ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : สนธยาที่1-โชคชะตาที่ถูกถักทอ
ณ ดินแดนมิดการ์ด ดินแดนแห่งเหล่ามนุษย์
    “พ่อฮะ พ่อจะไปจริงๆหรือ”เด็กน้อยถามผู้เป็นบิดา ดวงตาสีทองของเด็กน้อยเหลือบลงต่ำ ทอประกายแห่งความเศร้าให้เห็นได้อย่างเด่นชัด
    บิดามิได้พูดอะไร แต่นั่งลงให้ความสูงอยู่ในระดับเดียวกันกับลูกชาย แล้วขยี้ผมสีทองของเด็กน้อย
    “อะไรกัน เศร้าแบบนี้ไม่สมกับเป็นลูกเลยนะ”
    เด็กชายมองหน้าบิดาตรงๆ ดวงตาสีทองทั้งสองคู่ประสานกัน
    “แต่ว่า ถ้าพ่อไป ผมคงไม่ได้เจอพ่ออีกแน่ๆ ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว....”น้ำตาเริ่มรื้นในดวงตาของเด็กน้อย
    “พ่อจะต้องกลับมา ถ้าลูกมีอันตราย พ่อจะกลับมา”
    “จริงนะฮะ สัญญานะ พ่อจะต้องกลับมานะ”
    บิดาพยักหน้าแล้วลุกขึ้นยืน
    “ดูแลแม่ด้วยนะ” ชายหนุ่มเดินออกไป พร้อมกล่าวคำสั่งเสีย
    “ฮะ”เด็กชายตะโกนตอบ แล้วยืนมองผู้เป็นบิดาเดินออกไปจนลับสายตา
**********
เสียงระเบิดดังกึกก้องกัมปนาท เปลวเพลิงแห่งสงครามเริ่มปะทุอีกครั้ง แปรเปลี่ยนความสงบสุขให้กลายเป็นความอลหม่าน เสียงหวีดร้องดังระงม ประกอบกับเสียงดาบกระทบกัน เป็นสัญญาณบอกว่าศึกครั้งใหญ่กำลังเริ่มแล้ว
    กองทัพทั้งสองเริ่มสู้กันอย่างดุเดือด บางส่วนกระจายกำลังไปทำลายแหล่งพักอาศัยของศัตรู
“ไปเร็วเจด หนีไป”มารดาร้องบอกลูกชายที่หลบอยู่หลังตน มีดทำครัวในมือยกขึ้นขู่พวกข้าศึกที่ย่างกรายเข้ามาในบ้าน โดยที่พวกมันไม่มีที่ท่าว่าจะกลัวมีดทำครัวในมือหล่อนแต่อย่างใด กลับย่างสามขุมเข้ามา ในขณะที่สองแม่ลูกถอยร่นลงมาเรื่อยๆ
“ไปสิ ตอนนี้แหละ รีบไป หนีไปเร็วเข้า!!” มารดาตะโกนอีกครั้งหนึ่ง อีกมือหนึ่งพยายามดันลูกชายให้ออกไปทางประตูหลังซึ่งกำลังเปิดอยู่
“ตะ แต่ว่า..แม่...”เด็กชายลังเล ดวงตาสีทองนั้นมองมารดาที มองประตูที
“ไม่มีแต่ รีบไปเร็วเข้า!!!” มารดากรีดร้อง หลบคมดาบที่ฟันลงมาได้อย่างฉิวเฉียด คมดาบกรีดแขนเป็นแผลใหญ่ เลือดสาดกระจาย
“แม่.......”เด็กชายร้อง แล้ววิ่งเข้ามาหมายจะต่อกรกับศัตรูที่บุกรุกเข้ามาในบ้าน ทว่ามารดาได้ยกมืออีข้างกันไว้
