ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ____เก็บ....'รัก' ____[Yaoi] [The End] [เปิดจอง!!!!!]

    ลำดับตอนที่ #39 : #Sp.01 เรื่องราวต่อจากนั้น [ครึ่งแรก]

    • อัปเดตล่าสุด 25 ม.ค. 58


    ตอนพิเศษ  เรื่องราวต่อจากนั้น... [1]


    “ผมดีใจที่ได้เข้าศึกษาในที่แห่งนี้ ที่ซึ่งมีเกียรติ์และศักดิ์ศรี ที่ๆซึ่งเปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองของผม ถ้าหาก..... ”

    เสียงร่ายยาวของไอ้ป้องดังขึ้นจากด้านหน้าผมก่อนผมจะยืนสัปหงกไปเรื่อยๆ

     อ่า...แอร์ในหอประชุมเย็นจริงๆด้วยแหะ แล้วไอ้อู๋จะสกิดอะไรหนักหนาวะ คนจะ(ยืน)หลับจะนอน

    “นาย ก้องเกียรติ์  ออกไปพูดเดี่ยวนี้!!!”

    ผมสะดุ้งตัวพรวดก่อนจะก้าวออกมาข้างหน้าตามคำสั่ง ชิบ...มิสอร่ามศรี...มาตั้งแต่ตอนไหนวะ พอหันไปมองหน้าเพื่อนสนิทตัวเองไอ้อู๋ขยับปากอ่านได้ว่า ‘กูปลุกมึงแล้ว ไอ้สัส’ ผมแอบชูนิ้วกลางเมื่อเห็นรอยยิ้มขบขันจากมัน ไอ้เวร นี้จงใจแกล้งกูสินะ

    “พูดสุทรพจย์จบให้เพื่อนๆฟังเดี่ยวนี้ !!!”

    มิสอร่ามศรีสั่ง ก่อนจะผายมือให้ผมเดินไป แน่ล่ะว่าผมทำอะไรไมได้หรอกนอกจากจะเดินไปตามคำสั่งที่ว่า ไอ้ป้องเองแค่ขมวดคิ้วนิดหน่อยตอนที่เห็นผมเดินมา ก่อนมันจะยิ้มขำให้อีกคน..... ดูสิครับขนาดแฟนยังยิ้มขำผมอ๊ะ

    “เออ....”

    ผมพูดค้างก่อนจะกวาดตามองเพื่อนๆร่วมสายชั้นสี่ร้อยกว่าคน หลายๆคนเองผมก็รู้จัก บางคนแม้ไม่ได้เรียกห้องเดี่ยวกันแต่ก็เคยเดินสวนกัน ทุกๆคนอาจจะจำกันได้ไม่หมดแต่ก็รู้ว่าพวกเราเป็นพื่อนกัน

    “ก่อนอื่น..ขอบอกก่อนว่าผมด้นสดเพราะโดนผลักมา...โอเคนะ”

    คำพูดของผมเรียกเสียงหัวเราะให้เหล่าทโมนในห้องประชุมได้ไม่น้อย  มิสอร่ามศรีค้อนขวับมาให้ผม  ส่วนไอ้ป้องแอบหยิกต้นแขนผมเบาๆหลังไมค์โทษฐานที่เล่นกระทั้งวันจบการศึกษา

    อ่า...ฟังไม่ผิดหรอกครับ

    ผมกับมัน(รวมทั้งไอ้พวกทโมนทั้งหลาย)ทุกคนเรียนจบกันด้วยจริงๆแหะ.....

    “ผมก็...ไม่รู้จะพูดยังไงดี.....”

    ผมว่าต่อ ก่อนจะกวาดตาไปรอบๆห้องประชุม

    “ตลอดเวลาที่ผ่านมา ที่นี้เป็นเหมือนบ้าน  เหมือนที่ๆหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกสุขใจทุกครั้งที่ได้อยู่  ผมได้เจอเพื่อน ไอ้เจออาจารย์ที่ดี ไอ้รับสิ่งที่ดีๆมากมายจากการศึกษาตลอดระยะเวลาหกปีที่ผ่านมา.....”

