คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Welcome Thailand...
ณ ประเทศนาร์เซีย
ประเทศนาร์เซียเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ใกล้ๆบริเวณขั้วโลกใต้ เป็นประเทศที่มีความสวยงามที่ไม่เหมือนใคร แต่ประเทศนาร์เซียมีความพิเศษเนื่องจากเป็นประเทศที่เกิดขึ้นบนทุ่งหญ้าสีเขียวอันกว้างขวางบนแผ่นดินทำให้เป็นประเทศที่จัดว่าเป็นประเทศที่มีอากาศบริสุทธิและอบอุ่น ฤดูหนาวก็ไม่ทำให้หนาวมาก ฤดูร้อนก็ไม่ทำให้ร้อนมาก ซึ่งถือว่าเป็นประเทศที่มีความพิเศษไม่เหมือนใคร เนื่องจากใครๆต่างคิดว่าประเทศนาร์เซียจะต้องหนาวจัดเพราะอยู่ใกล้กับขั้วโลกใต้ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง แต่ถ้าใครได้มาสัมผัสจะรับรู้ได้ว่าเป็นประเทศที่สวยงามและน่าอยู่มากที่สุดในโลกจัดว่าเป็นประเทศที่สวยที่สุดในอันดับต้นๆเลยก็ว่าได้ ประเทศนาร์เซียร์เชื่อมโยงความสัมพันธ์กับประเทศเดนมาร์กก่อนที่หลากหลายต่างประเทศจะเข้ามาทำการรู้จักและเชื่อมโยงความสัมพันธ์ทั้งในเรื่องมิตรภาพและเรื่องธุรกิจทำให้ตอนนี้ประเทศนาร์เซียร์เริ่มกลายเป็นที่รู้จักและเรียกความสนใจให้ชาวต่างชาติหลากหลายประเทศต่างอยากเข้ามาเที่ยวกันมากขึ้น ประเทศนาร์เซียร์ปกครองด้วยจ้าว ฟาคานโตรี กษัตริย์รุ่นที่ 99 ซึ่งพระองค์มีราชโอรถเพียงคนเดียว นั่นคือ เจ้าชาย ฟาคานซาโต้ แต่ประชาชนทั่วโลกจะไม่เคยเห็นหน้าของราชโอรถพระองค์นี้ เนื่องจากพระองค์ไม่เคยเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงให้ใครรู้ นอกจากคนที่สนิทเท่านั้น เพราะพระองค์ชื่นชอบในการท่องเที่ยวไปเที่ยวหลายๆประเทศ เพราะยังไม่คิดที่จะสืบทอดบรรลังค์จากคนเป็นพ่อ และจ้าวฟาคานโตรีก็ไม่เคยบังคับลูกชาย เพราะอยากให้ราชโอรถได้เรียนรู้ประสบการณ์ด้วยตัวของเขาเอง
“คราวนี้ลูกจะไปที่ไหนล่ะฮะ ซาโต้”
“ลูกคิดว่าลูกจะไปประเทศไทยฮะ”
สรรพนามที่เรียกใช้ของกษัตริย์แห่งประเทศฟาคานโตรีและเจ้าชายผู้หล่อเหลาแห่งซาร์เนียร์ เป็นคำเรียกที่ใช้เหมือนคนทั่วไปไม่เหมือนอย่างเช่นในหนังหรือในละครทีวี ที่ต้องใช้คำสรรพนามราชาศัพท์
“ประเทศไทยงั้นเหรอ” น้ำเสียงของกษัตริย์แห่งนาร์เซียร์ดูสนใจขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินประเทศที่ลูกชายของพระองค์จะไปเที่ยวในครั้งนี้
“ครับ..พ่อมีอะไรหรือเปล่า ดูสีหน้าของพ่อดูตกใจมากที่ลูกบอกว่าลูกจะไปประเทศไทย”
“ พ่อเคยมีเพื่อนเป็นคนไทย"
"จริงเหรอครับ พ่อไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ลูกรู้มาก่อนเลย"
