ตอนที่ 8 : ✎ Running in the Rain
The rain falling reminds me of you because it's falling hard, and I am too
เม็ดฝนที่ตกลงมาทำให้ผมนึกถึงคุณ เพราะเวลาที่ฝนตกหนัก มันเหมือนกับผมที่ตกหลุมรักคุณ
ซ่า... ซ่า... ซ่า...
หน้าฝน… ฤดูกาลที่ยังโยซอบแสนจะเกลียด! ทำไมน่ะเหรอ… ก็เพราะพระเจ้า ชอบเล่นตลกกับเขาในหน้าฝนอย่างนี้น่ะสิ!
ในเวลาเร่งด่วนอย่างนี้ ยังโยซอบ ได้รับออร์เดอร์พิเศษจากเพื่อนหน้าสวยจางฮยอนซึงให้ไปซื้ออุปกรณ์มาทำโครงงานวิชาสำคัญที่จะต้องส่งในอีกหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้า เริ่มแรกก็จะต้องไปหาซื้ออุปกรณ์ก่อนนั้นละครับ แต่เพราะฝนที่ตกหนักมากอยู่ขณะในนี้ ทำให้ผมไม่สามารถออกไปไหนได้จนกว่าฝนจะหยุดตกน่ะสิ!
ผมนั่งมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง หยดน้ำเกาะพราวบนกระจกใส ตอนนี้ฝนซาลงมากแล้ว… เรียกได้ว่าหยุดตกไปแล้วถึงจะถูก
เอาล่ะ! คงได้เวลาออกปฏิบัติหน้าที่(?)เสียที
ผมเดินลัดเลาะไปตามทางข้างฟุตบาท น้ำเจิ่งนองยังคงคังอยู่ตามพื้นผิวขรุขระของพื้นถนน รองเท้าคู่สวยที่เพิ่งถอยมาเปรอะคราบน้ำคลำอย่างไม่ต้องสงสัย …และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลว่าทำไมผมถึงได้เกลียดฤดูฝนนัก!
ผมแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจคราบสกปรกที่เปื้อนรองเท้าคู่ใหม่ …ไม่งั้นจะพาลให้เสียกำลังใจ ไม่อยากจะออกไปทำอะไรช่วงฝนตก เดินต่อไปอีกสักพัก จู่ๆ ฟ้าฝนที่หยุดตกไปเมื่อครู่ก็เริ่มลงเม็ดเปาะแปะ ในใจก็คิดว่า…
“เพิ่งจะตกไปเอง …คงจะแค่ลงเม็ดสินะ”
ซ่า!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ฝนอีกห่าใหญ่กลับเทลงมาราวกับฟ้ารั่วทันทีที่ผมพูดประโยคนั้นจบ! ผมสบถในใจอย่างสุดทน …หน้าฝนอย่างนี้ นอกจากจะทำอากาศชื้น รู้สึกเหนอะหนะและชื้นแฉะ เหนียวตัว หนำซ้ำยังตกลงมาไม่ดูเวล่ำเวลา ไม่ได้นัดกันไว้ก่อนหรือไร ว่าคุณฝนเพิ่งจะหยุดตกไปยังไม่ถึงสิบนาทีดีเสียด้วยซ้ำ!
ตอนนี้สภาพของผมก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากลูกหมาตกน้ำตัวน้อยที่เปียกมะล่อกมะแล่ก เปียกเสียจนชื้นไปถึงกางเกงใน!
จางฮยอนซึง! ฉันจะไม่ทำอะไรให้นายในหน้าฝนอีกแล้ว!
…สาดดดดดดดด!
รถยนต์คันนหนึ่งวิ่งมาด้วยความเร็วสูงกวาดเอาน้ำที่เจิ่งนองอยู่ริมฟุตบาทแสนสกปรกพวกนั้นกระเซ็นใส่เขาทั้งตัว เรียกได้ว่าเลอะเทอะจนแทบดูไม่ได้ …ตอนนี้โยซอบไม่ได้แค่กางเกงในเปียก! แต่กางเกงในของเขาตอนนี้ ยังเปื้อนสิ่งสงปรกตามพื้นถนนอีกด้วย!
