ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ____เก็บ....'รัก' ____[Yaoi] [The End] [เปิดจอง!!!!!]

    ลำดับตอนที่ #6 : #06 เปิดใจ พี่ชาย และ กูให้ยืม

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 758
      4
      16 ก.ย. 57




    หลังเลิกเรียน 

    วันนี้ผมไม่มีลูกไล่คอยออกความคิดเห็นว่าจะไปไหนดี ไอ้อู๋หายไปทั้งวัน(แน่นอนว่าโดด สงสัยมันคงอยากใช้สิทธิ์เป็นครั้งสุดท้าย ฮ่าๆ) ไอ้เฟรมไปซ้อมบาสครับ มันเป็นนักกีฬาของโรงเรียนผม แต่จะไปเตร็ดเตร่แถวห้างก็กลัวโดนตรีน ถ้าไปเป็นฝูงนี้ผมไม่ยั่นนะครับ แต่ตัวคนเดี่ยวความซ่ามันก็ต้องจำกัดบ้างอะไรบ้าง(ไม่ใช่พระเอกนะเว้ย โดน10-1แล้วรอดเนี้ย - - )

    กลับบ้าน ?

    ไม่อยากรีบกลับบ้านเลยครับ คือจะว่ายังไงดี ผมบอกตรงๆเลยว่ายังไม่ชินกับการเผชิญหน้ากับคุณน้าเขา ผมยังไม่ได้เรียกเขาว่า‘แม่’ และพยายามหลบหน้าตลอด ขนาดเวลากินข้าวมือเย็นพร้อมกันผมยังแทบไม่มองหน้าด้วยซ้ำ เพราะกลัว... กลัวว่าปากหมาๆของตัวเองจะหลุดพูดอะไรไม่ดีออกไป

    หลายวันที่ผ่านมาตั้งแต่บ้านนู้นย้ายเข้ามา  กิจวัติประจำวันผมเปลี่ยนไป จากเดิมที่นอนดึกๆ ตื่นสายๆหน่อย กลับกลายเป็นผมต้องเข้านอนไวกว่านั้น แล้วตื่นเช้ากว่าเดิมเพราะมันไปคุยกับพ่อผมเรื่องนี้ ผมเลยโดนพ่อขู่จะตัดเงินค่าขนมจนผมต้องยอมนอนตามที่มันว่าไว้ สรุปง่ายๆตั้งแต่มันอยู่กับผม ผมนอนได้ดึกสุดคือสี่ทุ่ม ตื่นได้ช้าสุดคือหกโมงครึ่ง ถ้าดึกกว่านั้นหรือช้ากว่านั้น สิ่งที่จะตามมาคือการโดนหักเงินค่าขนม

    ต่อมาคือ ทุกเช้า บางที่ผมไม่ได้กินอะไรเลย แต่เดี่ยวนี้ได้กินทุกวัน น้อยสุดคือขนมปังแยมที่ใครบางคนทาไว้ให้แล้วกับนมหนึ่งแก้ว

    แมร่ง.... ทำยังกะเป็นพี่ผมงั้นแหละ ขนาดพี่แท้ๆของผม หล่อนทำมากสุดก็แค่ถีบผมตกเตียง...

    ต่อจากนั้นทุกเช้าหลังตื่นนอน ผมกับมันแม้จะตื่นพร้อมกันแต่จะถึงห้องเรียนต่างกันมาก นั้นคือผมจะถึงก่อนเสมอ ทั้งๆที่ขึ้นรถเมล์สายเดี่ยวกันหรือแม้กระทั้งคันเดี่ยวกันก็ตาม เหมือนๆกับว่าไอ้ป้องมันจงใจเว้นช่องว่างของเวลาเอาไว้

    จะว่าไปแล้ว ... ยังไม่มีใครรู้เลยสินะครับ ว่าผมกับมัน เป็น‘ครอบครัว’เดี่ยวกันแล้ว

    ผมคิดไม่ตก สุดท้ายเลยตัดสินใจกลับบ้านแล้วไปนั่งตีดอทเอาดีกว่า ปกติแล้วไอ้ป้องจะกลับช้ากว่าผมเพราะมันเป็นพวกกรรมการนร. 

    แต่วันนี้คงไม่ปกติ

    ผมเห็นไอ้ป้องเดินไปกับร่างสูงโปร่งซึ่งผมเห็นเมื่อเช้า

    ไอ้เด็กประกายแสง... 