    “ยิ่งผมโดนบังคับ...โอเค สมยอมเป็นเลขาธิการสภานักเรียนผมถึงได้รู้ว่าแฟนผมทำงานหนักมากขนาดไหน..โอ๊ย  ป้องหยิกเกียร์ทำไมเนี้ย....โทษนะครับถึงไหนแล้วนะ...อ้อ”

    ไอ้ป้องคาดโทษผมไว้ ก่อนมันจะฟังผมพูดต่อ

    “ขอบคุณครับ......”

    “ขอบคุณเพลินจิตวิทยา บ้านที่ทำให้ผมได้พบกับเพื่อน.....ขอบคุณมิสและบราเดอร์ทุกท่านที่เหนื่อยกับไอ้พวกทโมนอย่างพวกผม ขอบคุณคุณพ่อและคุณแม่ที่คอยเป็นกำลังใจให้มาตลอดจนถึงตอนนี้ ผมเองก็ยังงงๆเลยว่าตัวเองจบการศึกษาได้ยังไง ฮ่าๆ...โอ๊ย ป้องบอกว่ากอย่าหยิก”

    ประโยคหลังผมลดเสียงพูดกับมัน ไอ้ป้องตวัดตามองผมอีกครั้งก่อนหน้ามันจะแปลความหมายได้ว่า ‘เลิกเล่น’

    “โอเค...สุดท้ายนี้ผมอยากจะฝากเอาไว้”

    “ไม่ว่าเราทุกคนจะเป็นยังไง ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นแบบไหน เราทุกคนยังเป็นเพื่อนกัน....ผมสีญญาว่าถ้ามีโอกาสจะมาออกแบบภายในให้กับรุ่นน้องๆแน่นอน ฮ่าๆ ถ้าผมติดมหาลัยที่สมัครนะน่ะ”

    เสียงโห่ฮาดังขึ้นจากด้านล่างอีกครั้ง ผมกับพวกคณะกรรมนักเรียนชุดนี้ทั้งหมดโค้งตัวพร้อมกัน ก่อนจะเอ่ยคำว่า ‘ขอบคุณ’ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะพูดอะไรอีกดีเพราะทุกอย่างเราทุกคนล้วนรับรู้กันด้วยใจแล้วนั้นเอง พวกเพื่อนผมทั้งหมดช่วยกันร้องเพลงมาร์ชของโรงเรียนเพลินจิตวิทยา ก่อนต่างคนจะต่างแยกย้ายกันไปให้เหล่ามิสและบราเดอร์ผูกข้อมือให้เป็นของขวัญวันจากลา

    “จบจนได้เนาะ.....”

    ผมพูดขึ้นเรียบๆหลังเราทั้งคู่ไปให้เซนเซผูกข้อมือให้เสร็จแล้ว

    “แต่กว่าจะจบได้...เล่นเอาเหงื่อตกเลย...”

    จริงอย่างที่ไอ้ป้องมันว่า ตลอดเวลาหนึ่งปีที่มันเป็นประธานนักเรียน มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายจริงๆ ทั้งตอนที่สาขาสองถูกไฟไหม้จนต้องมาเรียนกับพวกผมสักพักใหญ่ๆ หรือกระทั้งการที่โรงเรียนยกพวกตีกัน แน่นอนว่าพวกมือปราบยังทำงานได้ดีเสมอต้นเสมอปลาย  ผมเองก็สอบติดรับตรงไปได้ด้วยดี ส่วนไอ้ป้อง....

    ....มีจดหมายเชิญเข้ามหาวิทยาลัย พร้อมทุนการศึกษาเรียนฟรีสี่ปี

    ให้ตายเหอะ โคตรลำเอียง....

    “ไม่ดีเลยวะ แบบนี้แปลว่าช่วงที่ต้องไปเรียนกูกับมึงก็ต้องห่างกันอ๊ะดิ”

    ผมว่า เพราะตัวเองดันทะลึ่งติดจังหวัดที่เป็นบ้านเกิดของไอ้ป้องมัน...ครับ ผมติดมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่เชียงใหม่นี้ล่ะครับ ส่วนไอ้ป้องมันดันได้ทุนจากม.แห่งหนึ่งที่จังหวัดปทุมธานี เล่นเอาผมเซ็งเลย จะย้ายไปก็ดันไม่มีสาขาที่ผมต้องการจะเรียนอีก ไอ้ป้องเองก็ติดสัญญาค่ายเพลงทำให้ต้องเรียนที่นั้น

    “เป็นไร ทำหน้าเศร้าอีกแหละ...กรุงเทพ-เชียงใหม่ ไม่ได้ไกลขนาดนั้นสักหน่อย บินแปปๆก็ถึง”

    มันว่าพลางดึงมือผมเอาไว้

    “ไม่ไกล...แต่กลัวคนใกล้ทำให้ใจเปลี่ยน”

    “ไม่ไหว”

    “.......”

