ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ____เก็บ....'รัก' ____[Yaoi] [The End] [เปิดจอง!!!!!]

    ลำดับตอนที่ #44 : #Sp.03 _______ตะวัน_______ [3]

    • อัปเดตล่าสุด 28 เม.ย. 58


     

     

    “หนึ่ง...สอง...หนึ่ง...สอง”


    เสียงเล็กๆนับจังหวะการเต้นดังขึ้น ก่อนจะหมุนตัวเบาๆไปมาตามเสียงเพลงที่เปิดคลอ เหงือเม็ดเล็กเม็กน้อยไหลแทบจะทุกส่วนของร่างกาย


    “ค่อยๆก็ได้นะร่าเริง เดี่ยวจะแย่เอา”


    ผมดุเบาๆ ก่อนจะเหล่ตาอ่านหนังสือในมือต่อ


    ความรักต่างวัย ของเราสองคน


    .....หนังสือบ้าอะไรว่ะ ? แล้วนี้ผมอ่านทำไม ?


    “อ่านๆไปเหอะครับ”


    เจ้าของหนังสือส่งเสียงว่ามาแบบไม่มองหน้าผม แขนเล็กๆชูขึ้นลงก่อนจะหมุนไปมาอีกรอบ ผมส่ายหน้าเบาให้กับความทะเล้นของน้องมันแล้วอ่านหนังสือเล่มนั้นต่อไป


    โอเค ผมกินเด็ก


    ไม่ดิ ว่าแบบนั้นไมได้นะครับ ผมยังไม่ได้ กิน


    ….หรือจริงๆแล้วผมไม่มีวันได้กินหรืออะไรทั้งนั้นต่างหาก.....


    มันเป็นไปไม่ได้


    เป็นไปไม่ได้จริงๆ......


    ผมนั้งนิ่งเงียบ สายตาจ้องหนังสือแต่ไม่ได้อ่าน สมองคิดไปไกลถึงเรื่องอื่น นานมากแล้วที่ผมไม่รู้สึก หวิวโดยไม่สามารถหาเหตุผลประกอบหรืออธิบายเป็นคำพูดได้ ผมคิดไม่ออกจริงๆว่าตัวเองควรหาคำตอบหรือกระทั้ง ข้ออ้างไม่ให้ตัวเองรู้สึกหนึบๆที่หัวใจได้ยังไง มันไม่ได้ปวด ไม่ได้เจ็บ มันแค่รู้สึกเคว้างไปหมด เหมือนๆอากาศในปอดของผมมันหายไปก็เท่านั้น


    “คิดอะไรอยู่ครับพี่หมอ”


    ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองนิ่งไปนานไหม แต่ก็คงนานมากพอที่จะให้อีกฝ่ายรู้สึกตัวแล้วหันมาหาผมแทน ผมยิ้มรับคำถามนั้นแล้วส่ายหน้าน้อยๆแทน ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงเลี่ยงที่จะพูดสาเหตุที่ทำให้ เคว้งได้ขนาดนี้


    “ไม่เอาสิครับ....ไม่เอานะ”


    “..................”


    “ผมแค่ตายนะ....ไม่ได้หายไปไหนสักหน่อ.....”


    ผมไม่รู้ว่าทำไม หรือเพราะอะไร แต่ก่อนที่ร่าเริงจะได้พูดประโยคนั้นจบ ผมหยุดมันด้วยการดึงร่างเล็กๆนั้นเข้ามากอดแนบชิดกับตัว ไม่กี่ครั้งที่ผมจะรู้สึกอะไรแบบนี้


    “......อย่าพูดแบบนั้นอีกนะ”


    “ไม่เอาแล้วนะ....”


    “ไม่ลากันนะ.....”


    มือเล็กๆนั้นจับหัวผมดึงขึ้นมา ก่อนจะจับแก้มผมไว้แล้วดึงเบาๆแล้วหัวเราะออกมา


    “พูดแบบนี้มากๆนี้แหละ ผมจะได้ไปก่อนเวลา ฮ่าๆๆ พี่หมอบ้า ทำไมชอบทำให้ผมเขินว่ะ”


    ...กูไม่ได้อยากทำให้มึงเขิน



    เมื่อกี้นี้ซีนเครียด อีหอย...มึงช่วยมีอารมณ์ไปกับกูสักสองนาทีได้ไหมล่ะ.....