    ภาพที่เห็น แตกต่างจากตอนเช้ามาก ผมเห็นไอ้เด็กนั้นดูมีประกายชีวิตชีวา และมีรัศมีแผ่ออกมาจากตัวจนคนรอบข้างรับรู้ได้และเหลียวมองตามไม่ว่าจะชายแท้หรือเหล่าแก็งนางฟ้า ถ้าจะมีใครสักคนที่ไม่รู้สึกถึงความโดดเด่นนั้น....

    ก็เห็นจะมีไอ้แต่ไอ้ปกป้อง

    มันเดินคุยกับไอ้เด็กนั้นอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ขัดเขิน และไม่สนใจสายตารอบข้าง เด็กนั้นเองก็ทำแบบเดี่ยวกัน พูดคุย หัวเราะ หยอกเหย้ากัน...

    เดี่ยวนะ....

    หัวเราะ ?

    ไอ้ปกป้องเนี้ยนะ หัวเราะ ?

    สมองที่มีเมมอันจำกัดของผมเริ่มประมวลผลหาภาพมันในคีย์เวิร์ด ‘หัวเราะหรือยิ้ม’จากในความทรงจำ ผลลัพธ์ที่ได้จากสมอง
    ปลาทองของผมคือ‘ศูนย์’ ผมไม่เคยเห็นมันหัวเราะหรือยิ้มมากก่อนตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาที่เรียนห้องเดี่ยวกัน  แต่กลับไอ้เด็กที่เดินด้วยกันกลับทำให้มันหัวเราะออกมาได้.....

    มากสุดที่เคยได้เห็น คือมันยกมุมปากขึ้นนิดๆ เหมือนจะยิ้ม แต่ก็กึ่งไม่ได้ยิ้ม...

    ผมมองพวกมันจนสองคนนั้นเดินลับสายตา หายไปทางไหนก็ไม่ทราบ....

    “คนนี้รึเปล่า ? ที่ว่าพี่ประกายบอกจะจีบ ? เห้ย แหวนสีขาว เทพความรู้เหรอว่ะ ?”

    เสียงเด็กม.ต้นคนหนึ่งดังขึ้นมา ผมไม่ได้อยากเสือกนะ แต่ขามันก้าวไปเอง

    ผมขยับตัวเนียนๆไปหยุดอยู่ตรงมุมหนึ่งที่พอจะฟังไอ้เด็กสองคนนี้เม้ามอยท์กันได้ถนัดๆ

    “ใช่ๆ เห็นว่าอะไรนะ วันนั้นที่พี่แสงแกมาโรงเรียนเรา บังเอิญเจอกันแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นเนี้ยแหละ”

    “เลยชอบ ?”

    เด็กอีกคนถาม

    “เออ เห็นว่าปลื่มมาก ประกาศเลยว่าจะจีบ”

    “เอาจริงเหรอว่ะ ? ผู้ชายกับผู้ชายเนี้ยนะ ”

    เด็กคนที่ถามทำหน้าตาแบบแหยงๆ จนโดนเพื่อนมันตีต้นแขนดังเพี้ย

    “เรื่องธรรมดาว่ะสัส มึงดูแบบประธานเราดิ ไปๆมาๆกินน้องชายประธานโรงเรียนคู่อริเราเฉย สมัยนี้มันปลดปล่อยเว้ย”

    “เออว่ะ คู่นั้นแปลกกว่านี้อีก กูสงสัยว่าไปเจอกันได้ยังไง”

    พอเห็นว่าไม่มีเนื้อหาที่เกี่ยวกับมันแล้ว ผมเลยเลือกที่จะถอยออกมา สงสัยข่าวลืมแง่มๆ เพราะข่าวล่าสุดของผมที่ได้รู้มาคือไอ้ประกายแสงมันก็มีแฟนเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้วนี่หว่า จะมาชอบอะไรคนจืดๆแบบไอ้ปกป้อง แถมเป็นผู้ชายอีก

    “เห็นว่าล่าสุดพี่แสงลงทุนขอเลิกกับแฟนตรงๆเลยนิ”

    กึก....

