากนั้นก็ใช้ความพยายามอย่างมากในการแปลศัพท์ทีละตัว ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ยากมากโดยเฉพาะเขาที่อ่อนวิชาภาษาอังกฤษ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ละความพยายามที่จะแปล แม้กระทั่งเข้าออกห้องพักครูภาษาอังกฤษที่ไม่เคยแม้สักครั้งที่จะเฉียดกายเข้าไป จนในที่สุดเขาก็สามารถแปลข้อความข่าวได้จนสำเร็จ
‘การปรากฏตัวของเด็กชายอีทงเฮสร้างความฮือฮาให้กับวงการธุรกิจเป็นอย่างมาก ด้วยวัยเพียงแค่ 13 ปีก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานบริษัท L.D International Group ซึ่งเป็นบริษัทที่มีหุ้นในตลาดหลักทรัพย์จำนวนหลายแสนล้านเหรียญ’
ตลอด 15 ปีที่พยายามแปลบทความภาษาอังกฤษ นอกจากที่เขาจะรู้เรื่องของทงเฮแล้วคะแนนวิชาภาษาอังกฤษของซองมินดีขึ้นถนัดตา จากคะแนนสอบที่อยู่อันดับโหล่ขึ้นมาอยู่อันดับที่หนึ่งเปลี่ยนไปชนิดราวฟ้ากับเหว สิ่งที่ต้องยอมรับเลยว่าเขาเก่งภาษาอังกฤษได้ก็เพราะอี
ซองมินพลิกอ่านข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ไล่เก็บข้อมูลเนื้อหาของข่าวใหม่ ก่อนจะควานหากรรไกรที่เขาเตรียมวางเอาไว้ก่อนจะเริ่มบรรจงตัดข่าวออกมาอย่างประณีตและใจเย็น ใบหน้างามมีรอยยิ้มผุดขึ้นมาทุกครั้งที่ได้อ่านหรือรับรู้ข่าวที่เกี่ยวกับชายหนุ่ม แม้เพียงเล็กน้อยก็ทำให้เขามีความสุขได้ทั้งวันแล้ว
“มินนนนนนนนน ลูกทำอะไรน่ะ!” เสียงร้องแม่ซองมินดังขึ้นจากนั้นเสียงถาดกระแทกกับโต๊ะก็ดังขึ้นตามมา แต่ซองมินก็ยังบรรจงนั่งตัดข่าวต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะตัวเขาเริ่มคุ้นชินกับอาการของแม่ในสถานการณ์นี้ไปแล้ว
“ก็กำลังตัดข่าวไงฮะ” ซองมินตอบกลับไป
เสียงฉับดังขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ข่าวจะหลุดออกจากหน้าหนังสือพิมพ์ ซองมินจัดวางข่าวที่ตัดให้เป็นระเบียบก่อนจะเริ่มบรรจงตัดข่าวอีกส่วนหนึ่งที่อยู่ในหน้าด้านหลังด้วยท่าทางอารมณ์ดีอย่างที่สุด
“โธ่มิน..แม่บอกกี่ทีแล้วว่าขอแม่อ่านก่อน แล้วลูกค่อยกลับมาตัดตอนเย็นก็ได้” แม่ซองมินยังคงบ่นแบบเดิมไม่เคยเปลี่ยน จนซองมิสามารถพูดตามได้ทุกคำและตรงตามจังหวะแบบไม่มีขาดไม่มีเกิน
“คุณแม่ก็ยังอ่านได้อยู่นิฮะ หน้าบันเทิงเอย กีฬาเอย หน้าสังคม หรือไม่ก็วิทยาศาสตร์” ซองมินยังพูดไปเรื่อยๆในขณะที่มือยังคงทำหน้าที่ของมันไป “ผมตัดเฉพาะหน้าเศรษฐกิจเท่านั้นเอง” พอพูดจบซองมินก็ตัดข่าวเสร็จเรียบร้อยพอดี เจ้าตัวรีบจัดหนังสือพิมพ์เก็บให้เข้าที่ตามเดิมก่อนจะหยิบข่าวของทงเฮมาถือเอาไว้
“แต่แม่เองก็อยากอ่านข่าวเศรษฐกิจบ้างนะมิน” แม่พูดกับลูกชายอย่างอ่อนใจ
“งั้นคุณแม่ก็ให้ลุงอีริคซื้อให้ใหม่สิฮะ เห็นออกจะรักแม่ดี๊ดี” ซองมินหันมายิ้มหน้าทะเล้นล้อเลียนแม่ของตัวเอง ก่อนที่แม่ซองมินจะใช้จังหวะดึงข่าวที่ซองมินถือเอาไว้ไปอย่างรวดเร็ว
“คุณแม่ฮะ เอาของผมคืนมานะ!!!!” ซองมินร้องอย่างตกใจก่อนจะรีบลุกขึ้นเดินตามแม่ของเขาที่กำลังเดินหนีทั้งที่สายตาจับจ้องไปที่ข่าวในมือพร้อมกับเปิดปากอ่านมันไปด้วย
“อีทงเฮ นักธุรกิจหนุ่มสัญชาติเกาหลี จับมือทำธุรกิจร่วมกับนายโคลด เฟรเดริก เจ้าของโรงผลิตไวน์ที่ใหญ่ที่สุดในฝรั่งเศส” พออ่านจบก็หันมาสบตากับลูกชายที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“ซองมิน” น้ำเสียงของแม่ดูเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดตอนเรียกชื่อลูกชาย “15 ปีแล้วนะลูกยังจะรอเขาอยู่อีกเหรอ?” ซอมินนิ่งเงียบไม่ได้ตอบกลับไป แต่สำหรับแม่ที่เลี้ยงดูลูกชายคนเดียวมานานกว่า 20 ปีย่อมรู้ดีว่า ‘คำตอบ’ ที่อยู่ในใจของลูกชายเธอคืออะไร จึงได้คืนข่าวกลับคืนมาให้
“บางทีเขาอาจจะลืมไปแล้วก็ได้นะ..มิน” แม่ของเขาพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินกลับไปเอาถาดที่วางอยู่ สิ่งที่แม่ของเขาพูดคือสิ่งที่ในใจของเขาแอบกังวลอยู่เหมือนกัน ว่าตัวเขาเองยึดมั่นในคำสัญญามากไปรึเปล่า?
ตอนนี้ทงเฮเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงมากในแวดวงธุรกิจ แถมมีหน้ามีตาในสังคมชั้นสูง รวมถึงร่วมทำสัญญาการค้ากับบริษัทยักษ์ใหญ่ชื่อดังหลายบริษัท ถ้าลองเปรียบเทียบกับสัญญาวัยเด็กแล้วแทบไม่มีค่าความหมายอะไรเลย
แต่ผมยังเชื่อ ... เชื่อในคำสัญญาระหว่างเรา
“ถึงเขาจะลืมก็ไม่เป็นไรฮะ ผมจะถือว่าผมได้รักษาสัญญาที่ให้ไว้แล้ว ฉะนั้นผมจะไม่เสียใจเด็ดขาด” ซองมินส่งยิ้มบางๆก่อนจะก้มลงมองนาฬกาที่ข้อมือ “โอ๊ะ! ได้เวลาแล้วผมไปก่อนนะฮะ” เขารีบพูดก่อนจะรีบวิ่งไปหยิบกระเป๋าและกลับมาหอมแก้มแม่ของเขาอย่างรวดเร็ว “แล้วเจอกันนะฮะ” พูดจบก็รีบออกจากห้องรับแขกไปอย่างเร็ว
“ตั้งใจทำงานนะมิน” เสียงของแม่ตะโกนดังไล่หลังตามมา
“ฮะ!!!!!!” ซองมินตะโกนตอบก่อนจะรีบวิ่งไปที่โรงเรียนสอนพิเศษอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้ซองมินรับจ้างสอนสอนพิเศษวิชาภาษาอังกฤษ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อจากเด็กที่ห่วยวิชาภาษาอังกฤษมาตอนนี้กลับกลายมาเป็นครูสอนวิชานี้ได้ และนอกจากจะเป็นครูสอนภาษาแล้วบางวันที่มีนักท่องเที่ยวเขายังรับหน้าที่เป็นไกด์ท้องถิ่นอีกด้วย
“วันนี้ครูซองมินจะเล่าเรื่องอะไรจะเล่าให้ฟังเหรอคะ?” เสียงของเด็กหญิงคนหนึ่งเอ่ยถามครูซองมินเสียงใส การเรียนภาษาอังกฤษจากนิทานที่ซองมินเป็นคนริเริ่มสอนทำให้พวกเด็กๆรู้สึกกระตือรือร้นที่จะเรียนได้ไม่น้อยเลย
“เรื่องอะไรดีนะ” พูดไปพร้อมกับเปิดชีทไปด้วย “วันนี้เป็นเรื่องอันโดรเคิลส์แล้วกัน งั้นเด็กๆเปิดชีทไปที่หน้า
สอนอย่างค่อยเป็นค่อยไปและทำให้การสอนน่าสนใจมากที่สุด คือหลักการสอนของครูซองมิน
............................................................................................
....................................................................................
...........................................................
.......................................
............................
..................
........
....
.
.
.