    ผมส่ายหน้าเบาๆให้กับตัวเอง จะว่าไปแล้วก็กลับกลายเป็นผมเองนั้นแหละ


    ....ที่กลัวว่าตัวเองจะต้องสูญเสียไป


    จุ๊บ


    ริมฝีปากบางเบาประทับลงที่แก้มหยาบๆของผม ผมหันขวับตามความรู้สึกอุ่นๆก่อนจะมองน้องมันตากว้าง


    “เด็กบ้า อยากโดนพี่จับกินรึไง !!!


    ผมว่าก่อนจะเอาข้อศอกยกขึ้นไปขยี้หัวน้องมันเล่น เจ้าตัวหัวเราะร่วนกลบเกลื่อนสิ่งที่ทำลงไป แต่ทั้งผมทั้งน้องมันก็รู้ดีทั้งนั้นแหละ ว่าไอ้เสียงหัวใจเต้นแรงๆที่ดังออกมาจากหน้าอกข้างซ้ายของคนสองคนนี้มันคืออะไร


    “ตัวแค่นี้ กล้าจริงนะเรา”


    ผมเอ็ดมันเบาๆหลังทำโทษด้วยข้อศอกเสร็จ(?)ก่อนปลายจมูกจะก้มลงไปดมกลิ่นตุ้ยๆบนหัวน้องมัน


    “ก็ทำทุกอย่างที่อยากทำ ก็กลัวไม่ได้ทำไงถึงได้กล้าทำ”


    เป็นอีกครั้งที่ผมถอนหายใจ ก่อนจะจับหน้าน้องมันนิ่งๆ


    “สัญญาว่าจะรักษาสัญญา”


    ผมว่า


    “สัญญาเช่นกันครับว่าจะรักษาสัญญา”



    เจ้าตัวเล็กของผมว่า ก่อนมันจะหันมานอนซบอกผม เหมือนๆที่ชอบทำประจำในระยะหลังๆ....


    ....จริงๆต้องบอกว่าหลังจากวันนั้น


    เปล่าครับ


    ไม่ได้เป็นแฟน


    ไม่ได้อะไรทั้งนั้นเลย


    ในความรู้สึก แค่ผมเหมือนกับเข้าใจความต้องการ ความนึกคิด ความรู้สึกของอีกฝ่าย แล้วอีกฝ่ายเหมือนผมทุกอย่าง
    อารมณ์มันประมาณนั้นล่ะมั้งครับ ว่าๆง่ายๆดีลกันตรงตัว...เล่นเอาผมหมดสภาพหมอโหดเลยจริงๆครับ แต่พอเป็นแบบนี้ก็ดีขึ้นนะครับ ดูแลได้ง่ายขึ้น พูดจากันผมก็รู้สึกว่ามันสนิทสนมมากขึ้น หลังจากวันนั้นแล้วทั้งผมแล้วน้องมันก็ผูกใจไว้ด้วยข้อ

    สัญญา


    ผมขอให้ร่าเริง สัญญากับผมว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไป เพื่อ ตัวเองส่วนน้องมันขอผมไว้ว่า....


     ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าผมจะอยู่หรือไป .....พี่หมอต้องเดินหน้าต่อไป ห้ามยึดติดกับผมนะครับ


    เสียงเล็กๆบอกผมแบบนั้น ร่าเริงไม่ได้พูดในเชิงหลงตัวเองเลย เขาก็แค่พูดออกมาจากความรู้สึกของเด็กคนหนึ่ง จริงๆแล้ว
    ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าน้องมันจะเข้าใจไหมว่าคำว่ารักมันหมายความลึกซึ้งขนาดไหน และผมยิ่งไม่เข้าใจไปมากกว่าว่าทำไมตัวเองถึงได้
    รู้สึกเข้าจนได้


    ทั้งๆที่ผ่านมาในชีวิตก็ผ่านอะไรมาเยอะ มาเยอะจนผมไม่คิดว่าตัวเองจะเลือกใครสักคนแล้วหยุด มีคนบอกว่าผมมัน หยุดไม่เป็นอาจจะเพราะนิสัยกินไม่เลือกของผมล่ะมั้ง หรือไม่งั้นผมก็อาจจะแค่ไม่เจอคนที่ถูกใจจริงๆ เอาตรงๆผมก็บอกไม่ได้ว่าทำไมถึงเป็นร่าเริง


    แต่เขาสอนผม....


