ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ____เก็บ....'รัก' ____[Yaoi] [The End] [เปิดจอง!!!!!]

    ลำดับตอนที่ #41 : #Sp.03 _______ตะวัน_______ [2]

    • อัปเดตล่าสุด 11 เม.ย. 58


    Sp.03 _____ตะวัน_____[2]



    “รู้สึกยังไงบ้างครับ ?”

    ผมถาม หลังเอาสเตทโตสโคปแนบไว้กับหัวใจ ร่าเริงตอนนี้ถอนเสื้อออกจนเหลือเพียงกางเกงผู้ป่วยสีเขียวจางๆหนึ่งตัว ร่าเริงยิ้มจางๆให้ผมก่อนจะสองนิ้วแทนคำตอบ

    กิจวัติประจำวันทุกวันที่ต้องทำ คือการตรวจอัตราการเต้นของหัวใจ และจังหวะการเต้น ว่ามีหัวใจห้องไหนไหมที่เสียงเต้นผิดปกติ ซึ่งการตรวจต้องทำเป็นประจำทุกๆ6-12ชม. นอกเหนือจากนั้นตารางกิจวัติประจำวันอย่างอื่นของร่าเริงคือการออกกำลังกายเบาๆเพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อส่วนอื่นๆตาย

    หลังจากนั้นคือการควบคุมปริมาณอาหารและความต้องการของร่างกาย จากข้อมูลที่ผมได้มาจริงๆแล้วร่าเริงจะอายุประมาณสิบสี่ปีในปีนี้ วันเกิดของเด็กนั้นประมาณอีกสองเดือนข้างหน้า....

    ...นั้นหมายถึงถ้าเขา ‘อยู่ถึง’ นะน่ะ

    ผมไม่ใช่พวกหลอกตัวเองหรือโลกสวยจนไม่รู้จักคำว่าความตาย

    ...หรือจริงๆแล้วผมรู้จักมันดีแล้วต่างหาก

    “พี่หมอว่าน ร่าเริงไม่กินผักได้ไหมครับ ?”

    เด็กนั้นถาม หลังเห็นอาหารเช้าในวันนี้

    “ถ้าพี่บอกว่าไม่ได้ ?”

    “ก็...ไม่กินอยู่ดี”

    “แล้วงั้นเราจะถามพี่ทำไม ?”

    “ก็...ก็ ปกติแล้วคนเป็นหมอต้องห้ามไม่ใช่หรือไง ....แล้วไอ้ชุดพี่นี้มัน”

    ร่าเริงว่า ก่อนจะมองผมที่อยู่ในชุดเมื่อคืน หากแต่มีเสื่อกาวน์หมอสวมทับ ทำไมครับผมแต่งตัวได้แย่ตรงไหน ?

    “คนเป็นหมอนะห้ามได้หมดนั้นแหละ แต่คนป่วยจะฟังไหม ? ถ้าไม่.... จะห้ามทำไมครับ เราก็ปล่อยให้เขาทำตามใจไปเลย เขาอยากทำอะไรก็เรื่องของเขาไปเลยสิ เกิดพี่ห้ามเราไม่ให้ทานเราอาจจะฟังพี่ก็ได้ แต่ลับหลังก็อาจจะไปกินอย่างอื่นอีก แล้วเกิดเราเป็นอะไรขึ้นมา พี่ในฐานะหมอก็ซวยอีก เพราะงั้นพี่ไม่ห้ามเราหรอก...คิดไว้ตลอดแล้วกัน ว่าไม่ว่าเราจะทำอะไร ผลกระทบมันมีมาเสมอ....ไม่กระทบกับเรา ก็กระทบกับพี่ คนอื่นๆที่รักเขา....”

    หลังจากการได้พูดคุยกันเมื่อคืนแล้ว ผมพอจะวิเคราะห์แนวทางในการดูแลรักษาร่าเริงได้ถูกต้อง เด็กคนนี้เป็นเด็กฉลาดและไม่ได้โง่ เพราะงั้นการค่อยๆพูดให้เขาเห็นผลลัพธ์จากสิ่งที่ต้องการ พร้อมทั้งแจงข้อดีข้อเสียให้ฟังจะเป็นการดีกว่าปล่อยหรือบังคับไปเลย

    ร่าเริงพยักหน้าเข้าใจ ใบหน้ากลมๆนั้นทำปากจู๋นิดๆแต่ก็ยอมตัดผักเข้าปากอยู่ดี....นั้นเป็นเรื่องที่อยู่ในการคาดการณ์ของผมแหละนะ

    หลังกินข้าวเช้าเสร็จ ร่าเริงเหลือการออกกำลังกายเล็กๆน้อยๆซึ่งจะทำอยู่ภายในห้อง โอเคมันอาจจะดูเวอร์ๆไปบ้างถ้าจะบอกว่าเด็กที่ยิ้มแฉ่งอยู่นี้คือผู้ป่วยระยะสุดท้ายหรือคนที่กำลังใกล้จะตาย....

