ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ____เก็บ....'รัก' ____[Yaoi] [The End] [เปิดจอง!!!!!]

    ลำดับตอนที่ #30 : #28 ยิ่งรัก...ยิ่งห่าง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 471
      2
      10 ส.ค. 57

    #28 ยิ่งรัก....ยิ่งห่าง




    "เอ้า ชน!!!!"

    เสียงไอ้อู๋ดังขึ้น ก่อนแก้วเหล้าของทุกคนจะชนกันเป็นสัญญาณฉลองความสำเร็จในวันนี้

    หลังจบงาน พี่เซียร์กับพี่ยาซึ่งเป็นหัวเรือใหญ่ได้แสดงการขอบคุณน้องๆสตาฟทุกคนทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังด้วยการพามาเลี้ยงหมูกระทะแน่ล่ะ ฉลองทั้งที่มันต้องมีเครื่องดื่มลูกผู้ชาย และสิ่งที่แน่นอนไปกว่านั้นคือบรรดาแม่บ้านทั้งหลายที่ทำหน้าหงิกไอ้ป้องเองก็เหมือนกันแต่มันเลือกที่จะไม่พูดออกมาต่างหากเลยนั่งเงียบๆคีบหมูกินไป

    "พี่ขอขอบคุณทุกคนมากนะที่ช่วยกันจนเหนื่อย วันนี้กินให้เต็มที่!!!"

    พี่เซียร์บอก

    ตอนแรกพี่แกลงทุนเหมาร้านครับ แต่เฮียเจ้าของร้านขอบริเวณหนึ่งไว้ให้กับลูกเฮียแกพร้อมเพื่อนๆเห็นบอกว่าฉลองแข่งกีฬาสี
    เสร็จนะครับ สรุปแล้วทั้งร้านเลยมีแค่สองกลุ่มใหญ่ๆ คือกลุ่มเด็กพ.ว.ที่นั่งกันเป็นกลุ่มย่อยๆ กับอีกฟากที่เป็นเด็กโรงเรียนชาย
    ล้วนชื่อดังพอๆกับพวกผม แต่ผมเห็นมีประมาณสิบกว่าคนเองน่ะนะ

    บรรยากาศของร้านเป็นร้านติดแม่น้ำครับ จากจุดที่พวกผมนั่งอยู่มองเห็นวิวแม่น้ำยามค่ำเรียกได้ว่าบรรยากาศชวนนั่งดื่มนั่งกินจริงๆแหะแต่ที่เห็นจะไม่เข้ากับบรรยากาศก็อารมณ์มาคุของคนข้างๆผมเนี้ยแหละ

    "ป้อง ไปเข้าห้องน้ำเป็นเพื่อนหน่อย"

    ผมสะกิดเรียกเบาๆ ก่อนเราสองคนจะลุกออกไปจากวงหมูกระทะ ผมเดินพาป้องออกมายืนหน้าร้านตรงริมฟุตบาทไม่ใช่ห้องน้ำ
    เหมือนที่บอกมันตอนแรก

    "ป้องโกรธเกียร์เหรอ?"

    ผมเปิดประเด็นขึ้น ไอ้ป้องส่ายหน้าช้าๆแต่ไม่ได้มองหน้าผม

    "ป้อง.... เกียร์ดื่มแค่สองแก้วเองนะ"

    "ครับ ป้องรู้แล้ว ...ก็ไม่ได้ว่าอะไร"

    ปากไม่ได้ว่า แต่หน้าไปแล้วครับ

    ผมดึงแก้มอีกฝ่ายทั้งสองข้างให้มันย้วยๆ ก่อนจะพูดต่อ

    "ไหนเราตกลงกันแล้วไงครับ ว่าถ้ารู้สึกไม่ดีให้พูดออกมาไหนเราจะไม่เงียบใส่กันไง"

    อีกฝ่ายถอนหายใจเหนื่อยอ่อน หลังพิงกำแพงร้านเอา

    "ก็ป้องไม่อยากให้เกียร์ดื่ม มันไม่ดีต่อสุขภาพ"

    ไหนที่สุดมันก็ยอมพูดออกมา ผมว่าแหละต้องเป็นเรื่องนี้

    "ป้องครับ เกียร์ดื่มแค่บางครั้งเองนะ ไม่ได้ดื่มเมาหัวราน้ำทุกวัน"

    ไอ้ป้องพยักหน้ารับฟัง แต่ดูเหมือนจะยังหม่นๆในใจอยู่

    "เอางี้ เกียร์สัญญาว่าจะดื่มแค่บางครั้งจริงๆ และวันนี้แค่สองแก้ว แบบนี้พอโอเคไหมครับ?"

    เรื่องบุหรี่ผมยอมเลิกแล้วหันไปเคี้ยวหมากฝรั่งแทนได้นะครับ แต่เรื่องดื่มเนี่ยผมว่ามันไม่ได้ร้ายแรงอะไรนะครับ ผมดื่มแค่พอเห็นว่าดื่ม ไม่ได้ดื่มแบบเป็นบ้าเป็นหลัง ทั้งยังคงสติไว้อยู่ในความคิดของผมการที่เราดื่มนี้ไม่ผิดนะครับ ถ้าดื่มแล้วเรารับผิดชอบตัวเองได้ดื่มแล้วไม่เป็นภาระใครก็ดื่มไปเถอะครับแม้จะยังคงหม่นๆ แต่สีหน้าที่แสดงออกของมันก็ ทำผมใจชื่นขึ้นมาหน่อยๆ

    ตั้งแต่คบกับป้องถามว่ามีความสุขไหม? มีนะครับ เยอะด้วย แล้วทะเลาะกันมันก็มีบ้างเป็นธรรมดา ดีหน่อยตรงที่เราทั้งคู่ไม่งี้เง้า ไอ้ป้องอาจคิดเล็กคิดน้อยบ้างแต่นั้นก็ยังอยู่ในขอบเขตที่ผมรับได้ เหมือนๆกับที่เราพูดกันก่อนจะคบกัน

    ไม่ต้อง'เปลี่ยน'จนไม่ใช่เรา แค่'ปรับ'ให้อยู่ด้วยกันได้ 

    นั้นต่างหากคือความรักที่ดีสำหรับผม....