    สอนผมให้เข้าใจว่า...บางครั้งเรื่องบางเรื่องมันมีเหตุผลของมัน แต่เราไม่จำเป็นต้องรับรู้ถึงเหตุผลนั้นๆนิครับ เราก็ปล่อยเหตุผลนั้นให้ไปเป็นตามเรื่องตามราวของมัน ทำใจให้ว่าง เปิดรับความสุขเท่าที่จะมีขึ้นมาได้ อีกอย่างหนึ่งผมเองก็ไม่ได้ดูแลน้องมันตลอดเวลาหรอกนะครับ เพราะคนไข้คนอื่นๆก็เยอะ นอกจากช่วงตรวจสุขภาพประจำวันแล้วกว่าจะได้เจอก็หลังจากผมออกเวร แต่ถ้าวันไหนมีก็อาจจะไม่ได้เจอกันเลยด้วยซ้ำ ร่าเริงไม่เคยเร่งรัดผม ไม่เคยร้องขออะไรที่มากไปกว่าความสุขของเด็กทั่วไปคนหนึ่ง และตลอดเวลาน้องเองก็ยังเป็นคนที่ทุกคนรัก เป็น พระอาทิตย์ดวงน้อยที่แสนจะอบอุ่น


    เพื่อพระจันทร์แบบผมกระมั้ง....


    ผมค่อยๆขยับตัวเองออกจากเตียงเบาๆหลังจากมองนาฬิกาแขวนผนัง ตอนนี้ถึงเวลาเข้าเวรของผมแล้ว ผมประครองศีรษะของร่าเริงวางไว้บนหมอนหนุนใบเล็ก ก่อนผมจะปรับแอร์ขึ้นแล้วห่มผ้าห่มให้น้องมันดีๆ ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นคือรอยยิ้มของน้องมันที่ยิ้มออกมา


    หากมีพรสักข้อให้ผมขอผมก็อยากจะขอ


    ขอแค่นานกว่านี้


    สักหนึ่งปี


    หนึ่งเดือน


    หนึ่งวัน


    หรือแม้กระทั้งหนึ่งวินาทีก็ตามแต่



    ......หากแต่ระยะเวลาที่ผมจะได้สัมผัสและอยู่กับเด็กคนนี้มันยืดยาวมากขึ้น


    ผมก็ยอม.....


    ผมขอแค่นั้นจริงๆ.....


     



     

                ....................................................................................................................................

     



    วันนี้ทั้งวันผมขึ้นวอร์ดและผลัดเวรกับหมอศัลย์เฉพาะทางอีกสองคน เล่นเอาเหนื่อยแทบตายไปเลย พอพี่หมออีกคนลาหยุดงาน แต่ก็นั้นแหละครับใช่ว่าอาชีพเราๆจะลากันได้บ่อยแค่ไหน มีแค่ไม่กีโอกาสเท่านั้นแหละครับเราถึงจะได้หยุดพักกันจริงๆเห็นแก่ว่าพี่แกเพิ่งพีเวดดิ้งหรอกนะ ผมกับหมออีกสองท่านเลยไม่ได้ว่าอะไร แต่รวมๆวันนี้ทั้งวันผมยุ่งจนไม่ได้ไปหาร่าเริงเลย ได้ยินแค่แว่วๆว่าน้องปลื้มกับเพื่อนมาหาก็เท่านั้น


    ร่าเริงเคยเล่าให้ฟังว่าเขามีพี่ชายที่ไม่ใช่สายเลือดเดียวกันคนหนึ่งคือน้องปลื้ม เป็นเด็กผู้ชายวัยรุ่นๆ ม.ปลายครับ  หน้าตาน่ารักออกแนวเด็กเรียนๆหน่อยก็เท่านั้นเอง แต่น้องน่ารักครับ ผมเห็นมาเยี่ยมเจ้าร่าเริงประจำ บางวันก็แบกกีต้าร์มาดีดมาร้องเล่นกันในห้อง


    ผมถอดเสื่อกราวน์ออกก่อนจะเดินตัวปลิวขึ้นในบนตึกผู้ป่วยใน พอเดินออกมาจากลิฟธ์ผมก็เดินต่อไปที่ห้องริมระเบียง เอาจริงๆนอนในห้องกับน้องมันบ่อยกว่ากลับหอพักตัวเองอีกด้วยซ้ำไป....


