ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ____เก็บ....'รัก' ____[Yaoi] [The End] [เปิดจอง!!!!!]

    ลำดับตอนที่ #37 : #33 Forever [The End]

    • อัปเดตล่าสุด 16 ก.ย. 57


    #33 Forever




    สายลมยามเช้าที่ตีปะทะเข้ากับใบหน้าผมไล่ความง่วงไปชะงัก บรรยากาศรอบๆตัวเองก็ดูจะเป็นใจให้พอสมควร เชียงใหม่เป็นจังหวัดอีกจังหวัดหนึ่งของประเทศไทยที่มีคนนิยมไปเที่ยวบ่อยมาก พ่อเองก็เคยพาผมกับพี่ขวัญไปเที่ยวที่เชียงใหม่สมัยตอนยังเด็กๆ นั้นเป็นความทรงจำสมัยเด็กเพียงส่วนเดียวที่ผมนึกออก

    ทิวทัศน์ข้างทางชวนให้เหม่อมองออกไป แต่ใจของผมกับกระวนกระวายกับหนทางข้างหน้าจนไม่มีอารมณ์จะมองวิวใดๆทั้งสิ้น

    วันนี้เราตื่นกันตั้งแต่เช้ามืด ทั้งๆที่เมื่อคืนเองก็นอนดึกมาก.... โอเค จริงๆคือผมไม่ได้นอน และคิดว่าพ่อเองก็คงเป็นแบบเดียวกัน สุดท้ายพี่ขวัญเลยเป็นคนขับรถสลับกับพ่อเพื่อความปลอดภัย มันคงไม่โอเคแน่ๆถ้าผมเกิดเป็นอะไรขึ้นก่อนจะไปหามัน

    เราขับรถกันต่อมาเรื่อยๆตามแผนที่และพิกัดที่เพื่อนสนิทของผมเอามาให้ จนเข้ามาถึงหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งของอำเภอที่โด่งดังประจำจังหวัดเชียงใหม่ หมู่บ้านแห่งนี้ถ้าให้ผมเดาคงเน้นการทำเกษตรและพืชผักเป็นซะส่วนใหญ่ เพราะตั้งแต่เข้ามาผมเห็นพวกสวนไร่เยอะแยะเต็มไปหมด รวมทั้งผลไม้เมืองเหนือหลายๆชนิดด้วย

    แต่นั้นก็ไม่ตื่นเต้นเท่าการที่ล้อรถหยุดหมุน....

    “เกียร์....”

    “ครับ”

    พ่อมองหน้าพี่ขวัญ ก่อนจะหันมาพูดกับผม

    “เพื่อนพ่อที่อยู่บริษัทตอนนี้บอกว่าแม่ไปทำงานแล้ว...ส่วนป้องยังอยู่ในบ้าน”

    ใจผมเต้นตึกตักเมื่อมองออกไปที่นอกกระจกประตูรถ บ้านหลังหนึ่งปรากฏแก่สายตา

    บ้านไม้ที่ถือว่ามีขนาดกลางๆ ไม่ใหญ่ไป และไม่เล็กไป ตั้งอยู่ด้านหน้าของผม สีของตัวบ้านส่วนใหญ่เป็นสีฟ้าอ่อนซึ่งบางส่วนเริ่มลอกตามกาลเวลา ป้ายหน้าบ้านติดไว้ว่า บ้าน ‘เกียรติ์ติยานันท์’ หน้าต่างของตัวบ้านปิดอยู่ทั้งสองฟัง ที่หน้าบ้านเองก็มีรองเท้าคู่หนึ่งวางไว้เป็นระเบียบบนชั้นวาง

    บ้านของปกป้อง....

    “เกียร์รอพ่อกับแม่อยู่ที่นี้ก่อนได้ไหม ?”

    ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่านั้นเป็นคำถามหรือคำสั่ง รู้เพียงแต่ว่าผมแค่พยักหน้าตอบรับแล้วลงไปเฉยๆ

    “งั้นเดียวพ่อกับพี่ขวัญไปก่อนนะ...ถ้าเจอป้องแล้วก็รออยู่ที่บ้านนะ”

    พ่อพูดทิ้งไว้แค่นั้น ก่อนจะถอยรถแล้วขับออกไปอีกทางหนึ่ง.......ทิ้งผมไว้กับบ้านหลังนี้

    ผมค่อยๆเดินไปที่หน้าประตู รั่วไม้เตี้ยๆสีขาวไม่ได้ล็อกหรือใส่กลอนเอาไว้ ผมเปิดออกมาก่อนจะเดินก้าวเข้าไป ประตูสีฟ้าอ่อนเหมือนๆกำแพงอะไรสักอย่างที่ผมรู้สึกหวาดกลัวตอนเห็นมัน....

    ไอ้ป้อง...อยู่ข้างในบ้าน

    ถ้าเจอมัน ผมควรจะทำยังไงดี....