    ผมรักป้อง อยากดูแลป้อง แต่ก็มีบางเรื่องที่ผมอยากทำ อยากสนุก บางครั้งเราก็รู้แหละครับ ว่าที่ๆทะเลาะกันก็เพราะเขารักเราเลยห่วงเรา เหมือนๆปัญหาตอนนี้

    "ตกลงไหมครับ?"

    ผมถามย้ำ อีกฝ่ายพยักหน้าตอบเบาๆ ผมเลื่อนมือไปดึงแก้มไอ้ป้องเล่นอีกรอบก่อนจะพูดเสียงใส

    "ขอบคุณที่เข้าใจเกียร์นะ"

    อยากกอดขอบคุณอีกฝ่ายนะครับ แต่หน้าร้านก็ดูจะประเจิดประเจ้อไปหน่อย 

    "แต่ถ้าเกินสองแก้ว นอนชั้นบน!!!"

    ผมบีบมือมันเบาๆแทนคำตกลง ก่อนจะพากันกลับเข้าไปในร้าน พอเงยหน้ามองฟ้ารู้สึกเหมือนๆข้างนอกร้านฝนกำลังตั้งเค้าแหะ

    "เห้ย เดี่ยวก่อน!!! เต้จับไอ้ฟ้าดิ"

    เสียงตกอกตกใจดังขึ้น ก่อนผมจะดึงไอ้ป้องหลบคนที่วิ่งสวนออกมาจากภายในร้าน

    "เชรี้ยเอ๊ย!!! มึงอยู่นี้ก่อนนะ ไอ้ตี๋วิ่งหนีไปแล้ว"

    ผู้ชายตัวสูงๆสบถหลังจับตัวคนวิ่งออกไปนอกร้านไม่ทัน ก่อนเพื่อนตัวเล็กๆมัดผมไว้เป็นกระจุกที่วิ่งมาด้วยกันจะหันมาขอโทษผมกับป้องที่ยังยืนงงๆ

    "เราขอโทษแทนเพื่อนด้วยนะครับ ที่วิ่งสวนพวกนายออกไปแบบนั้น"

    คนตัวสูงกว่าหันมาขอโทษผมพร้อมกันก่อนจะวิ่งออกนอกร้านไปทิ้งไว้เพียงไอ้ป้องที่ยิ้มจืดๆรับคำ พอผมเห็นว่าไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองแล้วเลยเดินพากันเดินเข้าไปด้านในต่อ

    "สัส พวกมึงพลาดฉากเด็ด"

    ไอ้อู๋ทัก หลังผมกับไอ้ป้องนั่งลงที่เดิมก่อนมันจะพูดขยายความ

    "เมื่อกี้นี้เขาสารภาพรักกันเว้ย แมร่งดีดกีตาร์อย่างพลิ้ว แต่สรุปเด็กเขาไม่เล่นด้วยวะ วิ่งหนีไปนู้น"

    ไอ้อู๋บุ้ยปากไปตรงประตูทางออกผมยักไหล่ไม่ใส่ใจเรื่องชาวบ้านเขาครับจะอยากรู้ไปทำไมไอ้ป้องเองก็คงคิดเหมือนผมเลยไม่
    ได้ถามต่อแต่นั่งกินหมูกะรทะไปเงียบๆแทน

    ผมรู้สึกว่าแต่ล่ะคนจะมีวิธีการง้อคนของตัวเอง(ใช้คำว่าแฟนเหมารวมไม่ได้เพราะบางคนยังไม่ใช่แฟน หึหึหึ) อย่างพี่เซียร์ก็ดูแลน้องเพลงเป็นพิเศษ ไอ้อู๋เอาขนมมาล่อต้องตา ส่วนคนอื่นๆก็ง้อกันไปตามบริบท สรุปแล้วพวกผมได้แค่คนละแก้วครับดีเหมือนกัน
    ไม่เปลื้องเงินก็อย่างที่บอกครับกินแค่แก้อยากผมนั่งกินต่อสักพัก ก่อนเพื่อนคนหนึ่งจะเดินเข้ามาหา

    "ไอ้หมาเกียร์ กูมีของจะขายมึงสองร้อย"

    ไอ้ปั้น เพื่อนที่เป็นช่างภาพประจำห้องผมพูดขึ้น ก่อนมันจะล้วงเอาอะไรสักอย่างขึ้นมาจากกระเป๋า

    "อะไรวะ ตั้งสองร้อย?"

    มันคลี่ยิ้มก่อนทำท่าจะส่งมาให้ผมดู แต่ไอ้ป้องคว้าหมับเอาไปดูก่อน

    "กูซื้อเอง"

    มันพูดเรียบๆก่อนจะยัดรูปลงกระเป๋าตัวเองหลังเห็นภาพดังกล่าว ไอ้ปั้นยักคิ้วกวนตรีนก่อนจะกลับไปนั่งโต๊ะเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจไถ่
    ตังค์เพื่อน

    "รูปไรวะป้อง?"