    แต่ที่ผมแปลกใจวันนี้คือท่าทางของร่าเริงมากกว่า....


    ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องก่อนจะเห็นน้องมันนั้งนิ่งๆ แต่สายตาสองข้างมองออกไปนอกหน้าตา...


    “เป็นอะไรรึเปล่าครับ ?”


    อธิบายไม่ถูก แต่รู้ว่าน้องมันโอเคมากขึ้นร่าเริงหันมายิ้มหน่อยให้กับผมก่อนจะยกมือขึ้นมาสองข้าง


    “พี่หมอ....”


    “.........”


    “วันนี้ผมไปเดินสวนมา....”



    ผมตกใจนิดหน่อยแต่ก็พยายามควบคุมสีหน้าไม่ให้ตื่นตกใจจนร่าเริงกลัว(เพราะมันจะส่งผลกระทบกับจิตใจน้อง) ร่าเริงยิ้ม
    ก่อนจะเล่าต่อ


    “พี่ปลื้มพี่เกียร์พาไปนะครับ”


    ชื่อแปลกๆที่ผมไม่รู้จักชื่อหนึ่งถูกพูดขึ้นมา ก่อนน้องมันจะเล่าต่อ


    “วันนี้พี่ปลื้มมาเยี่ยมผม แล้วก็แฟนพี่ปลื้มอิอิ น่ารักมากเลยครับพี่หมอ”


    “เหรอครับ ? แล้วไปเดินมาเป็นไงมั้งตัวเล็ก”


    “ก็ดีครับ...อากาศสบายดี”


    “..........”


    “..........”


    “วันนี้ร่าเริงได้คำตอบแล้วนะ”



    “คำตอบ ?”


    ผมว่าก่อนจะนั้งลงข้างๆน้องมัน สายตาของผมก็ทอดยาวมองออกไปนอกหน้าตาด้วยเช่นเดียวกัน วันนี้ด้านนอกเมฆปลอด
    โปร่ง อากาศเย็นสบายจนผมรู้สึกหายเหนื่อยไปบ้าง


    “คำตอบ ที่เอาจริงๆร่าเริงก็ไม่เข้าใจว่าทำไม แค่รู้สึกว่าตัวเอง ปลดอะไรหนักๆสักอย่างลงไป....”


    ผมไม่ขัดน้อง ทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี หัวเล็กๆเอนลงมาซบกับแขนของผมก่อนจะพูดต่อ


    “ได้เข้าใจแล้วจริงๆ ว่าการที่ใครสักคนที่เขาอยู่เพื่อเรา มันดีแค่ไหน....”


    “............”


    “ผมไม่เหมือนเด็กคนอื่น...และไม่มีวันเหมือนด้วยพี่หมอ ผมเป็นเด็กที่ขาด ผมขาดทุกอย่างเลย กระทั้งในเวลาที่มีคนเดินเข้ามาเติม ความรักให้กับผม ทำให้ผมยิ้มออกมาได้แม้มันจะบ้าบอขนาดไหน แต่สุดท้ายแล้วก็เหมือนเดิม พระเจ้าก็ยังอยากจะพรากผมไปอยู่ดี....”


    “............”


    “สองสามวันมานี้....ผมเหนื่อยจนไม่อยากขยับ แต่ถ้าไม่ขยับผมคงไม่มีอะไรค้างคามากพอจะ อยู่ต่อ....เมื่อก่อนผมไม่เคยเรียกร้องการมีชีวิตเลย ผมไม่เคยคิดว่าทำไมวันพรุ่งนี้ผมถึงอยากจะเห็นแสงตะวัน แต่ผมรู้แล้วล่ะ ว่ามันมีค่าขนาดไหน การได้มองเห็นคนที่เรารักเต็มๆตา”


    ร่าเริงกำลังจะขยับตัวลุกขึ้น


    ...ก่อนร่างทั้งร่างจะทรุดลงไปกับพื้น ผมใจหายรีบลงไปประครองร่างน้องมัน ร่าเริงสูดลมหายใจแรงขึ้นก่อนจะพูดต่อ เพียงแค่ลมหายใจเริ่มขาดช่วงมากขึ้นเรื่อยๆ ผมรู้ ผมเข้าใจว่ามันกำลังจะเกิดอะไรขึ้น