    ผมสำรวจเสื้อผ้าหน้าผมของตัวเองอีกครั้ง โอเค เสื้อผ้าโดยรวมก็เหมือนวันปกติทั่วๆไป ที่ไม่เหมือนเดิมก็คงจะเป็นใบหน้าของผมมากกว่า ตาสองข้างยังคงช้ำจากรอยน้ำตาและความง่วง สิ่งเดียวที่สดชื่นมากขึ้นก็คือหัวใจของผมที่รู้สึกตื่นเต้นจนเหมือนๆมัน
    จะระเบิดออกมา

    ผมถอดรองเท้าผ้าใบสีตุ่นวางไว้ข้างๆรองเท้านันท์ยางเบอร์42 .....รองเท้าของไอ้ป้อง

    ประตูบ้านชั้นในเองก็ไม่ได้ล็อกเหมือนรั่วข้างนอก อาจจะเพราะที่นี้เป็นบ้านเกิดของป้อง และหมู่บ้านนี้คงไม่มีขโมย มันถึงไม่คิดจะล็อกกลอน แต่เห็นแบบนี้ผมก็รู้สึกหงุดหงิดเล็กๆนะ ป้องมันชอบดูแลคนอื่นแต่ไม่ค่อยดูแลตัวเองเลย นี้เป็นข้อเสียของป้องมัน
    ที่ผมคงต้องพยายามแก้ไขต่อไป

    เสียงน้ำมันกำลังทอดอะไรสักอย่างดังมาจากทางหนึ่ง ผมค่อยๆเดินไปตามทาง ก่อนจะพบกับรูปถ่ายมากมายที่แขวนไว้ตามฝาผนังของตัวบ้าน รูปไอ้ป้องตอนเด็กๆ รูปแม่ลีลาวดีตอนยังสาวกับเพื่อนผู้หญิงอีกคนที่ผมเดาว่าอาจจะเป็นแม่ของไอ้ป้อง แต่สิ่งเหล่านั้นก็ยังไม่สามารถหยุดขาทั้งสองข้างของผมได้

    ผมเดินก้าวตามเสียงเข้าไปเรื่อยๆจนถึงห้องๆหนึ่งที่ไม่มีประตู....

    แผ่นหลังของใครคนหนึ่งอยู่ตรงหน้าของผม

    ผมนิ่ง เงียบ มองดูการกระทำจากด้านหลังของคนที่หายไปรวมสามเดือนกำลังทำอาหาร มือทั้งสองข้างกำลังตักปลาตัวโตที่เพิ่งทอดเสร็จใหม่ๆขึ้นมา....

    ....ก่อนจะหันมาเจอผม

    “ช่วยบอกเกียร์หน่อย ....ว่านี้ไม่ใช่ความฝัน”

    ดวงตาคู่เรียวของไอ้ป้องเบิกกว้างขึ้น ริมฝีปากบางสั่นระริกจนผมเห็นชัด ก่อนมันจะค่อยๆยิ้มกว้างออกมา

    “ไหน...ช่วยบอกเกียร์หน่อย ตอนนี้ไม่ได้ฝันไปใช่ไหม ?”

    ผมยิ้มตอบรับก่อนจะอ้าแขนกว้าง ไอ้ป้องพุ่งเข้ามากอดก่อนมันจะพูดออกมาว่า





    “ถ้าเป็นความฝัน...ป้องขอไม่ตื่นตลอดไปได้ไหม....”





    แรงกอดจากวงแขนของมันทำให้ผมรู้สึกปวดๆนิดหน่อย แต่ที่มากกว่านั้นคือความรู้สึกที่อยู่ข้างใน มันดีใจจนบอกไม่ถูก ผมรู้แค่ว่า
    ความรู้สึกที่ว่าตัวคนเดียวตลอดสามเดือนหายไปในพริบตา ....


    ....เพราะไออุ่นจากคนที่รอ


    “ขอบคุณ”

    มันบอกกับผมแบบนั้น หยดน้ำอุ่นๆจากตามันไหล่ตกกระทบกับไหล่ของผม

    “ขอบคุณที่อดทนกับคนบ้าๆอย่างเกียร์มาตลอดห้าปีนะป้อง....”

    ผมพูดกลับบ้าง ไอ้ป้องหน้าแดงฉ่ายิ่งกว่าเดิม

    “อ่าน...หมดแล้วเหรอ ?”

    “ทุกประโยค ทุกถ้อยคำ ทุกความรู้สึก เกียร์...รับไว้หมดแล้วนะ” 

    ผมค่อยๆถอนกอดออกมา ก่อนจะยกมือเช็ดใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาของมัน

    “รัก....”

    ผมดึงใบหน้ามันขึ้น ก่อนจะจูบซับที่หน้าผาก

    “รัก....”

    และค่อยๆเลือนลงไปที่แก้ม

    “และ....รัก....”




    ...

    ..
    .
    .
    .
    .
    .