    ผมถามด้วยความสงสัย ก็ดูไอ้ป้องมันลุกลี้ลุกลนนิครับ

    "รูปหลุด"

    "ดูหน่อย"

    "ไม่เอา"

    "ป้องครับ ขอเกียร์ดูหน่อยน่า"

    ผมอ้อนเสียงหวานเอาหน้าถูไถต้นแขนมัน แต่ดูเหมือนไอ้ป้องจะไม่อยากให้ผมเห็นจริงๆแหะ

    ตกลงมันเป็นรูปอะไรกันแน่ ?

    "เดี่ยวถ้าผลสอบกลางภาคออกมาผ่านทุกวิชาแล้วจะให้ดู โอเค๊?" 

    มันพูดเสียงสูงจนผมต้องยอมรับอย่างเสียไม่ได้พลางสงสัยว่าเป็นรูปอะไรกันแน่ ถึงได้ทำให้ไอ้ป้องลงทุนควักกระเป๋าซื้อได้ตั้ง
    สองร้อยบาท ปกติป้องมันใช้เงินเป็น(งก)จะตายไป

    พวกเรานั่งดื่มกินกันไปดูแม่น้ำไป ตอนนี้ฝนด้านนอกตกแล้วครับแถมลมยังแรกมากๆอีกต่างหาก ผมสังเกตเห็นกลุ่มเด็กที่อยู่อีกฟากหลายๆคนกำลังนั่งไม่ติดโดยเฉพาะผู้ชายที่ตัวเล็กๆไอ้คนที่ขอโทษผมกับไอ้ป้องนะครับสงสัยคงเป็นเรื่องของไอ้ผู้ชายตัวขวาๆที่วิ่งสวนกับพวกผมนั้นแหละนะ

    พอวกกลับมาฝั่งผม ไอ้ป้องคงเหนื่อยๆ แถมอากาศตอนนี้ก็เย็นจนน่านอนมันเลยหลับพิงไหล่ผมเอาดื้อๆ เวลาล่วงเลยไปราวเกือบๆสี่ทุ่มกว่า หลังกินกันเสร็จสิ้น พี่กาเซียร์อาสาพาพวกเพื่อนผมกับไอ้ป้องทยอยกันไปส่ง(พี่มันขับรถส่วนตัวมาครับ)ส่วนผมเองก็พาไอ้ป้องนั่งCbrกลับบ้าน ไอ้ป้องยังคงเหนื่อยจนหลับซบกับหลังผมไป

    สิ่งที่เหนี่ยวรั้งผมกับมันเอาไว้ คือวงแขนของมันที่เอื้อมมาจับกัน... ผมมองผ่านกระจกหลังพลางคิดในใจเรื่อยเปื่อย

    อยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไปนะป้อง....



    ….



    ..

    .

    .



    หลังจบงานวันวิชาการ โรงเรียนผมก็ได้จัดละครเวทีแทบจะต่อเนื่องกันเพื่อโหมกระแสของเพลินจิตวิทยา คลิปการแสดงสดของ
    อามัวหรือไอ้ป้องของผมถูกอัพลงยูทูปภายในวันนั้น ก่อนยอดวิวจะพุ่งทะยานถึงสามหมื่นวิวภายในวันเดี่ยว และยังคงพุ่งขึ้นต่อเนื่องเป็นประวัติการ

    งานวันวิชาการว่ายุ่งยากและมีเรื่องเกิดขึ้นเยอะมากแล้ว งานวันแสดงละครเวทียุ่งยากมากกว่ายกกำลังสิบ!!!

    เริ่มจากเหตุการณ์ป่วนๆที่เกิดขึ้นจากสีเทียนและหนมปัง โอเค...ถ้าจะพูดให้ถูกต้องโทษไอ้สีเทียนคนเดี่ยวต่างหาก(สนิทกันแล้วครับ เพราะหนมปังมาสาขาหนึ่งที่ไรจะเกาะติดไอ้ป้อง สีเทียนเลยมานั่งกับผมบ่อยๆ)ที่แมร่งบ้าขึ้นไปบทเวทีทั้งๆที่ไม่รู้บทในฐานะอัศวินเพื่อนสนิทของพระเอก แต่ดันเจือกมาชอบเจ้าหญิงจำเป็น(โดนบังคับ)ซึ่งรับบทโดยหนมปัง เรื่องมันคงไม่ยุ่งถ้าไอ้คนที่รับบทเจ้าชายก็ดันจีบหนมปังอยู่ สรุปแล้วฉากที่พวกเสนาธิการพยายามแปลงบทกันก็ได้แปลงบทจริงๆชนิดที่ว่าแทบจะลืมต้นฉบับไป เจ้าชายกับอัศวินทะเลาะกันแย่งเจ้าหญิงสุดท้ายนางฟ้า(ที่โผล่มาแบบงงๆเพราะตอนแรกไม่มีบท)มาเสกให้เจ้าหญิงสลายไป(วิ่งหนีลงเวทีด้วยความอับอาย)

    แมร่ง เวอร์ชั่นพิสดารไปไหน.... พิสดารถึงขนานที่ว่าแทบจะล้มลงไปทั้งกอง ดีว่าผู้ชมที่มาชมดันคิดว่าพวกผมเตี๋ยมกันมาเลยไม่มีปัญหาอะไรมาก แต่แน่นอนว่าหลังงานทุกคนโดนหัวหน้าใหญ่ของทั้งสองสาขาคือพี่เซียร์และพี่ยาทำโทษ ข้อหาที่ทำอะไรตามใจตัวเองโดยไม่คิดถึงผลกระทบที่ตามมา สุดท้ายทั้งสามคน(หนมปังก็โดนข้อหาต้นเหตุ เจ้าตัวเลยตอบแทนเจ้าชายและอัศวินไปคนละหมัด ...โหดเชรี้ยๆ)เลยโดนทำโทษด้วยการทำตัวเป็นจิตสาธารณะให้แก่โรงเรียนทั้งสองสาขาเป็นเวลาหนึ่งเดือน

    แต่ก็ถือว่าทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดี......