“เฮ็งซวย! ไอ้บ้าเอ๊ย ขับรถภาษาอะไรวะ ไม่เห็นใจคนเดินข้างถนนบ้างหรือไง! แม่มึงจ่ายเงินค่าสร้างถนนเหรอ ไอ้เวรนี่!” ผมตะโกนไล่หลังตามด่ามันเน้นความสะใจตัวเองเป็นหลัก
เพราะรู้ดีแก่ใจว่า ถึงแม้จะตะโกนเสียจนคอแหก หลอดลมตีบ เส้นเสียงพัง …มันก็ไม่มีทางได้ยิน
“ยังโยซอบ……………..”
ใครเรียกว่ะ! ด้วยความที่อารมณ์เสียอยู่ก่อนหน้าทำให้โยซอบไม่ได้สนใจว่าใครจะเป็นคนร้องเรียกเขา
“เรียกหาพระแสงอะไร ไม่ขับรถสาดน้ำใส่กูอีกคนเลยล… อ้าว!” ผมถึงยังต้องร้อง ‘อ้าว’ ออกมาด้วยความประหลาดใจ
เพราะว่าไอ้คนที่ขับรถมาจอดเลียบเทียบข้างกันแถมยังรู้สึกชื่อผม เขาก็คือ… ยุนดูจุน เพื่อนร่วมรุ่นที่มีเรียนด้วยกันเพียงสองคลาส และไม่เคยคุยกันเลยอีกด้วย ซึ่งรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้กับฮยอนซึงเพื่อนของผมเป็นการส่วนตัว
“ขึ้นรถสิ… เปียกอย่างกับลูกหมาเลย”
“เมื่อกี้ไม่ได้จะหลอกด่ากันใช่ไหม...” โยซอบว่าก่อนจะปฏิเสธคำชวน “อย่าให้ฉันต้องขึ้นรถไปด้วยเลย ตัวฉันทั้งเปียกทั้งเหม็น… กลัวแต่จะทำให้รถนายเปื้อน” โยซอบถามออกไปตามที่เจ้าตัวคิด
…ยิ่งพูดก็ยิ่งเซ็ง พวกคนรวยแต่แล้งน้ำใจ ไม่รู้จักเห็นในคนตามถนนตาดำๆ อย่างเราบ้าง!
“ขึ้นมาเถอะ เดี๋ยวนายจะไม่สบายเอา” ดูจุนว่า …เอาเถอะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วจะมายืนตามฝนให้ไม่สบายเปล่าก็ใช่เรื่อง เดี๋ยวค่อยหาโอกาสตอบแทนก็แล้วกัน
“รถเปื้อนอย่ามาบ่นก็แล้วกัน… ไว้จะเลี้ยงข้าวตอบแทนสักมื้อ” ผมตอบตามที่คิด… แอบเห็นรอยยิ้มจางปรากฎบนใบหน้าเขาของ
…ยิ้มทำไมวะ!
“…แล้วนี่กำลังจะไปไหนละ” เขาถาม
“กำลังจะไปซื้อของทำโครงงานให้ฮยอนซึง… ว่าแต่นายทำรึยัง”
“อืม ยังไม่ได้ทำเหมือนกัน งั้นก็ไปพร้อมกันเลยก็ได้” เขาพูดเองเออเองคนเดียว ไม่เปิดโอกาสให้ผมได้แม้แต่เสนอความคิด
…ยังไงเขาก็เป็นเจ้าของรถ เพราะงั้นก็ตามใจเขาละครับ
“เอ่อ… คือนายคิดจะให้ฉันนั้นเปียกๆ เหนอะๆ เป็นตุ๊กตาหน้ารถตัวเลอะอย่างนี้น่ะเหรอ!” ผมร้องท้วง เมื่อรู้สึกเริ่มหนาวเพราะเครื่องปรับอากาศบนรถที่เป่ารดเนื้อตัวที่เปียกปอน
“อ้อ ลืมไปซะสนิท… มีเสื้อซ้อมบอลอยู่ด้านหลังน่ะ ปีนไปหยิบถึงไหมเดี๋ยวนายจะไม่สบายเอา” ดูจุนว่าอย่างนั้น
“ขอบใจ…” แอร์บนรถนี่เย็นเกินไปจริงๆ "ฮัดชิ้ว!"