“ไปเร็ว ลูกต้องไป อยู่ต่อไปนะ อย่าได้สิ้นหวังเป็นอันขาด”มารดาสั่งเสียเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนสละชีพ พุ่งเข้าหาศัตรู ยกมีดทำครัวอันเล็กๆขึ้นสู้ คมดาบแห่งข้าศึกจ้วงแทงไปที่ท้อง ร่างบางๆของหล่อนทรุดฮวบ
เด็กชายวิ่งออกไปได้ไม่นานก็หันหลังกลับมามองมารดา
“แม่.....”เด็กชายร้องสุดเสียง ทำท่าจะวิ่งเข้ามาหาอีก
“ไป!!!!!!” มารดาออกคำสั่ง เด็กน้อยหยุดกึก แล้วหันกลับไป วิ่งออกไปสุดฝีเท้า
“ดีแล้ว อย่างนั้นแหละ เพื่อราชวงศ์แห่งคริโซเบเรีย เจ้าจะตายไม่ได้ เจ้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป” มารดาพูดพลางหายใจรวยริน มองเด็กน้อยวิ่งออกไปจนลับสายตา
**********
เด็กน้อยวิ่งไปอย่างไม่เหลียวหลังกลับ ฝ่าเพลิงแห่งสงครามมาอย่างยากลำบาก
วิ่งไปโดยไร้จุดหมาย
เด็กน้อยชะลอฝีเท้าเมื่อมาถึงป่าอันเงียบสงบ ไร้ซึ่งสงคราม สรรพสิ่งธรรมชาติช่างดูร่มเย็นเมื่อเปรียบเทียบดับสงครามอันน่ากลัว
เด็กชายหันหลังกลับไปมองสมรภูมิที่เพิ่งฝ่าออกมาเมื่อครู่ น้ำตาหยดลงจากดวงตาของเด็กน้อยแล้วร่วงหล่นสู่พื้นดิน
แม่ฮะ ผมขอโทษนะฮะ ผมปกป้องแม่ไม่ได้
พ่อฮะ ไหนว่าจะมาช่วยตอนผมต้องการความช่วยเหลือล่ะ
คนโกหก
เสียงพุ่มไม้สั่นไหวข้างหลังเด็กชาย เขาหันหลังกลับไปมองในทันที
“ใครน่ะ”เขาตะโกนถาม แต่เสียงที่ตอบกลับมานั้นมีใช่คำพูดของมนุษย์
คือเสียงคำรามของเสือ
สัตว์สี่เท้าย่างกรายออกมาจากพุ่มไม้อย่างสงบ ดวงตาของมันบ่งบอกถึงชัยชนะ ที่ได้พบเยื่อในเวลาเช่นนี้
เด็กชายถอบหลังกรูด ดวงตาเบิกโพลง มองไปที่เสืออย่างไม่วางตา
หากพลาดก็หมายถึงต้องตาย
ร่างใหญ่กระโจนออกมา มุ่งเป้ามาที่เด็กชาย เขาส่งเสียงร้องออกมาย่างบสุดเสียง ย่อตัวลงต่ำตามสัญชาติญาณ
ลูกธนูแหวกอากาศพุ่งตรงมาที่เสือตัวนั้นอย่างแม่นยำ มันหนีไปอย่างรวดเร็ว พร้อมทิ้งรอยเลือดไว้เป็นทางยาวเข้าไปในป่า
“เป็นอะไรหรือเปล่า เจ้าหนู”เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นมาพร้อมเสียงฝีเท้าที่มุ่งตรงเข้ามา
“มะ ไม่เป็นไรฮะ”เด็กชายร้องตอบ ใจเต้นระรัวกับเหตุการณ์เมื่อครู่
“ดีแล้ว”ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ พร้อมกับรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร
“มาเถอะ อยู่ที่นี่นานคงไม่ดีหรอก อันตราย”เขาอุ้มเด็กน้อยขึ้นขี่หลัง แล้วเดินออกไปจากป่า ห่างไกลจากสมรภูมิรบอันดุเดือด
**********
ลำแสง9สีพุ่งออกมาจาดินแดนสวรรค์ แล้วกระจายออกไปทั่วทิศทางรอบดินแดนแห่งมนุษย์
    นั่นคือศาสตราวุธ  รอยแผลทั้ง9 อาวุธแห่งตัวแทนทั้ง9เผ่าพันธุ์
**********
กาลเวลาผันแปรไป ฤดูกาลแปรเปลี่ยน พรากความหนุ่มสาวไปจากเหล่าผู้เฒ่า ทว่ามอบความหนุ่มสาวให้แก่เหล่าเด็กๆ จากเด็กน้อย เจริญวัยเป็นหนุ่มรูปงาม ทว่าดวงตาสีทองคู่นั้นช่างมองดูเศร้าเมื่อคิดถึงอดีต
อดีตอันเจ็บปวด
“เจด เจด”เสียงเรียกอันคุ้นหูดังขึ้นมา “ลงมากินข้าวได้แล้ว”
“ฮะ”ชายหนุ่มตอบกลับ ลุกจากเตียงเดินลงไปยังห้องครัว
“อรุณสวัสดิ์ฮะ อัล”เขาร้องทักชายวัยกลางคนที่กำลังง่วนอยู่กับการทำอาหารอยู่ ชายหนุ่มคนเดียวกันกับที่เขาพบในป่านั้น บัดนี้เปรียบเสมือนพ่อของเขา อัลฟอนโซ่ คือชื่อของเขา เขาเป็นคนโสด บอกว่าไม่ชอบมีครอบครัวให้ยุ่งยาก แต่เมื่อเจดได้เข้ามาในชีวิต ก็ได้แปรเปลี่ยนให้ชีวิตของเขาสดใสยิ่งขึ้น เขาชักรู้สึกชอบชีวิตแบบพ่อลูกขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกัน
“อรุณสวัสดิ์ เมื่อคืนหลับสบายดีไหม”อัลฟอนโซ่เดินมาที่โต๊ะอาหารพร้อมกับอาหารเช้าหอมกรุ่น
“ก็...เอ่อ...คือ...”เจดอำอึ้ง
“เอาเถอะ ไม่ต้องบอกก็ได้ ยังฝันถึงเรื่องเมื่อก่อนอยู่อีกรึ”อัลฟอนโซ่พูดอย่างรู้ทัน “จมปลักอยู่กับอดีตน่ะไม่ดีหรอกนะ นี่ก็ตั้งเกือบๆ10ปีแล้วนะ ลืมๆไปซะบ้างก็ดีน่า”
“ก็...มันลืมไม่ลงนี่ฮะ”
“นั่นสินะ สงครามครั้งนั้นน่ะ หลายคนน่ะสูญเสียอะไรไปนักต่อนักแล้วนี่นะ”อัลฟอนโซ่พูดเบาๆ หยุดการกินมือเช้าไปชั่วครู่
ความเงียบอันน่าอึดอัดใจแผ่ครอบคลุมบรรยากาศในมื้อเช้าที่แสนสดใส ไร้สิ่งใดเคลื่อนไหว แม้แต่ส้อมของเจดหรือช้อนของอัลฟอนโซ่ที่กำลังตักอาหารค้างอยู่ก็ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว
“ช่างเถอะ คุยเรื่องเครียดๆแบบนี้ตอนมื้อเช้าไม่ดีนักหรอก” อัลฟอนโซ่ตัดบทแล้วเอาอาหารมื้อเช้าเข้าปากไป
“ฮะ”เด็กหนุ่มยิ้ม
*********
เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มๆในห้องนอน ตาก็มองเพดานอย่างเหม่อลอย ในหัวก็คิดถึงเรื่องในอดีต