    .......ยกเว้นสอบกลางภาคของผมนะน่ะ...

    สอบไปแปดวิชาตกไปหนึ่งวิชา สุดท้ายแล้วผมก็ไปไม่รอดกับพันธุกรรม ได้9คะแนน(แมร่งอีกศูนย์จุดห้าก็ทำไม่ได้นะไอ้เกียร์) ดีว่าคุณแฟนของผมเมตตาปราณีเพราะถือว่าขาดแค่ศูนย์จุดห้าเลยลงโทษเบาๆด้วยกันแยกกันนอนสามวัน

    พระเจ้า ตั้งสามวันเชี่ยวนะครับ!!! ผมงี้แทบจะลงแดงตาย ไอ้ป้องโหดจริงๆเลยพับผ่าสิ....

    เรื่องต่อมาคือปกติแล้วทุกเย็นผมกับป้องจะกลับบ้านด้วยกันนะครับ เพียงแต่ทุกวันนี้ผมลงเรียนพิเศษดรออิ้ง ของสถาบันสอนวาดรูปแห่งหนึ่ง ทำให้ช่วงนี้ไอ้ป้องจะกลับบ้านถึงก่อนผม(ถ้ามันไม่ติดประชุมนะ) วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมกลับถึงบ้านช้ากว่าไอ้ป้อง ผมเดินผ่านห้องนั่งเล่นก่อนจะเห็นพ่อกับแม่นั่งกันอยู่

    “พ่อครับ แม่ครับ สวัสดีครับ”

    ผมส่งเสียงทักก่อนจะยกมือไหว้พ่อกับแม่ ท่านทั้งสองหันมามองหน้าผมก่อนจะยิ้มรับให้ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ผมรู้สึกว่าสายตาของแม่ลีลาวดีดูจะเศร้าแปลกๆ ใบหน้าเองก็เศร้ามองลงไปมาก พอมองไปทางพ่อผมก็มีสภาพไม่ต่างกันนัก

    “มีอะไรรึเปล่าครับ ทำไมพ่อกับแม่ดูเครียดๆจัง ?”

    ผมถาม ก่อนพวกท่านจะพยายามเค้นรอยยิ้มออกมา

    “ไม่มีอะไรหรอก เกียร์ขึ้นไปทำการบ้านเถอะ แล้วเดี่ยวลงมากินข้าวด้วยกันนะ”

    แม่ลีลาวดีบอกผมแบบนั้น สุดท้ายผมเลยฟังคำแม่ด้วยการขึ้นไปบนห้อง

    “ป้องจ้า กลับมาแล้ววววว”

    ผมลากเสียงหวานก่อนจะปิดประตูลงแผ่วเบา ไอ้ป้องนั่งอัดเทปอะไรสักอย่างอยู่ตรงเตียงชั้นล่างก่อนจะหยุดลงเมื่อผมเดินเข้าไป
    ถึงตัว

    “ทำอะไรอยู่ครับ ?”

    ผมกอดอีกฝ่ายแผ่วเบา ก่อนจะซุกหน้าถูไถไปมา ไอ้ป้องยิ้มให้ผมจางๆเหมือนเคยก่อนจะกอดผมกลับ

    แปลกๆแหะ....


    “ไม่ได้ทำอะไรครับ นั่งเล่นอยู่”

    “อืม ป้องสอนผันเต๊ะกับไนหน่อย เกียร์ลืมวิธีผันไปแล้วอ๊ะ”

    ผมพูดถึงไวยากรณ์ญี่ปุ่นที่ได้เรียนมาวันนี้ ก่อนจะหยิบหนังสือเรียนสีส้มออกมาจากกระเป๋า

    “อ่า...วันนี้ป้องปวดหัวอ่ะ....”

    “อ้าวเหรอ งั้นไม่เป็นไรช่างมันก่อนก็ได้”

    เพราะเห็นสีหน้าเหนื่อยๆของอีกฝ่ายผมเลยเลิกตอแย ก่อนจะเหวี่ยงเสื่อนักเรียนลงตะกร้าผ้าแล้วเดินไปเปิดคอมเล่นดอทเอรอเวลากินข้าว เล่นไปสักตาไอ้ป้องก็ชวนผมกินข้าว น่าแปลกที่วันนี้ทั้งโต๊ะอาหารดูจะเงียบไปสนิท ไอ้ป้องเองก็กินน้อยลงมากๆทั้งๆที่กับข้าวก็เป็นปลาทับทิมทอดกรอบของโปรดมัน พ่อกับแม่เองต่างคนก็ต่างทานกันเงียบๆ ผมอุปปมาไปเองว่าพวกท่านคงเหนื่อยจากการทำงานที่ต้องเจอกับผู้คนเยอะๆในทุกๆวัน