"แต่เขาไม่เคยรู้ว่าพ่อเป็นใคร เขาเป็นทั้งเพื่อนและผู้มีพระคุณของพ่อเพราะเขาเคยช่วยชีวิตพ่อเอาไว้ ถ้าหากว่าไม่ได้เขาในวันนั้น วันนี้ก็คงไม่มี กษัตริย์รุ่นที่99 แต่เมื่อเกิดสงครามเมื่อยี่สิบปีก่อนทำให้พ่อต้องกลับประเทศด่วน พ่อเลยไม่ได้ล่ำลาเพื่อนของพ่อ นี่ก็ผ่านมาตั้งยี่สิบกว่าปีแล้วที่พ่อไม่ได้ไปที่นั่น แต่พ่อก็ไม่เคยลืมพวกเขาเลย ”
“ แล้วพ่อมีรูปเพื่อนของพ่อมั้ยฮะ เผื่อว่าบางทีลูกไปที่นั่นลูกจะได้ตามหาและพาเขามาหาพ่อ”
“มีสิ เป็นรูปที่พ่อเก็บเอาไว้อย่างดีทีเดียวและก็เป็นรูปแค่เพียงใบเดียวเท่านั้น” จ้าวฟาคานโตรีเดินเข้าไปด้านในห้องทำงานก่อนจะเดินออกมาพร้อมกับถือรูปใบหนึ่งออกมาด้วยก่อนจะยื่นให้เจ้าชายฟาคานซาโต้ดู
เจ้าชายซาโต้หยิบรูปมาจากผู้เป็นพ่อเพื่อจะดู เป็นรูปของผู้ชายวัยรุ่นที่มีหน้าตาหล่อเหลายืนกอดคอกับผู้ชายวัยรุ่นที่เค้าโครงหน้าเหมือนกับเขาในตอนนี้มากๆทำให้เขารู้ว่าชายหนุ่มวัยรุ่นในรูปนี้คือพ่อของเขากับเพื่อนของพ่อที่เป็นคนไทย
“เขาหล่อไม่แพ้พ่อเลยใช่มั้ย”
“ฮะ เขาหน้าตาดีมาก อีกอย่างผมรู้สึกเหมือนเห็นตัวเองเลย" เจ้าชายซาโต้มองผู้ชายที่อยู่ในรูปก่อนจะยิ้มออกมา
"ตอนที่พ่ออายุเท่าลูก พ่อก็หล่อเหมือนลูกนั้นแหละ ไม่สิ พ่อว่าพ่อหล่อกว่าลูกอีกนะซาโต้ ฮะ ฮะ"
"ก็ได้ๆ ลูกยอมแพ้พ่อก็ได้ ว่าแต่หลังจากนั้นพ่อไม่เคยรับรู้ข่าวคราวของเพื่อนพ่อเลยเหรอฮะ”
“.....................” จ้าวฟาคานโตรีหุบยิ้มลงก่อนส่ายหัวด้วยสีหน้าที่เศร้าๆ
“..........................”
“พ่ออยากจะเจอเขาอีกซักครั้ง อยากจะขอโทษในสิ่งที่พ่อเคยทำเอาไว้กับเขา”
“เรื่องอะไรที่พ่อต้องขอโทษเขา บอกผมได้มั้ยฮะ”
“เอาไว้เมื่อลูกตามหาเขาพบแล้วพาเขามาหาพ่อ ลูกก็จะรู้เอง”
“ ผมเข้าใจฮะ พ่อไม่ต้องห่วง ผมจะตามหาเพื่อนของพ่อให้เจอ”
“ขอบใจลูกมากซาโต้”ผู้เป็นพ่อแตะไหล่ลูกชายอย่างขอบใจที่เขาอาสาจะตามหาเพื่อนของเขาที่เป็นคนไทยให้ แต่หารู้ไม่ว่าจุดประสงค์ของเจ้าชายฟาคานซาโต้ในการมาประเทศไทยครั้งนี้ไม่ได้แค่มาเที่ยวหรือมาตามหาเพื่อนของพ่อเขาเลย เพราะเขาเองก็ต้องการมาเมืองไทยเพื่อจะมาตามหาใครคนนึงเช่นกัน เป็นคนที่เขาไม่เคยลืม แม้เวลาจะผ่านมานานกว่าสามเดือนก็ตาม เขารู้เพียงอย่างเดียวว่าเธอเป็นคนไทย ดังนั้นจุดประสงค์ที่แท้จริงของเจ้าชายรูปงามองค์นี้ก็คือ การมาตามหาหญิงสาวที่เขาเจอที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์นั่นเอง....
ณ ประเทศไทย....