“เป็นไงนิทานเรื่องนี้สนุกไหม?”ครูซองมินเอ่ยถามเด็กน้อยที่น่ารักของเขาที่ตอนนี้พากันส่งยิ้มมาให้
“สนุกค่ะ/ครับ” ท่าทางของเด็กเหล่านี้ดูแล้วช่างน่ารักจริงๆ คิดยังไงก็พูดออกมาตรงๆ วิจารณ์ออกมาได้อย่างเปิดเผยและจริงใจ ซองมินพยักหน้าอย่างรู้สึกยินดีที่พวกเด็กๆชอบนิทานที่เขาสอน
“แล้วรู้ไหมเรื่องนี้เขาต้องการจะสอนอะไร?” แน่นอนว่าทุกเรื่องของนิทานต้องมีคติสอนใจให้คิด ซองมินกวาดสายตามองไปรอบห้อง เห็นเด็กแต่ละคนกำลังพากันครุ่นคิดหาคำตอบ แต่ก็ยังไม่มีเด็กคนไหนสามารถคิดออกจนเขาต้องเฉลยคำตอบเอง
“เรื่องนี้เขาต้องการจะสอนว่าผลพวงของการทำดีจะทำให้เรารอดพ้นจากภัยอันตราย และความกตัญญูคือสิ่งที่ควรได้รับการยกย่อง ฉะนั้นพวกเราต้องหมั่นทำความดีและรู้จักกตัญญูต่อผู้มีพระคุณเข้าใจไหมเด็กๆ”
“ครับ/ค่ะ” เสียงตอบรับเจื้อยแจ้วฟังแล้วทำให้ซองมินอดยิ้มตามไม่ได้ เหล่าเด็กๆช่างน่าเอ็นดูมากเหลือเกิน
“งั้นวิชาครูวันนี้เอาไว้แค่นี้นะ แล้วเจอกันอาทิตย์หน้าเด็กๆ” ไม่นานเด็กๆก็เริ่มทยอยออจากห้อง ซองมินก้มลงเก็บเอกสารก่อนจะหันมาลบที่กระดานไวท์บอร์ด
“ครูซองมินก็ยังคงเป็นครูยอดนิยมของพวกเด็กๆเหมือนเดิม” เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นเรียกให้ซองมินหันไปมอง รอยยิ้มค่อยๆผุดขึ้นที่ใบหน้า
“จองโม” ซองมินเอ่ยเรียกก่อนที่เจ้าของชื่อจะเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างๆ
“พวกเด็กๆดูชอบนายกันมากเลยนะ” ซองมินหัวเราะกับคำพูดของเพื่อนสนิทคนนี้แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรไปมากกว่านั้น “หมดคลาสแล้วใช่ไหม? ไปกินข้าวกัน ฉันอยากพานายไปร้านๆหนึ่ง รับรองนายต้องชอบแน่นอน”
“เอาสิ” ซองมินตอบรับก่อนจะหันกลับมาหยิบเอกสารแต่ถูกจองโมแย่งเอาไปถือเอาไว้ซะเอง
“รีบไปกันเถอะ” จองโมยิ้มอย่างอารมณ์ดีก่อนจะเดินนำออกไป ซองมินเห็นแบบนั้นก็รีบเดินตามไปทันที
เมืองที่พวกเขาอยู่ค่อนข้างสงบมากทีเดียว ไม่ได้ทันสมัยจนเทียบเท่ากับเมืองหลวงและไม่ได้กันดารจนเรียกได้ว่าชนบท เมืองนี้เป็นเหมือนสายกลางที่เชื่อมความเป็นเมืองและชนบทไว้ด้วยกัน ผู้คนในเมืองส่วนใหญ่รู้จักกันตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ยิ่งใครอยู่ใกล้บ้านกับใครจะยิ่งรู้จักกันเหมือนเป็นลูกหลานกันเลย ยกเว้นบางครอบครัวที่เพิ่งย้ายมาตั้งรกรากได้ไม่นานอย่างครอบครัวซองมิน
“มิน วันนี้ที่บ้านป้าทำฟักทองเชื่อมเผื่อเราด้วย อย่าลืมแวะมาเอาด้วยนะ” เสียงของคุณป้าร้านขนมตะโกนร้องบอกเสียงดัง จนเจ้าตัวหันกลับไปโค้งทักทายให้ทั้งๆที่อยู่คนละฝั่งถนนกันเลย
“หนูมินนนนน!!!! แวะร้านของน้าด้วยนะ มีเค้กที่อยากฝากไปให้คุณแม่ด้วย” หลายร้านที่ซองมินเดินผ่านต่างตะโกนเรียกชื่อของเขาแข่งกันใหญ่ จนซองมินก้มหัวทักทายไม่หวาดไม่ไหว
ถึงแม้ครอบครัวของซองมินจะย้ายมาอยู่ทีหลัง แต่คนที่อยู่ที่นี่ส่วนใหญ่ต่างก็รักและเอ็นดูพวกเขามาก
“นอกจากจะเป็นขวัญใจของนักเรียนแล้วยังเป็นขวัญใจของคนในเมืองด้วย” จองโมเอ่ยแซวซองมินที่เดินอยู่เคียงข้างที่ยิ้มตอบรับหน้าบาน ความจริงซองมินก็รู้สึกดีไม่น้อยเลยที่ตัวเขาและแม่เป็นที่รักของคนในเมือง
แต่ก็มีคนเกลียดและสาปส่งครอบครัวของซองมินอยู่เหมือนกันที่เป็นต้นเหตุทำให้ชีวิตของเขาต้องพังพินาศ
พอคิดถึงเรื่องอดีตหน้าของซองมินก็ดูหมองลงทันที
“คิดเรื่องอะไรอยู่หน้ามุ่ยเชียว” จองโมหันไปถามร่างบางที่ตอนนี้ก้มหน้าก้มตามองพื้นไม่ได้มีรอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้าเหมือนในตอนแรก
“..คิดถึงฮยอกแจและเยซอง ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นยังไงบ้าง” ซองมินพูดปด แต่เรื่องที่เขาคิดถึงเพื่อนสนิทอีกสองคนเขาไม่ได้โกหก เพราะนับตั้งแต่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยไป ต่างคนต่างก็แยกย้ายไปทำงานของตัวเอง มีชีวิตของตัวเองแทบไม่มีเวลาจะได้มาเจอกันเหมือนเมื่อก่อน
“นั่นสินะผ่านมาตั้งสองปีแล้ว” จองโมเองก็เหมือนจะคล้อยตามคำพูดของซองมิน
“ผ่านมาสองปีแล้วหลังจากเรียนจบ .. ฮยอกแจบินไปรับช่วงกิจการต่อจากที่บ้านที่อิตาลี ส่วนเยซองเองก็ต้องไปช่วยพี่ชินดงดูแลกิจการแถบสแกนดิเนเวีย แล้วก็ขาดการติดต่อไปเลย” ซองมินพูดก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้า ก่อนจะหันไปสบตากับจองโมที่ยังคงมองมายังที่เขา
“คิดถึงพวกนั้นจัง” ซองมินส่งยิ้มบางๆไปให้ สิ่งที่จองโมทำคือการโยกหัวของซองมินเพื่อปลอบประโลม
พวกเขาเดินตามเส้นทางมาเรื่อยๆ เมืองนี้ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยสัญจรโดยรถยนต์มากนักนอกจากจะใช้ขับเพื่อออกนอกเมือง แต่ถ้าเป็นการสัญจรในเมืองส่วนใหญ่จะใช้การเดิน จักรยาน หรือไม่ก็มอเตอร์ไซด์
ซองมินที่คุ้นเคยกับเส้นทางในเมืองดีกว่าใครๆ เนื่องจากเป็นไกด์ท้องถิ่นย่อมรู้ดีว่าตอนนี้ทางที่เพื่อนสนิทของเขาพาไปคือที่ไหน
“นั่นมันทางไปโรงแรมแห่งใหม่ที่เพิ่งสร้างเสร็จไม่ใช่หรอ? นายพาฉันมากินข้าวแล้วทำไมเดินมาทางนี้ล่ะ?” เขาเลิกคิ้วสูงมองไปทางเบื้องหน้าที่เริ่มปรากฏตึกของโรงแรมให้เห็นไกลๆแล้ว ส่วนจองโมที่ถูกถามได้แต่อมยิ้มไม่มีท่าทีจะตอบคำถามเขาแม้แต่นิดเดียว
“จองโม นายจะพาฉันไปไหนกันแน่?” แต่ซองมินก็ยังไม่ลดละความพยายามที่จะเอาคำตอบจากเพื่อนสนิท
“ก็พามากินข้าวน่ะสิ” จองโมหัวเราะเล็กน้อย
ในที่สุดพวกเขาทั้งสองคนก็มาหยุดยืนอยู่หน้าโรงแรม Himlen เป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว ภายใต้คอนเซ็ปต์หรูหราแต่คงความเรียบง่าย และกลมกลืนกับธรรมชาติของเมือง
โรงแรมที่เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อไม่กี่วันก่อน ..