    “แล้วพี่ขวัญจะกลับไปนอกเมื่อไหร่อ๊ะเกียร์”

    ไอ้ป้องที่นอนข้างๆผมถามขึ้น หลังฟังผมเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง ตอนนี้เกือบๆสามโมงเย็นแล้ว ผมส่งยิ้มก่อนจะลูบไล่เส้นผมที่ยาวขึ้นบนหัวมันกว่าตอนก่อนที่จะจากกันมาก

    “ไม่แน่ใจนะ แต่คิดว่าคงจะหลังจากพ่อคืนดีกับแม่ล่ะมั่ง”

    “งั้นก็คงอีกนาน”

    “คิดเหมือนกันเลย แม่นี้น่ากลัวสุดๆ”

    ผมกับไอ้ป้องมองหน้ากันแล้วหัวเราะอีกครั้ง อยู่กับคนที่เรารัก ไม่ต้องทำอะไรมากก็รู้สึกดี หัวเราะได้เต็มปอด ผมชอบช่วงเวลาแบบนี้จังเลย

    “งั้นป้องไปใส่เสื้อผ้าก่อนนะ เผื่อพ่อกับแม่กลับมา”

    มันลุกขึ้นก่อนจะเดินเอื่อยๆเข้าห้องน้ำไป ใช้เวลาไม่นานก็อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ

    “เช็ดคราบบนที่นอนด้วยเกียร์”

    “จ้าๆ คุณเมียอยุ่เฉยๆไปนะ เดียวสามีทำเอง”


    สิ่งที่สนองกับมาคือไม้แขวนเสื้อในมือไอ้ป้อง

     ฟู่...ดีนะกระโดดหลบทัน

    “ไอ้บ้า ไม่อยู่ด้วยแล้ว ลงไปกินข้าวดีกว่า”


    “เดี่ยว รอด้วยดิ”

    มันแลบลิ้นใส่ผมเป็นการท้าทาย ก่อนจะวิ่งออกไปจากห้อง

     เดี่ยวเหอะไอ้ป้อง รอกูใส่เกงในเสร็จก่อนเถอะมึง !!! 

    ผมแต่งตัวเสร็จก็วิ่งลงไปข้างล่าง ก่อนจะเดินเข้าไปที่ห้องครัว เกือบลืมไปเลยว่าไอ้ป้องทอดปลาไว้เมื่อตอนผมเข้ามา ไอ้ป้องตักข้าวใส่จานก่อนจะส่งมาให้ผมหนึ่งจาน แล้วตักให้ตัวเองอีกหนึ่งจาน เราสองคนนั่งกิน(แย่งกัน)ปลาในจานจนกระทั้งเสียงรถสอนคันดังขึ้นที่หน้าบ้าน ผมกับไอ้ป้องวางช้อนลงก่อนจะวิ่งตึกๆออกไปหน้าบ้าน

    รถของพ่อผมค่อยๆจอดพร้อมๆกับรถสีดำสนิทกลางเก่ากลางใหม่อีกคันหนึ่ง ก่อนแม่จะเดินลงมาจากรถแล้วปิดประตูกระแทกดังลั่นจนผมตกใจ พ่อผมรีบลงตามมาก่อนผมจะสังเกตว่าตาขวาของพ่อกับมุมปาก.......แตก
    ฝีมือแม่สินะ....

    “เดี่ยวสิคุณ...ฟังผมก่อน”

    “ไม่....เราไม่มีอะไรต้องคุยกัน”

    แม่พูดก่อนจะเดินมาหยุดตรงหน้าไอ้ป้อง

    “ผมขอโทษ”

    “คนที่คุณสมควรขอโทษไม่ใช่ดิฉันค่ะ คุณชาติชาย ....ลูกของดิชั้นต่างหากที่คุณสมควรจะขอโทษเขามากที่สุด”

    แม่ลีลาวพูด ก่อนจะเดินๆไปยืนข้างๆไอ้ป้อง พ่อผมมองตามก่อนจะเดินมาถึงพวกเรา

    “ป้อง......”

    “.............”

    “พ่อขอโทษ”

    พ่อผมพูดสั้นๆก่อนจะกอดไอ้ป้องไว้  น้ำตาไหลออกมาอีกครั้งเมื่อรู้สึกผิดกับสิ่งที่เคยได้ทำลงไป

    “ตลอดเวลาที่ผ่านมา อาคิดมาตลอดว่าเกียร์น่าจะเป็นแบบนู้น เกียร์น่าจะเป็นแบบนั้น จนลืมไปว่านั้นมันไม่ใช่ชีวิตของอา อาคิดเองเออเองว่าถ้าเกียร์คบกับป้องแล้วคงจะเกิดแต่เรื่องแย่ๆ ลืมแม้กระทั้งความรู้สึกของคนทั้งสองคน ในหัวมันมีแต่ทิฐิที่ว่าผู้ชายกับผู้ชายไม่น่าจะไปด้วยกันรอด เกียร์เป็นเด็กที่ละเอียดอ่อน อากลัวว่าถ้าเกิดวันนั้นมันมาถึง อาอาจจะต้องเสียเกียร์ไป.....”