“แม่จ๋า หนูกลับมาแล้วค่ะ..” หญิงสาววัยยี่สิบต้นๆเดินเข้ามาในบ้านหลังเก่าๆเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวอยู่ในสลัมที่แออัด สภาพแวดล้อมที่ดูน่าวุ่นวาย ส่งเสียงดังกันอย่างไม่มีความเกรงใจ บ้านนั้นก็ทะเลาะกัน บ้านนี้ก็กินเหล้าเมายาแล้วก็ตีกัน แต่น้ำค้างก็ชินแล้วเพราะว่าเธอใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มานานซึ่งมีเพียงแม่และเธออยู่เพียงสองคน
“กลับมาแล้วเหรอลูก เป็นยังไงบ้าง”ผู้เป็นแม่ค่อยๆเดินออกมาจากในครัวพร้อมกับถือแก้วน้ำที่มีน้ำเย็นเพื่อมาให้ลูกสาวที่เพิ่งกลับมาจากการทำงานในตอนเช้าด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยคล่องแคล่วนัก
“ดีค่ะแม่ เจ้านายของหนูใจดีกับหนูมาก แม่ไม่ต้องห่วงนะการทำงานวันแรกของหนูไม่มีปัญหาอะไรเลย”หญิงสาวเดินเข้าไปกอดแม่เหมือนทุกวันที่เธอทำหลังจากที่เธอกลับมาจากทำงาน
“เหนื่อยหรือเปล่าลูก การเป็นแม่บ้านทำความสะอาดมันไม่ใช่งานเล็กๆเลยนะ”ผู้เป็นแม่ลูบหัวลูกสาวด้วยความอ่อนโยนปนความสงสารที่เห็นลูกต้องทำงานหนักตั้งแต่อายุยังน้อย
“หนูไม่เหนื่อยเลยค่ะ การหาเงินเพื่อจะนำมารักษาตาของแม่มันไม่มีคำว่าเหนื่อยสำหรับหนูเลย แม่ไม่ต้องห่วง และไม่ต้องกังวลนะค่ะ ไม่ว่ายังไงหนูก็ไม่ยอมให้แม่มองหนูไม่เห็นแน่นอน” หญิงสาวกอดแม่อีกครั้งพร้อมกับให้สัญญา
“แม่ขอโทษที่ต้องให้ลูกลำบาก”
“แม่ห้ามขอโทษหนูแบบนี้อีก ถ้าหากว่าแม่มัวแต่ขอโทษหนูแบบนี้แล้วหนูจะมีแรงและกำลังใจทำงานต่อไปได้ยังไงล่ะค่ะ”
“................”ผู้เป็นแม่มองหน้าลูกสาวที่ตอนนี้เริ่มๆเลือนรางเหมือนจะเห็นไม่ค่อยชัดก่อนจะเห็นใบหน้าของลูกสาวชัดอีกครั้ง เธอยิ้มให้ลูกสาวด้วยใบหน้าที่เคร้าไปด้วยน้ำตา
“หนูไปทำงานก่อนค่ะแม่..”
ตกตอนเย็นน้ำค้างต้องไปทำงานเป็นพนักงานเสริฟต่อที่ร้านอาหารใกล้ๆบ้าน เนื่องจากเธอทำงานเป็นแม่บ้านทำความสะอาดในห้างสรรพสินค้าตอนเช้าถึงหกโมงเย็น ประมาณทุ่มกว่าๆเธอก็ต้องไปเสริฟอาหารที่ร้านอาหารใกล้ๆบ้านของเธอซึ่งเดินออกจากซอยไปไม่เท่าไหร่จนถึงเที่ยงคืน เท่ากับว่าเธอมีเวลาพักผ่อนแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น ที่เธอทำงานจนไม่ค่อยพักผ่อนเพราะเธอต้องการนำเงินมารักษาตาแม่ของเธอที่ใกล้จะตาบอดถ้าหากไม่เข้ารับการผ่าตัด...เพราะเหตุนี้เธอเลยต้องเรียนจบแค่มัธยมปลายเพื่อมาทำงานหาเงินเลี้ยงดูครอบครัวหลังจากที่แม่ป่วย ตั้งแต่ที่เธอจำความได้ เธอก็มีเพียงแค่แม่คนเดียวเท่านั้น เธอไม่รู้ว่าพ่อตัวเองเป็นใคร นอกจากผู้เป็นแม่จะบอกกับเธอว่าพ่อของเธอตายไปตั้งแต่ที่เธอเพิ่งเกิดได้ไม่นาน เธอจึงใช้ชีวิตสองคนแม่ลูกด้วยความลำบากมาหลายสิบปีจนตอนนี้เธออายุยี่สิบสองแล้ว