อะไรบางอย่างสีขาวสว่างทอแสงอยู่บนเพดานชั่วแวบ จากนั้นก็หายไป เด็กหนุ่มจ้องมองอย่างไม่วางตาอยู่ครู่หนึ่ง จึงตัดสินว่าคงเป็นแสงสะท้อน จากนั้นก็เอนตัวลงนอน ทว่า ถ้าสายตาของเขาไม่มีปัญหา เขาเห็นภูติสีขาวตนหนึ่งลอยละล่องอยู่ใกล้ๆ ตัวกลมป๊อกคล้ายๆนุ่นสีขาวกระจุกใหญ่ที่มีหูใหญ่เหมือนปีก หน้าตาดูน่ารัก บนหัวมีลูกแก้วสีแดงซึ่งมีอัก๘ระบางอย่างจารึกไว้เป็นภาษาที่เขาไม่เข้าใจ
“ยินดีที่ได้รู้จัก เจด ดีสวาล”ภูติสีขาวเอ่ย “ข้าคือแกลมดริง ภูติประจำรอยแผลแห่งสวรรค์”
“รอยแผล???  อะไรกัน”เด็กหนุ่มว่า หน้าตาบ่งบอกถึงความตกใจสุดขีด
ไอ้ตัวกลมป๊อกนี่มันอะไรกัน
“ไม่ ไม่ นี่ต้องเป็นความฝัน”เด็กหนุ่มพูดพลางกุมขมับ “สงสัยอาหารเช้าของอัลทำพิษซะแล้ว”
“โอ๊ย!!!” แกลมดริงชักทนไม่ไหว เลยใช้มือสีขาวหยิกเข้าให้ “เจ็บนะ”เจดว่า
เจ็บ
ไม่ใช่ความฝัน
“อ๊า~า”เด็กหนุ่มส่งเสียงร้อง
“ไอ้บ้าเอ๊ย จะแหกปากทำไม”
แกลมดริงชักปวดหัวกับเรื่องบ้าๆนี่
โธ่เอ๊ย ภารกิจใหญ่หลวงที่จะสั่นสะเทือนเก้าโลก จะไปรอดหรือเปล่าเนี่ย
    “พ่อฮะ พ่อจะไปจริงๆหรือ”เด็กน้อยถามผู้เป็นบิดา ดวงตาสีทองของเด็กน้อยเหลือบลงต่ำ ทอประกายแห่งความเศร้าให้เห็นได้อย่างเด่นชัด
    บิดามิได้พูดอะไร แต่นั่งลงให้ความสูงอยู่ในระดับเดียวกันกับลูกชาย แล้วขยี้ผมสีทองของเด็กน้อย
    “อะไรกัน เศร้าแบบนี้ไม่สมกับเป็นลูกเลยนะ”
    เด็กชายมองหน้าบิดาตรงๆ ดวงตาสีทองทั้งสองคู่ประสานกัน
    “แต่ว่า ถ้าพ่อไป ผมคงไม่ได้เจอพ่ออีกแน่ๆ ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว....”น้ำตาเริ่มรื้นในดวงตาของเด็กน้อย
    “พ่อจะต้องกลับมา ถ้าลูกมีอันตราย พ่อจะกลับมา”
    “จริงนะฮะ สัญญานะ พ่อจะต้องกลับมานะ”
    บิดาพยักหน้าแล้วลุกขึ้นยืน
    “ดูแลแม่ด้วยนะ” ชายหนุ่มเดินออกไป พร้อมกล่าวคำสั่งเสีย
    “ฮะ”เด็กชายตะโกนตอบ แล้วยืนมองผู้เป็นบิดาเดินออกไปจนลับสายตา
**********
เสียงระเบิดดังกึกก้องกัมปนาท เปลวเพลิงแห่งสงครามเริ่มปะทุอีกครั้ง แปรเปลี่ยนความสงบสุขให้กลายเป็นความอลหม่าน เสียงหวีดร้องดังระงม ประกอบกับเสียงดาบกระทบกัน เป็นสัญญาณบอกว่าศึกครั้งใหญ่กำลังเริ่มแล้ว