    “เปลี่ยนไม่ไหวหรอก .... รักมากขนาดนี้”

    มันว่าก่อนจะส่งรอยยิ้มซื่อๆให้ผม

    “พูดงี้ไม่อยากนอนใช่ไหม ?”

    “จะไม่รักก็แบบนี้แหละ หื่นตลอดกาล”

    “พูดเล่นนะ คืนนี้ต้องไปกินเลี้ยงจบไม่ใช่เหรอ ?”

    “เออวะ”

    ไอ้ป้องทำหน้าเหมือนเพิ่งคิดได้  นี้หมายความว่ามึงไมได้ดูเอกสารที่กูส่งไปให้เซ็นเลยสินะ แต่ถ้าผมเป็นมันผมเองก็คงได้แต่เซ็นเพราะมันเยอะจริงๆทำให้อดนึกไม่ได้ว่าไอ้พี่กาเซียร์มันทำได้ยังไงถึงจบออกไปพร้อมเกรดสวยๆแบบนั้น  ก็ขนาดไอ้ป้องเกรดยังลดเลยอ๊ะครับ!!! (ส่วนผมแค่สามกว่าๆก็คางเหลืองแล้วครับT T )

    “เกียร์”

    “ห๊ะ ?”

    “ไปตึกห้าชั้นสองกัน...”

    มันพูดจบก็ไม่รอฟังคำตอบหรอกครับ เดินลิ่วไปนู้น จะทำยังไงล่ะครับก็ตามไปสิ ผมกับไอ้ป้องเดินลัดเลาะสนามยงยุทธก่อนจะเดินมาถึงอาคารห้า จริงๆผมรู้อยู่แล้วล่ะว่ามันอยากขึ้นมาบนนี้ทำไม

    “ไม่น่าเชื่อเลยเนาะ....เรื่องของพวกเราเนี้ย.....”

    มันเริ่มพูดขึ้นก่อน

    “อื้ม...ก็จริงๆนั้นแหละ ไม่คิดเหมือนกัน....ว่าจะรักได้ขนาดนี้”

    “ไปเชียงใหม่จะเป็นยังไงบ้างเนี้ย.....”

    “ก็จะรักเหมือนเดิมนั้นแหละ...”

    ไม่ใช่แค่ผมหรอกที่หวง...มันเองก็ห่วงผมเหมือนกันนั้นแหละ

    “ถ้าเรามีเวลาหนึ่งวันเราจะได้เจอกัน ถ้าเรามีเวลาหนึ่งชั่วโมงเราจะได้สไกด์คุยกัน ถ้าเรามีเวลาหนึ่งนาทีเราจะโทร.หากัน สัญญานะ......”

    นิ้วก้อยยาวถูกส่งมาให้กับผม ก่อนมันจะคลี่ยิ้มออกมา ผมยิ้มตอบรับก่อนจะยืนนิ้วก้อยไปเกี่ยวไว้

    “ตลอดไป.... เกียร์สัญญาว่าจะตั้งใจเรียน แล้วจะรีบสร้างบ้านไวๆ”

    ผมกอดอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย รู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นแค่การจากลาช่วงสั้นๆ เรายังไปมาหากันได้เสมอทุกครั้งที่คิดถึงกัน แต่เพราะความไกลไม่ใช่รึยังไงที่ทำให้ใครหลายคนเลิกราจากกัน ผมไม่อยากเลิกกับไอ้ป้องและไม่เคยแม้แต่จะคิด แน่นอนว่ามันเองก็คงคิดแบบเดี่ยวกับผมนั้นแหละ แต่เราทั้งคู่เองก็โตมากพอที่จะแยกแยะความรู้สึกส่วนตัวและหน้าที่ออกไปได้ จริงอยู่ที่ว่าเรื่องครั้งนี้มันไม่ได้หนักหนาอะไรนัก เราแค่แยกย้ายกันไปเรียน