“น้ำค้าง...ไปเก็บจานที่โต๊ะเจ็ดหน่อยลูกค้าเข้ามามีที่นั่งไม่พอ”
“ค่า...” น้ำค้างส่งเสียงตอบรับจากผู้จัดการร้านจากด้านในครัวซึ่งเธอกำลังจะยกเมนูอาหารไปวาง เธอยกอาหารที่วางอยู่ในจานด้วยสภาพที่น่ากินเพื่อนำไปเสริฟ์ให้กับลูกค้าที่สั่งก่อนจะเดินไปเก็บโต๊ะเพื่อให้ลูกค้าที่เพิ่งเดินเข้ามานั่ง
“เรียบร้อยค่ะ เชิญค่ะ”น้ำค้างเช็ดโต๊ะจนสะอาดก่อนจะทำมือเชิญให้ลูกค้าที่เพิ่งเดินเข้ามานั่งโดยที่ยังไม่ได้มองหน้าและเมื่อเธอมองหน้าของเขาที่เดินมานั่งที่เก้าอี้ ทำให้เธอถึงกับชะงักไปกับความหล่อเหลาของเขาทันที ถึงแม้ว่าเขาจะแต่งตัวด้วยเสื้อยืดสีเทากางเกงยีนธรรมดาแต่เขากลับดูไม่ธรรมดาเหมือนผู้ชายคนอื่นทั่วไปเลย เขาดูหล่อสะอาดสะอ้าน ราศีจับอย่างเห็นได้ชัด พอสังเกตไปบริเวณรอบๆร้านเธอก็รู้ว่าตอนนี้ผู้หญิงในร้านต่างมองมาที่ชายหนุ่มรูปงามที่แต่งตัวธรรมดาคนนี้กันเป็นแถว รวมทั้งเธอเองเช่นกันที่ตกตะลึงในความหล่อเหลาของเขาโดยไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรกับเธอ เขาหล่อจริงๆ หล่อมากๆ เธอที่ไม่เคยสนใจผู้ชายคนไหนมาก่อน ยังต้องมาตกตะลึงกับผู้ชายคนนี้ สติของเธอกลับมาทันทีเมื่อเห็นว่าเขากำลังจ้องมองหน้าด้วยสีหน้าที่สงสัยว่าทำไมเธอถึงไม่พูดอะไรออกมานอกจากจ้องมองเขา
“อ๊ะ ขะ..ขอ..โทษค่ะ..ไม่ทราบว่าต้องการอะไรค่ะ..”
“ผมสั่งอาหารคุณไปหลายอย่างแล้ว คุณไม่ได้จดตามที่ผมบอกเลยเหรอ”
“ขะ..โทษค่ะ.คือ.ฉัน..ฉัน..” หญิงสาวก้มหน้าขอโทษด้วยความรู้สึกผิดจนไม่กล้าสบตากับเขา
“ไม่เป็นไร ผมบอกคุณใหม่ก็ได้”
“ค่ะ ค่ะ..”หญิงสาวรีบจรรีหยิบปากกากระดาษเพื่อจะจดรายการอาหารที่เขาต้องการทันทีจนชายหนุ่มถึงกับมองพร้อมกับอมยิ้มออกมาอย่างขำๆเมื่อเห็นท่าทางรีบๆของพนักงานสาวที่ดูกลัวๆ
“ขำอะไรค่ะ..”น้ำค้างถามขึ้นเมื่อสังเกตเห็นว่าลูกค้าที่เธอกำลังบริการเหมือนจะขำเธอ
“พนักงานของประเทศนี้เป็นแบบเธอทุกคนหรือเปล่าเวลาที่ลูกค้าไม่พอใจ หรือว่าแสดงท่าทางไม่ค่อยชอบ พนักงานก็จะทำท่ารีบร้อนกลัวๆเหมือนที่เธอเพิ่งทำเมื่อกี้”
“.............................”