    “.......................”

    “แต่เวลาสามเดือนที่ผ่านมาทำให้อาคิดได้  เรื่องราวของลูกทั้งคู่มันไม่ได้เกิดจากความหลง แต่เป็นความรักของคนสองคนที่
    อยากจะดูแลกันและกัน.....ขอโทษจริงๆที่อาเคยทำร้ายความรู้สึกของป้องไปแบบนั้น  มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่เราจะยกโทษให้อาแต่ว่า..........”

    พ่อผมถอนกอดออกมา ก่อนจะพูดต่อด้วยความหนักแน่น

    “ถ้าเป็นไปได้....ช่วยเรียกอาว่า ‘พ่อ’ อีกสักครั้งได้ไหม......’ลูก’”

    ไอ้ป้องน้ำตาคลอก่อนมันจะพูดออกมา

    “ผมไม่เคยโกรธพ่อหรอกครับ....พ่ออาจจะคิดว่าป้องหลงตัวเองก็ได้นะ แต่ป้องคิดว่าสักวันหนึ่งพ่ออาจจะยอมรับป้องเป็นครอบครัวเดี่ยวกันอีกครั้งได้...ป้องเลยเลือกที่จะรอ....แล้วมันก็มาถึง”

    ไม่มีคำพูดใดๆต่อกัน สิ่งที่พ่อของผมทำคือกอดไอ้ป้องไว้แน่นๆ

    “ขอบคุณนะ.... ‘ลูก’”

    “ครับ.....พ่อ”

    ผมยืนน้ำตาคลอกับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า พี่ขวัญเองก็ร้องออกมา แม่ลีลาวยังยืนนิ่งๆมองภาพตรงหน้าต่อไป จนกระทั้งพ่อผม
    ถอนกอดออกมาอีกครั้ง


    “งั้นเรากลับไปอยู่ด้วยกันที่กรุงเทพอีกครั้งนะ......น้ำ”

    พ่อหันไปพูดกับแม่ หากแต่คำตอบคือ

    “ไม่...คุณชาติชายคิดว่ากำลังทำอะไรอยู่ คุณไล่ฉันกลับลูกออกจากบ้านมาแล้วยังจะกล้ามาพูดแบบนั้นอีกเหรอ ? คุณคิดว่าชีวิตมันเป็นการเล่นขายของรึไง ฉันทำเรื่องขอย้ายมาที่สาขาเขียงใหม่แทบตายจะให้ย้ายกลับไปที่สาขาเดิมมันเป็นไปไม่ได.....”

    แม่ลีลาวดียังไม่ทันได้พูดจบ เสียงโทรศัพท์ที่ข้างเอวก็ดังขึ้นมา แม่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะกดรับสาย

    “สวัสดีค่ะ ดิชั้นลีลาวดีรับสายค่ะ......คะ.....อะไรนะ......เดี่ยวก่อนค่ะท่าน!!! แล้วทำไมต้องเป็นดิชั้น ? .... ภายใน48ชม.!!!! เดี่ยวก่อนค่ะท่าน ท่าน....โถ่เว้ย !!!”

    แม่ลีลาวดีพูดโทรศัพท์กับใครสักคนก่อนจะทำท่าหัวเสียออกมา

    “อะไรเหรอครับแม่ ?”

    ไอ้ป้องถามแม่ ก่อนที่แม่ลีลาวดีจะหันไปจ้องหน้าแม่

    “นี้ฝีมือคุณเหรอคุณชาติ ?”


    “อะไร ผมเปล่านะ ผมยังไม่รู้เรื่องอะไรเลยด้วยซ้ำ”

    พ่อยกมือปัดไปมาเพื่อเป็นการบอกให้รู้ว่าตนไม่รู้เรื่อง


    “แล้วทำไมข้างบนถึงได้บอกว่าสาขาหลักที่กรุงเทพคนขาด ให้ชั้นย้ายไปภายใน24ชม.”

    ผมขมวดคิ้วงงพอๆกับพ่อ ผมเชื่อนะว่าพ่อไม่ได้ทำหรอก ตลอดเวลาเมื่อคืนพ่อไม่ได้โทร.หาใครด้วยซ้ำ

    ในขณะที่ผมกำลังคิดว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆโทรศัพท์ผมกับไอ้ป้องก็ดังขึ้นมาเป็นเสียงข้อความเข้า ก่อนผมกับมันจะกดเปิดอ่านพร้อมๆกัน

    ‘the gift to you  ….  kasia’

    “แม่...พ่อ...หุ้นส่วนใหม่ของบริษัทนี้...ชื่ออะไรครับ”

    คิ้วของผมกระตุกนิดๆเมื่อพอจะรู้ถึงความเป็นไปได้บางอย่าง 

    “เซซิล/เซซิล ทเวเลอร์”

    พ่อกับแม่หันมาตอบพร้อมกัน ก่อนผมจะหันไปมองหน้าไอ้ป้อง

    “ดูท่ากลับไปคงจะต้องไปขอบคุณกามเทพซะหน่อยล่ะมั่ง.....”