ความจริงเรื่องโครงการก่อสร้างโรงแรม ซองมินได้ยินมาตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ตัวเขาไม่เคยนึกฝันที่จะเฉียดกายเข้ามาใช้บริการของที่นี่เลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าจะเรื่องที่พักหรือมาใช้บริการร้านอาหารของโรงแรมตัดทิ้งไปได้เลย เพราะเงินเดือนรวมกันของซองมินไม่รู้ตั้งกี่เดือนกว่าจะได้ข้าวมื้อหนึ่งของโรงแรมที่นี่ได้
“จะกินที่นี่เนี่ยนะ” ซองมินชี้ไปที่โรงแรมก่อนจะรีบหันหลังกลับไปทางที่เพิ่งจากมาทันที แต่จองโมไวกว่ารีบคว้าข้อมือของซองมินเอาไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะหนี “นายจะบ้าหรอมากินร้านหรูขนาดนี้ ฉันไม่มีเงินจ่ายหรอกนะ” ซองมินหันมากระซิบเสียงเบาเพราะเห็นเจ้าหน้าที่กำลังมองมาที่พวกเขาอย่างนึกสงสัยในพฤติกรรม(ฉุดกระชาก) และที่สำคัญทั้งเนื้อทั้งตัวของซองมินตอนนี้อย่างหรูกินได้แค่จาจังมยอนเท่านั้นแหละ
“ใครว่าให้นายจ่ายล่ะ เข้าไปกันเถอะน่า” หลังจากพูดจบจองโมก็ลากซองมินเข้าไปโรงแรม แม้เจ้าตัวจะพยายามยื้อตัวเอาไว้สุดแรงแต่ก็สู้แรงจองโมที่ตัวใหญ่กว่าไม่ได้อยู่ดี จนแล้วจนรอดจองโมก็ลากซองมินเข้ามาในลิฟต์ก่อนจะกดปุ่มไปที่ชั้น 99 ซึ่งทั้งชั้นเป็นของร้านอาหารที่ชื่อว่า Evig lycka
แค่ชื่อก็ชวนให้ซองมินออกอาการงงแล้ว เพราะไม่ใช่ภาษาอังกฤษอย่างที่เขาถนัดซะด้วย .. แต่แล้วสายตาของซองมินก็ถูกสะกดให้หยุดนิ่งเมื่อเขาเห็นดอกไม้ที่ถูกจัดเอาไว้อย่างสวยงามราวกับเป็นสวนดอกไม้ในเทพนิยาย
อันที่จริงบ้านของซองมินเป็นร้านขายดอกไม้ที่ให้บริการจัดช่อหรือกระเช้าดอกไม้ รวมไปถึงการจัดดอกไม้นอกสถานที่ ตั้งแต่จำความได้เขาเติบโตมาท่ามกลางดอกไม้ แน่นอนว่าเขาเป็นคนที่ชื่นชอบดอกไม้และกลิ่นหอมของมันมาก จนพูดได้ว่าไม่มีดอกไม้ดอกไหนในร้านที่เขาไม่รู้จัก และไม่มีดอกไม้ดอกไหนในร้านที่เขาจะไม่รู้ความหมายของมัน
ในระหว่างที่ซองมินกำลังชื่นชมดอกไม้ที่ถูกจัดแต่งเอาไว้อย่างเพลิดเพลิน อยู่ๆพนักงานสวมชุดสูทแต่งกายดีเดินเข้ามาขวางหน้าพวกเขาเอาไว้ ทั้งๆที่พวกเขายังไม่ได้ก้าวเข้าไปตรงทางเข้าร้านอาหารเลยด้วยซ้ำ
“ขอโทษนะครับ พวกคุณแต่งกายไม่สุภาพเข้าไม่ได้ครับ” พอได้ยินพนักงานพูดอย่างนั้นซองมินรีบก้มหน้ามองชุดของตัวเองทันที ซองมินในชุดเสื้อยืดสีชมพูสวมทับด้วยเสื้อกันหนาวสีดำ กางเกงขาสั้นคลุมเข่ากับรองเท้าผ้าใบสีขาว ส่วนจองโมอยู่ในชุดเสื้อยืดสีส้มอ่อนกางเกงขาเดฟสีดำรองเท้าผ้าใบสีเดียวกัน ชุดไปรเวทกับร้านอาหารสุดหรูไม่ได้เข้ากันเลยจริงๆ
“จองโม ฉันว่าพวกเราออกไปจากที่นี่กันเถอะ” ซองมินเข้าไปกระตุกแขนเสื้อเบาๆ แต่จองโมยังคงนิ่งแถมส่งยิ้มกลับไปให้พนักงานคนนั้นด้วย
“คุณไม่มีสิทธิ์ตัดสินว่าพวกเราไม่สามารถเข้าร้านนี้ได้โดยดูที่การแต่งตัวของพวกเรา เจ้านายคุณไม่ได้บอกเหรอครับ?” คำพูดของจองโมทำให้พนักงานถึงกับหน้าเสีย
ความจริงบ้านของจองโมค่อนข้างมีฐานะมากทีเดียวเพราะเป็นผู้ดีเก่าประจำเมือง เรื่องกินอาหารที่โรงแรมหรูๆสำหรับเขาถือเป็นเรื่องปกติมาก แต่ถ้ามองที่การแต่งตัวสบายๆของเขาไม่แปลกหรอกที่จะดูไม่ออก
“เข้าไม่ได้ก็คือเข้าไม่ได้ครับเชิญพวกคุณออกไปด้วย กรุณาอย่ารบกวนเวลาทานอาหารของแขกท่านอื่น” คำตอบแบบกำปั้นทุบดินส่งผลให้คนฟังยิ่งอารมณ์คุกรุ่นเพิ่มขึ้น
“..ผมขอเตือนคุณเป็นครั้งสุดท้ายว่าคุณ ไม่-มี-สิทธิ์ ที่จะไล่พวกเราออกจากร้านนี้” จองโมเน้นเสียงหนักพร้อมจ้องหน้าพนักงานคนนั้นเหมือนกำลังรอฟังคำตอบ แต่พนักงานก็ยังคงยืนกรานเช่นเดิม
“จองโม ไม่เป็นไรหรอก” ซองมินกระซิบบอกเพื่อนเบาๆ แต่ที่จองโมทำคือหยิบมือถือออกจากกระเป๋าพร้อมกับโทรออกไปหาใครบางคน
“ฮัลโหลฉันเองนะ..พอดีเกิดปัญหานิดหน่อย .. ใช่ .. โอเค เดี๋ยวเจอกัน” จองโมกดวางสายพร้อมกับหันหน้ามาส่งยิ้มให้กับซองมินเหมือนมีนัยอะไรบางอย่าง ซองมินเลิกคิ้วมองอย่างสงสัยตั้งท่าจะถามแต่ก็เปลี่ยนใจ ไม่นานร่างหนึ่งในชุดสูทสีเข้มรีบเดินออกมาจากร้าน
ใบหน้าที่แม้เวลาจะผ่านไปก็ยังเหมือนเดิม เพื่อนตั้งแต่ครั้งวัยเยาว์
“ย..เยซอง!!!!!!!!!!!!!!!!!” ซองมินร้องออกมาอย่างดีใจก่อนจะวิ่งเข้าไปสวมกอดเพื่อนรัก จนอีกฝ่ายอ้าแขนตั้งหลักรอรับแทบไม่ทัน
“ไม่เจอกันนานเลยเป็นไงบ้าง?” เยซองกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น น้ำตาไหลออกมาจากใบหน้าของซองมิน ความปลื้มปิติยินดีที่เพื่อนรักของเขากลับมาแล้ว
“หายไปนาน แถมไม่ติดต่อมาด้วย คิดถึงจะแย่” ซองมินตัดพ้ออยู่ในอ้อมกอดของเพื่อนก้มหน้างุดเหมือนไม่ต้องการให้ใครเห็นน้ำตาของเขาในเวลานี้
“ไม่เอานะอย่าร้อง” เยซองลูบหัวของซองมินอย่างแผ่วเบา “ฉันกลับมาแล้วซองมิน กลับมาอยู่กับพวกนายแล้ว” ซองมินหัวเราะออกมาอย่างดีใจ พร้อมยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาอย่างรวดเร็ว
“ไง จองโม” เยซองเอ่ยทักทาย
“พวกนายจะยืนกอดกันอีกนานไหม? เดี๋ยวคนอื่นมาเห็นก็เข้าใจผิดกันหมดหรอก” จองโมยิ้มเล็กน้อยมองคนทั้งสองที่กอดกันแน่นไม่มีท่าจะผล่ะออกจากกันซะที
“เข้าใจผิดว่ามินเป็นแฟนฉันน่ะเหรอ? ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีสิ ฉันจะได้พาไปอวดไหนต่อไหนได้ว่าแฟนน่ารัก” เยซองพูดพร้อมกับโยกซองมินที่อยู่ในอ้อมแขนไปมาอยากหยอกเย้า
“แล้วทำไมมาถึงแล้วไม่เข้าไปข้างในกันล่ะ? ฉันรออยู่นานแล้ว” เยซองเปลี่ยนมาโอบคอของซองมินแทน มองทั้งคู่สลับไปมาเหมือนต้องการคำอธิบาย ไม่มีคำพูดจากปากของจองโมและซองมิน ส่วนพนักงานที่ขวางพวกเขาตอนนี้ยืนเหงื่อแตกพลั่กราวกับออกไปวิ่งไปสนามมาทั้งที่อุณหภูมิภายในโรงแรมออกจะเย็นมากแท้ๆ
สายตาของจองโมที่มองมาทำให้พนักงานที่เงียบไปนานเปิดปากพูด
“ค..คือว่า..คือว่า...” น้ำเสียงพูดติดขัดแถมคอก็เหมือนจะแห้งผากขึ้นมาซะเฉยๆ
“ที่นี่สวยจังเลยเนอะ!!!!” เสียงของซองมินที่อยู่ๆก็พูดโผล่ขึ้นมาเรียกความสนใจจากคนอื่นได้ไม่ยาก
“ฉันอยากจะดูข้างในบ้าง รีบเข้าไปกันเถอะ” พอพูดเสร็จก็รีบเปลี่ยนมาดึงมือของเยซองเดินเข้าไปหาจองโมแล้วเป็นฝ่ายดึงทั้งสองคนเข้าร้าน ทิ้งให้พนักงานยืนหายใจหายคอได้ทั่วท้องและเช็ดเหงื่ออยู่หน้าร้านตามลำพัง
“ว้าวววว! ยอดไปเลย” ซองมินมองกวาดสายตาไปทั่วร้านอย่างตะลึง ไฟสีส้มสลัวๆช่วยสร้างบรรยากาศให้ดูโรแมนติก อีกทั้งผนังโดยรอบเป็นกระจกใสทำให้สามารถมองเห็นทัศนียภาพของเมืองได้อย่างชัดเจน ที่นั่งของแต่ละโต๊ะก็ถูกจัดให้ความเป็นส่วนตัวมาก แถมยังมีเคาน์เตอร์สำหรับคนที่ชื่นชอบการดื่มแอลกอฮอล์จัดเอาไว้ให้ด้วย
“เพื่อให้เข้ากับชื่อของโรงแรม Himmel พี่ชินดงระดมสมองออกแบบเองเลยนะ” เยซองเอ่ยอย่างภาคภูมิใจเมื่อพูดถึงพี่ชายสุดที่รัก
“แสดงว่าร้านนี้เป็นของนายเองหรอกเหรอ? เยี่ยมไปเลย” แววตาของซองมินเป็นประกายอย่างนึกชื่นชม
“ไม่ใช่หรอกถ้าจะให้ถูกต้องบอกว่าของพี่ชินดงต่างหาก ส่วนฉันแค่มาช่วยพี่ชินดงดูแลเฉยๆ” ถึงเยซองจะพูดอย่างนั้นแต่มันก็ไม่ได้แตกต่างกันนักหรอก เพราะยังไงมันก็เป็นกิจการในครอบครัวอยู่แล้ว
“แล้ว Himlen หมายถึงอะไรเหรอ? แล้วก็ชื่อร้านของนายด้วย” ซองมินที่รู้สึกสงสัยกับชื่อตั้งแต่แรกแล้วเอ่ยถาม