“ว๊า… แย่จริง สงสัยนายจะเป็นหวัดซะแล้ว โยซอบ” เขาพูดน้ำเสียงล้อๆ ใบหน้าหล่อเหลามีรอยยิ้มจางประดับอยู่ …น่าแปลกที่ผมไม่รู้สึกอึดอัด ทั้งที่นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้คุยกันจริงจังแท้ๆ
“หน้าฝนสุดซวย…” ผมบ่นอุบอิบอย่างไม่จริงจังนัก รถยนต์คันสวย มุ่งหน้าต่อไปโดยมีจุดหมายใหม่คือร้านวัสดุอุปกรณ์ทำโครงงาน
ตี๊ด ตี๊ด
ผมยืนอยู่ที่เค้าท์เตอร์จ่ายเงิน ไม่คิดว่าเอาเข้าจริงของจะเยอะแบบนี้ ...ลางสังหรณ์ว่ากระเป๋าตังฉีกลอยมาแว่วๆ
"ทั้งหมดห้าหมื่นวอนค่ะ" ห๊าาาาา! ผมเบิกตากว้าง ชิบหาย! ไม่คิดมาก่อนว่าจะแพงขนาดนี้ ก้มลงมองเงินในกระเป๋าตังตัวเองก่อนจะกลืนน้ำลาย...
"จ่ายรวมกันกับอันนี้แล้วกันครับ" ดูจุนพูด เขายืนตระกร้าของตัวเองให้แคชเชียร์สาว หล่อนยิ้มพยักหน้าอย่างเหนียมอาย
...ผิดกับผม ที่หันไปพูดขอบคุณกับเขาแล้วยิ้มแหยๆ
"ขอบคุณนะ... ไว้พรุ่งนี้จะเอาตังไปคืน" เขาไม่ได้พูดอะไรต่อพยักหน้าเข้าใจ ผมรู้สึกประหม่าเล็กน้อยที่วันนี้เขาช่วยผมมาทั้งวันแล้ว แต่ผมกลับยังไม่ได้ทำอะไรเป็นการตอบแทนเขาเลยสักนิด...
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
“จางซึง แกมีเบอร์ดูจุนป่ะวะ” ผมหันไปถามเพื่อนหน้าสวย ที่นั่งหน้านิ่งเข้ามิติอยู่ …ตั้งแต่วันนั้นก็เกือบจะอาทิตย์หนึ่งแล้ว ที่ผมไม่ได้เจอกับเขา ทั้งเงิน ทั้งเสื้อ… และอีกสารพัดอย่างที่ผมติดค้างผู้ชายคนนั้น
“ดูจุนไหนวะ” ฮยอนซึงถามกลับ
“อ้าว ก็ดูจุนน่ะ ดูจุน… ชื่ออะไรวะ …ยุนดูจุนอะไรนั้นน่ะ” ผมว่า พยายามเรียกเพื่อนสนิทให้กลับจากยานแม่
“อ้อ ไอ้ดูจุน… อ้าว! แล้วไปรู้จักกันตอนไหน” ฮยอนซึงท้วงขึ้นอย่างแปลกใจ ปกติไม่เห็นโยซอบสนใจใคร จู่ๆ มาขอเบอร์คนแปลกหน้าจากเขาได้ยังไง…
“เรื่องมันยาว เอาเป็นว่าขอเบอร์ก่อนได้ไหม”
“อ่าแหน่ะ… อ่าแหน่ะ…” ไอ้เพื่อนหน้าสวยสงสัยอยากมีแผล จางฮยอนซึงทำหน้าล้อเลียนผมไม่หยุด!