    แต่ถ้าวันใดวันหนึ่ง เรื่องที่ทำให้เราแยกกัน ถ้าหากว่ามัน...เป็นความฝันของใครคนหนึ่ง

    ......ผมไม่รู้เลยจริงๆว่าจะต้องทำยังไงต่อไป

    หลังจากวันนั้นผมกับไอ้ป้องใช้ช่วงระยะเวลาสามเดือนที่เหลืออยู่ในกรุงเทพฯทำสิ่งที่อยากจะทำด้วยกัน  ผมพามันออกงานสเกตบอร์ดถี่ขึ้นมาก  มันเองก็พาผมไปนู้นไปนี้บ่อยๆ  เราทั้งคู่ยังไปเยี่ยมน้องร่าเริงเป็นประจำ และทุกๆครั้งที่ไปก็จะเจอพี่หมอที่มาเยี่ยมเหมือนๆกัน

    พี่หมอบอกผมกับไอ้ป้องว่า พี่เขาไม่ได้เลือกที่จะจมกับอดีต

    เขาแค่เลือกที่จะไม่ลืม.....

    วันเวลาผ่านไปเหมือนสายน้ำ ระยะเวลาสามเดือนของเราหมดลงไป ผมนั่งมองพวงกุญแจรูปปลาตัวโตๆที่ใครคนหนึ่งซื้อให้เป็นเครื่องรางบนรถไฟ วิวสองข้างทางไม่ได้ชวนให้ผมรู้สึกอยากมองเท่าไหร่เลย จริงอยู่ที่เชียงใหม่อากาศมันก็ดี แต่มันจะดีกว่านั้นถ้าหากมีคนๆนั้นข้างๆกัน

    ให้ตายเหอะ ผมติดมันมากจริงๆนั้นแหละ

    แล้วปานี้มันจะเป็นยังไงนะ ? มันจะคิดถึงผมแบบที่ผมคิดถึงมันรึเปล่า ? แล้วที่มหาวิทยาลัยของมันจะมีการรับน้องแบบไหน ไอ้ป้องจะเข้ากับคนที่คณะนั้นได้ไหม ? มันจะยังมีเพื่อนที่คอยให้คำปรึกษามันใช่ไหมนะ ?

    ผมครุ่นคิดไปเรื่อยๆ วิวสองข้างทางก็ค่อยๆเปลี่ยนไป รู้สึกตัวอีกที่มือถือก็สั่นเป็นสัญญาณว่ามีใครส่งไลน์มา ผมหยิบขึ้นมาปลดล็อคหน้าจอก่อนจะสไลด์ดูข้อความที่ส่งมา

    ‘ปกป้อง  : วันนี้รับน้องหนุกมาก’

    ไอ้ป้องส่งข้อความสั้นๆ พร้อมรูปมันในชุดนิสิตชายที่โดนมันจุก รอบๆตาโดนเขียนด้วยลิปสติกสีแดง รวมๆแล้วทั้งหน้าใช้คำว่าเละก็คงยังไม่พอแบล็กกราวด้านหลังคือเพื่อนผู้ชายสามสี่คน  ผมหลุดขำทันทีที่เห็นภาพดังกล่าวก่อนจะยิ้มร่าตอบกลับมันไป

    ‘ไว้ถึงเชียงใหม่แล้วจะส่งรูปให้ดูอีกรอบ’

    ผมกดส่งภาพตัวเองจุ๊บพวงกุญแจรูปปลาส่งกลับไปให้มัน ข้อความของผมขึ้นว่า ‘seen’ เป็นว่าอีกฝ่ายได้อ่านข้อความของผมเรียบร้อยแล้ว มันกดส่งสติกเกอร์ยกนิ้วโป้งข้างหนึ่งขึ้น ก่อนจะเงียบหายไป ผมยิ้มให้กับตัวเองหน่อยๆ

    จริงสินะ.....ไอ้ป้องเองก็ไม่ใช่เด็กๆแล้ว มันเองก็มีเพื่อนเยอะแยะ

     นับว่าเราทั้งคู่ เปลี่ยนแปลงขึ้นจากเดิมมากจริงๆ.....