    ไอ้ป้องส่งยิ้มจืดๆกลับมาให้เมื่อรู้ถึงความหมายที่ผมพูด

    ไอ้พี่กาเซียร์ตัวแสบ!!!!

     “งั้นแบบนี้คุณก็กลับไปอยู่กับผมได้แล้วสิ”

    “ไม่จำเป็น ดิชั้นกับลูกไปหาที่อยู่ที่อื่นได้ ...ไปอยู่กับดนัยก็ได้เนาะป้อง”

    จบคำของแม่ พ่อหันขวับมาหาไอ้ป้อง

    “ป้อง ใครคือดนัย หล่อน้อยกว่าพ่อใช่ไหม ?”

    “หลงตัวเอง”

    แม่กัดเบาๆ ก่อนจะรีบเดินหนีเข้าบ้านไป

    “เดี่ยวคุณ นี้เรายังไม่เคลียร์เลยนะ...คุณ !!!”


    พ่อเองก็ตะโกนตาม ก่อนจะรีบเดินเข้าไปในบ้าน ทิ้งไว้เพียงผมกับไอ้ป้องแล้วก็พี่ขวัญ

     “ขอบคุณที่ช่วยพูดให้นะครับ”

    ไอ้ป้องยกมือไหว้พี่ขวัญ จะว่าไปแล้วพี่ขวัญกับไอ้ป้องเองก็เพิ่งเคยเจอกัน...มั่ง

    “พี่ถือว่าพี่ใช้หนี้ที่ติดค้างไว้กับเราเมื่อเจ็ดปีที่แล้วให้แล้วนะ....น้องปลื้ม”

    “หนี้ ? ...หมายความว่าไงครับ”

    ไอ้ป้องถามงงๆ นั้นสิครับ ....พี่ขวัญไปเป็นหนี้ไอ้ป้องตอนไหน ?


    “ความลับจ๊ะ”

    พี่ขวัญขยิบตาข้างหนึ่ง ก่อนจะเดินตามพ่อกับแม่เข้าบ้านไป


    “ตกลงมันคงจะเป็นความลับต่อไปสินะ”

    ผมเกาหัวแกรกๆ เจ็ดปีทีแล้วพี่ขวัญไปติดไอ้ป้องไว้ได้ยังไงกันล่ะนั้น

    “ก็คงงั้น...นี้ก็ยังงงๆอยู่เลย”

    ถ้าขนาดเจ้าของหนี้ยังนึกไม่ออกก็ช่างมันเถอะครับ….

    แสงตะวันทอฟ้าค่อยๆลดลงที่ละน้อยเป็นสัญญาณของวันหนึ่งวันที่กำลังจะหมดลงไป หากแต่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกลับเคลื่อนไหวต่อเสียงนกตัวน้อยๆร้องดังจิ้บๆ สายลมของเมืองหนาวพาลทำให้รู้สึกเหงาไปด้วย

    ใข่...ถ้าไม่มีมันนะน่ะ

    “เอาเป็นว่า....ในที่สุดครอบครัวก็กลับมาพร้อมหน้าพร้อมน่านะ....ยินดีต้อนรับกลับบ้านครับ..ปกป้อง”

    “ยินดีที่ได้กลับมาเหมือนกัน...ก้องเกียรติ์”


     
           ……………………………………………………………………………………………………………





    “พี่จะให้ผมเป็นประธานนักเรียน ?”

    น้ำเสียงที่แสดงถึงความไม่มั่นใจสุดๆของไอ้ป้องดังออกมา ก่อนคนถูกถามจะยิ้มสบายๆแล้วตอบกลับ

    “อื้ม...”

    “แต่พี่เซียร์ ป้องว่าตัวเองคง.....”

    “อย่าดูถูกตัวเอง ปลื้มเป็นคนมีความสามรถ พี่คิดว่าตัวเองมองคนไม่ผิดหรอกนะ อีกทั้งนี้ไม่ใช่ประโยคบอกเล่าหรือคำสั้งแต่เป็น
    ข้อแลกเปลี่ยน”