“แตกต่างจากประเทศอื่นๆที่ฉันเคยเจอ ส่วนมากเมื่อลูกค้าแสดงท่าทางไม่พอใจหรือดุนิดหน่อย พนักงานที่บริการก็จะไม่สนใจแถมยังไม่มาบริการอีกด้วย ไม่เหมือนที่นี่”
“ฉันไม่เข้าใจว่าคุณจะเปรียบเปรยถึงอะไร แต่หน้าที่ของพนักงานที่นี่คือต้องบริการลูกค้า อย่าทำให้ลูกค้าไม่พอใจ ซึ่งถือสโลแกนที่ว่า ลูกค้าคือพระเจ้า ต่อให้ลูกค้าจะแสดงกิริยาที่ไม่สมควรเท่าไหร่ก็ต้องอดทนบริการต่อไปค่ะ”
“ลูกค้าคือพระเจ้างั้นเหรอ น่าแปลกแฮะ เพิ่งรู้ว่าพนักงานประเทศไทยในร้านอาหารถือสโลแกนกันแบบนี้ งั้นแสดงว่าต่อให้ผมแสดงกิริยาที่ดูไม่ดี หรือไม่พอใจเท่าไหร่เธอก็ต้องบริการให้ลูกค้าพอใจใช่มั้ย”
“แต่ถ้าหากว่ามันมากเกินไป ความอดทนก็มีลิมิตค่ะ”
“อืม ผมเข้าใจแล้ว งั้นสั่งอาหารเลยละกัน ผมขออาหารไทยมาหนึ่งอย่างอะไรก็ได้”
“อาหารไทยมาหนึ่งอย่าง แล้วไม่ทราบว่าคุณอยากทานอะไรล่ะค่ะ”
“แล้วอาหารไทยอะไรที่อร่อยและขึ้นชื่อที่สุดล่ะ”
“มันก็มีหลายอย่างนะค่ะ อาหารที่ร้านเราก็มีขึ้นชื่อหลายเมนู คุณต้องการอะไรล่ะค่ะเลือกมาได้เลยค่ะ”น้ำค้างหยิบเมนูอาหารที่วางอยู่ข้างๆยื่นไปให้ชายหนุ่มแต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจเมนูที่เธอยื่นให้เลยกลับรับเมนูนั่นไปวางไว้ที่เดิม
“เลือกมาให้ผมหนึ่งอย่าง ผมไม่รู้หรอกว่าหน้าตาอาหารที่นี่เป็นยังไง เอาอะไรมาให้ผมก็ได้”
น้ำค้างมองลูกค้าตรงหน้าด้วยสีหน้าที่เริ่มจะรำคาญนิดๆ ตอนแรกเธอก็ไม่อยากเก็บเอามาใส่ใจหรอกนะ แต่สีหน้าและท่าทางเขามันเหมือนว่าเขากำลังจะแกล้งเธอเลย แต่ก็ต้องอดทนเพื่อถือสโลแกนที่ว่า ลูกค้าคือพระเจ้าก่อนจะฝืนๆยิ้มและเหมือนจะเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้
“อะไรก็ได้ใช่มั้ยค่ะ ได้เลยค่ะ เมนูนี้เป็นเมนูเลิศของร้านเราเลยค่ะและก็เป็นเมนูยอดฮิตของคนไทย รอซักครู่นะค่ะ”น้ำค้างพูดพร้อมกับรีบหันหลังเดินเข้าไปในครัวเพื่อจะสั่งเมนูให้ลูกค้าที่ดูท่าทางเรื่องมากแตกต่างจากหน้าตาที่หล่อเหลาของเขา
“ซูดดด..ซูดดด..อึก...อึก..อึก..” เสียงซี๊ดที่ดังขึ้นพร้อมกับเสียงกินน้ำที่กินเข้าไปอย่างเยอะทำให้โต๊ะข้างๆและหญิสาวที่คอยจ้องมองหน้าชายหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาคนนี้ด้วยใบหน้างุนงง เมื่อเห็นท่าทางที่ร้อนรนของเขาบวกกับใบหน้าที่แดงขึ้นซึ่งทำให้เขาดูน่ารักเหมือนเด็กที่กินของเผ็ดแล้วหน้าแดงกล่ำซึ่งมันทำให้ดูน่าสงสารมากๆ
“เป็นอะไรหรือเปล่าค่ะ..”พนักงานสาวที่บริการอยู่ใกล้ๆเดินเข้ามาถามลูกค้าด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นท่าทางที่ไม่ค่อยสู้ดีของลูกค้ารายนี้หลังจากที่เขาตักอาหารเข้าปากไปได้เพียงแค่หนึ่งคำ
“พวกคุณเอาอาหารอะไรให้ผมทาน ทำไมมันถึงได้เผ็ดและแสบร้อนอย่างนี้”
“มันเป็นอาหารที่คุณสั่งกับพนักงานของเรานี่ค่ะ..”