    ทำไมพวกมึงไม่คุยกันประเด็นเดี่ยวให้มันจบๆไปว่ะ ไอ้สัส

    ผมเขม่นหน้าพวกมันสองที่ก่อนจะสไลด์ไอพอดหลอกๆ กรอกตามองฟ้า แล้วเดินไปใกล้ๆพวกมัน(อีกครั้ง ถ้าครั้งนี้พวกมึงพูดไม่จบกูจะกระทืบพวกมึงแน่)

    “มึงไปเอาข่าวมาจากไหนว่ะ ? กรองยัง”

    “กรองแล้ว จาก ‘เทพข่าวคนใหม่’ไงมึง”

    “งั้นแปลว่า100%สินะ”

    “คงงั้นแหละ”

    “แต่กูว่า ก็เหมาะสมกันดีนะ คนหนึ่งก็หล่อ อีกคนก็ฉลาด”

    “เออว่ะ ถ้าไม่ติดอย่างเดี่ยวนะ พี่ป้องแกดูธรรมดาไปหน่อยว่ะ”

    “แต่เห็นแล้วกูว่าไปกันได้นะ ดูดิ่ กูอยู่มาตั้งนาน เจอหน้าพี่ป้องที่ไรไม่เคยเห็นพี่มันยิ้มแบบนี้เลย”

    “ใช่ๆ พี่ป้องหน้าตาธรรมดามาก แต่พอยิ้มนี้คือน่ารักว่ะ กูชักชอบแล้วสิ่”

    “สัส ฝันไปเหอะ ถ้าขนาดพี่ประกายแสงจีบไม่ติด กูคงไม่หวังอ๊ะ”

    พวกมันสองคนเริ่มๆเดาถึงผมลัพธ์ลางๆ โดยที่ตัวผมเองก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อนักหรอกว่าไอ้ประกายแสงมันจะจริงจัง

    ผู้ชายยังไงก็คือผู้ชายนะครับ มันจะมากินกันเองได้ยังไงว่ะ....

    ผมเดินสาวเท้าก้าวยาวๆกลับบ้านตัวเอง ไม่สนใจอีกว่าพวกมันสองคนจะเดินไปกันทางไหนหรือทำอะไร ใส่หูฟังก่อนจะกดเปิดเพลงร็อคดังๆกลบเสียงรอบตัวแล้วเปลี่ยนให้กลายเป็นโลกของผม

    แต่ทำไม...เสียงไอ้เด็กนั้นมันถึงดังระรั่วแข่งกับเสียงกลองจังหวะเมทัลว่ะ แล้วใครมันเสือกกดรีเพล์เสียงมันไว้อีก ตอบ!!!


    “แต่พอยิ้มนี้คือน่ารักว่ะ”

    ใบหน้าของมันตอนยิ้มลอยเด่นขึ้นมา




    “แต่พอยิ้มนี้คือน่ารักว่ะ”

    ผมเหมือนเห็นมันยืนอยู่ข้างหน้า




    “แต่พอยิ้มนี้คือน่ารักว่ะ”

    กลิ่นลมหายใจที่ได้รับจากมัน เหมือนๆมันจะกลับเข้ามาให้ผมได้สัมผัสอีกรอบ... หอมจังแหะ....







    ..



    ..




    ..







    แล้วทำไมกูต้อง ‘ยิ้มตาม ’ว่ะ!!!!!!!!!


                        ----------------------------------------------------------------------------------------------------------


    “ทานเยอะๆนะป้อง จะได้แข็งแรงๆ”


    พ่อผมพูดก่อนจะคีบปลากะพงขาวนึ่งให้ไอ้ป้องไปคำโตๆ


    ตอนนี้กำลังอยู่ในระหว่างมื้อเย็น ผมลงมากินข้าว(โดนบังคับ)กับครอบครัว ผมนั่งฝั่งซ้าย ไอ้ป้องนั่งฝั่งขวากับแม่มัน พ่อผมนั่งตรงกลางที่หัวโต๊ะ


    ให้ตายเหอะ ที่ผมล่ะพ่อสั่งให้คีบเอง แง่ง!!!


    “ขอบคุณครับ คุณอา”

    “อาเออ อะไร บอกให้เรียกพ่อ เออ...”

    พ่อผมจุ๊ปากดุ มันก็ได้แต่หัวเราะกร่อยๆกลบเกลื่อน

    “เกียร์เองก็กินเยอะๆนะ จะได้โตไวๆ”

    คุณน้าตักเนื้อขาหมูให้ผมวางลงในจาน

    “ขอบคุณ....ครับ...”

    พูดออกไป แต่ไม่ได้มองหน้าคนกระทำให้....

    ก็มัน...ไม่ชินนี้หว่า....