    ....พระเจ้ามักชอบพรากความสวยงามของโลกไปเสมอ

    ร่างเล็กๆหมุนตัวตามจังหวะการเต้นในทีวีเกี่ยวกับการออกกำลังกาย  พอเหนื่อยก็นั่งพักกับเตียง ผมมองดูอิริยาบถพวกนั้นต่อไปเรื่อยๆโดยไม่ได้ทักท้วงหรือห้ามปรามใดๆ การห้ามคนไข้หรือแสดงความเป็นห่วงมากเกินไปจะกลายเป็นการกดดันที่ส่งผลลัพธ์ให้แย่ลงกกว่าเดิม หมออย่างผมมีหน้าที่แค่มองดู ให้คำแนะนำการปฏิบัติตอนที่เจ้าตัวไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง หน้าที่ของผมมีเพียงเท่านั้น....

    “น้ำครับ...ค่อยๆดื่มนะ”

    ผมว่า ก่อนจะส่งแก้วน้ำไปให้ ร่าเริงยิ้มรอบแล้วพยักหน้าขอบคุณผมเบาๆ

    “ผมนึกว่าพี่หมอจะว่าผม”

    น้องมันบอกยิ้มๆ

    “ว่า...ว่าเรื่องอะไรล่ะ ?”

    “ก็เรื่องที่ผมออกกำลังกายมากไปไง พี่หมอนิดนะแกบ่นผมประจำนั้นแหละ แถมยังชอบห้ามไม่ให้เคลื่อนไหวร่างกายมากเกินจำเป็นแกกลัวผมตา...”

    “เขาเป็นห่วงเราไง...”

    ผมขึ้นประโยคตัดบท รู้หรอกว่าคำสุดท้ายที่น้องมันจะพูดคืออะไร คนที่พูดคำว่าตายได้มีสองประเภท หนึ่งคือคนที่ยอมรับมันได้จริงๆและสองคือพวกที่ ‘ทำเหมือนว่า’ ตัวเองนั้น ‘ไม่ได้รู้สึกอะไร’กับสิ่งที่กำลังเกิด หากแต่ภายในต่างหากที่เป็นปัญหา ซึ่งดูเหมือนว่าร่าเริงเองก็จะเป็นจำพวกที่สอง....

    มีคนมากมายพยายามทำเหมือนว่ามันโอเค ทำเหมือนกับว่าตัวเองยอมรับมันได้แล้ว หากแต่ความตายคือสิ่งหนึ่งที่มนุษย์ยังหนีไม่พ้น แน่นอนว่าทุกคนหรือแม้กระทั้งตัวผมเอง ทุกคนล้วนกลัวความตาย มนุษย์กลัวทุกสิ่งที่ยังไม่รู้ กระวนกระวาย คิดไปเองจนทำให้ใจเกิดเป็นทุกข์ 

    ยิ่งพยายามบอกว่าตัวเองไม่เป็นไรมากเท่าไหร่ จิตใจภายในยิ่งบอบช้ำมากขึ้นเท่านั้น.....

    “รู้ไหมว่าทำไมพี่ถึงไม่ห้ามเรา......”

    “...........”

    “เพราะเราคือคนที่ยังไม่ตายยังไงล่ะ.......”

    ผมยิ้ม ก่อนจะลูบหัวไอ้ตัวเล็กที่นั่งข้างๆผม   ร่าเริงทำหน้าไม่เข้าใจจนผมต้องเปลี่ยนเป็นคำพูดง่ายๆให้เข้าใจแทน

    “เพราะวันนี้เรายังไม่ตาย  ....เพราะเรายังหายใจ....พี่ถึงได้ไม่ห้าม......”

    “..............”