    กองทัพทั้งสองเริ่มสู้กันอย่างดุเดือด บางส่วนกระจายกำลังไปทำลายแหล่งพักอาศัยของศัตรู
“ไปเร็วเจด หนีไป”มารดาร้องบอกลูกชายที่หลบอยู่หลังตน มีดทำครัวในมือยกขึ้นขู่พวกข้าศึกที่ย่างกรายเข้ามาในบ้าน โดยที่พวกมันไม่มีที่ท่าว่าจะกลัวมีดทำครัวในมือหล่อนแต่อย่างใด กลับย่างสามขุมเข้ามา ในขณะที่สองแม่ลูกถอยร่นลงมาเรื่อยๆ
“ไปสิ ตอนนี้แหละ รีบไป หนีไปเร็วเข้า!!” มารดาตะโกนอีกครั้งหนึ่ง อีกมือหนึ่งพยายามดันลูกชายให้ออกไปทางประตูหลังซึ่งกำลังเปิดอยู่
“ตะ แต่ว่า..แม่...”เด็กชายลังเล ดวงตาสีทองนั้นมองมารดาที มองประตูที
“ไม่มีแต่ รีบไปเร็วเข้า!!!” มารดากรีดร้อง หลบคมดาบที่ฟันลงมาได้อย่างฉิวเฉียด คมดาบกรีดแขนเป็นแผลใหญ่ เลือดสาดกระจาย
“แม่.......”เด็กชายร้อง แล้ววิ่งเข้ามาหมายจะต่อกรกับศัตรูที่บุกรุกเข้ามาในบ้าน ทว่ามารดาได้ยกมืออีข้างกันไว้
“ไปเร็ว ลูกต้องไป อยู่ต่อไปนะ อย่าได้สิ้นหวังเป็นอันขาด”มารดาสั่งเสียเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนสละชีพ พุ่งเข้าหาศัตรู ยกมีดทำครัวอันเล็กๆขึ้นสู้ คมดาบแห่งข้าศึกจ้วงแทงไปที่ท้อง ร่างบางๆของหล่อนทรุดฮวบ
เด็กชายวิ่งออกไปได้ไม่นานก็หันหลังกลับมามองมารดา
“แม่.....”เด็กชายร้องสุดเสียง ทำท่าจะวิ่งเข้ามาหาอีก
“ไป!!!!!!” มารดาออกคำสั่ง เด็กน้อยหยุดกึก แล้วหันกลับไป วิ่งออกไปสุดฝีเท้า
“ดีแล้ว อย่างนั้นแหละ เพื่อราชวงศ์แห่งคริโซเบเรีย เจ้าจะตายไม่ได้ เจ้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป” มารดาพูดพลางหายใจรวยริน มองเด็กน้อยวิ่งออกไปจนลับสายตา
**********
เด็กน้อยวิ่งไปอย่างไม่เหลียวหลังกลับ ฝ่าเพลิงแห่งสงครามมาอย่างยากลำบาก
วิ่งไปโดยไร้จุดหมาย
เด็กน้อยชะลอฝีเท้าเมื่อมาถึงป่าอันเงียบสงบ ไร้ซึ่งสงคราม สรรพสิ่งธรรมชาติช่างดูร่มเย็นเมื่อเปรียบเทียบดับสงครามอันน่ากลัว
เด็กชายหันหลังกลับไปมองสมรภูมิที่เพิ่งฝ่าออกมาเมื่อครู่ น้ำตาหยดลงจากดวงตาของเด็กน้อยแล้วร่วงหล่นสู่พื้นดิน
แม่ฮะ ผมขอโทษนะฮะ ผมปกป้องแม่ไม่ได้
พ่อฮะ ไหนว่าจะมาช่วยตอนผมต้องการความช่วยเหลือล่ะ
คนโกหก