    ผมพิงผนังรถไฟก่อนจะค่อยๆหลับตาลงไป หวนคิดถึงหลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่ทำให้เรามีเราในวันนี้ สี่ปีกับอนาคตที่กำลังจะสร้างมันขึ้นมา ผมปรารถนาให้มันเป็นไปได้ดั่งใจเหลือเกิน.....






    ___________________________________________________________________________




    “และนี้คือกองทัพคาราวานแฟนคลับที่มาคอยคิวซื่อบัตรคอนเสิร์ตนะค่ะ เดียวเราเข้าไปถามพวกเขากันดีกว่าว่ามาจากที่ไหนกันบ้าง”

    นักข่าวสาวในทีวีพูดขึ้นก่อนจะยื่นไมค์ไปให้เหล่าแฟนคลับที่กำลังจดจ่ออยู่กับการเข้าแถวพูดออกอากาศ

    “มาจากที่ไหนกันบ้างค่ะ ?”

    “น่านค่ะแล้วก็เพื่อนอีกสองคนมาจากแพร่ นั่งๆรถกันมาค่ะ” 

    สาวน้อยคนนั้นตอบยิ้มๆ ก่อนจะพากันบิดเขินอายเมื่อกล้องฉายไปที่เสื้อของหล่อนซึ่งเป็นรูปของศิลปินชื่อดังเจ้าของบัตรคอนเสิร์ตในวันนี้

    “เป็นแฟนคลับ ‘อามัว’ มานานรึยังค่ะเนี้ย ?” 

    หล่อนพูดต่อก่อนจะยื่นไมค์ให้อีกครั้งหนึ่ง เด็กสาวทั้งกลุ่มบิดไปบิดมาก่อนจะตอบด้วยท่าที่เหนียมอาย

    “นานแล้วค่ะพี่ ตั้งแต่สมัยที่อามัวยังไม่เปิดเผยตัวตนค่ะ จนถึงตอนนี้ก็เกือบๆห้าหกปีแล้วที่ติดตามผลงานมา พี่เขาน่ารักค่ะ แล้วก็...ยังโสด”

    คำพูดนั้นเรียกเสียงกรี๊ดได้จากทั้งกลุ่มพ้องเพื่อนและคนที่อยู่ใกล้เคียง นักข่าวสาวอมยิ้มก่อนจะถามต่อ

    “ถ้าบอกถึงอามัวได้ถึงอย่างจะบอกว่าอะไรค่ะ ?”

    หล่อนทำท่านึก ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงกระดี๊กระด๊า..จนผมเริ่มหมั้นไส้

    “อยากจะบอกพี่อามัวว่า หนูไปคอนฯพี่ทุกครั้งเลย ก็ถ้าไม่มีปัญหาอะไร....หนูขอเป็นแฟนคลับวีไอพีได้ไห....”

    ‘พรึ่บ’

    ยังไม่ทันได้พูดจบประโยคผมก็กดรีโมทในมือให้ดับลงก่อนจะยกขามาพาดไว้กับโต๊ะแก้วที่ไว้วางของด้านหน้า ให้ตายเหอะ รู้สึกไม่สบอารมณ์ชะมัด....

    ยังโสด...

    ใช่ ....นั้นคือสถานะไอ้ป้อง ‘ของผม’ที่คนอื่นรับรู้ แน่ล่ะ ก็ศิลปินที่มีแฟนแล้วกับศิลปินที่ยังไม่มีแฟน ดีกรีความนิยมมันต่างกันคนละเรื่องนิครับ ผมเองก็โตมากพอแล้วที่จะเป็นผู้ใหญ่รับฟังเหตุผลจากไอ้ป้องมัน ซึ่งหลายๆครั้งมันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ แต่ผมไม่ชอบที่ใครเข้ามาเกาะแกะกับมัน ยิ่งหลังมันเข้ามหาวิทยาลัย ทั้งเสือสิงกระทิงแรดแทบจะวิ่งถลาเข้าใส่มัน จำได้ว่ามีครั้งหนึ่งที่ผมไปเยี่ยมไอ้ป้องที่หอ ผมต้องช่วยมันจากการจะโดนผู้หญิงข่มขืนด้วยซ้ำ ดีว่าสิ่งที่เราเคยพูดกันว่าช่วยทำให้อุ่นใจเราทั้งคู่