    “มันคงเป็นอะไรที่งี้เง้ามากๆ ถ้าคนเราสักคนจะหลับไปโดยไม่ตื่นแล้วยังมีเรื่องที่ยังไม่ได้ทำ มีเรื่องที่ไม่สบายใจ ถ้าเป็นพี่ พี่จะใช้ทุกวินาทีที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่า ใช้ชีวิตให้คุ้ม ให้เท่าที่เราได้เกิดมาเจอพ่อเจอแม่ที่รักเรา  เจอผู้คนรอบๆ ได้เรียนรู้ถึงสิ่งต่างๆ บางครั้งชีวิตก็ทำให้เราร้อง ชีวิตก็ทำให้เราสุข...แต่ก็นั้นแหละ  เพราะมันคือ ‘ชีวิต’ ยังไงล่ะ.......”

    การพูด ‘ข้อเท็จจริง’ ของสิ่งที่กำลังจะเกิด ไม่ได้หมายความว่าเราจำเป็นจะต้องพูดตรงๆด้วยประโยคที่ทำให้อีกฝ่ายหมดกำลังใจ หากแต่การพูดข้อเท็จจริงที่ ‘สร้างเสริมกำลังใจ’ สิ่งเหล่านั้นต่างหากที่คนเป็นหมออย่างพวกผมเลือกที่จะใช้มันเติมพลังให้กับคนไข้ 

    คนเราหนีความตายไม่ได้

    แต่เลือกได้ว่าจะตายแบบไหน....

    เราไม่รู้ว่าวันไหนที่เราจะตาย

    แต่เราทำให้ทุกวันเป็นวันที่เราจะตายตาหลับได้....

    “ฮ่าๆ เหรอครับ.. ?”

    ร่าเริงหัวเราะเบาะๆก่อนจะมองหน้าผม

    “พี่เคยถามผมว่าทำป้าธิดาเคยเรียกผมว่า ‘พระอาทิตย์ ’ แล้วมีใครเคยถามพี่หมอไหมครับว่าทำพี่ ‘เหมือนพระจันทร์’ จังเลย”

    “พระจันทร์ ?”

    “พี่ไม่ได้อบอุ่นแบบพระอาทิตย์ หรือเป็นมิตรแบบโลก...แต่พี่น่าค้นหาแบบพระจันทร์....”

    “ถ้าพี่เป็นผู้หญิง...มุกนี้คือเสียว”

    ร่าเริงหัวเราะลั่น ก่อนจะหยุดหัวเราะแล้วนั่งไอ ผมเห็นแบบนั้นเลยลูบหลังปลอบเบาๆก่อนอาการไอจะสงบลง

    “เอาน้ำไหม ?”

    “ไม่เป็นไรครับ ....แต่ไม่ใช่มุกนะเมื้อกี้”

    “...............”

    “พี่....น่าค้นหาจริงๆ....”

    “................”

    “ในชีวิตร่าเริง ตั้งแต่ป่วยจะเจอหมออยู่สองประเภท...หนึ่งคือพวกที่กลัวว่าร่าเริงจะเป็นอะไรไปในความรับผิดชอบของเขา หรือสอง...พวกที่คิดว่าผมต้องตายแน่ๆอยู่แล้วเลยเลือกที่จะไม่ใส่ใจ....แต่พี่เป็นพวกประเภทที่สาม”

    ร่าเริงว่า ก่อนจะหลับตาแล้วพิงไหล่ผม

    “ไม่ได้ใส่ใจจนเกินพอดีเหมือนกับพยายามให้ผมเห็นว่าเป็นห่วง แต่พยายามไม่แสดงออกว่าใส่ใจแล้วดูแลผม....ผมว่าพี่น่าค้นหาออก”

    ผมไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองทำสีหน้าแบบไหน หรือมุมปากยกขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่รู้สึกตัวอีกที่ก็พูดออกไปแล้วว่า

    “ก็เราเป็นน้องชายพี่ไง....”

    ไม่รู้ทำไมผมที่เป็นคนยิ้มยากกลับยิ้มออกมาได้ง่ายๆ

    .....แค่เป็นเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่งที่มีรอยยิ้มแปลกๆก็เท่านั้นเอง...

    “ครับพี่ชาย...ขออยู่แบบนี้ก่อนนะ”

    น้องมันว่า หัวเล็กๆยังคงพิงกับไหล่ผมต่อไป

    “ตามสบายครับ...น้องชาย”





    :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:





    “ไหวไหม ?”