    พ่อผมกับคุณน้าช่วยกันเล่าเรื่องตลกๆเพื่อพยุงบรรยากาศ ผมกับไอ้ปกป้องก็พยายามที่จะหัวเราะหรอกนะ จนกระทั้งพ่อผมทักขึ้นมา

    “เออ พ่อสงสัยมานานแล้วเราสองคนนะ...”

    “ครับ/ครับ ?”

    ผมกับไอ้ปกป้องพูดขึ้นพร้อมกันหลังพ่อยกตะเกียบขึ้นมาชี้ทางเราที่ละคน

    “ใครเป็นพี่ ใครเป็นน้อง”

    “........................................”

    เงียบ....

    เงียบได้อีก....

    พอเห็นผมกับมันเงียบ พ่อเลยถามต่อ

    “ป้อง”

    “ครับ ?”

    “เกิดวันที่เท่าไหร่ เดือนอะไร ปีไหน ?”

    “20 กรกฏ 40 ครับ”

    “เกียร์”

    “ครับ ?”

    ผมกลืนน้ำลายลงคอ ตั้งแต่ได้ฟังวันเกิดมันแล้ว....เพราะ.....

    “งั้นเราก็ต้องเรียกป้องว่า ‘พี่’ แกเกิด41นิ”

    “.........ครับ”

    ผมต้องตอบรับอย่างจำใจ เพราะสำหรับพ่อแล้ว ผมไม่สามารถขัดขืนอะไรได้จริงๆ

    “ไหนลองเรียนพี่เขาสิ”

    “ตอนนี้อ๊ะน่ะ”

    “เออ”

    “พี่...ป้.......อง”

    “ทำไมพูดเสียงเบาจังว่ะไอ้เสือ ตอนขอตังค์ไปซื่อรถยังเสียงดังกว่านี้อีก ไหนเรียกใหม่ดิ่”

    “พี่ปกป้องพอใจยังครับพ่อ !!!”

    ผมตะเบ็งเสียงขึ้นมาพูด เพราะรู้ว่าถ้าไม่พูด พ่อได้หาเรื่องผมแง่มๆ

    “พอใจแล้วครับ ‘น้องเกียร์’”

    คนถูกเรียกว่า ‘พี่’พูดด้วยสีหน้าระรื่นแบบที่ผมโคตรอยากจะเอาส้นตรีนยัดปากแม่ม เพราะมันเล่นจงใจเน้นคำว่าน้องเป็นพิเศษ

    “งั้นต่อจากนี้ก็ดูแลกันดีๆนะ เดี่ยวว่างๆพี่สาวเราก็คงจะมาเยี่ยมนะ”

    “พี่ขวัญรู้เรื่องแล้วเหรอพ่อ ?”

    พ่อผมไม่พูดตอบแต่พยักหน้าแทน ทำไมหล่อนรู้ก่อนผมอีกว่ะ เชอะ

    “งั้นก็เรียกแม่สักที่สิเกียร์”

    “..............”

    “เกียร์!!!”

    “ผมอิ่มแล้วนะครับ ขอตัว”

    ผมยังทำตัวเหมือนเดิมด้วยการหนีขึ้นห้องนอนไป ก่อนไอ้ป้องจะตามผมขึ้นมาในเวลาไล่เลียกัน....

    ผมทำตัว‘เหมือนปกติ’ เล่นเฟส ตีดอท และอาบน้ำเข้านอนตอนสี่ทุ่ม ในขณะที่ไอ้ป้องเลือกที่จะหลับไปหลังมันทำการบ้านเสร็จ ผมเห็นมันทำหน้านิ่งๆเหมือนปกติ...

    ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดอะไรอยู่ ......


    ห้าทุ่มแล้ว...

    ผมนอนไม่หลับ...

    อาจดูงี้เง้านิดๆที่ผมอคติ

    แต่ผมผิดตรงไหนที่อยากได้ครอบครัวที่แท้จริง

    ผมผิดเหรอที่อยากให้แม่กลับมา ?

    ไม่พร้อม 

    ไม่รู้เลยว่าควรจะต้องทำยังไงต้องพูดแบบไหน ทำตัวยังไง แสดงสีหน้าแบบไหน อีกทั้งไอ้คนข้างล่างที่หลับไปตั้งแต่สองทุ่มแล้วมันทำให้ผมรู้สึกประหลาด

    เมื่อก่อนเวลาพ่อไปสัมมนาที่ต่างจังหวัด ผมจะชอบไปนอนค้างบ้านเพื่อนพร้อมทำกิจกรรมเสรีในบางโอกาส ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมาตั้งแต่ขึ้นม.ปลาย ผมก็อยู่คนเดี่ยวมาตลอด...