    ถ้าเรามีเวลาหนึ่งวันเราจะได้เจอกัน

    ถ้าเรามีเวลาหนึ่งชั่วโมงเราจะได้สไกด์คุยกัน

    ถ้าเรามีเวลาหนึ่งนาทีเราจะโทร.หากัน

    เราทั้งคู่ทำตามสิ่งที่ได้พูดไว้จริงๆ

    เพราะงั้น....ความสัมพันธ์ของผมกับไอ้ป้องเลยเป็นเหมือนเดิมเสมอ......

    ไม่ใช่แค่แฟนแต่มันคือคนรัก คนที่พร้อมจะอยู่ด้วยกันไปอีกนานแสนนาน พ่อกับแม่เองก็ยินยอมตั้งแต่ตอนที่เกิดเรื่องขึ้นในครั้งนั้น  จะว่าไปแล้วก็คิดถึงไอ้พวกนั้นแหะต่างคนต่างแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง  ถึงจะไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอกันเหมือนตอนเรียนโรงเรียนเดียวกัน แต่ทั้งผม ไอ้เฟรม และไอ้อู๋ ร่วมทั้งเพื่อนๆของไอ้ป้องก็ยังนัดเจอกันบ่อยๆ จะมีก็แต่สีเทียนที่ไม่ค่อยได้เจอ

    ผมคิดว่านั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องของสีเทียนนะ....

    เรื่องราวความรักที่เกิดขึ้นของทุกคู่ใช่ว่าจะลงเอยเสมอไป สุดท้ายแล้วหนมปังก็ตัดสินใจยุติเรื่องราวทุกอย่างด้วยการหนีไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นและตัดการติดต่อสื่อสารทุกอย่างกับสีเทียน  ผมเหมือนเห็นตัวเองตอนช่วงที่ไอ้ป้องหายไปจากสีเทียน สิ่งที่เหมือนกันมากที่สุดคือหมอนั้นยังรอ ....

    รอสักวันที่หนมปังจะให้อภัย....และกลับมาคืนดีกันอีกครั้งหนึ่ง

    คล้ายๆเหมือนเพลงที่ผมเคยเขียนให้ไอ้ป้อง เรื่องราวชีวิตยังคงเดินต่อไปจริงๆ ตอนนี้ทั้งผมและไอ้ป้องเองก็อายุขึ้นหลักสองกันมานานแล้ว(ผมยังไม่แก่นะครับแค่โตขึ้นเฉยๆ....) เราทั้งคู่จบมหาวิทยาลัยในปีการศึกษาเดียวกัน ก่อนไอ้ป้องจะโหมงานสร้างอนาคตเต็มตัว 

    และผมเอง....ที่ก็ทำงานมาได้นานแล้ว

    หลังจากจบด้านการออกแบบภายในหรือมัณฑนากร ผมเริ่มต้นจากศูนย์ด้วยการเข้าทำงานกับบริษัทเก่าของพ่อ ออกแบบห้องประชุม ห้องรับรองจากความคิดสร้างสรรค์หลายๆแบบ สำหรับตัวผมเองแล้วก็ต้องยอมรับว่าการทำอาชีพมัณฑนากรเป็นงานที่สนุก ท้าทาย และได้สร้างสรรค์สิ่งสวยงาม  ทำให้คนมีความสุข  แต่งานที่สนุกของผมเองก็ไม่ได้เป็นงานที่สบาย  ไม่ได้นั่งขีดเขียนออกแบบอยู่กับโต๊ะเหมือนที่หลายคนเข้าใจ  แถมยังต้องเสี่ยงต่อการโดนช่างหนีงาน   โดนลูกค้าเบี้ยว ไม่จ่ายเงิน   และอันตรายต่างๆ ที่สามารถเกิดขึ้นได้เวลาลงพื้นที่หน้างาน  สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้ที่ร่ำเรียนมาทางด้านการออกแบบและตกแต่งภายในผันตัวเองจากการทำอาชีพมัณฑนากรไปประกอบอาชีพอื่นก็มีมาก  แต่ก็มีเพื่อนร่วมอาชีพอีกมากมายที่ยังทำงานกันด้วยใจรัก  และสิ่งสำคัญที่จะทำให้งานดำเนินลุล่วงตามเป้าหมายก็คือความซื่อสัตย์  อดทน  และคิดถึงใจเขาใจเรา นั้นเป็นสิ่งที่ผมยึดถือเสมอมา