“จางฮยอนซึง!” ผมต้องกดเสียงให้ต่ำและเรียกชื่อเขา หมอนี่ถึงได้หยุดเล่นเสียที ฮยอนซึงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างพอใจ ก่อนจะยอมให้เบอร์โทรศัพท์ของดูจุนกับผม
“ขอบใจ…”
ผมตัดสินใจโทรฯ หาดูจุนตามเบอร์โทรศัพท์ที่ฮยอนซึงให้มา …หวังว่าเขาจะว่างนะ…
( สวัสดีครับ ) …เขารับโทรศัพท์ซะทางการเลยแฮะ
“เอ่อ… นี่ โยซอบ นะ ยังโยซอบเพื่อนของฮยอนซึง” ผมบอก
( อ้อ… ฉันเรียนอยู่ ไว้หกโมงจะโทรหาอีกทีนะ ) ปลายสายตอบผมกลับมาอย่างนั้น
“โอเคๆ ยังไงก็ได้” ผมได้แต่รับคำเก้อๆ …แย่จริง หมอนี่ดันเลิกค่ำเสียได้
...ทว่าทั้งที่ยังไม่ห้าโมงเย็นเลยแท้ๆ เขาก็โทรกลับมา...
“...ฮัลโหล"
( ว่าไง ) เขาว่า
“เออ พอดีฉันว่าจะเอาเงินกับเสื้อไปคืนนาย นี่เลิกเรียนแล้วเหรอ” ผมถามออกไปอีกครั้ง …ก็ไหนว่าเลิกหกโมงไง!
( พอดีอาจารย์ปล่อยเร็วน่ะ ตอนนี้นายอยู่ที่ไหน เดี๋ยวฉันไปหา ) ดูจุนพูด …ถึงแม้จะรู้สึกทะแม่งๆ ว่าทำไมอาจารย์ถึงได้ใจดียอมปล่อยนักศึกษาตาดำๆ เร็วกว่าเวลาเลิกถึงหนึ่งชั่วโมงเต็ม แต่นั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าสนใจอะไร …ได้แต่บอกสถานที่ ตำแหน่งที่ตัวเองอยู่ให้อีกฝ่ายรู้
ผมยืนรอยุนดูจุนอยู่ที่หน้าตึกคณะ จุดนัดพบที่ผมเป็นคนกำกับ ยี่สิบนาทีผ่านไปก็ยังไม่เจอแม้แต่เงา ผมยืนเตะฝุ่นไปพลางระหว่างรอ …จู่ๆ หยดน้ำเม็ดใหญ่ก็ตกกระทบใกล้กับรองเท้าหนังสีดำของผม
เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า หยดน้ำเม็ดเล็กใหญ่เริ่มแข่งกันตกลงมาไม่ยอมหยุด… หมอนี่ มากับฝนเสมอเลยแฮะ
“โยซอบ ขึ้นรถเถอะ” ผมอมยิ้มน้อยๆ ให้การคาดการณ์ที่แสนจะแม่นยำของตัวเอง
“ฉันแค่จะเอาของมาคืน” ผมตอบกลับ
“อย่าพูดอย่างนั้นเลย ดูสิ ฟ้าเริ่มครึ้มอีกแล้ว เดี๋ยวก็ได้เปียกมะล่อกมะแล่กอย่างคราวก่อนหรอก” ดูจุนพูดพร้อมยกตัวอย่างประกอบให้คล้อยตามได้ง่าย(?)
…ผมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า มันก็จริงอย่างที่เขาว่า…
“เฮ้อ ฉันละเกลียดสายฝนจริงๆ” ผมบ่นอย่างไม่จริงจังอีกครั้งแล้วตัดสินใจขึ้นรถของเขา
“กลายเป็นว่าฉันเลยต้องขึ้นรถนายอีกจนได้”
“แล้วขึ้นรถฉันมันไม่ดีตรงไหน” ดูจุนถามผมกลับอย่างไม่ค่อยเข้าใจ
“เปล่าหรอก ฉันแค่ไม่ชอบติดค้างอะไรใคร...” ผมตอบตามความจริง เพราะว่าถูกสอนมาแต่เล็กว่าบุญคุณต้องทดแทน ฉะนั้นเขาจึงไม่ชอบที่จะติดค้างอะไรใครนาน
“อย่าคิดอย่างนั้นเลย ฉันอยากทำให้… คิดอย่างนี้ซะสิ” ดูจุนว่า ผมปรายตามองคนพูดนิดนึง …หมอนี่เป็นใครมาพูดอย่างนี้ได้ น่าขำ…
“แล้วเรียกฉันขึ้นรถจะไปไหนละ” ผมถาม
“อ้อ… นั่นสินะ นายอยากไปไหนละ” เขาถามผมกลับ
“นี่! นายให้ฉันขึ้นมา นายก็ต้องคิดสิ” ผมว่า …อะไรกัน บอกให้ผมขึ้นรถแล้วกลับไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน
“อยากทานข้าวก่อนไหม หรือจะให้ไปส่งบ้าน ฝนท่าจะตกอีกนาน” ดูจุนพูด ผมหันมองท้องฟ้า… ฤดูฝนนี่น่ารำคาญจริงเชียว
“หาอะไรกินก่อนก็ได้ ฉันจะได้เลี้ยงข้าวนาย ถือว่าขอบคุณที่เคยช่วยไว้วันก่อน” ดูจุนพยักหน้ารับรู้ ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
ผมเลยถือโอกาสช่วงที่ว่างนั่งมองเหม่อออกไปนอกกระจกใส …หยดน้ำที่เกาะพราว ไหลลู่ไปตามลม หยดแล้วหยดเล่า…
แอบนึกถึงตัวเองตอนเป็นเด็กที่มองเจ้าหยดน้ำเล่านี้ ผ่านกระจกรถอย่างนี้ แล้วทำเหมือนกับว่าพวกมันกำลังวิ่งแข่งกัน… โดยมีเส้นชัยเป็นปลายกระจกอีกด้านหนึ่ง …คิดแล้วยังตลกไม่หาย
“ถึงแล้ว…” ผมหันไปมองทางข้างๆ ตามเสียงเขาว่า… ร้านอาหารกึ่งกลางแจ้ง มีเพียงกันสาดฝนไม่เล็กไม่ใหญ่ตั้งกันเปียกให้เรา
“นี่นายล้อฉันเล่นเหรอ!” ผมหันไปถามเขาอย่างเอาเรื่อง กะจะให้นั่งกินเปียกๆ อย่างนี้รึไง
“พูดจริง ลงมาสิ… ร้านนี้อร่อยมาก แล้วฝนก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิดหรอกนะ” เขาพูดแล้วก็ยิ้ม …เปียกฝน เป็นหวัด เฉะๆ แหยะๆ …เขาคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาเหรอ!
ผมยอมเดินตามเขาเข้าไปในร้าน ตอนแรกดูจุนทำท่าจะนั่งติดริมกันสาด… แต่พอเขาเห็นหน้าผมจึงเปลี่ยนใจ ตอนนี้ฝนซาลงมากแล้ว มีเพียงเม็ดเล็กๆ นั้นเท่านั้นที่ยังตกลงมา
“อ้า… อากาศดีจริงๆ” ดูจุนพูดพลางทำท่าบิดขี้เกียจ
เมื่อฝนตกก็ทำให้อากาศร้อนเริ่มเย็นขึ้น ท้องฟ้าปลอดโปร่ง อากาศดีขึ้นอย่างน่าประหลาด… ทั้งที่ผมไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อนเลยสักครั้ง ผมมองเสี้ยวหน้าหล่อเหลาของดูจุนอีกครั้ง… ผู้ชายอะไร หน้าแมนเป็นบ้าเลย
ได้แต่แอบเก็บความคิดน้อยใจในชีวิต ค่อนขอดกับพระเจ้าว่าทำไมถึงได้สร้างให้เขาออกมามีหน้าตาน่ารักตัวเล็กไม่สมกับเป็นผู้ชายสักนิด!