“........................”ชายหนุ่มทำหน้าเหมือนจะนึกขึ้นได้ เขานึกถึงพนักงานที่มารับออเดอร์เขาขึ้นมาทันที
“พนักงานคนนั้นอยู่ที่ไหน..”
“ใครค่ะ..”
“คนที่สั่งอาหารนี้มาให้ผมทาน”
“น้ำค้างเหรอค่ะ..คือว่า..”
“พนักงานคนนั้นต้องแกล้งผมแน่นอน ถึงได้สั่งอาหารจานนี้มาให้ผม”
“เอ่อ เป็นเรื่องที่เข้าใจผิดหรือเปล่าค่ะ ในบิลก็เขียนเอาไว้ว่าคุณสั่งส้มตำปูปลาร้าใส่พริกยี่สิบเม็ดนี่ค่ะ..”พนักงานสาวหยิบกระดาษที่จดอาหารมาให้ชายหนุ่มดู
“พริกยี่สิบเม็ด พนักงานคนนั้นสั่งให้ใส่พริกยี่สิบเม็ดเชียวเหรอ..”สีหน้าของเขาเริ่มโมโหขึ้นเรื่อยๆแต่ยังคงความหล่อเหลาเอาไว้ไม่เปลี่ยนเลย
“ไปตามพนักงานคนนั้นมาให้ผม ก่อนที่ผมจะฟ้องเจ้าของร้านพวกคุณ”
“เอ่อ คือว่าตอนนี้น้ำค้างเขาขอลากลับบ้านไปแล้วค่ะ”
“อะไรนะ..”
“พอสั่งอาหารให้คุณเสร็จ ดูเหมือนจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เธอจึงขอลากลับบ้านไปก่อนค่ะ”
“....................”ชายหนุ่มแสดงสีหน้าโมโหที่ไม่สามารถต่อว่าพนักงานที่ชื่อน้ำค้างคนนั้นได้ ที่ทำให้เขารู้สึกแสบร้อนไปทั่วปากหลังจากที่ได้กินอาหารไทยที่มีชื่อว่าส้มตำแถมใส่พริกตั้งยี่สิบเม็ด ผู้หญิงคนนั้นกล้าทำกับเขาแบบนี้ได้ยังไง
“ทางเราต้องขอโทษด้วยนะค่ะ..”
“ผมไม่กินแล้ว นี่ค่าอาหาร..”เขาลุกขึ้นพร้อมกับวางเงินเอาไว้ที่โต๊ะก่อนจะลุกเดินออกจากร้านอาหารไปโดยมีสายตาหลายสิบคู่ของผู้หญิงในร้านชายตามองตามไปอย่างไม่กระพริบ เขาเดินออกมาจากร้านด้วยความรู้สึกที่เผ็ดไปทั่วบริเวณปากพร้อมกับบ่นด่าพนักงานที่ชื่อน้ำค้างด้วยความโมโหที่กล้าแกล้งสั่งอาหารจานนั้นมาให้เขากิน
เพิ่งมาถึงประเทศไทยไม่กี่ชั่วโมงเขาก็เจอพนักงานผู้หญิงธรรมดาคนนั้นแกล้งซะแล้ว น่าจับไปขังคุกตลอดชีวิตที่กล้าทำให้เจ้าชายแห่งนาร์เซียปวดแสบปวดร้อนไปทั่วปากขนาดนี้....