    “ป้อง ไม่กินปลาวะ”

    ผมพูดก่อนจะทำท่าตักให้ แต่มันยกมือกันช้อนผมไว้

    “กูไม่สบายนิดหน่อยวะ”

    ผมขมวดคิ้วไม่เข้าใจสรรพนามที่อีกฝ่ายเรียกผม เพราะมันเลิกแทนตัวเองว่ากูกับผมมาตั้งแต่วันนั้นของเราแล้วครับ พอได้ยิน
    แบบนี้เลยไม่ค่อยคุ้นหูเท่าไหร่แต่ก็ไม่ได้ท้วงอะไรออกไป ผมเลยเลือกที่จะทานข้าวเงียบๆ ก่อนไอ้ป้องจะกินเสร็จก่อนผมแล้วเดินขึ้นห้องไป พอตามขึ้นไปมันก็กวักเรียกผมไปนั่งตรงโต๊ะคอม

    “อะไรวะ”

    ผมถามงงๆ ไอ้ป้องไม่ตอบแต่จับผมนั่งตรงๆก่อนจะหยิบผ้าขนหนูที่บิดหมาดๆจากการชุบน้ำอุ่นมาค่อนๆเช็ดหน้าผม พอรู้สึกสบายตัวผมเลยปล่อยให้อีกฝ่ายจัดแจงตามใจชอบ

    “หนวดมึงยาวแล้วนะ...เดี่ยวกูโกนให้”

    อีกฝ่ายชี้แจงจุดประสงค์ ก่อนจะค่อยๆป้ายครีมสีขาวสำหรับโกนหนวดให้กับผม 

    ไอ้ป้องค่อนๆช้อนหน้าผมขึ้นก่อนจะมองต่ำลงมา ในแววตาของมันเจือปนไปด้วยความรู้สึกต่างๆที่ผมแยกไม่ถูกเหมือนๆกับมันกำลังกลัวอะไรบางอย่างที่ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร 

    ใบมีดโกนหนวดค่อยๆขยับช้าๆเบาๆ ไอ้ป้องเริ่มไล่โกนให้ผมจากซ้ายไปขวาจนกระทั้งสะอาดก่อนจะค่อยๆเอาผ้าเช็ดให้ผมที่ละนิดๆ ปิดท้ายด้วยการป่ายของเหลวอะไรสักอย่างที่ทำให้ผมไม่แสบบริเวณที่เพิ่งถูกโกนไป ผมรู้สึกดีจนฟินนั่งนิ่งๆไปเลยแหละขอบอก

    พอโกนหนวดให้เสร็จมันก็ไล่ผมไปอาบน้ำ ก่อนวันนี้จะบอกให้ผมรีบนอนไวๆ น่าแปลกที่วันนี้ผมไม่ต้องอ้อนอีกฝ่ายก็ลงมานอนกับผมดีๆ เพราะปิดไฟทุกดวงในห้องไปแล้วผมเลยไม่เห็นว่าอีกฝ่ายมีสีหน้ายังไง รู้เพียงแต่มันหันหน้ามาทางผมก็เท่านั้นเอง

    “วันนี้เป็นอะไรรึเปล่าครับ อ้อนเกียร์จัง ?”

    ผมพูดหลังสัมผัสได้ถึงหัวทุยๆของมันที่ซบลงมา ปกติแล้วไอ้ป้องไม่ค่อยจะอ้อนผมนักหรอกนะครับ

    “เกียร์ ....”

    “ครับว่า... ?”

    “ทำไมถึงชอบป้องล่ะ”

    คำถามนี้ออกมาจากปากมัน ก่อนผมจะขยี้หัวเบาๆแล้วตอบกลับไป



    “นกจะบินจำเป็นต้องมีเหตุผลเหรอป้อง ?”




    ผมกลายเป็นพวกชอบตอบคำถามด้วยคำถามตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้แหะ รู้แต่ว่าที่ตอบไปนั้นมันก็น่าจะทราบถึงความคิดของผมนะ ไอ้ป้องหัวเราะเบาๆในลำคอก่อนมันจะนอนนิ่งๆไป

    “หลับแล้วเหรอ ?”

    ผมถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งไป ก่อนแรงขยับเบาๆจะตอบผมแทนเจ้าตัว

    “ป้อง....อย่าเลือนมือไปแถวนั้น...”

    ผมเตือนเบาๆ เมื่อมือบางของไอ้ป้องเริ่มไปแถวๆบริเวณโซนอันตรายด้านล่างของผม แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ฟังที่ผมพูดเลยแม้แต่น้อยเพราะมือมันล้วงเข้าไปในขอบกางเกงของผมแล้ว!!!

    “พรุ่งนี้ไม่ไปโรงเรียนเหรอ ?”

    ผมเตือนต่อเพราะเริ่ม ‘ตื่นเต็มตัว’ 

    อย่างที่กล่าวไปเริ่มต้นแต่แรกแล้วว่าผมปิดไฟหมดทุกดวงแล้วเลยไม่เห็นหรอกว่าสีหน้าอีกฝ่ายกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่  มือบางๆของมันล้วงเข้าไปประชิดชายแดนก่อนจะค่อยๆจับอย่างแผ่วเบา

    “พรุ่งนี้กูไม่ไปโรงเรียน”

    “ไปไหน”

    “ทำธุระ...กับแม่นะ”

    เพราะได้ยินแบบนั้น ผมเลยพลิกตัวอีกฝ่ายให้ลงไปอยู่ด้านล่างแทน

    “งั้นคือนี้...ขอนะ”

    เหมือนๆได้ยินเสียงมันหัวเราะเบาๆในลำคอ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม.....