    ....ตอนนี้สิ่งที่ผมทำได้ก็แค่กลั่นน้ำตาไว้ ไม่ให้มันไหลออกมา


    “ผม...รั..กพี่หมอ...นะครับ”


    “ไม่ต้อง...พูดอะไรแล้วครับ”


    ผมจับนอนมันเอนตัวลงที่นอน ร่าเริงพยายามยิ้มออกมาให้ผมสบายใจ สองมือเล็กๆยกขึ้นมือเหมือนๆอยากจะซับน้ำตาผม

    เอาไว้


    “พี่หมอ..อย่า...ร้อง..นะครับ”


    คำพูดที่เริ่มเหนื่อยอ่อนดังออกมา ผมพยักหน้ารับก่อนจะประครองน้องขึ้นไปนอนบนเตียง มือข้างหนึ่งกุมมือเล็กๆอุ่นๆนั้นไว้แน่นๆ ก่อนจะบอกเบาให้ร่าเริงนอนหลับลงไป ร่าเริงพยักหน้า หยดน้ำตาใสๆไหลออกมาก่อนจะหลับลงไป


    อย่าเพิ่งได้ไหม....


    ขอแค่ไม่ใช่ตอนนี้


    ขอเวลาต่ออีกสักหน่อยได้ไหม


    ให้ผมได้รักเขามากกว่านี้เถอะครับ....พระเจ้า


    .........................................................................



    “คุณหมอพักบ้างนะค่ะ”



    ป้าพยาบาลพูดขึ้นมาเบาๆหลังจากเห็นสภาพของผม


    สภาพของซอมบี้ที่ไม่กินไม่นอนไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไป......


    “ไม่เป็นไรครับ ผมยังไหว”


    ผมว่า.... ก่อนจะพยายามลากสังขารตัวเองกลับเข้าไปในห้องน้องมันอีก


    ตั้งแต่วันนั้นร่าเริงเองก็ยังหายใจอยู่ เพียงแค่ขนาดระยะเวลาต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ...กันภาวะสมองตาย ผมยกมือสองข้างขึ้นมาถูใบหน้าของตัวเอง ก่อนจะทำสิ่งที่ทำทุกครั้งหลังเลิกงาน ผมลากเก้าอี้มาก่อนจะนั้งกุมมือแล้วเล่าเรื่องราวหลายๆอย่างให้ฟัง


    ....คนที่นอนอยู่คงไม่มีสติมากพอที่จะรับรู้เรื่องราวของผม


    แต่ผมไม่รู้แล้วว่าตัวเองควรจะทำยังไง


    ผมแค่อยากใช้ทุกช่วงเวลาสุดท้ายของ ชีวิตให้คุ้มค่า เขาคงไม่อาจจะรับรู้ได้อีกแล้วว่าผมเป็นห่วง ผมรักเขา ผมอยากดูแล
    ผมอยากใช้ชีวิตร่วมกันกับเขา แต่มันไม่มีอีกแล้ว ....


    ...มันไม่มีอีกแล้วจริงๆ


    นาฬิกาทรายชีวิตที่นับถอยหลังอยู่ตอนนี้บีบคั่นหัวใจผมแทบจะตลอดเวลา ทุกๆครั้งทั้งตื่นและหลับ ผมปล่อยวางไม่ได้ ผมไม่สามารถจะปล่อยวางได้จริงๆ ผมสะดุ้งทุกครั้งที่เหมือนได้ยินเสียงชีพจรดับลงไป หลายๆวันมานี้เองทั้งแม่และพ่อของร่าเริงก็มาหาน้องบ่อยๆ สีหน้า แววตาของทั้งคู่ก็ไม่ได้ต่างอะไรจากผม


    ผมไม่เคยเชื่อเรื่องโชคชะตาทุกครั้งจนกระทั้งครั้งนี้


    มันเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายในชีวิตที่ผมอยากจะขอเหลือเกิน ขอให้ระยะเวลามันยาวนานมากกว่านี้


    ขอให้ไม่จากกันแบบนี้จะได้ไหม....