ณ โรงพยาบาล
“แม่ฉันอยู่ที่ไหนค่ะ..... ตอนนี้แม่ของฉันอยู่ที่ไหน” น้ำค้างวิ่งหน้าตื่นตาตั้งด้วยความรีบร้อนและตกใจเมื่อมาถึงโรงพยาบาลหลังจากที่เธอได้รับโทรศัพท์มาจากโรงพยาบาลว่าแม่ของเธอหน้ามืดเป็นลม พอดีคนข้างบ้านพบเข้าเลยนำมาส่งโรงพยาบาล
“คนไข้อยู่ในห้องฉุกเฉินค่ะ คุณคงจะเป็นลูกสาวของคนไข้ใช่มั้ยค่ะ.”พยาบาลสาวสวยพูดกับน้ำค้างเมื่อเห็นท่าทางที่ร้อนรน
“ค่ะ ฉันเป็นลูกสาวของคนไข้ที่ทางโรงพยาบาลโทรไปเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว”
“ใจเย็นๆและก็รอก่อนนะค่ะ ตอนนี้คุณหมอกำลังเช็คและตรวจอาการของแม่คุณอยู่”
“แม่ฉันเป็นอะไรค่ะ”
“มีคนพาแม่คุณมาส่งที่โรพยาบาลค่ะ บอกว่าพบแม่ของคุณนอนเป็นลมหมดสติอยู่ที่หน้าบ้าน”
น้ำตาของน้ำค้างไหลออกมาทันทีพร้อมกับพูดอะไรไม่ออกนอกจากเดินไปเดินมาที่ด้านหน้าห้องฉุกเฉินเพื่อรอให้หมอเข็นแม่ของเธอออกมา
ผ่านไปยี่สิบนาที...
ห้องฉุกเฉินถูกเปิดออกพร้อมกับหมอที่เดินออกมาเป็นคนแรกก่อนที่พยาบาลจะเข็นเตียงที่มีแม่ของเธอนอนหลับอยู่ น้ำค้างรีบวิ่งถลาเข้าไปหาแม่ของเธอทันที
“แม่..”
“หมอฉีดยาระงับความเจ็บปวดเอาไว้คงอีกชั่วโมงกว่าๆที่คนไข้จะฟื้น”
“แม่ฉันเป็นอะไรค่ะ คุณหมอทำไมแม่ถึงได้เป็นลม”
หมอหนุ่มหน้าตาดีพูดกับหญิงสาวด้วยใบหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก
“อาการของแม่เธอกำเริบมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าหากว่าไม่รีบเข้ารับการผ่าตัด หมอเกรงว่าแม่เธออาจจะตาบอดและไม่สามารถที่จะแก้ไขได้อีก”
“......................”น้ำค้างมองหน้าหมอหนุ่มพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาเมื่อฟังอาการของคนเป็นแม่
“ผมเพิ่งย้ายมาอยู่แผนกโรคนี้ และจะเป็นเจ้าของคนไข้แทนหมอวันชัยที่เคยดูแลแม่ของเธอ ถ้าหากว่าไม่รีบผ่าตัดหมอเกรงว่า ซีสที่มันอยู่ใต้ตาจะขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ”
“จะผ่าตัดได้ตอนไหนค่ะ”
“ต้องรอให้ซีสเด่นขึ้นเรื่อยๆนะ และเมื่อเราเห็นเราก็จะทำการผ่าตัดทันทีคงจะประมาณหนึ่งเดือนน่าจะได้”
“แล้วในระหว่างที่รอให้ซีสต์เด่นขึ้นนั้น อาการของแม่ฉันจะเป็นยังไงค่ะ”
“ก็อาจจะหน้ามืด และมองไม่เห็นในบางครั้ง”
“.....พรึ่บ...”น้ำค้างเข่าทรุดเหมือนคนหมดแรง
“นี่..เธอ...”หมอหนุ่มรีบนั่งลงพร้อมกับจับไหล่เธอ “เธอเป็นอะไรหรือเปล่า”
“คุณหมอ คุณหมอต้องช่วยแม่ของฉันให้ได้นะค่ะ ฮืออ อย่าให้แม่ของฉันมองฉันไม่เห็น ฉันจะทำงานอย่างหนักหาเงินมาจ่ายค่าผ่าตัดเองคุณหมอไม่ต้องห่วง แค่คุณหมอช่วยแม่ของฉันให้แม่ของฉันหายเป็นปกตินะค่ะ..ฮือออ” น้ำค้างจับแขนหมอหนุ่มพร้อมกับร้องไห้ขอร้องให้เขาช่วยแม่ของเธอ