    ผมว่า ก่อนจะส่งผ้าเช็ดหน้าผืนบางให้กับร่าเริง

    วันเวลาผ่านไปเรื่อยๆตามครรลองของมัน ผมเองก็เป็นหมอประจำอยู่ที่นี้ได้เกือบเดือน ตอนนี้หลายๆสิ่งหลายๆอย่างเองก็กำลังเข้าที่เข้าทาง ทั้งเรื่องงานและเรื่องครอบครัว ตั้งแต่รู้ว่าผมจบหมอ พ่อกับแม่เองก็ดีใจมากขึ้น ผมเองก็พยายามที่จะกลับไปเยี่ยมทุกอาทิตย์เท่าที่สะดวก

    ท่านคงไม่คิดหรอกว่าไอ้เด็กที่เคยเห็นวิทย์-คณิตเป็นยาขมจะเดินมาได้ไกลขนาดนี้ แม้จะใช้เวลามากกว่าคนอื่นเกือบๆสองปีแต่ก็ยังคงจบออกมาได้ ได้งานที่ดี การงานเองก็ก้าวหน้าไปมาก หรือแม้กระทั้ง....

    ...ได้คนป่วยที่ดี

    “สบายมากครับพี่”

    ร่าเริงว่าก่อนจะรับผ้าเช็ดหน้าจากผม มือบางขาวๆออกสีแดงระเรื่อจากการออกกำลังกาย ใบหน้าเล็กๆเต็มไปด้วยเหงื่อไคล้ ร่าเริงเช็ดลวกๆเสร็จก็ส่งคืนกลับมาให้ผม

    “อยู่นิ่งๆนะ...”

    ผมว่า ก่อนจะยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมืออีกข้างรวบผมด้านหน้าของร่าเริงขึ้น 

    ...แล้วค่อยๆเช็ดจนเหงื่อที่เหลืออยู่หมดไป

    “ขอบคุณครับ”

    ริมฝีปากเล็กๆนั้นว่าก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างออกมา

    “รู้สึกปวดหัวใจมั่งไหม ?”

    “ไม่เท่าไหร่ครับพี่ แค่เหนื่อยๆเท่านั้นเอง”

    ร่าเริงว่า ก่อนจะกดเล่นเครื่องเล่นMP3ในมือแล้วเอนหลังลงไปนอนกับเตียง เสียงเพลงค่อยๆดังขึ้นเบาๆก่อนคนเปิดจะนอนฮัมเพลงตามไปด้วย





    ไม่ว่าเจอสิ่งใด เนิ่นนานไปก็แปรเปลี่ยน สักวัน 
    เคยวิ่งตามความฝัน แต่บางครั้งก็ต้องหยุด แค่นั้น 
    เมื่อก่อนเคยรัก เคยผูกพัน 
    แต่มาวันนี้มันเป็นเพียง คนเคยได้รู้จักกัน 
    วันนี้มีสุขใจ แต่ต่อไปสักวันคง วุ่นวาย 
    หากความทุกข์ทนจางหาย อาจมองเห็นความสุข อีกครั้ง 

    จึงทำให้ฉัน ได้เข้าใจ ทุกสิ่งเปลี่ยนผันสักเท่าไร 
    ฉันจะก้าวเดินต่อไป 

    อย่าลืมเรื่องราวที่ผ่านที่เคยได้เจ็บช้ำ 
    ยังมีเรื่องราวที่ดีที่เคยได้จดจำ 
    เก็บคืนและวันที่ผ่านที่เคยได้ปวดร้าว 
    ยังมีเรื่องราวที่ดีที่รอให้จดจำ 

    วันที่ทำผิดไป อาจเจอใครที่เข้าใจ สักคน 
    ในความมืดมนสับสน อาจเจอคนที่จริงใจ ไม่ยากนัก 

    จึงทำให้ฉัน ได้มั่นใจ ทุกสิ่งเปลี่ยนผันสักเท่าไร 
    ฉันจะก้าวเดินต่อไป 
    ในความมืดมิดยังมีดวงดาว 
    และแดดยามเช้าพาให้เราก้าวไป 

    อย่าลืมเรื่องราวที่ผ่านที่เคยได้เจ็บช้ำ 
    ยังมีเรื่องราวที่ดีที่เคยได้จดจำ 
    เก็บคืนและวันที่ผ่านที่เคยได้ปวดร้าว 
    ยังมีเรื่องราวที่ดีที่รอให้จดจำ





    “พี่เคยมีความฝันไหม ?”

    ร่าเริงถามผมเบาๆ ตายังคงหลับลงไป ผมเองก็ค่อยๆเอนหลังลงก่อนจะนอนยกแขนข้างหนึ่งมาปิดดวงตาเอาไว้

    “มีสิ...พี่เคยมีความฝัน”

    “ฝันว่า ?”