    พอวันหนึ่ง มีไอ้คนที่ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีไม่เคยคุยกัน แต่ต้องมาใช้ชีวิตร่วมกัน เป็น'ครอบครัว'เดี่ยวกัน

    ผมวางตัวไม่ถูก

    แรกเริ่มวางแผนแกล้งต่างๆนานาแต่จนแล้วจนรอดกระทั้งเสียงก่นด่าตอบกลับมาก็ยังไม่มี

    ไม่โกรธ ไม่รู้

    ..............หรือมันไม่สนใจผมกันแน่

    ความรู้สึกที่มีอยู่ เหมือนกับว่าผมพยายามเรียกร้องความสนใจ เป็นเด็กไม่รู้จักโต

    วินาที่นั้น ผมอยากรู้ความรู้สึกของมัน

    ตอนที่แม่มันบอกมันเรื่องพ่อผม 

    มันรู้สึกยังไง ? รับมือแบบไหน ? ตกใจร้อนรนแบบผมรึเปล่า ?

    "ไอ้ป้อง หลับยัง"

    ผมถามเสียงปานกลาง ในเมื้อแกล้งไม่ได้ผล ผมก็แมนพอที่จะคุยตรงๆเหมือนกัน ยอมรับตามตรงเกือบอาทิตย์ที่ผ่านมามันลบอคติของผมที่มีต่อมันออกจนหมด เล่นดีขนาดนี้ใครจะเกลียดลงว่ะ ???

    "หลับแล้ว ถ้ามึงไม่พลิกตัวไปมาจนกูตื่น"


    ถ้อยคำประชดเสียดสีดังตอบผม ผมค่อยๆไต่ลงจากเตียงเบาๆก่อนจะเห็นว่ามันนอนหงายหลับตาอยู่ เห็นแบบนั้นผมเลยถือวิสาสะทิ้งตัวลงไปนอนข้างๆ(ยังไงก็เตียงผมนิ)


    'ตุ๊บ'

    "เห้ย!!!"

    มันร้องเสียงหลงเด้งตัวขึ้นทันที่ที่หลังผมสัมผัสกับพื่นฟูก

    "ตกใจเหรี้ยไร จะลงมานอนคุยด้วยเฉยๆ"

    ผมบอก เพราะตอนนี้ทั้งห้องปิดไฟหมดแล้วเลยทำให้เห็นหน้ามันแค่สลัวๆจากแสงข้างนอกที่ส่องเข้ามาแต่ก็เพียงพอให้เห็นคิ้วของมันขมวดกันนิดๆ

    "มึงคุยจากข้างบนก็ได้นิว่ะ"

    คนถูกแย่งที่นอนชั่วคราวแย้งผมเบาๆแต่ผมไม่สนหรอก

    "กูขี้เกรียจตะโกนคุย ใกล้ๆนี้แหละดีแล้ว"

    สุดท้ายเพราะขี้เกรียจเถียงหรือเพราะอะไรสักอย่างมันก็เลยทิ์งตัวลงไปนอนตามเดิม

    "มีอะไรอีกล่ะ"

    "มึง...ไม่เครียดเหรอว่ะ ตอนที่แม่มึงบอกจะมี...เออ แฟนใหม่อ๊ะ?"

    ผมเปิดประเด็นไม่อ้อมค้อม ตาก็มองพื่นฟูกด้านบนของผมไป

    "มึงเกิด40ใช่มั้ย?"

    มันตอบคำถามด้วยคำถามแทน ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่แต่ผมก็ตอบมันไปอยู่ดี

    "เปล่า กูเกิด41แต่เกิดต้นปี"

    "เด็กกว่ากูแหะ"

    "กูว่ากูถามอีกเรื่อง"

    ผมท้วงติงนิดๆก่อนมันจะเงียบไปอึดใจหนึ่ง

    "กูก็...ประหลาดใจนิดหน่อย"

    "แค่นั้นอ่ะนะ ? แล้วมึงไม่กลัวพ่อกูทำร้ายแม่มึงเหรอ แบบในหนังในละครงี้"

    "หนึ่งปีเศษ"

    "อะไรหนึ่งปีเศษ"

    ผมพลิกตัวหันข้างไปหามัน

    "หนึ่งปีเศษแล้วที่พ่อมึงจีบแม่กู คอยดูแล มอบสิ่งดีๆให้กันและกัน จนสุดท้ายแม่ก็ใจอ่อนยอมย้ายมาอยู่ด้วย"

    "...."