“Himlen หมายถึงท้องฟ้า ส่วน Evig lycka หมายถึงความสุขนิรันดร์เป็นภาษาสวีเดนน่ะ”
“ท้องฟ้า” ซองมินรู้สึกสะดุดกับความหมายของชื่อโรงแรมทันที
ฮานึล .. คุณคือฮานึลของผม
น้ำเสียงและริมฝีปากของเขาที่สัมผัสที่แก้มของเขายังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของซองมินไม่รู้ลืม จนเผลอยกมือขึ้นสัมผัสที่พวงแก้มนึกถึงช่วงเวลาในตอนนั้น
“ซองมิน เหม่ออะไรอยู่” เสียงของเยซองทำให้เจ้าตัวกลับมาสู่โลกแห่งความจริงอีกครั้ง
“เปล่าหรอก แค่คิดว่าความหมายดีจัง” ซองมินยิ้มพูดอย่างเป็นปกติ “จริงด้วยสิ..เมื่อกี้ฉันเห็นจองโมโทรศัพท์แล้วนายก็ออกมาแสดงว่าพวกนายสองคนแอบติดต่อกันเหรอ?” ซองมินที่นึกขึ้นได้รีบหันไปมองหน้าคนทั้งสองที่ตอนนี้ส่งยิ้มแห้งๆมาให้
“เอ่อก็ทำนองนั้น” จองโมไม่กล้าสบตาซองมินเลยทีเดียว
“พอดีอยากให้นายเซอร์ไพรสก็เลยให้จองโมปิดเป็นความลับ” เยซองพนมมือขึ้นพร้อมกับทำหน้าสีหน้าสำนึกผิด
“เข้าใจกันรวมหัวจริงๆนะ” ซองมินเอ่ยประชดเล็กน้อยก่อนจะส่งยิ้มให้ “แต่ฉันดีใจมากที่นายกลับมา และคงจะดีกว่านี้ถ้าฮยอกกลับมา” แม้เรียวปากบางของซองมินจะแย้มยิ้มแต่แววตากลับดูเศร้าหมอง
“อย่าคิดมากไม่นานหรอกเดี๋ยวหมอนั่นก็ต้องมาหาพวกเรา” จองโมให้กำลังใจ เยซองพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ฉันว่าพวกเราไปนั่งกันตรงนู้นดีกว่าฉันเตรียมสถานที่เอาไว้แล้ว” เยซองพูดพร้อมกับจูงมือซองมินไปมุมด้านในของร้านที่แบ่งเป็นห้องอย่างดีเหมือนใช้เป็นพื้นที่จัดงานเลี้ยงต้อนรับบุคคลสำคัญ
ภายในห้องโล่งกว้าง ที่ผนังเป็นกระจกใสขนาดเท่าขอบหน้าต่างยาวติดกันจนเกือบสุดขอบห้อง หากได้นั่งมองท้องฟ้าไปในขณะรับประทานอาหารคงจะสร้างความสุขให้ไม่น้อย โต๊ะอาหารสีขาวของผ้าลายลูกไม้ชั้นดีกับโซฟากำมะหยี่สีแดงทำให้ทุกอย่างยิ่งดูมีระดับมากขึ้น ทุกอย่างจัดเอาไว้ได้อย่างลงตัวที่สุด
“สวยจังเลย” ซองมินเป็นคนแรกที่วิ่งเข้าไปในห้องตรงบริเวณกระจกใส ท้องฟ้าสีครามสดใสกับแสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาทำให้ห้องยิ่งดูโล่งโปร่งสบายมากขึ้น
“เยซอง จองโม มาดูนี่สิ!!!!!” เจ้าตัวกวักมือเรียกเพื่อนรักทั้งสอง ทั้งที่สายตายังคงจ้องมองไปที่วิวทิวทัศน์ด้านนอกไม่ละสายตาเลยสักนิด แถมไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครบางคนเดินมาประชิดตัวของเขาพร้อมกับเอื้อมมือมาปิดตาของเขาเอาไว้
“จองโม ฉันรู้ว่าเป็นนาย” ซองมินระบายยิ้มออกมาหลังจากที่เขาสัมผัสดู แขนที่ดูผอมแห้งแบบนี้ไม่น่าจะใช่ใครที่ไหนนอกจากเพื่อนคนนี้อย่างแน่นอน แต่ร่างนั้นยังคงเฉยไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยมือออกจากซองมินเลยสักนิด
คิ้วของซองมินขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะยกมือขึ้นสัมผัสมือที่ปิดที่หน้าของตัวเองอีกครั้งถูไปตามมือทั้งสองข้างก่อนจะสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง ที่น่าจะเป็นแหวน
หรือจะไม่ใช่จองโม?
เพราะจองโมไม่สวมแหวน และนิ้วมือที่เรียวยาวคู่นั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเป็นเยซอง แล้วใครกันล่ะ?
ซองมินกลืนน้ำลายลงคอ ในใจเริ่มเต้นแรงอย่างไม่รู้สาเหตุ
ไม่น่าจะเป็นไปได้ ไม่มีทางหรอก ต้องไม่ใช่อย่างแน่นอน
ปากเรียวงามเม้มเข้าหากันเล็กน้อยก่อนจะเอื้อนเอ่ยชื่อของอีกคนหนึ่งที่ไม่มีทางที่จะมาอยู่ ณ ที่แห่งนี้ได้ ...
“...ฮยอกแจ” มือทั้งสองข้างที่ปิดอยู่ที่ดวงตาของซองมินค่อยๆลดมือลง ขณะที่ดวงตาของซองมินยังคงปิดสนิทไม่กล้าที่จะลืมตากลัวว่าทั้งหมดคือสิ่งที่เขาคิดไปเอง
“ว้า! แค่สองครั้งก็ทายถูกซะแล้ว” ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายพูดต่อ ซองมินหันหลังโผเข้ากอดร่างที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังจนเขาถึงกับเซไปทางด้านหลังเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว
“ฮยอกแจ ฮยอกแจ!!!!!!” ซองมินร้องไห้น้ำตาไหลออกมาไม่หยุดจนอีกฝ่ายต้องกอดปลอบเอาไว้เหมือนที่เยซองเอ่ยปลอบซองมินในตอนแรก
“ร้องหนักกว่าตอนที่เจอฉันอีกนะ” เยซองยิ้มออกมาเล็กน้อย คำพูดที่เหมือนแสดงอาการน้อยใจแต่ความจริงตัวเขาไม่ได้คิดอะไร เพราะรู้ดีว่าฮยอกแจและซองมินทั้งสองคนสนิทกันมากขนาดที่เรียกได้ว่าไม่มีความลับต่อกัน
“ใจร้าย ใจร้าย ใจร้าย” กำปั้นของซองมินทุบไปที่หน้าอกของเพื่อนรักไม่ยั้งมือ ส่วนฮยอกแจก็ได้แต่ยืนนิ่งรับแรงที่ทุบลงมาโดยไม่มีท่าทีตอบโต้หรือหลบหลีกเลยสักนิด เพราะเขาเองที่ผิด หายจากการติดต่อไปโดยไม่บอกกล่าว
“ซองมิน!!!!!” ทั้งจองโมและเยซองร้องเรียกอย่างห้ามปราม แต่ฮยอกแจกลับยกมือขึ้นห้ามพร้อมกับรอยยิ้มบางๆปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“ฉันกลับมาแล้วซองมิน” ฮยอกแจรั้งร่างกายของซองมินเข้ามากอดแน่น ซองมินกำชุดสูทของฮยอกแจเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย แถมไม่ยอมเงยหน้ามองเพื่อนอีกด้วย
“โกรธเหรอ? โกรธฉันใช่ไหม?” ศีรษะของซองมินพยักหน้าตอบรับ ไม่มีคำพูดอะไรเล็ดลอดออกมาอีกมีแต่เสียงสะอื้นของเจ้าตัวที่พยายามสะกดกลั้นเอาไว้
“โกรธจนไม่อยากจะเห็นหน้ากันเลยเหรอ? ถ้าอย่างนั้นฉันจะกลับอิตาลีเดี๋ยวเลย นายจะได้ไม่ต้องเห็นหน้าฉันดีไหม?” พอได้ยินอย่างนั้นซองมินก็รีบส่ายหน้าอย่างรวดเร็วเหมือนคอจะหลุดออกจากบ่าได้ ฮยอกแจลูบศีรษะของซองมินเบาๆก่อนจะค่อยๆดันร่างของซองมินออกเพื่อมองใบหน้าได้อย่างชัดๆ
“น่ารักจริงๆด้วย เหมือนอย่างที่จองโมเล่าให้ฟังเลย!!!!” ฮยอกแจพูดพร้อมกับหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับใบหน้าที่อยู่ตรงหน้าก่อนที่ซองมินจะหยิบมาเช็ดเอง แต่หารู้ไม่ว่าคำพูดของฮยอกแจขุดหลุมฝังเพื่อนรักอีกคนไปเรียบร้อยแล้ว
“จองโม..” เสียงของซองมินเข้มขึ้นมาถนัดตาไม่เหมือนกับตอนที่ร้องไห้อยู่เมื่อกี้เลยสักนิดเดียว ส่วนจองโมที่รู้ชะตากรรมของตัวเองดีได้แต่ส่งยิ้มแห้งไปให้ ฮยอกแจเห็นแบบนั้นก็รีบออกตัวรับแทนทันที
“แผนเซอร์ไพรสนาย ฉันเป็นคนคิดเองทั้งหมด พวกเราแอบติดต่อกันตลอดไม่ให้นายรู้ ขอโทษนะซองมิน” เสียงของฮยอกแจแฝงความรู้สึกผิด ไม่ว่าใครที่ฟังก็รับรู้ได้
สายตาของซองมินยังคงนิ่งเฉย ท่าทียังแสดงความโกรธอย่างชัดเจน จนเพื่อนทั้งสามคนไม่กล้าสบตาด้วย ตั้งแต่รู้จักกันมาพวกเขาไม่เคยเห็นซองมินในมุมมองแบบนี้มาก่อน จนยอมรับจากใจจริงว่าเริ่มกลัวเพื่อนของเขาคนนี้ซะแล้ว
หากคนนั้นไม่ใช่ซองมินคงจะได้แหลกกันไปข้าง
หากคนนั้นไม่ใช่ซองมินคงจะมีเลือดตกยางออกกันดูสักตั้ง
แต่...เพราะเขาคือซองมิน ใบหน้าค่อยๆเผยรอยยิ้มออกมาก่อนจะโถมเข้าใส่ กอดเพื่อนรักทั้งสามที่ยืนเรียงหน้ากระดานสำนึกผิด
“ในที่สุดพวกเราก็กลับมารวมกันได้ซะที ฉันมีความสุขที่สุดเลย” ใบหน้าของซองมินซุกอยู่ที่อกของฮยอกแจ ส่วนแขนซ้ายและขวาก็โอบเอวทั้งจองโมและเยซองเอาไว้
มิตรภาพของพวกเขาทั้งสี่คนกำลังเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง!!!!!