    แต่ผมกลับรู้สึกว่ามัน....

    ....กำลังเศร้าอยู่








    .

    .

    .

    .



    .

    .



    “งั้นเดี่ยวเกียร์ไปโรงเรียนก่อนนะ”

    ผมบอกกับไอ้ป้องที่นอนอยู่บนเตียงในสภาพยับเยิน เมื่อคืนนี้กว่าจะปล่อยมันนอนก็ล่อไปเกือบๆเที่ยงคืน ที่สำคัญคือไอ้ป้องเป็นคนเริ่มครั้งแรกตั้งแต่คบกันมา ถ้าผมไม่เริ่มก็ไม่มีทางได้เลย....

    เจ้าตัวยิ้มรับคำให้ผมจางๆก่อนจะพูดเบาๆ

    “โชคดีนะเกียร์”

    “พูดเหมือนกับเกียร์จะไปไกลๆงั้นแหละ”

    ผมแปลกใจกับคำพูดอีกฝ่ายเพราะมันดูเหมือนผมกับมันจะไม่ได้อยู่ด้วยกันงั้นแหละครับ ไอ้ป้องยิ้มให้ผมกว้างๆก่อนจะพูดต่อ

    “ไม่ไกลหรอก...เกียร์อยู่ในใจเสมอนั้นแหละ”

    แน๊ะ....เดี่ยวนี้หัดหยอดเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ผมแลบลิ้นให้มันก่อนจะก้าวออกจากห้องนอนไป พอเดินลงไปข้างล่างก็เห็นแม่ลีลาวดีในชุดทำงานกำลังยืนอยู่

    “แม่หวัดดีครับ...วันนี้จะพาป้องไปไหนเหรอแม่ ?”

    แม่ลีลาวดีไม่ตอบ แต่ดึงผมไปกอดแน่นๆแทน ก่อนจะปล่อยออกแล้วยื่นบางอย่างให้ผม

    “แม่ซื้อมาให้ เกียร์เก็บไว้ใช้นะ”

    ผมขมวดคิ้วก่อนจะเปิดออกดู แล้วพบกับปากกาโคปิกอยู่ในกล่องของขวัญเล็กๆยี่สิบแท่งเรียงตัวบรรจุอยู่ในกล่องอย่างเป็นระเบียบ

    “ขอบคุณครับแม่”

    ผมกอดขอบคุณ ก่อนแม่ลีลาวดีจะลูบหัวผมแผ่วเบา

    “เกียร์ ตั้งใจเรียนนะลูก แม่รักเกียร์มากๆนะเหมือนๆกับเราเป็นลูกคนหนึ่งของแม่เลย....”

    “ครับ”

    ผมรับคำเพราะรู้สึกแปลกๆในใจ ทำไมแม้กระทั้งแม่ลีลาวดีก็พลอยพูดแปลกๆไปอีกคน

    “งั้นเกียร์ไปโรงเรียนก่อนนะครับแม่”

    “โชคดีนะลูก”

    แม่ลีลาวดียิ้มให้ผมจางๆ ก่อนจะยอมปล่อยผมออกจากอ้อมกอด พอเดินไปที่หน้าบ้านผมเห็นพ่อยืนสูบบุหรี่อยู่...แปลกแหะ ผมรู้สึกเหมือนๆพ่อจะเลิกสูบตั้งแต่ตอนเจอกับแม่แล้วนะครับ แถมวันนี้ยังไม่ไปทำงานอีกต่างหาก

    “ไปโรงเรียนก่อนนะพ่อ”

    ผมตะโกนบอกก่อนจะเตรียมตัวเดินออกไป

    “เย็นนี้กลับมาพ่อมีเรื่องจะคุยด้วยนะ”

    พ่อผมพูดด้วยน้ำเสียงสงบๆแบบบอกไม่ถูก ผมพยักหน้ารับคำก่อนจะเดินออกนอกบ้านไป 

    หวังเพียงขอแค่ให้เวลาผ่านไปไวๆให้ผมกลับมาเจอไอ้ป้องอีกครั้งหนึ่งก็พอ....

    ..

    ..
    .
    .
    .
    .





    วันนี้ทั้งวันผมรู้สึกเรียนไม่รู้เรื่องเลยครับ ไม่ใช่ว่าไม่เคยมาเรียนคนเดี่ยวหรอกนะ เพียงแต่ผมรู้สึกเหงาๆแบบบอกไม่ถูกเพราะพอมองไปที่นั่งของไอ้ป้องแล้วเห็นว่ามันไม่อยู่

    อย่าคิดมากดิวะไอ้เกียร์ กลับบ้านไปเดี่ยวก็ได้เจอกันแล้ว....

    ผมไม่เคยรู้สึกอยากได้ยินเสียงออดตั้งแต่เกิดจนกระทั้งถึงวันนี้เลยครับ พอได้ยินเสียงออดปุ๊บผมแทบจะหนีบจาคอปแล้ววิ่งหูตั้งออกไปนอกโรงเรียนเพื่อไปเรียนพิเศษดรออิ้งจนกระทั้งหกโมงเย็น

    ......แค่คิดถึงใครที่คอยอยู่ที่บ้าน ผมก็แทบจะรอไม่ไหวแล้วครับ

    ผมกลับมาถึงบ้านในเวลาจวนเจียนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า รู้สึกคุ้นตาเหมือนๆตอนที่ผมกับไอ้ป้องยืนด้วยกันที่ชั้นสองตึกห้าเลยแหะมันเป็นวันแรกที่พบได้จับมือกับมันอังแสงพระอาทิตย์

    พอก้าวเข้าไปในบ้านผมยกเดินผ่านห้องนั่งเล่นยกมือไหว้พ่อ ก่อนจะแทบจะถลาขึ้นไปห้องตัวเองชั้นบน....