    "ครั้งแรกที่ฟัง แม่เล่าให้ฟังว่าอาชาติแกเข้ามาจีบโต้งๆแต่แม่ไม่ชอบผู้ชายกะล่อนเลยตัดใป"

    มันเว้นวรรคก่อนจะพูดต่อ

    "ต่อมา เพราะบริษัทที่อาชาติทำงานอยู่เป็นบริษัทในเครือเดี่ยวกันกับของแม่ ทั้งสองคนเลยได้เจอกันอีก

    รายละเอียดที่จีบกัน กูไม่รู้หรอกว่าอาแกทำอีท่าไหนแม่กูถึงได้ใจอ่อนแต่สิ่งที่สำคัญคือ..."

    "คือ? "

    "ตั้งแต่พ่อตายไป เหมือนรอยยิ้มหายไปจากแม่.....ตั้งแต่อาชาติเข้ามาในชีวิตของแม่ แม่ดูสดใสขึ้นมาก กินข้าวสองจานสามจาน น้ำหนักขึ้นก็ไม่บ่น แม่กูมีความสุข กูเป็นลูกกูก็มีความสุขตาม"

    ผมพูดไม่ออกบอกไม่ถูกจากสิ่งที่ได้รับฟังในครั้งนี้ นี้เองสินะเหตุผลที่ปกป้องมันยอมรับในตัวพ่อของผม


    "เกียร์ ถ้ากูพูดไปมึงจะโกรธไหม?"

    มันพูดต่อ


    "อื้ม พูดมาเถอะ"

    ไอ้ปกป้องหันหน้ามามองผมก่อนมันจะเม้มปากเป็นเส้นตรงแล้วพูดขึ้นมา


    "กูรู้ว่ามึงรักแม่ของมึงมาก แต่มึงฟังกูนะเกียร์..."

    "....."

    "ถ้าแม่ของมึงจะกลับมา เขาคงกลับมานานแล้ว คงกลับมานานก่อนที่อาชาติจะเจอแม่ซะอีก"

    "....."

    "บางครั้งการที่คนเราแยกทางกัน มันอาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดก็ได้นะเกียร์ เราอาจแค่เกิดมาเพื่อพบเจอและจากกัน นั้นคือสิ่งที่เป็นไปได้ทั้งนั้น"

    "..."

    "เกียร์..."

    มันพูดเสียงต่ำก่อนจะกดหน้าผมลงกับหน้าอกของมัน

    "อยู่กับกู ไม่ต้องเข็มแข็งก็ได้"

    ผมไม่ตอบรับหรือปฏิเสธคำพูดของมัน ไม่ขัดขื่นใดๆทั้งสิ้น

    มันพูดถูกแล้ว...

    ถ้าแม่ของผมจะกลับมาก็คงกลับมานานแล้วจริงๆ

    หกปีที่ผ่านมา ล้วนแล้วแต่คือคำตอบ ผมไม่เคยได้คุยกับแม่อีกเลย ไม่แม้กระทั้งได้เห็นหน้ากัน หกปีที่ผ่านมาผมโตมากับพ่อ พ่อที่คอยเป็นทุกสิ่งให้กับผม สอนผมให้เป็นคนดี ไม่ผิดใช่มั้ยถ้าผมจะระแวงปกป้องกับแม่ของมันเพราะผมรักพ่อ


    บ้างที่การที่ครอบครัวของปกป้องก้าวเข้ามาในครอบครัวของผม มันอาจเป็นสิ่งที่ทำให้ผม...


    ต้องยอมรับความเป็นจริง



    "วันนี้มึงพูดมากจัง"

    ผมยังซุบหน้ากับหน้าอกของมัน พูดแล้วเสียงมันเลยอู้อี้ชอบกล

    "เออ กูอนุญาตให้ยืมไออุ่นจากกูคืนหนึ่ง"

    คำพูดติดตลกออกมาจากปากมัน ผมตอบรับด้วยการซุกหน้าลงไปแน่นๆกว่าเดิม รู้สึก‘อุ่น’ตามที่มันว่าจริงๆนั้นแหละ...

    บ้างที่การมีพี่ชาย ก็คงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรนักหรอกมั่ง....

    Thinking too much can only cause problems.#ก้องเกียรติ์
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×