“ช่วงสองปีมานี้พวกนายสองคนเป็นยังไงบ้าง? หายไปไม่ติดต่อมาเลย” ซองมินเปิดปากถามขึ้นทันที เพราะเขาเป็นเพียงแค่คนเดียวที่ไม่รู้ข่าวคราวอะไรเลย
“ช่วงนั้นเศรษฐกิจไม่ค่อยดีแถมจำนวนคนงานที่มีอยู่ก็น้อยมาก ฉันกับพี่ชินดงต้องลงแรงกันทำเอง ไม่ว่าจะดูแลฟาร์ม หรือไร่สวนผักผลไม้ต่างๆ สองปีมานี้ฉันทำงานหนักมากจริงๆ” ร่างกายของเยซองที่ซูบผอมลงกว่าแต่ก่อนเป็นเครื่องการันตีคำพูดของเขาได้เป็นอย่างดี
“แต่สุดท้ายก็ประสบความสำเร็จจนได้ ดีใจด้วยนะเพื่อน” จองโมยกไวน์ขึ้นแสดงความยินดี ซองมินเองก็เช่นกัน ส่วนฮยอกแจเพียงแค่ส่งยิ้มไปให้เพราะเขาเป็นคนเดียวที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ เยซองชูแก้วไวน์ตอบรับคำยินดีจากเพื่อนก่อนจะยกแก้วไวน์ขึ้นจิบช้าๆ
“แล้วพี่ชินดงล่ะ? ยังอยู่ที่นั่นเหรอ?” ซองมินยังคงตั้งคำถามต่อไป
“ใช่ แต่คิดว่าราวๆสักเดือนหน้าคงจะบินตามมา” เยซองพูดพร้อมกับวางแก้วไวน์ลงบนโต๊ะ
“มาอยู่เลยหรือว่ายังไง?” ฮยอกเป็นฝ่ายถามขึ้นบ้าง
“คิดว่าน่าจะมาเพื่อติดต่อเรื่องงานกับเจ้าของโรงแรมที่นี่นะ ไม่น่าจะกลับมาอยู่เลย พี่ชินดงชอบที่นั่นออกจะตาย..ของกินเยอะ เนื้อ นม ไข่ ของโปรดพี่แกทั้งนั้นแหละ” เยซองหัวเราะออกมาเล็กน้อยเมื่อพูดถึงเรื่องกินของพี่ชาย
“แล้วความคิดเรื่องทำร้านอาหารของพี่ชินดงรึเปล่า?” คำถามของจองโมคือสิ่งที่ฮยอกแจต้องการจะถามพอดี
“มีทั้งฟาร์มและไร่ผักผลไม้ของตัวเอง เรื่องร้านอาหารทำได้สบายเลย” เยซองพยักหน้าตอบรับคำพูดของฮยอก
“ใช่ก็อย่างที่ฮยอกพูดนั่นแหละ พี่ชินดงเห็นว่าในเมื่อเราเองก็มีฟาร์มของตัวเอง แถมยังมีไร่ผักผลไม้ด้วย เรื่องจะทำธุรกิจร้านอาหารไม่น่าจะเป็นเรื่องยากก็เลยลองดู แต่จะทำทั้งฟาร์มและไร่ไปพร้อมกับธุรกิจร้านอาหารคงไม่ใช่เรื่องง่าย พี่ชินดงเลยมอบงานร้านอาหารให้ฉันมาช่วยดูแล ฉันก็เลยถือโอกาสเสนอให้มาเปิดร้านที่นี่ซะเลย” ทั้งฮยอกแจ และจองโมต่างพยักหน้าไปตามคำบอกเล่าของเยซอง
“พี่ชินดงยอมให้มาเปิดร้านที่นี่เลยงั้นเหรอ?” ซองมินเอ่ยถามอย่างแปลกใจ เพราะเท่าที่เขารู้มาเกี่ยวกับพี่ชายของเพื่อนสนิทคนนี้ คือถ้าอะไรเป็นเรื่องที่เสี่ยงมากเกินไปไม่มีทางที่ชินดงจะเข้ามาร่วมลงทุนอย่างเด็ดขาด
“น่าจะเรียกว่าความโชคดีมากกว่าใช่ไหม?” ฮยอกแจหัวเราะน้อยๆก่อนจะเอื้อมไปหยิบแก้มน้ำยกขึ้นดื่ม
“นั่นสินะ ความโชคดี” จองโมพยักหน้ารับตามคำพูดของฮยอกแจ ผิดกับซองมินที่กำลังทำหน้างงเป็นกระต่ายตาแตกไม่เข้าใจ จนเยซองต้องอธิบายต่อ
“ที่จริงแล้วฉันโดนพี่ชินดงคัดค้านชนิดหัวชนฝาเลยต่างหากล่ะ เพราะประเทศมันอยู่ไกลกันเกินไป ไหนจะเรื่องการลงทุนและขนส่งอีก แต่บังเอิญโชคดีมีคนหนึ่งเข้ามาติดต่อขอซื้อผลผลิตจากฟาร์มแถมปริมาณก็สูงมากๆด้วย เขาเคยพูดกับพี่ชินดงเป็นการส่วนตัวว่าจะเอาไปใช้เป็นวัตถุดิบในโรงแรมของเขา เผอิญช่วงนั้นเขากำลังมีโปรเจคจะสร้างโรงแรมในเกาหลีที่เมืองนี้พอดี พี่ชินดงก็เลยทำสัญญาตกลงเป็นหุ้นส่วนกับเขา โดยทางนั้นจะรับผิดชอบด้านโรงแรมที่พัก ส่วนร้านอาหารจะเป็นหน้าที่ของพี่ชินดงซึ่งให้ฉันดูแลแทน ก็เลยได้กลับมาไง” คำอธิบายของเยซองยังไม่ช่วยให้คิ้วของเจ้าตัวคลายปมออกจากกันอยู่ดี
“แสดงว่าเจ้าของที่นี่ต้องมีชื่อเสียงมากพอควรเลยสิ ถึงขนาดทำให้พี่ชินดงยอมร่วมลงทุนด้วยได้”
“ฉันก็ไม่รู้อะไรมากหรอก รู้แต่ว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจโรงแรมในระดับโลกเท่านั้นแหละ” ถึงเยซองจะรู้แค่นั้นแต่มันก็ช่วยไขข้อสงสัยของซองมินได้ว่าทำไมชินดงถึงได้ยอมร่วมลงทุนด้วย
“แต่ก็ดีแล้วล่ะ เพราะงั้นนายถึงได้กลับมา” คำพูดของซองมินเรียกรอยยิ้มให้ปรากฏบนใบหน้าของคนทั้งสามได้เป็นอย่างดี
“ตานายโดนซักบ้างแล้ว ฮยอกแจ” เยซองยิ้มอย่างมาดร้าย
“รับรองว่านายเจอซองมินอัดจนอ่วมแน่นอนเลย” จองโมส่ายหน้าเล็กน้อยเหมือนไม่อยากจะคาดเดาว่าอะไรจะเกิดขึ้นในไม่ช้าถ้าซองมินรู้เรื่องเข้า
ฮยอกแจถึงกับพูดไม่ออกเมื่อเห็นสายตาของซองมินเหมือนกำลังรอคอยผู้เล่าเรื่องอย่างเขาอย่างใจจดใจจ่อ เขาถอนหายใจออกมาอย่างจนใจก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องของตัวเองบ้าง
“หลังจากเรียนจบฉันต้องกลับไปเรียนรู้งานของที่บ้านให้ได้ทั้งหมดภายในครึ่งปี” คำบอกเล่าของฮยอกแจทำให้ซองมินถึงกับตาโตด้วยความตกใจ
“ครึ่งปี!!!!!! บ้าไปแล้ว” เป็นอย่างที่ซองมินพูดจริงๆการจะเรียนรู้งานทั้งหมดให้ได้ภายในครึ่งปีไม่ใช่เรื่องง่ายเลยโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นบริษัทที่มีสาขามากมายอยู่ในหลากหลายประเทศด้วยแล้ว
“ทั้งเรื่องดีไซน์ การตัดเย็บ แม้แต่การเลือกชิ้นผ้า แถมยังเรื่องการบริหารและก็การตลาดของบริษัท” คำบอกเล่าของฮยอกแจทำเอาซองมินถึงกับพูดอะไรออก แม้แต่จองโมและเยซองที่แม้จะรู้ข่าวคราวจากเจ้าตัวมาบ้างแต่ไม่คิดว่าจะหนักหนามากถึงขนาดนี้
แต่สำหรับลูกชายคนเดียวของเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้ายี่ห้อดัง มันไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรเลย
เหมือนกับทงเฮ ...