    .....ก่อนจะพบว่าห้องทั้งห้องที่เหลือเพียงแค่ความว่างเปล่า

    มันว่าง....เหมือนก่อนที่ใครอีกคนจะก้าวเข้ามาในชีวิต

    สิ่งของที่เคยยืนยันว่ามีใครอีกคนหนึ่งใช้ชีวิตตลอดระยะเวลาสี่เดือนในห้องๆนี้กับผม....

    .....หายไปหมดแล้ว

    แขนของผมที่หนีบจาคอปไว้คลายตัวออกอัตโนมัติ ก่อนจะเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า ผมค่อยๆยกมือที่แทบจะหมดแรงเปิดประตูตู้ออกมา ก่อนจะพบว่าข้างในเหลือเพียงแต่เสื่อผ้าของผมห้องทั้งห้องดูโล่งไปถนัดตา ผมเดินไปนั่งที่เตียงชั้นล่าง ก่อนจะเห็นเทปอัดเสียงที่ไอ้ป้องชอบอัดคำศัพท์ไว้ให้ผมฟังเวลาล่างวางไว้ข้างๆสมุดเล่มหนาสีเทา นิ้วมือของผมค่อยๆเลื่อนไปกดปุ่มเพลย์

    เงียบ....ผมเห็นเครื่องบันทึกเสียงวิ่ง แต่กลับไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมา ผมนั่งฟังแนบมันไว้กับหูก่อนเสียงๆหนึ่งจะรอดออกมาให้ผมได้ยิน

    ‘พอถึงเวลาจริงๆ.....กูพูดไม่ออก......’

    น้ำเสียงของ ‘คนที่หายไป’ ดังออกมา ผมนั่งเม้มปากนิ่งรอฟังเสียงที่รอดออกมา

    ‘มันจุก...จนพูดไม่ออก......กูไม่รู้ว่า....จะต้องบอกมึงยังไง.......’

    น้ำเสียงที่พูดออกมาเจือปนไปด้วยความรู้สึกใจหาย 

    ไม่ใช่แค่คนพูด....

    ....คนฟังอย่างผมก็แทบจะหยุดหายใจ

    ‘กูมันคนขี้ขลาด...เกียร์.....’

    มันเว้นวรรคไปก่อนเสียงกีตาร์จะดังขึ้น ผมแทบจะกลั่นหายใจฟังด้วยซ้ำ

    ‘เหตุผลเป็นร้อยเป็นพันที่เจอ
    ทำให้เธอและฉันดูเหมือนยิ่งรักยิ่งห่าง
    เหตุใดความรักที่พร้อมทุกอย่าง
    บางสิ่งกลับดูขาดหาย สุดท้ายก็หาไม่เจอ’


    ‘เป็นเพราะเราต่างกัน
    บนสวรรค์บันดาลให้ฉันและเธอต้องจาก
    อยากให้เธอรู้เอาไว้อย่าง’


    เสียงกีตาร์เงียบหายไป ก่อนเสียงร้องของมันจะออกมาพร้อมๆกับน้ำตาที่เอ่อร้นออกมาทั้งสองข้างของผม

    ‘......ว่าฉันจะมีแต่เธอ....อึก.....ในใจเสมอ’

    หยาดน้ำตามากมายของผมไหลออกมา ก่อนเสียงร้องที่ปนไปกับเสียงสะอื้นร้องไห้ของไอ้ป้องจะดังออกมา

    ‘ความทรงจำดีดี...อึก....จะคงเหมือนเดิม..’

    ‘อย่างน้อยได้รู้ว่ารัก...เธอมากแค่ไหน...อึก....’

    ‘ฉันไม่เคยเลยไม่เคยเสียใจ............................’

    ‘ที่ได้รักเธอ.....’

    เสียงไอ้ป้องเงียบหายไปนานมากแต่ไม่มากเท่าน้ำตาของผมที่ยังคงไหลรินออกมาจากดวงตา....

    ‘ป้อง...อึก....ป้องขอโทษ....ที่ต้องไป.......’

    ‘ไม่ได้อยากห่าง....แม้กระทั้ง...สักวินาที’

    ‘แต่ถ้าป้องไม่ไป.....เรื่องมันคง....เลวร้ายมากกว่านี้.........’

    ‘อึก....ขอโทษนะเกียร์...............’

    ‘ปกป้อง....จะรักก้องเกียรติ์เสมอไป....ครับ......’

    ผมทรุดตัวลงไปนอนตรงที่ๆใครคนหนึ่งเคยนอนอยู่ทุกๆวัน หมอบใบเดิมถูกวางอย่างเป็นระเบียบเหมือนกับไม่มีใครมานอนนานมากแล้ว คราบฟูกจางๆยังติดจมูกผมอยู่ กลิ่นของคนที่ผมรักยังคงตลบอบอวลไปทั้งห้อง ผมร้องไห้จนปวดตาทั้งสองข้าง สมอง
    เองก็ตื้อไปหมด

    รู้ตัวอีกที่ผมก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าพ่อของผมแล้ว....