เสียงพุ่มไม้สั่นไหวข้างหลังเด็กชาย เขาหันหลังกลับไปมองในทันที
“ใครน่ะ”เขาตะโกนถาม แต่เสียงที่ตอบกลับมานั้นมีใช่คำพูดของมนุษย์
คือเสียงคำรามของเสือ
สัตว์สี่เท้าย่างกรายออกมาจากพุ่มไม้อย่างสงบ ดวงตาของมันบ่งบอกถึงชัยชนะ ที่ได้พบเยื่อในเวลาเช่นนี้
เด็กชายถอบหลังกรูด ดวงตาเบิกโพลง มองไปที่เสืออย่างไม่วางตา
หากพลาดก็หมายถึงต้องตาย
ร่างใหญ่กระโจนออกมา มุ่งเป้ามาที่เด็กชาย เขาส่งเสียงร้องออกมาย่างบสุดเสียง ย่อตัวลงต่ำตามสัญชาติญาณ
ลูกธนูแหวกอากาศพุ่งตรงมาที่เสือตัวนั้นอย่างแม่นยำ มันหนีไปอย่างรวดเร็ว พร้อมทิ้งรอยเลือดไว้เป็นทางยาวเข้าไปในป่า
“เป็นอะไรหรือเปล่า เจ้าหนู”เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นมาพร้อมเสียงฝีเท้าที่มุ่งตรงเข้ามา
“มะ ไม่เป็นไรฮะ”เด็กชายร้องตอบ ใจเต้นระรัวกับเหตุการณ์เมื่อครู่
“ดีแล้ว”ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ พร้อมกับรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร
“มาเถอะ อยู่ที่นี่นานคงไม่ดีหรอก อันตราย”เขาอุ้มเด็กน้อยขึ้นขี่หลัง แล้วเดินออกไปจากป่า ห่างไกลจากสมรภูมิรบอันดุเดือด
**********
ลำแสง9สีพุ่งออกมาจาดินแดนสวรรค์ แล้วกระจายออกไปทั่วทิศทางรอบดินแดนแห่งมนุษย์
    นั่นคือศาสตราวุธ  รอยแผลทั้ง9 อาวุธแห่งตัวแทนทั้ง9เผ่าพันธุ์
**********
กาลเวลาผันแปรไป ฤดูกาลแปรเปลี่ยน พรากความหนุ่มสาวไปจากเหล่าผู้เฒ่า ทว่ามอบความหนุ่มสาวให้แก่เหล่าเด็กๆ จากเด็กน้อย เจริญวัยเป็นหนุ่มรูปงาม ทว่าดวงตาสีทองคู่นั้นช่างมองดูเศร้าเมื่อคิดถึงอดีต
อดีตอันเจ็บปวด
“เจด เจด”เสียงเรียกอันคุ้นหูดังขึ้นมา “ลงมากินข้าวได้แล้ว”
“ฮะ”ชายหนุ่มตอบกลับ ลุกจากเตียงเดินลงไปยังห้องครัว
“อรุณสวัสดิ์ฮะ อัล”เขาร้องทักชายวัยกลางคนที่กำลังง่วนอยู่กับการทำอาหารอยู่ ชายหนุ่มคนเดียวกันกับที่เขาพบในป่านั้น บัดนี้เปรียบเสมือนพ่อของเขา อัลฟอนโซ่ คือชื่อของเขา เขาเป็นคนโสด บอกว่าไม่ชอบมีครอบครัวให้ยุ่งยาก แต่เมื่อเจดได้เข้ามาในชีวิต ก็ได้แปรเปลี่ยนให้ชีวิตของเขาสดใสยิ่งขึ้น เขาชักรู้สึกชอบชีวิตแบบพ่อลูกขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกัน
“อรุณสวัสดิ์ เมื่อคืนหลับสบายดีไหม”อัลฟอนโซ่เดินมาที่โต๊ะอาหารพร้อมกับอาหารเช้าหอมกรุ่น
“ก็...เอ่อ...คือ...”เจดอำอึ้ง
“เอาเถอะ ไม่ต้องบอกก็ได้ ยังฝันถึงเรื่องเมื่อก่อนอยู่อีกรึ”อัลฟอนโซ่พูดอย่างรู้ทัน “จมปลักอยู่กับอดีตน่ะไม่ดีหรอกนะ นี่ก็ตั้งเกือบๆ10ปีแล้วนะ ลืมๆไปซะบ้างก็ดีน่า”
“ก็...มันลืมไม่ลงนี่ฮะ”
“นั่นสินะ สงครามครั้งนั้นน่ะ หลายคนน่ะสูญเสียอะไรไปนักต่อนักแล้วนี่นะ”อัลฟอนโซ่พูดเบาๆ หยุดการกินมือเช้าไปชั่วครู่
ความเงียบอันน่าอึดอัดใจแผ่ครอบคลุมบรรยากาศในมื้อเช้าที่แสนสดใส ไร้สิ่งใดเคลื่อนไหว แม้แต่ส้อมของเจดหรือช้อนของอัลฟอนโซ่ที่กำลังตักอาหารค้างอยู่ก็ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว
“ช่างเถอะ คุยเรื่องเครียดๆแบบนี้ตอนมื้อเช้าไม่ดีนักหรอก” อัลฟอนโซ่ตัดบทแล้วเอาอาหารมื้อเช้าเข้าปากไป
“ฮะ”เด็กหนุ่มยิ้ม
*********
เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มๆในห้องนอน ตาก็มองเพดานอย่างเหม่อลอย ในหัวก็คิดถึงเรื่องในอดีต
อะไรบางอย่างสีขาวสว่างทอแสงอยู่บนเพดานชั่วแวบ จากนั้นก็หายไป เด็กหนุ่มจ้องมองอย่างไม่วางตาอยู่ครู่หนึ่ง จึงตัดสินว่าคงเป็นแสงสะท้อน จากนั้นก็เอนตัวลงนอน ทว่า ถ้าสายตาของเขาไม่มีปัญหา เขาเห็นภูติสีขาวตนหนึ่งลอยละล่องอยู่ใกล้ๆ ตัวกลมป๊อกคล้ายๆนุ่นสีขาวกระจุกใหญ่ที่มีหูใหญ่เหมือนปีก หน้าตาดูน่ารัก บนหัวมีลูกแก้วสีแดงซึ่งมีอัก๘ระบางอย่างจารึกไว้เป็นภาษาที่เขาไม่เข้าใจ
“ยินดีที่ได้รู้จัก เจด ดีสวาล”ภูติสีขาวเอ่ย “ข้าคือแกลมดริง ภูติประจำรอยแผลแห่งสวรรค์”
“รอยแผล???  อะไรกัน”เด็กหนุ่มว่า หน้าตาบ่งบอกถึงความตกใจสุดขีด
ไอ้ตัวกลมป๊อกนี่มันอะไรกัน
“ไม่ ไม่ นี่ต้องเป็นความฝัน”เด็กหนุ่มพูดพลางกุมขมับ “สงสัยอาหารเช้าของอัลทำพิษซะแล้ว”
“โอ๊ย!!!” แกลมดริงชักทนไม่ไหว เลยใช้มือสีขาวหยิกเข้าให้ “เจ็บนะ”เจดว่า
เจ็บ
ไม่ใช่ความฝัน
“อ๊า~า”เด็กหนุ่มส่งเสียงร้อง
“ไอ้บ้าเอ๊ย จะแหกปากทำไม”
แกลมดริงชักปวดหัวกับเรื่องบ้าๆนี่
โธ่เอ๊ย ภารกิจใหญ่หลวงที่จะสั่นสะเทือนเก้าโลก จะไปรอดหรือเปล่าเนี่ย
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น