    ไอ้ป้องเองก็ทำงานหนักไม่ต่างจากผมเลย นักร้องแบบมันต้องเดินสายโปรโมทอยู่แทบจะตลอดเวลา เวลากินเวลานอนไม่เคยมีหรอกครับ มีแค่ทำงานเสร็จก็ได้นอน ทำไม่เสร็จก็อดนอน 

    แต่ถึงจะยุ่งขนาดไหน มันก็มันจะหาเวลามาหาผมอยู่เสมอๆ

    เหมือนวันนี้....

    “ทำไรอยู่ครับ...หื้ม.... ?”

    เสียงนุ่มๆดังขึ้นข้างหูผม ก่อนแขนคู่หนึ่งจะกอดมาจากด้านหลัง

    “เรื่อยเปื่อย...วันนี้คุณกลับบ้านไวจัง”

    เพราะสรรพนามที่เปลี่ยนไปทำให้อีกฝ่ายจับสังเกตได้ ไอ้ป้องส่ายหัวน้อยๆคล้ายจะชินกับนิสัยของผมแล้วล่ะที่เป็นแบบนี้  มันเลือนตัวมาข้างหน้าก่อนจะนั่งซ้อนทับผมพร้อมกอดผมเอาไว้

    “งอนอะไรป้องอีกเนี้ย”

    “เปล่า”

    “ให้ตาย....เรื่องน้องผู้หญิงคนนั้นใช่ไหม ?”

    “..........”

    “เงียบแบบนี้แปลว่าใช่ ?”

    “ก็...นิดหน่อย”


    มันถอนกอดก่อนจะมองหน้าผม 

    “อะไรหว่า อยู่ด้วยกันมาเกือบๆจะขึ้นเลขสามหลักแล้ว ยังคิดว่าจะชอบคนอื่นได้อีกเหรอครับ ? หื้ม ?”

    ไอ้ป้องพูดต่อ ก่อนสันจมูกจะกดลงบนแก้มของผม ตั้งแต่เรื่องงานวันเกิดเมื่อคราวก่อนนี้รู้สึกผมจะเสียเปรียบขึ้นเยอะแหะ 

    ก็วันนั้นผมเมานี้ครับแล้วใครจะไปคิดว่าคนที่อยู่ข้างล่างมาตลอดจะอยากอยู่ข้างบนบ้างแบบมัน....โอเค ผมจะไม่เล่าไปมากกว่านี้(บอกตรงๆว่าอายเข้าใจความรู้สึกมันตอนครั้งแรกชะมัด..!!!!) เอาเป็นว่าตอนนี้ทั้งผมและมันเสมอกันในทุกเรื่องนั้นแหละครับ 

    “เอาไว้ว่างๆจะเปิดตัวกับสื่อ”

    มันพูดหยอก

    “ให้มันจริงเถอะ”

    “จริงๆครับ”

    ไอ้ป้องพูด ก่อนจะเอาหัวทรงรากไทรถูหน้าอกผมไปมา ผมใช้สองมือขยี้เส้นหัวมันแรงๆจนโดนวงค้อนโตๆขวับเข้าให้ ก่อนเราทั้งคู่จะหัวเราะออกมาด้วยความสุข

    โดยที่ผมก็ไม่รู้เลยว่า

    ความสุข....มันมีสองด้านเสมอ....

    อะไรที่ทำให้เราสุขได้

    มันก็ทำให้เราทุกข์จนแทบขาดใจตายได้เช่นเดี่ยวกัน.....




    TBC.


    เรื่องราวทุกอย่าง มันยังไม่ได้จบลงมันกำลังเดินไปตามทางของมันครับ   :กอด1:

    สนใจสั่งจอง จิ้มๆ  
    http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43584.msg2812998#msg2812998

    Ps. อัพเดทรายชื่อคนจองหนังสือและคนที่โอนเงินมาเรียบร้อยแล้วนะครับ  :pig4:
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×