    พี่กาเซียร์พูดก่อนจะยิ้มพรายออกมา

    สองวันผ่านไปหลังจากเรากลับมาจากเชียงใหม่ ไอ้ป้องย้ายกลับเข้ามานอนกับผมตามเดิม แน่ล่ะ แม่ลีลาวดีใจแข็งสุดๆขนาดที่ว่ายอมเปิดห้องเช่าอยู่โดยไม่ง้อพ่อ สุดท้ายก็พ่อเองที่ไปเฝ้าทั้งเช้าทั้งเย็นโดยไม่ได้พัก ส่วนพี่ขวัญอยู่กับพวกผมไม่เกินสองวันก็กลับอเมริกาไป ก่อนไปพี่ขวัญมอบกล่องของขวัญเล็กๆไว้ให้กับป้อง พร้อมกำชับว่าอย่าให้ผมดู

    แน่ล่ะว่าผมไม่มีสิทธิ์ได้ดูหรอกถ้าไอ้ป้องมันไม่ยอม มันบอกกับผมแค่ว่า เป็นของที่ได้มาจากเจ็ดปีที่แล้วก็เท่านั้น

    ต่อมาคือผมและไอ้ป้องยังคงได้เรียนหนังสือต่อไปในเพลินจิตวิทยา โดยที่มันเองได้รับการรับรองจากประธานของโรงเรียนว่าไปแลกเปลี่ยนมาที่ประเทศญี่ปุ่น(ซุงแหลกันซึ่งๆหน้า) สิ่งที่ไอ้ป้องต้องตอบแทนในครั้งนี้คือการเป็นประธานนักเรียนแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การที่พี่เซียร์เรียกพบทั้งผมและไอ้ป้องขอเดาไว้ก่อนเลยว่า....มันคงไม่ใช่เรื่องดีนัก

    “แล้วถ้าผมเป็นประธานนักเรียน แล้วใครจะเป็นเลขาสภาล่ะครับ แน่วแน่ ไอ้ต้อง หรือว่า”

    “ก็ให้เกียร์เป็นไปดิ”

    พรวดดด !!!

    ผมแทบจะสำลัก(หรือจริงๆคือสำลักไปแล้ว)น้ำกับคำพูดของพี่เซียร์หลังจากพี่มันพูดออกมา

    “มันจะดี...เหรอครับ?”

    ไอ้ป้องถามด้วยความไม่แน่ใจ 

    “ใช่พี่ หน้าอย่างผมเนี้ยนะจะเป็น...”

    “ขอยืนยันอีกครั้งว่าเราไม่ได้พูดเป็นประโยคบอกเล่าหรือคำสั่ง หากแต่มันคือข้อแลกเปลี่ยนที่ต้องทำตามนะครับ....”

    พี่เซียร์พูดตัดบท  ผมทำหน้าปูเลี่ยนก่อนจะหันไปสบตากับไอ้ป้องแล้วถอนหายใจออกมาพร้อมกัน

    ปีศาจชัดๆเลยผู้ชายคนนี้ ทำไมถึงได้แตกต่างจากแฝดน้องตัวเองนักนะ....

    “อ้อ...แล้วก็ปลื้ม...มีคนมารอพบเธอ”

    ไอ้ป้องทำหน้าแปลกใจ ก่อนประธานนักเรียนโรงเรียนผมจะชี้ไปที่ประตูสีเทาที่แยกเป็นห้องย่อยจากหัวห้องของพี่เซียร์เป็นเชิง(ไล่)ให้ผมกับไอ้ป้องเดินเข้าไปข้างใน ผมเดินตามมันเข้าไปก่อนจะพบผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่งนั่งรออยู่ด้านใน

    “อ่า...สวัสดีครับ”

    “นั่งก่อนครับ ปกป้อง”

    ผมกับไอ้ป้องนั่งตามคำเชิญ ก่อนอีกฝ่ายจะเข้าเรื่องโดยไม่มีการอ้อมค้อมใดๆทั้งสิ้น

    “ผมมาจากค่ายเพลง อินดี้มิวสิก ต้องการมาเสนอสัญญาให้กับปกป้องหรือจะให้ผมเรียกว่าอามัวดี.....”

    ผมหันไปมองหน้ามัน ก่อนจะพบว่าใบหน้าของไอ้ป้องยังคงเหมือนเดิม มันแค่ทำหน้านิ่งๆแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

    “คือผม....”

    “แค่อ่านข้อสัญญาก่อนก็ยังดีครับ ค่ายเราไม่มีนโยบายบังคับจิตใจกันอยู่แล้ว”

    อีกฝ่ายว่าก่อนจะส่งใบสัญญามาให้ไอ้ป้องสองใบจากซองเอกสารสีน้ำตาล ไอ้ป้องไล่สายตาไปตามเนื้อหาของสัญญาตั้งแต่บรรทัดแรกยันบรรทัดสุดท้ายทั้งสองหน้ากระดาษ ก่อนจะส่งคืนกลับไป

    “ไม่ต้องส่งคืนให้ผมก็ได้ครับ ไว้อีกสามวันผมจะมารับคำตอบกลับไป”

    อีกฝ่ายว่าก่อนจะตัดทางปฏิเสธของไอ้ป้องด้วยการยิ้มแล้วลุกเดินออกไป ทิ้งผมไว้กับไอ้ป้องและซองเอกสาร

    “สัญญามันก็ไม่ได้แย่นิ...”