    ...ผมยังไม่ได้บอกรักเขาเลยนะ


    “รู้ไหมเด็กดื้อ เรานอนไปแล้วไม่ยอมตื่นมายิ้มให้พี่หลายวันแล้วนะ”


    ผมพูดติดตลก น้ำตาไหลออกมาทุกครั้งที่มานั้งกุมมือกัน


    “เมื่อไหร่จะลุกขึ้นมาครับ...พักนานเกินไปแล้วนะ”


    “แล้วไหนบอกไงว่าไม่อยากให้พี่เหงา...รู้ไหม พี่แทบไม่ได้กินไม่ได้นอนเลยนะ”


    ผมพูดต่อไปเรื่อยๆ คอมันแห้งและฟืดไปหมด แต่เสียงผมยังพูดต่อไปไม่หยุด มือเล็กๆนั้นเองก็ยังอุ่นเหมือนเดิม ร่าเริง
    เหมือนคนที่นอนหลับไป ใบหน้าเล็กๆนั้นเหมือนจะยิ้มตลอดเวลา มันยังอบอุ่นเสมอไม่ว่าจะผ่านไปนานขนาดไหน จนกระทั้งผมรู้สึกได้ถึงใครบางคนที่มายืนข้างๆ


    “แม่ ......สวัสดีครับ”


    ผมยกมือไหว้แม่น้องร่าเริงกับคุณพ่อ


    จริงๆแล้วผมไม่ได้บอกเล่าอะไรระหว่างผมกับร่าเริงออกไป แต่ท่านทั้งสองเองก็คงอาจจะพอเข้าใจหรือไม่ก็รับรู้และยอมรับมัน...


    แม่น้องร่าเริงพยักหน้ารับไหว้ ก่อนจะกัดปาก เงียบไปสักพักแล้วพูดออกมา


    “แม่กับพ่อ....... คิดมาได้สักพักแล้วล่ะ”


    “เรื่องนั้นใช่ไหมครับ ?”


    แม่ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก มีเพียงน้ำตาเท่านั้นที่ไหลออกมา


    “ตอนนี้น้องเองก็เหมือนตายทั้งเป็น แม่ไม่อยากยื้อน้องไว้ทรมานอีกแล้ว....”


    ผมยิ้มรับทั้งน้ำตา พยักหน้ายอมรับการตัดสินใจของคนเป็นพ่อเป็นแม่ ในฐานะแพทย์เจ้าของคนไข้แล้วหน้าที่ของผมคือการพยายามรักษาน้องไว้ให้ได้นานที่สุด ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ และตอนนี้เวลาของผมเองก็คงจะเดินมาถึงเลขศูนย์แล้ว


    “ถอดเครื่องช่วยหายใจให้น้องเถอะครับ...เขาคงอึดอัดและทรมาน”


    “มันคงถึงเวลาที่เราต้องให้น้องเขาไปแล้วล่ะ....”

     


    ผมหูอื้อ ตาลายไปหมดแต่ก็พยักหน้ารับ ก่อนจะยกแขนเสื้อมาเช็ดหน้าเช็ดตาลวกๆ แล้วเดินออกไปเอาเอกสาร ทุกอย่างมันอื้อไปหมด มันทรมานไปทั้งตัวและหัวใจ ผมเดินไปหยิบใบเรซูเมนพร้อมใบรีมาร์คสีขาวออกมาจากห้องส่วนตัว ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องของน้องร่าเริงพร้อมจม.อีกหนึ่งฉบับเป็นจดหมายสั้งเสียที่ร่าเริงให้ผมเขียนไว้ก่อนหน้านี้ ผมเหลือหน้าที่สุดท้ายที่ค้างคาคือการส่งต่อจม.นั้น.....


    ......และเอาเครื่องช่วยหายใจออก


    “รบกวน...เซ็นตรงนี้ด้วยครับ”


    มือของผมมันสั่นไปหมด ผมถือใบเรซูเมนแทบหล่นด้วยซ้ำ ร่างกายปฏิเสธความจริงตรงหน้าทุกๆอย่าง  คุณแม่รับมันไปก่อนจะจับมือกับคนเป็นพ่อ


    ปลายปากกาน้ำหมึกสีน้ำเงินเข้มกรอกลงไปช้าๆ น้ำตาของผมยังไหลออกมาจากตาทั้งสองข้าง ผมเม้มปากแน่นสนิท รับใบรีมาร์คมาก่อนจะพยักหน้าช้าๆให้กับทั้งสองคน