“อยากทานอะไรเป็นพิเศษไหม”
“ไม่ละ นายสั่งเลย” ผมตอบแล้วมองออกไปนอกร้านอีกครั้งหยดน้ำค้างที่เกาะตามเสา …ต้นไม้ใบไม้ดูเขียวและสดขึ้น
“เหม่อเชียวนะ พอจะชอบหน้าฝนขึ้นบ้างหรือยัง” ดูจุนทัก
“นายชอบหน้าฝนเหรอ…” ผมไม่ได้ตอบคำถามเขา
“ก็ชอบนะ… เย็นดี ตอนที่เล่นน้ำฝนก็สนุกมากด้วย” เขาพูดพร้อมรอยยิ้มอีกครั้ง “หน้าฝนน่ะ เป็นจุดเริ่มต้นของหลายๆ อย่างนะ …หยดน้ำให้ชีวิต ให้ความชุ่มชื่นทั้งต้นไม้ ฝูงสัตว์ แม้กระทั่งกับคนก็ด้วย”
“แต่มันก็ทำให้เปียก เหนอะ เหนียว ไม่สบายตัว…” โยซอบแย้ง
“แต่ฉันว่าหน้าฝนปีนี้นำพาอย่างหนึ่ง…”
“อะไรเหรอ” ผมถามออกไปอย่างใคร่รู้เมื่อเห็นเขาเงียบไม่ยอมพูด
“ฤดูฝนปีนี้ นำพาความรักมาให้ฉัน” เขาตอบ รอยยิ้มเดิมที่ประดับบนในหน้าคมเข้ม ทว่าผมกลับรู้สึกแปลกๆ เพราะรอยยิ้มของเขา
“แหม ไปติดสาวแถวไหนละ” ถามเพราะไม่รู้จะพูดอะไรดี …ก็เราไม่ได้สนิทกับขนาดนั้นนี่น่า
“ไม่ใกล้ไม่ไกลหรอก…” เขาพูดทิ้งท้ายไว้อย่างเป็นปริศนา
หมอนี่กวนประสาทดีแฮะ มาพูดให้อยากรู้แล้วก็ทิ้งกันไปอย่างนี้!
ได้แต่บ่นอุบอิบในใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้… ตั้งหน้าตั้งตาทานข้าวที่ถูกยกมาเสิร์ฟ และมื้อนี้… โยซอบก็เป็นฝ่ายได้จ่ายเงินสมใจ
“กลับบ้านดีๆ ละ ถนนเปียกระวังลื่น” ผมบอกกับคนขับรถจำเป็น หลังจากที่เขามาส่งผมที่บ้าน… ก็ว่าจะชวนให้เข้ามาในบ้านด้วยอยู่หรอกแต่อายครับ… ห้องยังไม่ได้เก็บ
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ความสัมพันธ์ของผมและดูค่อยๆ ดำเนินไปช้าๆ ผมเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าพวกเรามาสนิทกันอย่างนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ จนใกล้จะหมดฤดูฝน
“งานกลุ่มนายส่งไปแล้วใช่ไหม” ดูจุนถามในขณะที่เรานั่งทานข้าวโพดปิ้งบริเวณม้าหินอ่อนว่างๆ ใกล้กับตึกเรียน
“อื้ม… อาจารย์บอกว่าไม่มีปัญหา ฮยอนซึงดีใจใหญ่เลย แล้วงานนายอะ” ผมถามเขากลับ
“ส่งไปเมื่อสองวันก่อนแล้ว…” เขาว่า ผมพยักหน้าไม่แปลกใจเพราะดูจุนเป็นคนฉลาด ถึงฉลาดมากๆ หมอนี่น่าจะไปเรียนแพทย์นะจริงๆ
“เยส! ในที่สุดก็จะหมดหน้าฝนแล้ว” ผมเปลี่ยนเรื่องบ้าง อากาศตอนช่วงปลายฝนต้นหนาวนี่มันดีจริงๆ ไม่ชื้นแฉะ แถมยังเริ่มเย็นอีกด้วย
“อะไรจะดีใจขนาดนั้น…” เขาว่า