    ผมว่าหลังตัวเองไล่สายตาอ่านจบบ้าง

    “ก็ใข่แต่....”

    “ทำไมล่ะป้อง นี้มันโอกาสเลยนะ”

    ค่ายอินดี้มิวสิกเป็นอีกค่ายเพลงที่กำลังถือว่ามาแรงมากในขนาดนี้ เพราะส่วนใหญ่แล้วแนวเพลงของค่ายนี้จะออกแนวอินดี้ตาม
    เชื่อ ทำให้ทั้งตัวศิลปินและบทเพลงที่ปล่อยออกมานั้นถือว่าอยู่ในความสำเร็จระดับสูง ผมเองยังคิดเลยว่าไอ้ป้องมันก็ออกจะเหมาะกับค่ายเพลงนี้

    “ก็ถ้าป้องรับข้อสัญญา ...เวลาอยู่ด้วยกันมันก็น้อยลง.....”

    เหตุผลที่ออกจากปากมันส่งผลให้ผมรู้สึกชื่นใจ

    “เกียร์โตมากพอที่จะฟังเหตุผลน่า .... เกียร์อยากให้ป้องเดินตามฝัน...นำไปก่อนเลย แล้วเดี่ยวเกียร์จะตามไป....”

    “เอางั้นเหรอ ?”

    มันหันมาถามผม

    “อื้ม...มันเป็นความสุขของป้องไม่ใช่เหรอ เพราะงั้นเกียร์จะรอดูวันที่ป้องยืนอยู่บนเวทีนะ ระหว่างนั้นเกียร์เองก็จะวิ่งตามความฝัน
    ของตัวเอง”

    ผมว่าก่อนจะชูใบสมัครสอบรับตรงของคณะ มัณฑนากรให้ไอ้ป้องดู มันยิ้มเป็นเชิงให้กำลังใจก่อนจะยกนิ้วโป้งขึ้นมา

    “ป้องเองก็จะรอ...วันที่บ้านของเราเสร็จสมบูรณ์นะ”

    ผมกับมันพูดคุยกันแค่นั้น ก่อนเราทั้งคู่จะเดินออกไปจากห้อง เห็นพี่เซียร์พาน้องเพลงเดินไปจากห้องแวบๆ ก่อนเราทั้งคู่จะเดิน
    ลงจากอาคารเพื่อจะกลับบ้านกันบ้าง

    “อยากฟังเพลงจัง...ร้องให้ฟังหน่อย”

     “เอาเพลงอะไรดี”

    “อะไรก็ได้”

    ไอ้ป้องทำหน้าคิด ก่อนจะค่อยๆขับขานบทเพลงออกมา




    ‘เพราะวันนั้นคุณเข้ามา เอาความรักที่มีค่า
    ความรักที่เกินกว่าจะหาจากใครในที่ใด
    เพราะวันนั้นคุณได้เปลี่ยน เปลี่ยนโลกของผมให้สดใส
    แม้วันนี้ไม่ได้พูด แม้วันนี้ไม่ได้เจอ
    แต่ทุกนาทีหัวใจยังเพ้อยังละเมออยู่เรื่อย­­ไป
    ก็เพราะว่าคุณนั้นแหละ ที่ทำให้ผมนั้นเปลี่ยนไป

    คำบางคำ คำเดียว คุณอาจจะดูจะฟังไม่พอเท่าไร
    ใจก็ใจดวงเดียว ไม่เคยจะเหลียวมองที่ใคร
    ขอให้คุณได้โปรด รับฟังจะได้ไหม
    คำก็คำเดิม ๆ ที่ไม่อาจเพิ่มจะเติมให้มีมากมาย
    ใจก็ใจดวงเดิมแค่อยากให้รู้และเข้าใจ
    ผมรักคุณที่สุด ผมรักคุณจนหมดใจ

    รักที่คุณให้มา รักช่างแสนมีค่า
    ผมขอสัญญาว่าจะรักษาดูแลด้วยหัวใจ
    คุณไม่ต้องเป็นห่วง ใจของผมจะไปไหน
    ก็คุณนั้นคือทุกสิ่ง คุณนั้นคือทุกอย่าง
    เปลี่ยนแปลงหัวใจที่มันอ้างว้างด้วยความรั­­กและห่วงใย
    ขอบคุณที่คุณยังอยู่ ขอบคุณที่ยังไม่เปลี่ยนไป

    คำบางคำ คำเดียว คุณอาจจะดูจะฟังไม่พอเท่าไร
    ใจก็ใจดวงเดียว ไม่เคยจะเหลียวมองที่ใคร
    ขอให้คุณได้โปรด รับฟังจะได้ไหม
    คำก็คำเดิม ๆ ที่ไม่อาจเพิ่มจะเติมให้มีมากมาย
    ใจก็ใจดวงเดิมแค่อยากให้รู้และเข้าใจ
    ผมรักคุณที่สุด ผมรักคุณจนหมดใจ