“เรื่องค่าใช้จ่ายไม่เป็นปัญหาอยู่แล้ว ใจเย็นๆนะ..”หมอหนุ่มพยายามปลอบเธอพร้อมกับมองไปรอบๆเมื่อเห็นผู้คนที่เดินผ่านไปมามองมาที่เขาและเธอ “ทางที่ดีตอนนี้เธอยืนขึ้นเถอะ เดี๋ยวคนอื่นจะเข้าใจฉันผิด”
“ฮึก ฮือออ”
หมอหนุ่มพยุงร่างน้ำค้างให้ค่อยๆลุกขึ้นยืน
“ เธอคงกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาใช่มั้ย”
“ไม่ค่ะ ถ้าหากว่ามันจะทำให้แม่ของฉันกลับมาเป็นเหมือนเดิม ฉันจะทำทุกทางเพื่อจะหาเงินมารักษาแม่ให้ได้ ขอแค่คุณหมออย่าให้แม่ของฉันเป็นอะไร”
หมอหนุ่มมองหน้าหญิงสาวตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่สงสาร และดูท่าทางเธอน่าจะอายุยังน้อย เธอคงจะทำงานหนักหาเงินมารักษาตาแม่ของเธอ ทำให้เขารู้สึกเห็นใจและสงสารเธอ
น้ำค้างเดินออกมาจากโรงพยาบาลด้วยใบหน้าที่เศร้าและเหน็ดเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัด เธอเดินเหมือนคนไร้เรี่ยวแรงไม่มีแรงที่จะเดิน แม่ของเธอต้องอยู่โรงพยาบาลอีกสองสามวันเพื่อให้น้ำเกลือและรอดูอาการดังนั้นเธอจึงกลับบ้านเมื่อเลยเวลากำหนดเยี่ยมคนไข้เนื่องจากแม่เธอพักห้องรวมทางโรงพยาบาลจึงไม่ให้อยู่เฝ้าทั้งๆที่เธออยากจะอยู่เฝ้าแม่ของเธอ น้ำค้างเดินมานั่งรอรถเมล์ที่ป้ายรถเมล์ซึ่งตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่มกว่าแล้ว
เจ้าชายฟาคานซาโต้ขับรถส่วนตัวที่เพิ่งซื้อมาเพื่อจะขับกลับเข้าคอนโดสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นหญิงสาวที่นั่งรอที่ป้ายรถเมล์ เขาจำเธอได้ทันทีเพราะเธอคือคนที่สั่งอาหารจานที่ทำให้เขาไม่มีวันลืม
“นั่นยัยพนักงานจอมแสบนิ “เจ้าชายจอดรถพร้อมกับเดินมาจากรถเพื่อจะไปหาพนักงานจอมแสบคนนั้นที่ทำกับเขาเอาอย่างเจ็บแสบ
ในขณะที่เขากำลังจะเดินเข้าไปหาเธอนั้นเขาก็เห็นว่าเธอลุกขึ้นยืนเหมือนจะมองดูรถประจำทางว่ามาหรือยัง ก่อนที่สายตาเขาจะสังเกตเห็นท่าทางของเธอที่ดูเหมือนคนจะหมดแรงบวกกับใบหน้าที่ซีดเผือดของเธอ ทันใดนั้นเขาก็เห็นว่าร่างของหญิงสาวทำท่าเหมือนจะล้มลงไปข้างหน้าเขาจึงรีบวิ่งไปประคองร่างนั้นทันที
“เฮ้ยยย เธอ..”เจ้าชายซาโต้วิ่งเข้าไปรับร่างของน้ำค้างเอาไว้ได้ทันก่อนที่จะร่วงลงพื้น
“...................”น้ำค้างหมดสติลงในอ้อมแขนของเขา
“เธอ ตื่นสิ เฮ้ ยัยพนักงานจอมแสบ ตื่นเดี๋ยวนี้นะ “เขาเขย่าหน้าของเธอพร้อมกับสั่งให้เธอตื่นแต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้สติ เขามองซ้ายมองขวาไม่รู้ว่าจะทำยังไงก่อนจะตัดสินใจอุ้มร่างของเธอไปที่รถของเขา
“นี่เธอ..”
หลังจากที่อุ้มเธอมานอนที่รถคันใหม่ของเขา เจ้าชายจึงเขย่าหน้าของเธอให้ตื่นแต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้สติอะไรเลย
“แล้วฉันจะทำยังไงกับเธอเนี๊ยฮะ เฮ้อ ทำกับฉันไว้แสบ แล้วยังมาเป็นลมต่อหน้าฉันอีก แทนที่ฉันจะได้จัดการกับเธอ แต่เธอกลับมาเป็นลมต่อหน้าฉันอีก เฮ้ออ...”
ความคิดเห็น