“ก็ต้องดีใจดิวะ… อากาศจะเริ่มหนาวแล้ว” ผมตอบ เขาหันมามองหน้าผมยิ้มๆ แล้วจู่ๆ ก็คว้ามือผมไปจับไว้…
“เข้าหน้าหนาว ก็ต้องจับมือกันไว้แบบนี้ใช่ไหม จะได้อุ่น” เขาถาม รอยยิ้มแบบเดิมถูกแต่งแต้มบนใบหน้าหล่อเหลา ทว่าสิ่งที่ไม่เหมือนเดิม… คือหัวใจของผมที่กำลังเต้นโครมคราม
“เอ่อ…. คงงั้นมั้ง” ผมทำท่าจะชักมือกลับเพราะไม่ชอบใจเลยกับอาการใจเต้นให้เพื่อนสนิทหน้าหล่อที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานคนนี้ ทว่าเขากลับออกแรงกุมมือผมไว้ ทำให้ผมไม่สามารถชักมือกลับได้อย่างใจ
“จำได้ไหมที่ฉันเคยพูดว่าฤดูฝนปีนี้นำพาความรักมาให้ฉัน…” ผมนั่งฟังเขาพูดเงียบๆ ไม่ได้พยักหน้าหรือเออ’อออะไร
“และตอนนี้ก็ใกล้จะหมดหนาวฝนแล้ว” เขาเกริ่นต่อไปพร้อมกับเว้นจังหวะ …ชายเป็นคนช่างพูดที่ทำให้คนอื่นลุ้นอยากจะรู้ตามได้เก่งจริงๆ
“…เพราะงั้นเลยฉันอยากให้สายฝน นำพาความรักมาให้นายด้วย” เขาบอกกับผมแบบนั้น ก่อนจะสะกดร่างกายของผมไว้ ให้ขยับไปไหนไม่ได้
เพราะดวงตาคู่คมที่จับจ้องมา… ค่อยๆ เคลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น ลมหายใจอุ่นๆ ที่ปะทะใบหน้าของผม ราวกับสะกดหัวใจของผมให้หยุดเต้น
อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้นที่ริมฝีปากของเราจะสัมผัสกัน ทว่าจู่ๆ ก็มีหยดน้ำฝนหล่นลงเม็ด ตกลงมาตามเนื้อตัว…
แต่ว่าเขาไม่ได้สนใจ
ดูจุนชิงเอากลีบปากของผมไปอย่างถือวิสาสะ เขารุกล้ำเข้ามาในโพรงปากอย่างอ่อนหวาน… ผู้ชายคนนี้เอาแต่ใจกว่าที่คิด ฝ่ามือใหญ่ที่กุมมือของผมไว้ บีบแน่นขึ้น ราวกับว่ากำลังตอกย้ำความรู้สึกในใจที่ถ่ายทอดออกมาผ่านรสจูบหวาน…
การรุกล้ำแสนอ่อนโยนทำให้ผมโอนอ่อน ไม่ได้สนใจความเปียกชื้นที่เคยรู้สึกเกลียด ทว่ากลับรู้สึกเย็นสบายและชุ่มชื่น เหมือนกับเป็นต้นไม้แห้งที่ได้รับน้ำแรกในรอบหลายเดือนก็ไม่ปาน
ดูจุนถอนจูบออกไปอย่างเชื่องช้า อย่างนึกเสียดาย… แต่ผมนี่สิที่จะขาดอากาศหายใจตาย เพราะถูกจูบเป็นเวลานาน
“ฉันรักนายนะ โยซอบ” เขาพูดขณะที่จ้องมองมา แววตาของเขาไม่มีแววล้อเล่น …จริงจังในทุกคำพูด และความรู้สึกที่แสดงออก
“นายละ… รักฉันไหม…” บางทีก็อยากจะเอาเท้าถีบไอ้หน้าหล่อคนนี้สักที โทษฐานที่ถามอะไรไม่เข้าเรื่อง ถ้าไม่รัก แล้วจะยอมให้จูบเหรอฟร่ะ! …คิดว่ากูง่ายเหรออออออออออออออออออ!