    “รับทราบคำสั้งสุดท้าย...หมอจะถอดเครื่องช่วยหายใจให้กับผู้ป่วยนะครับ”


    คนเป็นแม่พยักหน้ารับทั้งน้ำตา ทั้งสองคนยืนนิ่งเงียบไม่ได้ออกไปรอด้านนอก ผมพยักหน้าซ้ำอีกครั้งมือสองข้างไล่น้ำตาที่ติดค้าง ก่อนจะค่อยๆถอดเครื่องช่วยหายใจน้องออก เข็มฉีดยาเล็กๆค่อยๆบรรจงฉีดลงไปให้เบาแรงที่สุดตรงต้นแขนเท่าที่ผมจะทำได้ เสียงชีพจรที่เหมือนจะเป็นเสียงที่ดังที่สุดในห้อง ค่อยๆกระพริบดังขึ้นเรื่อยๆ....


    ....และค่อยๆดับลงไป


    ผมยืนมองใบหน้าของน้องมันอีกครั้ง


    ร่าเริงก็แค่หลับไป


    เพียงแค่การหลับครั้งนี้มันยาวนานกว่าครั้งไหนๆ ยาวนานมากซะจนผมนึกหวาดหวั่นในหัวใจ ผมก้มลงปัดแก้มทั้งสองข้างของน้องมันอย่างเบามือ ก่อนจะจัดผมให้เข้าที่เข้าทาง แม้ไม่ได้ตั้งใจแต่น้ำตาหยดหนึ่งก็ไหลลงไปเปื้อนแก้มเล็กๆนั้น นิ้วหยาบกระด้างของผมเช็ดมันออก ก่อนเสียงที่อุดตันในลำคอจะพูดออกมา


    “พี่ไม่เคยเชื่อเรื่องโชคชะตาหรืออะไรทั้งนั้น....”


    “แต่ถ้ามันมีจริงๆ.....”


    “พี่ขอให้พี่ได้เจอเราอีกนะครับ...”


    “พี่รักเราเหมือนกันนะครับ ร่าเริง....”


    จบคำพูดของผมเอง เหมือนน้ำตาที่กลั่นไว้มันพรันพรูออกมา ผมยืนร้องไห้ข้างๆร่างที่ไม่ได้สติก่อนประตูห้องจะถูกเปิดอย่างเบามือ เสียงเล็กๆที่ผมจำได้ดังเข้ามาด้านใน


    “ร่าเริง พี่มาเยี่ย...”


    เสียงน้องปลื้มหยุดชะงักไป แต่ผมไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว ตาทั้งสองข้างของผมปนไปด้วยน้ำตาจนมองข้างหน้าแทบไม่เห็นอะไร


    อาเปรม ...วัสดีครับ....” 


     “ป้อง.....”


    “.........”


    น้องไปสบายแล้วนะ


    แม่น้องร่าเริงพูดออกมา น้องปลื้มชะงักไป ก่อนน้องอีกคนจะดึงตัวเข้าไปกอด ผมพยายามห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลแล้วบังคับให้ตัวเองเดินไปทำหน้าที่อีกอย่างหนึ่ง


     ร่าเริงฝากไว้ให้พวกนาย เขากำชับว่าอยากให้พวกนายสองคนอ่าน” 


    ผมส่งจดหมายยื่นให้น้องผู้ชายคนนั้นไปเขารับมันไว้แล้วพาน้องปลื้มออกไปนอกห้อง ก่อนผมจะพาตัวเองจะเดินกลับไปที่เดิม นี้อาจจะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายจริงๆที่ผมเกลียดพระเจ้า


    ผมร้องไม่ออกแล้ว ผมไม่เหลือน้ำตาหรืออะไรอีกแล้ว มันจุกไปหมด


    .....มันก็แค่อยากจะพูดออกไป


    “พี่จะมีชีวิตต่อไป เพื่อที่สักวัน...เราอาจจะได้เจอกันอีกครั้งนะครับ”


    ผมยกมือเล็กๆนั้นมาจูบซับเอาไว้ ร่างที่ไร้ลมหายใจยังคงเหมือนแค่นิทราไป...