เป็นอีกครั้งที่ซองมินนึกถึงชายหนุ่มขึ้นมาแต่ก็รีบสลัดความคิดออกไปอย่างรวดเร็ว
“แล้วทำไมถึงได้กลับมาที่เกาหลีล่ะ? ในเมื่อนายต้องรับช่วงกิจการต่อไม่ใช่เหรอ?” ซองมินถามอย่างสงสัย
“ฉันเสนอเรื่องขยายสาขามาที่ประเทศเกาหลี โครงการนี้เป็นความรับผิดชอบของฉันโดยตรง ถือเป็นเวทีที่ฉันต้องพิสูจน์ตัวเองว่าเหมาะกับตำแหน่งผู้สืบทอดรึเปล่า” ฮยอกแจหัวเราะออกมาเล็กน้อย ความจริงแล้วตัวเขาไม่ได้สนใจตำแหน่งที่ว่าเลยสักนิดแต่ที่เขาเสนอเรื่องขยายสาขามาที่เกาหลีเพราะแค่ต้องการกลับมาอยู่กับเพื่อนๆของเขาต่างหาก
แน่นอนว่าทั้งซองมิน จองโม และเยซองต่างรู้นิสัยของฮยอกแจดี นิสัยง่ายๆ อะไรก็ได้ ไม่ยึดติดกับพิธีการ ดูยังไงนิสัยส่วนตัวของเพื่อนคนนี้จะขัดกับตำแหน่งใหญ่ๆอย่างผู้สืบทอดอย่างเห็นได้ชัด
“แล้วเรื่องแหวนที่นิ้วล่ะ? จะไม่เล่าให้ฟังหน่อยเหรอ?” เยซองยิ้มแซวเพื่อนอย่างไม่เก็บอาการสักนิด ซองมินที่ได้ยินอย่างนั้นรีบหันไปคว้ามือของเพื่อนรักที่นั่งอยู่ข้างๆขึ้นมาดูทันที
“หมายความว่ายังไง?” พอเห็นแหวนที่นิ้วชัดๆที่ปรากฏอยู่ที่นิ้วนางข้างซ้ายของเพื่อนรักอย่างเต็มตา ตอนแรกที่ซองมินสัมผัสก็พอรู้ว่าฮยอกแจสวมแหวนที่นิ้วแต่ไม่ทันได้เอะใจว่ามันคือแหวนที่อยู่บนมือข้างไหน มือของซองมินปล่อยออกจากมือของฮยอกแจที่ก้มลงมองแหวนบนนิ้วก่อนจะเงยหน้าสบตากับซองมินที่มองเขาอย่างไม่ละสายตา
“ฉัน..หมั้นแล้ว” คำยืนยันจากเจ้าตัวสร้างความตกใจให้กับซองมินอีกครั้ง
“หมั้นแล้ว? ตั้งแต่เมื่อไหร่? ทำไมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย” ซองมินเริ่มโวยวาย แม้แต่เรื่องที่น่ายินดีแบบนี้ก็ไม่ยอมบอกเขาอดไม่ได้ที่จะเริ่มรู้สึกเคืองขึ้นมาหน่อยแล้ว
“อย่าบอกนะว่ามันคือเรื่องเซอร์ไพรสที่พวกนายรวมหัวกันปิดบังฉันอีกน่ะ” ซองมินเอ่ยประชด
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวนะ เรื่องที่ฮยอกหมั้นฉันรู้มาจากข่าวในหนังสือพิมพ์” จองโมรีบออกตัวปฏิเสธเป็นคนแรก
“ฉันก็เหมือนกัน” เยซองรีบแก้ตัวตามจองโมไปติดๆ
“อ่าว..แล้วทำไมฉันถึงไม่รู้เรื่องล่ะ?” คำถามของซองมินทำเอาทุกคนถึงกับส่ายหัวอย่างระอา
“ก็นอกจากข่าวของคนนั้นแล้ว นายเคยสนใจอ่านข่าวอื่นด้วยหรอ?” ฮยอกแจพูดอย่างขำๆ ไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองอะไร เพราะรู้ดีว่าแต่ไหนแต่ไรซองมินเปิดอ่านข่าวเฉพาะในหน้าเศรษฐกิจเท่านั้น
“นั่นสิอ่านแต่หน้าเศรษฐกิจคงจะรู้เรื่องหรอก”
“ถูกกกกกก” ทั้งจองโมและเยซองเหมือนจะเป็นลูกคู่ได้ดีเหลือเกิน ได้โอกาสก็รีบทับถมซองมินกันใหญ่
“โอเค..ฉันผิดเองที่ไม่สนใจข่าวหน้าอื่นนอกจากข่าวเศรษฐกิจ” ซองมินทำหน้ามุ่ย ยอมรับอย่างจนใจเพราะตัวเขาเป็นอย่างนั้นจริงๆไม่มีอะไรจะเถียง
“จองโมกับเยซองแค่แหย่นายเล่นเท่านั้นแหละไม่ต้องคิดมาก” ฮยอกแจพูดพร้อมกับขยี้ผมของซองมินเล็กน้อยอย่างหมั่นเขี้ยว
“นายล่ะเป็นไงบ้าง? ยังไม่ได้พบใช่มั้ย?” ในบรรดาเพื่อนรักทั้งสามคน ฮยอกแจจะเป็นคนเดียวที่ถามเรื่องทงเฮกับซองมิน แถมฮยอกแจยังเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องราวอย่างละเอียดระหว่างพวกเขา ในขณะที่จองโมและเยซองรู้เฉพาะผิวเผินเท่านั้น
ที่สำคัญซองมินเองก็รู้ดีว่าจองโมและเยซองไม่เห็นด้วยกับเรื่องที่เขารอคอยทงเฮเท่าไหร่ เพราะแลดูจะเป็นการกระทำที่ไร้ค่าและไม่มีหวัง ซึ่งผิดกับฮยอกแจที่ให้ทำตามความปรารถนาของตัวเอง ทำตามที่หัวใจของตัวเองเรียกร้อง แม้จะดูไร้ค่าและไม่มีความหวังก็ช่างมัน แค่เรามีความสุขและไม่ทำให้ใครเดือดร้อนเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
เหมือนฮยอกแจจะเป็นคนเดียวที่เข้าใจความรู้สึกของเขา
สำหรับซองมินแม้ตอนนี้เขาจะยังไม่เจอทงเฮเลยก็ตาม แม้ว่าตอนนี้เขาสามารถเห็นทงเฮได้จากแค่ในหน้าหนังสือพิมพ์เท่านั้นก็ตาม แต่ไม่เคยสักครั้งที่ซองมินจะคิดว่าการรอคอยของเขาดูไร้ค่า เพราะทุกวันนี้เขามีความสุขที่ได้คาดหวัง และเฝ้าคิดถึงวันที่จะได้พบกับทงเฮอีกครั้ง
“ยังเลย แต่ตอนนี้เขาอยู่ฝรั่งเศสล่ะ” ซองมินรีบรายงานข่าวที่เขาเพิ่งจะอ่านเมื่อเช้าให้ฮยอกแจรู้ แต่อีกฝ่ายกับเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจเล็กน้อย
“แต่ที่ฉันได้ยินมามันเมื่อสองวันก่อนนะ ส่วนตอนนี้ได้ยินว่าอยู่ที่จีนแล้ว” กลายเป็นว่าซองมินเป็นฝ่ายแปลกใจซะเอง และคิดว่าแหล่งข่าวของฮยอกแจเชื่อถือได้เพราะระหว่างอิตาลีกับฝรั่งเศสไม่ได้ไกลกันมาก แถมพวกเขาก็เป็นนักธุรกิจเหมือนกันด้วย
“จีนหรอ? ใกล้เกาหลีนิดเดียวเอง” อดไม่ได้ที่จะรำพึงถึงเขา
“ว่าแต่เรื่องแหวนหมั้นตกลงว่าไปไงมายังไง?” ซองมินรีบเปลี่ยนเรื่องพร้อมส่งยิ้มสวยไปให้ฮยอกแจ เพราะเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะคิดเรื่องของทงเฮหรือพูดเรื่องของเขาสักหน่อย
เรื่องของเพื่อนรักของเขาที่อยู่ข้างๆนี่ต่างหากที่สำคัญ !!!!!