“เออ… อืมๆ” ผมพยักหน้าไปมาแทนคำตอบ
…ทั้งที่ไม่เคยคิดกับเขาแบบนี้ แต่ครั้งแรกที่รู้สึกว่าใจเต้นแรง… ก็คงจะเป็นอย่างนั้น คงจะเป็นเพราะรักดูจุนเข้าให้แล้ว
“เออๆ อืมๆ อะไรน่ะ ไม่เห็นจะรู้เรื่อง” ดูจุนอมยิ้มแล้วทำหน้าเนียนราวกับว่าไม่รู้อะไรเลยจริงๆ
“ถ้าไม่รู้ก็ไม่ต้องรู้แล้ว!” ผมว่า มีอย่างที่ไหนมาล้อให้คนอื่นอายเล่น!
“อ้าว ก็ไม่รู้จริงๆ นี่น่า แล้วจะไม่บอกกันหน่อยเหรอ…” ดูจุนถามกลับตาแป๋ว ไอ้คนมารยา! …อยากจะด่าเขาออกไปอย่างนี้เสียจริง
“บอกหน่อยสิ นะ นะ นะ นะ” …ถึงแม้ว่าเขาจะหล่อขนาดไหนแต่เขาควรรู้ลิมิตสิ! จริงไหมครับ ยุนดูจุน นายนี่มัน… เกินไปนิดไหม
ท่าออดอ้อนนั้นไม่ได้ทำให้ผมอยากอ้วกหรอก… แต่มันน่ารักมากต่างหาก T^T น่ารักเสียจนผมอยากจะบอกว่ารักแล้วก็หอมแก้มเขาแรงๆ (เมะก็มีมุมน่ารักได้!)
“เออออออออออออออ รัก!” ผมว่าตามสไตล์คนปากแข็ง ทว่าจะให้ขวยเขิน บอกรักเบาราวกับกระซิบ คงไม่ใช่ยังโยซอบคนนี้
“ฮะ ฮะ ฮะ… แล้วตอนนี้พอจะชอบหน้าฝนขึ้นมาบ้างหรือยังละ” ดูจุนถาม…
ผมนั่งนึก… จะให้ชอบเจ้าหน้าฝนบ้าๆ นี่เพียงเพราะมีความรักกับหมอนี่ในหน้าฝนน่ะเหรอ… มันก็ดีอยู่หรอกแต่ว่า
“ถ้าถามว่าชอบนายไหมก็ชอบนะ แต่ถ้าให้ชอบเจ้าสายฝนนี่ละก็… ฮัดชิ่ว! ไม่เอาอ่ะ เพราะมันทำให้ฉันเป็นหวัดอีกแล้ว…”
โยซอบพูดด้วยอารมณ์สุดเซ็ง… เมื่อจู่ๆ ก็เผลอจามออกมาดูสิ เขาเป็นหวัดอีกแล้ว!
“นายน่ะ มากับฝนตลอดเลยรู้ตัวไหม เจอกันกี่ทีๆ ก็ฝนตกตลอด แฉะตลอด หยี๋ตลอด” คนตัวเล็กต่อว่า
“ก็บอกไปแล้วไงว่าสายฝนนำพาความรัก!” อีกฝ่ายแย้ง
“นำพาเชื้อหวัดมาด้วยสิไม่ว่า…” โยซอบยังเถียงอีก
“ป่วยแล้วจะดูแลเอง… ยากตรงไหนหื้ม กับอีแค่เป็นหวัด”
“ย๊า! เอามือออกไปจากเอวฉันเลยนะ!” โยซอบร้องโวยวาย
…RUNING IN THE RAIN…
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

19 ความคิดเห็น
-
#15 dwpt, (จากตอนที่ 8)วันที่ 5 เมษายน 2560 / 11:48ฟินดีจังง ชอบหน้าฝน555555#150