    ....ก่อนที่ผมจะยอมปล่อยมือข้างนั้นไปตลอดกาล


    .....ชีวิตคนจริงๆบางครั้งมันก็ไม่มีคำว่าครั้งที่สอง หรือเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง มันอาจจะไม่มีพรุ่งนี้อีกต่อไป หรือจริงๆแล้วเราทุก
    คนก็แค่กำลังนับถอยหลังกัน ไม่ว่าจะผม พ่อ แม่ หรือใครก็ตาม มนุษย์ก็แค่สิ่งมีชีวิตที่กำลังนับถอยหลังรอเวลา ตั้งแต่เกิดทุกคนเองก็มีเวลาไม่เท่ากันแล้ว


    มันไม่เหมือนในนิยาย มันไม่มีเวลามากพอให้กระทั้งผมได้พูดออกไป


    มันจบแล้วจริงๆ.......


     

     

    ...................................................................................................

     


    หกปีต่อมา.....
    กรุงเทพมหานคร




    ผมยืนอัดนิโคตินเข้าปอดก่อนจะปล่อยใจไปกับสายลม วันนี้อากาศค่อนข้างดี ไม่ร้อนอย่างที่ควรจะเป็นในเดือนเมษาทุกๆปี สำหรับผมแล้วถือว่ามันดีไม่น้อย วันนี้ผมออกเวรตั้งแต่ช่วงบ่ายๆ อาจจะเพราะว่างมากเกินไปหรือไม่ผมก็ไม่มีที่ไป สุดท้ายเตร็ดเตร่ไปมาก็มาเดินอยู่แถวริมน้ำเจ้าพระยา แสงสีทองอร่ามสะท้อนกับผิวน้ำมันล่ะเหลื่อม สีทองสวยดีครับ


    ผมยืนสูบบุหรี่อีกม้วนใจผมก็ยังล่องลอยไปถึงคนที่เมื่อเช้าเพิ่งทำใส่บาตรไปให้ ขนมในนั้นจะพอไหมนะ ? แล้วน้องมันจะชอบแบบที่ผมชอบรึเปล่า แล้วบนนั้นจะเป็นยังไง ? น้องมันจะรับรู้ได้ไหมว่าผมยังคิดถึงมันอยู่ตลอดระยะเวลาหกปีที่ผ่านมา


    ....แล้วทำไมบุหรี่ผมดับว่ะ ?


    ผมเพิ่งรู้สึกได้ว่าตัวเองจะยกนิโคตินขึ้นมาอัดแล้วพบว่าปลายบุหรี่ที่เคยมีไฟบัดนี้กับเปียกชุ่มไปด้วยน้ำเปล่า


    “นี้คุณ ไม่รู้หรือยังไงว่ะตรงนี้ห้ามสูบบุหรี่ ?”


    เสียงแตกเนื้อหนุ่มเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างๆผม ก่อนผมจะหันไปเห็นขวดน้ำในมือที่เพิ่งเปิดฝาออก ถ้าให้เดาก็ไอ้คนนี้แหละที่มันดับบุหรี่ผม


    “ผมไม่รู..........”


    คำพูดคำสุดท้ายของผมหยุดอยู่ที่ลำคอ...หลังกลับไปมองหน้าโจยท์ของตัวผมเองชัดๆ....


    “งั้นก็รู้ไว้ด้วยนะครับ ว่าถ้าอยากจะสูบควันพิษนี้ก็อย่าเพื่อแผ่ใคร เขาไม่ได้ต้องการอยากจะตายไวแบบคุณ !!!


    เขาว่าก่อนจะเดินถือกระเป๋าเคียงผ่านผมไป ผมชะงักไปหลายนาทีก่อนจะรีบหันกลับไปมองตาม ร่างในชุดนิสิตที่จงใจ
    เดินเบียดกระแทกผมไป


    เดี้ยวนะ...


    เมื่อกี้นี้


    ........ร่าเริง ?!?!!


    กว่าจะรู้ตัวอีกที่ ผมก็เดินตามร่างนั้นไปแล้ว....

     

    THE END.

     

    ขอบคุณทุกการติดต่อในที่ชุดก็มาลงซีรีย์น้องร่าเริงจบจนได้ ถ้าหมายถึง น้องร่าเริงจบจริงๆนะครับ....

    ...แต่ไม่ใช่พี่หมอนะที่จบ

     

     

                                

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×