    คำก็คำเดิม ๆ ที่ไม่อาจเพิ่มจะเติมให้มีมากมาย
    ใจก็ใจดวงเดิมแค่อยากให้รู้และเข้าใจ
    ผมรักคุณที่สุด ผมรักคุณจนหมดใจ

    หัวใจผมให้คุณหมด และจะรักคุณ
    จะรักคุณตลอดไป ผมรักคุณได้ยินไหม
    ผมรักคุณไม่เปลี่ยนไป ผมรักคุณคนเดียว
    รักคุณตลอดไป’





    “ขอบคุณนะ”

    ผมพูดหลังจากมันร้องเพลงจบ ไม่ว่าจะกี่ครั้ง ปกป้องก็มักจะหาเพลงที่ร้องแล้วผมโคตรจะเขินได้ทุกที่สิน่า....

    “อื้ม....ข้างๆกันตลอดไป”

    แสงอาทิตย์ยามเย็นใกล้จะลาลับไป ผมเดินผ่านบรรดาเพื่อนตัวแสบมากมาย เห็นแน่วแน่กับไอ้เฟรมที่สนาม เห็นต้องตากับไอ้อู๋นั่งทะเลาะใกล้ใต้ต้นไม้ พี่เซียร์น้องเพลงเดินกินลูกชิ้นกันไปมา

    ครั้งหนึ่งผมเคยสงสัย เหตุใดโลกใบนี้ถึงได้มีผู้คนนับร้อยพันที่นิสัยแตกต่างกันจนดูไม่น่าจะเข้ากันได้

    แต่วันนี้ผมได้เข้าใจแล้ว

    คนบางคนอาจจะเกิดมาเพื่อแตกต่าง...

    แตกต่าง....เพื่อ....เติมเต็ม







    -The End-



    อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก  จบแล้วเว้ยยยยยยยย  ในที่สุดนิยายเรื่องแรกขจองต่างก็จบลงแล้ว !!! นี้คือดีใจ และฟินมากที่สุดในสามโลก  ขอบคุณ ชอบคุณทุกคนที่เป็นแรงบัลดาลใจให้เรา ขอบคุณแม่ที่เข้าใจ ขอบคุณพ่อที่ให้โอกาส ขอบคุณพี่ชายที่ทำให้รู้สึกงานเขียน ขอบคุณเพื่อนๆเล้าเป็ด เด็กดี และเวปอื่นๆ เราคงมาถึงจุดๆนี้ไม่ได้จริงๆถ้าไมได้แรงและพลังใจจากทุกคน

    กว่าจะมาเป็นนิยายเรื่องนี้ได้บอกเลยว่าหนักมากกกกกกก มากแบบ เชรี้ย แต่งไปท้อไป  ไอ้ที่แต่งไปเนี้ยมันดีไหมวะ คนอ่านเขาจะชอบไหม เออ มีตรงไหนพลาดบ้าง(ซึ่งก็พลาดเยอะมากโดยเฉพาะคำผิด!!!) 

    ต่างแต่งนิยายเรื่องนี้ขึ้นโดยยึดเอาหลักของคนสองคนที่แตกต่างกัน เอาจริงๆคือคนแบบเกียร์กับป้องนี้แมร่งไม่น่าจะคบกันได้ เพราะถ้าต่างคนต่างไม่ทำความเข้าใจอีกฝ่าย ต่างคิดว่ายังไงๆก็คงไปกันไม่รอด

    มีอีกหลายๆเรื่องเลยที่อยากจะพูดอยากจะเล่า เอาเป็นว่าตอนนี้....

    มาบอกลากันครั้งสุดท้ายเถอะ !!!

    ใครที่อ่านกันมาตั้งแต่ตอนแรก  แอบอ่านบ้าง หรือติดตามมาตลอด  นี้ต่างขออ้อนวอนเลยนะครับ มาบอกลากันเป็นครั้งสุดท้ายเถอะ  สำหรับใครไม่มีรหัสเล้าเป็ดสามารถเข้าไปบอกเล่าความรู้สึกกันได้ผ่านทางแฟนเพจหรือที่เด็กดีได้นะครับ ต่างลงเอาไว้หลายที่เหมือนกัน แต่ที่จบแล้วก็จะมีเล้าเป็ดกับเด็กดีมาเล่าให้ฟังหน่อยครับ ชอบไม่ชอบยังไง มีฉากไหนประทับไตกันบ้างไหมหรืออย่างไร ฮ่าๆๆ นี้คือการอ้อนวอน ขอเลยแบบตรงๆไม่มีลูกเล่น ถือว่าเป็นการบอกลากันนะครับ     :L2:


    รักคนอ่านมากๆ

    แตกต่างเติมเต็ม   :กอด1:

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×