    “พี่ฝันว่าอยากจะเดินทางรอบโลกนะ...ไม่สิ เอาแค่ที่ไทยก่อนก็ได้”

    “เหรอครับ ...แต่ตอนนี้พี่เป็นหมอนิ”

    “ก็ใช่ไง เป็นหมอรักษาเราไง”

    ผมรู้สึกเหมือนร่าเริงขยับตัวพลิกมาทางผม ผมเลยลืมตาก่อนจะหันข้างไปหาดวงตากลมโต

    “แล้วทำไมถึงมาเป็นหมอล่ะ ? ลุคพี่ไม่ให้เลยเอาจริงๆ”

    ร่าเริงถามผมมาแบบนี้เท่าที่เจ้าตัวอยากจะถาม ก็จริงของน้องมันแหละครับ ลุคผมมันเหมือนพวกนักเลงหัวไม้หรือไม่ก็พวกเด็กช่างกลอาชีวะมากกว่าจะเป็นคุณหมอเฉพาะทาง แต่นั้นก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมภูมิใจ.....

    “เพราะพี่ไม่อยากให้ใครมองพี่แค่ภายนอกไง...”

    “ยังไงครับ ?”

    ปากเล็กๆถาม ก่อนนิ้วชี้จะไล่อักษรตามลายสกรีนเสื่อผม

    “พี่อยากให้ทุกคนได้เห็น ไม่ว่าข้างนอกพี่จะเป็นยังไง แต่พี่ก็ยังเป็นคนๆหนึ่งที่ประสบความสำเร็จได้ พี่อาจจะเจาะหู พี่อาจจะแต่งตัวเน่าๆ แต่พี่ก็มีความรับผิดชอบมากพอจะดูแลคนๆหนึ่งได้ในฐานะคนป่วย...และน้องชายของพี่ ได้ดีเท่าที่พี่หรือหมอคนหนึ่งจะทำได้”

    “แล้วทำไมพี่ถึงยังไม่มีแฟนอ๊ะ... ?”

    “.............”

    ดวงตากลมโตสนิทยังคงจ้องมองผม 

    จะตอบยังไงดีล่ะ....

    “พี่แค่ยังไม่เจอคนที่ใช่นะ”

    “แล้วคนที่ใช่นี้...แบบไหนล่ะครับ ?”

    ร่าเริงยังถามต่อ นิ้วเล็กๆยังเขี่ยไปมาบนเสื้อของผม

    “อื้ม....ก็แบบ เด็กกว่าพี่หน่อย มีเหตุผลนิดๆ ไม่ขี้งอน ไม่ขี้งอแง ที่สำคัญต้องกินผัก”

    “ทำไมต้องกินผัก ?”

    ไม่รู้เพราะอะไร ผมรู้สึกเสียงน้องมันหม่นๆชอบกล...หรือไม่ผมก็คงคิดไปเอง

    “ก็คนกินผักเป็นคนที่รักสุขภาพ...แล้วคนที่รักสุขภาพ ก็น่าจะรักพี่ไง.....”

    ผมไม่แน่ใจนักหรอกว่าทำไมตัวเองถึงตอบไปแบบนั้น อาจจะเพราะอยากรู้อะไรบางอย่าง หรือไม่อย่างงั้นไอ้อาการที่หัวใจมันเต้นแรงแปลกๆนี้ ก็เพราะว่าผม ‘คาดหวัง’ อะไรอยู่บ้างรึเปล่านะ ?

    ร่าเริงเงียบไปสักพัก...ไม่สิ ไม่ใช่แค่ร่าเริงหรอก ผมเองก็เงียบไปเหมือนกัน ก่อนน้องมันจะดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดหน้าแล้วพูดออกมาเสียงแผ่วเบา

    “แล้วถ้าร่าเริงกินผักล่ะ ?”

    ผมรู้สึกได้ว่าตัวเองใจเต้นแรกมาก มากจนกลัวว่าคนข้างในผ้าห่มจะจับได้ ร่างกายเหมือนไม่ยอมรับฟังคำสั่งรู้แค่ว่าลำตัวขยับไปด้านหน้าก่อนริมฝีปากจะกดทับลงไปกับผ้าห่มตรงบริเวณหน้าผาก


    “พี่ก็คงจะรักเราแหละครับ......”



    TBC.


    พี่หมอกินเด็ก !!!!!  :กอด1:  ฝากน้องๆด้วยนะครับ อีกไม่กี่ตอนจะจบแล้วจ้า
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×