    “พี่ป้อง....ไปไหนเหรอครับ......”

    ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง พ่อของผมนั่งลงกับโต๊ะของห้องรับแขกก่อนจะพูดออกมา

    “ย้ายออกไปแล้ว”

    มันเหมือนมีมีดสักร้อยสักพันมากรีดใจของผมแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ผมแทบล้มทั้งยืนด้วยซ้ำ

    “ทำไม...ครับพ่อ......”

    “..........................”

    “ผมกับป้อง....ทำผิดอะไร....”

    ผมสะอื้น พยายามควบคุมน้ำเสียงและร่างกาย ไม่ให้อ่อนแอไปมากกว่านี้

    “ความรัก....มันผิดตรงไหนครับ”

    “มันผิดตรงที่พวกแกทั้งคู่เป็นผู้ชาย !!! เกียร์ พ่อเลี้ยงแกมาตั้งแต่อ้อนแต่ออดตั้งแต่แม่ของแกทิ้งไป แกไม่เคยผิดปกติหรือจะเป็นตุ๊ดเป็นแต๋ว แต่ทำไมแกถึงได้ชอบผู้ชาย!!! พ่อไม่เคยคิดเลยว่าแกจะเป็นแบบนี้”

    พ่อลุกขึ้นยืนตวาดเสียงดังลั่น ถ้าเป็นปกติผมคงหงอแล้วเดินกลับห้องไป

    “ผมแค่มีความรัก...ผมทำผิดอะไรร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอครับ แค่คนที่ผมรัก....คือไอ้ป้อง”

    “ผิดสิ ความรักของแก มันไม่ใช่ความรักที่ถูกต้อง !!!! แกคิดจริงๆเหรอว่าผู้ชายกับผู้ชายมันจะไปด้วยกันรอด มันไม่มีหรอก ไอ้รักแท้จอมปลอมนั้น ขนาดผู้หญิงกับผู้ชายปกติทั่วไปยังเลิกรากันออกจะเยอะแยะไป แล้วไหนจะคนในสังคมอีก ความรักของแก มันเป็นความรักที่สังคมไม่ยอมรับ!!!! แกจะให้ชั้นเอาหน้าไปไว้ที่ไหนที่มีลูกชายเป็นเกย์ ห๊ะ!!!!”

    น้ำตาของผมไหลออกมาอีกระลอกเมื่อได้ฟังคำพูดของคนเป็นพ่อ ผมบีบเครื่องอัดเสียงของไอ้ป้องไว้แน่นก่อนจะหันหลังให้กับพ่อ

    “ถ้าแกยังดื้อดึงไม่เลิก ฉันจะส่งแกไปนอก และจะไม่ให้กลับมาที่ไทยอีก”

    ผมไม่รู้หรอกนะ ว่าไอ้พวกตัวเอกที่โดนพ่อแม่พูดใส่แบบนี้จะยืนนิ่งๆช็อกอะไรรึเปล่า แต่สภาพจิตใจของผมตอนนี้ มันไม่มีอะไร
    จะแย่ไปเท่ากับการที่หัวใจอีกครึ่งดวงของผมต้องโดนพรากจากไปหรอกครับ ผมแทบจะวิ่งออกไปด้วยซ้ำ แทบไม่อยากจะรับรู้ว่ามันคือเรื่องจริง 

     “ไอ้เกียร์ แกจะไปไหน!!!!”

    ผมไม่ตอบคำถามของพ่อ ไม่สนใจสิ่งที่อยู่ข้างหลัง ... ผมแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังจะไปไหน แค่รู้ว่าอยากตามมันกลับมา อยากตามคนๆนั้นมาอยู่ข้างๆกันอีกครั้ง  ผมได้ยินเสียงพ่อตะโกนไล่ตามหลังออกมาอีกมากมาย แต่เหมือนระบบรับรู้ของผมจะดับลงไปแล้ว ผมแทบจะคิดอะไรไม่ออกแล้วด้วยซ้ำ นอกจากไถ่สเกตออกไปข้างนอกก่อนจะถึงบริเวณโค้งตรงทางเลี้ยวออกไปนอกซอย  ไอ้ป้องย้ำกับผมเสมอว่าเวลาขับรถให้ระวังตรงโค้งนี้ เพราะคนที่ขับสวนเข้ามาจะมองไม่เห็นผมหรือใครก็ตามที่กำลังจะออกไป

    ......และผมก็ลืมคำเตือนนั้นไปสนิทใจ

    ‘ปรี๊นนนนนนนนนนนนนน’

    แสงไฟจากหน้ารถยนต์คันหนึ่งซึ่งขับเข้ามาในซอยสะท้อนใส่แก้วตาของผมก่อนร่างกายจะสัมผัสได้ถึงแรงกระแทกที่มากพอจะ
    ทำให้ร่างทังร่างกระเด็นลอยกลับไป ผมได้ยินเสียงคนร้องตกใจมากมาย ได้ยินเสียงพ่อตะโกนเรียกชื่อผม ของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากศีรษะและลำตัวที่กระแทกเข้ากับพื้นถนน สติที่เหลืออยู่ของผมสั่งให้มือทั้งสองข้างกุมเทปที่บันทึกเสียงของไอ้ป้องไว้

    ป้อง....อย่าทิ้งกูนะ....

    นั้นคือสิ่งสุดท้ายที่ผมคิด ก่อนโลกทั้งใบจะดับวูบลงไป......


    TBC.
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×