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก หมั้นกันเพราะเรื่องธุรกิจน่ะไม่เคยเห็นหน้ากันด้วยซ้ำไป” ฮยอกแจหัวเราะเล็กน้อยอย่างไม่สนใจพร้อมกับยกน้ำขึ้นดื่มทำเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา
“หมายความว่า..นายสวมแหวนหมั้นทั้งที่ไม่เคยเห็นหน้าอีกฝ่ายงั้นเหรอ?” ฮยอกแจพยักหน้าตอบรับ
“เฮ้ย! อย่างน้อยก็ต้องเคยเห็นกันบ้างแหละ” น้ำเสียงของจองโมเหมือนชักไม่ค่อยมั่นใจอย่างที่ปากว่า เพราะภาพในข่าวหนังสือพิมพ์ที่เขาเห็นก็มีแต่ภาพฮยอกแจตอนกำลังแถลงข่าวเท่านั้น
“ฉันไม่เคยเห็นเขาเลยจริงๆ อยู่ๆแม่ก็ยื่นแหวนนี่มาให้บอกว่าเป็นแหวนหมั้นให้สวมเอาไว้ แถมยังให้ฉันออกไปแถลงข่าวตามบทที่เขาเตรียมไว้ให้ เขาบอกว่าถ้าฉันทำตามข้อเสนอเขาจะให้อิสระกับฉันเช่นกัน” สีหน้าของฮยอกแจดูไม่ทุกข์ร้อนเลยสักนิด ราวกับว่าไม่ใช่เรื่องที่เขาควรใส่ใจ
“ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แต่เรื่องงานหมั้นนี่ก็เรื่องใหญ่เหมือนกันนะ ให้ตายเถอะไม่อยากจะเชื่อ” เยซองรู้สึกปวดหัวกับนิสัยยังไงก็ได้ของเพื่อนคนนี้ซะแล้ว
“แค่หมั้นไม่ได้แต่งงานซะหน่อยไม่เห็นต้องซีเรียสเลย” ฮยอกแจส่งยิ้มให้กับเยซอง “หิวชะมัดเลย ไปหาอะไรกินกันเถอะ” ฮยอกแจพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืนเป็นคนแรก
“กินที่นี่ไหมล่ะ? เดี๋ยวให้พ่อครัวทำอาหารมาให้” เยซองขยับตัวทำท่าจะลุกขึ้น
“ที่ร้านนายเอาไว้คราวหน้าแล้วกัน แต่วันนี้พวกเราไปกินร้านประจำของเรากันดีกว่า จริงไหมซองมิน” คนที่ถูกถามรีบพยักหน้าตอบรับทันที
“ถ้าร้านประจำก็ต้องนี่เลยสินะ..” ยังไม่ทันที่จองโมจะเอ่ยชื่อร้านเสียงของเพื่อนคนอื่นก็ดังแทรกขึ้นมา
“หมูกะทะ!!!!!!!” ก่อนเสียงหัวเราะจะดังประสานกันอย่างมีความสุข
พวกเขาทั้งสี่ต่างเริ่มทยอยกันลุกขึ้น จองโมและเยซองกอดคอกันเดินนำออกไปก่อน ฮยอกแจที่กำลังจะเดินตามไปถูกมือของซองมินรั้งเอาไว้ก่อน เขาหันกลับมามองซองมินอย่างสงสัย
“นายอาจจะคิดว่าการหมั้นกับใครสักคนเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญ แต่เมื่อถึงวันที่นายพบกับใครสักคนเรื่องนี้มันจะมีผลกับชีวิตของนายมากเลยนะ ฮยอกแจ” น้อยครั้งที่ซองมินจะเอ่ยเรียกชื่อเพื่อนคนนี้เต็มยศถ้าไม่ใช่เรื่องที่จริงจังมากจริงๆ ความเป็นห่วงของซองมินมีหรือที่ฮยอกแจจะไม่รู้ เขาลูบศีรษะของซองมินก่อนจะส่งยิ้มให้
“มันอาจจะไม่มีวันนั้นเลยก็ได้” ฮยอกแจพูดพร้อมกับกุมมือของซองมินพาเดินออกจากห้องตามจองโมกับเยซองออกไป ในขณะที่ซองมินยังคงนิ่งเงียบมองด้านข้างของเพื่อนสนิทโดยไม่พูดอะไรออกมา
:: Once Again ::
“ซองมิน ถ้าฉันจะจ้างนายให้มาช่วยจัดดอกไม้ที่ร้านอาหารของฉันทุกวันจะได้ไหม?” ตั้งแต่กลับจากร้านหมูกระทะ ซองมินก็เอาแต่นั่งคิดทบทวนเรื่องคำชวนของเยซอง ฝีมือการจัดดอกไม้ในร้านอาหารของโรงแรมระดับ 5 ดาว เป็นงานที่หนักเหมือนกัน ซองมินรู้สึกไม่มั่นใจว่าตัวเองจะทำออกมาได้ดีเหมือนอย่างที่เขาเห็นในวันนี้รึเปล่า ..
พอคิดถึงตรงนี้ก็ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าฝีมือการจัดดอกไม้ที่ร้านเยซองดูไปแล้วคล้ายฝีมือของแม่ตัวเองไม่มีผิด แต่คงเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนเลย เหตุผลแรกคือเรื่องที่เยซองกลับมาเปิดร้านอาหารแม่ของเขาก็ยังไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำไป ส่วนเหตุผลอีกข้อคือเจ้ากระดาษโน้ตที่อยู่ในมือของซองมินเขียนเอาไว้ว่า ‘ออกไปข้างนอกกับลุงอีริคไม่ต้องรอทานอาหารเย็น’ ซองมินกวาดสายตาอ่านข้อความอีกครั้งก่อนที่รอยยิ้มจะผุดขึ้นที่เรียวปาก
นับตั้งแต่ที่พ่อจากไป แม่ก็ไม่เคยเปิดใจคบกับใครอีกเลย จนกระทั่งเมื่อ 5 ปีก่อนแม่ได้มาพบกับอีริคที่ทำงานเป็นอาจารย์สอนภาษาอยู่อีกเมือง บังเอิญวันนั้นเขาแวะมาซื้อดอกไม้ที่ร้านแล้วเกิดตกหลุมรักแม่ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น นับจากวันนั้นเขาก็กลายเป็นลูกค้าประจำที่แวะเวียนมาซื้อดอกไม้ทุกอาทิตย์เพียงเพื่อต้องการพบแม่ จนถึงขนาดลงทุนร่ำเรียนภาษาเกาหลี หรือยอมกระทั่งขับรถเป็นเวลาหลายชั่วโมงเพื่อมาพบแม่เพียงแค่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ความพยายามของอีริคที่มีให้แม่มาตลอด 5 ปี ทำให้ซองมินแอบเชียร์อีริคให้ขอแม่แต่งงานและคิดว่าคงจะอีกไม่นานเกินรอ
“คิดถึงคุณพ่อจัง” อยู่ๆซองมินก็นึกอยากไปเยี่ยมหลุมศพขึ้นมา อาจเพราะวันนี้เขาได้พบเพื่อนรักที่ไม่ได้เจอกันนาน และยังเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลุงอีริคอีก ทำให้เขารู้สึกอยากจะเล่าให้พ่อฟังก็เป็นได้
ซองมินหันไปมองนาฬิกาตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเย็นพอดี เขาจึงหันมาจัดเตรียมของเพื่อทำช่อดอกไม้สองช่อสำหรับนำไปไหว้หลุมศพ โดยช่อแรกซองมินใช้ดอกแดฟโฟดิลซึ่งมีความหมายว่า ‘ความคิดถึงและระลึกถึง’ เพื่อมอบให้กับพ่อของเขา ส่วนอีกช่อซองมินใช้ดอกทานตะวันซึ่งมีความหมายว่า ‘การให้ความเคารพแก่คนที่เรานับถือ’ เพื่อมอบให้กับพ่อกับแม่ของทงเฮ
“คุณพ่อสบายดีนะฮะ ตอนนี้กำลังมองดูผมอยู่ใช่ไหม?” ซองมินมักกล่าวทักทายแบบนี้ทุกครั้งที่มาเยี่ยม
“วันนี้ผมก็ยังไม่พบเขาเลยล่ะฮะ แต่ว่าทั้งเยซองและฮยอกแจกลับมาแล้ว ผมดีใจมากเลย” ริมฝีปากเผยรอยยิ้มเมื่อนึกถึงเพื่อนทั้งสองคนที่เจอในวันนี้
“วันนี้คุณแม่ไปเดทกับลุงอีริคอีกแล้วล่ะฮะ เขาเป็นคนดีผมคิดว่าเขาคงทำให้คุณแม่มีความสุขได้ คุณพ่อเองก็ต้องการอย่างนั้นใช่ไหมฮะ?” แม้ว่าพ่อของเขาไม่ได้สั่งเสียอะไรไว้ก่อนที่จะจากไป แต่เพราะเขาเป็น..ลูกเขาย่อมรู้ดีว่าพ่อของเขาไม่ได้คาดหวังให้แม่มีแค่พ่อคนเดียวตลอดชีวิต แต่หวังให้แม่มองหาใครสักคนมาอยู่เคียงข้างคอยปกป้องต่างหาก
“แต่ไม่ว่ายังไงคุณแม่ก็ยังรักคุณพ่อนะฮะ ผมเองก็รักคุณพ่อเหมือนกัน” เสียงของสายลมกับใบไม้ที่เสียดสีกันราวกับเป็นคำตอบจากพ่อของเขา
ซองมินเงยหน้ามองท้องฟ้าที่พระอาทิตย์เริ่มลาลับ ท้องฟ้าที่ตอนแรกทอประกายเป็นสีส้มตอนนี้เริ่มเป็นสีฟ้าหม่นตัดกับสีน้ำเงินทำให้บรรยากาศเริ่มวังเวงมากขึ้นทุกที ซองมินลัดเลาะจากหลุมฝังศพพ่อของเขาตัดตรงออกมาที่ริมหน้าผาที่อยู่ไม่ไกลกันมากนัก หลุมฝังศพที่มีป้ายสลักอันใหญ่ตั้งตะหง่านโดดเด่นอยู่ ณ ที่แห่งนั้น
ซองมินก้าวเดินอย่างคนคุ้นเคยเส้นทางเป็นอย่างดี ป้ายหลุมศพที่ตอนนี้มีเศษดินและฝุ่นจับอยู่เล็กน้อย ซองมินยกมือขึ้นปัดฝุ่นเหล่านั้นออกก่อนจะค่อยๆวางช่อดอกไม้ที่จัดมาเป็นอย่างดีไว้บนหน้าแท่น
“หวัดดีฮะ” ซองมินส่งยิ้มทักทาย “ผมอีซองมินนะฮะ วันนี้ผมยังไม่พบกับเขาเหมือนอย่างเคย แต่ตอนนี้ได้ข่าวว่าเขาอยู่ที่จีน เชื่อว่าอีกไม่นานต้องได้พบกับเขาแน่นอนเลย ผมคิดแบบนั้นจริงๆฮะ” ทุกครั้งที่ซองมินมาเยี่ยมหลุมศพพ่อกับแม่ของทงเฮ ซองมินมักจะเอาข่าวเกี่ยวกับเขาเล่าให้พ่อกับแม่ของเขาฟังอยู่เสมอเช่นกัน
“ไอ้หนู!!!!” เสียงของใครบางคนเอ่ยเรียกจนซองมินต้องหันไปมอง
“ตาซอดง” ซองมินทักตอบก่อนจะโค้งทักทายให้ ตาซอดงเดินเข้ามาหาเขาเรื่อยๆและมาหยุดยืนที่ข้างตัวเขา
ตาซอดงคือคนที่คอยดูแลโบสถ์และสุสานให้กับคนในหมู่บ้าน ซองมินรู้จักกับเขาตั้งแต่วันที่เขาเริ่มมาเยี่ยมหลุมฝังศพพ่อกับแม่ของทงเฮ
“คราวนี้ทำไมมาเร็วกว่าทุกทีล่ะ ยังไม่ถึงเดือนเลยไม่ใช่หรือ?” เป็นอย่างที่ตาซอดงว่า ปกติแล้วเขากับแม่จะมาเยี่ยมหลุมศพกันเดือนละครั้ง แต่นี่ยังเหลืออีกตั้งอาทิตย์กว่าจะครบกำหนด
“พอดีผมคิดถึงคุณพ่อน่ะฮะ ก็เลยมาหาก่อน” ซองมินส่งยิ้มให้กับตาซอดงก่อนที่ทั้งคู่จะหันไปมองหลุมฝังศพที่อยู่เบื้องหน้า
“เวลาผ่านไปนานแล้วนะ ไม่รู้ลูกชายของเขาจะเป็นยังไงบ้าง” เป็นคำถามที่ซองมินเองก็อยากจะรู้เช่นกัน แต่ที่ทำได้แค่เพียงเก็บข้อสงสัยนั้นเอาไว้กับตัวเท่านั้น
“ซองมิน พอดีเมื่อวานตาลองเค้กสูตรใหม่ถ้ายังไงไปช่วยลองชิมหน่อยนะ” ตาซอดงแตะไหล่ของซองมินพร้อมกับส่งยิ้มมาให้อย่างใจดี ส่วนซองมินพยักหน้าพร้อมส่งยิ้มหวานกลับไปให้อย่างเร็ว
“ได้เลยฮะ ผมชอบกินเค้กที่สุดเลย!!!!” ซองมินเอ่ยออกมาอย่างร่าเริง ก่อนจะเดินไปยังบ้านของตาซอดงที่อยู่ห่างจากที่หลุมฝังศพของพ่อแม่ทงเฮไปไม่ไกลมากนัก แถมยังเป็นบ้านพักหลังเดียวที่อยู่ในบริเวณนี้ด้วย
ความจริงแล้วตาซอดงเคยเปิดร้านขายเบเกอรี่แต่หลังจากที่ภรรยาจากไปก็ยกกิจการต่อให้กับลูกชาย แต่เพราะความรักที่มีต่อภรรยาผู้ล่วงลับจึงผันตัวเองมาทำหน้าที่เป็นคนดูแลโบสถ์และสุสานให้กับคนในชุมชน แถมยังทำหน้าที่โดยไม่รับเงินค่าจ้างแม้แต่สตางค์แดงเดียว
ตาซอดงเคยพูดไว้ว่า “หากเราพอใจและมีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองทำ เงินก็ไม่สำคัญอะไรกับเราหรอก” ความคิดของตาซอดงมักมีอะไรที่แตกต่างจากคนอื่นเสมอ บางทีก็เล็กซะจนคาดไม่ถึง บางทีก็ใหญ่มากเสียจนคนเรามองข้ามไป ซองมินชอบมานั่งฟังเรื่องราวต่างๆจนพวกเขาดูเหมือนจะกลายเป็นเพื่อนซี้ต่างวัยกันไปแล้ว
คล้อยหลังซองมินและตาซอดงไปไม่นาน เสียงฝีเท้าที่ก้าวย่ำบนพื้นหญ้าเดินมาเรื่อยๆจนมาหยุดยืนที่หน้าหลุมศพบริเวณริมหน้าผา คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นช่อดอกทานตะวันปริศนาที่วางอยู่ก่อนหน้า เขาทรุดตัวลงนั่งวางช่อดอกไม้ของเขาเคียงคู่กับช่อดอกทานตะวัน
“พ่อครับ..แม่ครับ ผมกลับมาแล้ว” รอยยิ้มระบายออกมาอย่างเด่นชัด น้ำเสียงที่แสดงความรู้สึกดีใจจนปิดเอาไว้ไม่มิด ทำให้ผู้ติดตามชายหนุ่มมาตั้งแต่เด็กอย่างเขาเก็บความรู้สึกตื้นตันเอาไว้ไม่อยู่
ตลอดเวลาหลายปีที่เด็กชายตัวน้อยต้องเรียนรู้โลกของธุรกิจแทนที่จะได้เที่ยวเล่นเหมือนเด็กคนอื่นๆ ที่เขาทำได้ก็เพียงคอยเฝ้าดูนายน้อยของเขาที่ต้องแบกความเหงาและความเศร้าเอาไว้เพียงลำพัง เพื่อที่จะได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานบริษัท L.D International Group ได้อย่างภาคภูมิ และวันนี้เขาก็ทำให้โลกได้เห็นแล้ว!
“พี่ลีทึกเธอทำงานอยู่ที่นั่นจริงๆใช่ไหม?” อยู่ๆชายหนุ่มก็เอ่ยถามพี่เลี้ยงของเขาเพื่อต้องการยืนยันข้อมูล
“ครับ ไม่ผิดแน่” ลีทึกตอบรับอย่างนอบน้อม ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนจะหันไปมองที่หลุมศพอีกครั้ง
“ยังจำเด็กคนนั้นได้ใช่ไหมครับ? ผมจะพาเขามาเจอพ่อกับแม่นะครับ” น้ำเสียงของเขาแฝงความตั้งใจเอาไว้อย่างชัดเจน ก้มลงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าเสื้อก่อนจะใช้นิ้วมือค่อยๆลูบไปตามรอยปักที่นูนขึ้นมาอย่างเบามือ
ตลอดเวลา 15 ปีที่เขาทุ่มเทให้กับเรื่องเรียนและเรื่องงานเพื่อให้คนในบริษัทยอมรับเขาในฐานะประธาน เป็นเรื่องที่สร้างความกดดันให้เขาอย่างมาก แต่แรงใจที่ทำให้เขาสามารถผ่านอุปสรรคทุกอย่างมาได้ก็คือเด็กคนนั้น
คำมั่นสัญญาที่เขาไม่เคยลืม .. กลับมาเพื่อพบเธอคนนั้น
คนที่อยู่ในใจของเขาเสมอมา
เขาก็ทำได้แล้ว
“ผมกลับมาแล้ว กลับมาเพื่อพบคุณ .. อิมยุนอา” ริมฝีปากจรดลงที่ผ้าเช็ดหน้าราวกับมันคือตัวแทนของคนๆนั้น
:: Once Again ::
2 be con.
ร่วมเป็นแฟนคลับ OA (Once Again)
---------------------------------------------------------------------------------
talk with writer,,
เรื่องนี้ภูมิใจนำเสนอมาก เพราะเป็นดราม่า(มากๆ)เรื่องแรก
แต่ไม่รู็ว่าจะทำให้รีดเดอร์กินใจได้รึเปล่า
บอกตรงๆเลยว่า..ไรเตอร์เป็นคนที่ไม่ชอบอะไรดราม่าเท่าไหร่
แต่อยากฝากเรื่องนี้ไว้กับรีดเดอร์ที่น่ารักทุกคนด้วย
หวังว่าจะติดตาม และร่วมลุ้นไปกับตัวละครในเรื่องนะ
แล้วพบกันในตอนต่อไป~
(ฟิ้ววววววววววววววววว*)
ความคิดเห็น