ลำดับตอนที่ #30
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #30 : #28 ยิ่งรัก...ยิ่งห่าง
#28 ยิ่งรัก....ยิ่งห่าง
"เอ้า ชน!!!!"
เสียงไอ้อู๋ดังขึ้น ก่อนแก้วเหล้าของทุกคนจะชนกันเป็นสัญญาณฉลองความสำเร็จในวันนี้
หลังจบงาน พี่เซียร์กับพี่ยาซึ่งเป็นหัวเรือใหญ่ได้แสดงการขอบคุณน้องๆสตาฟทุกคนทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังด้วยการพามาเลี้ยงหมูกระทะแน่ล่ะ ฉลองทั้งที่มันต้องมีเครื่องดื่มลูกผู้ชาย และสิ่งที่แน่นอนไปกว่านั้นคือบรรดาแม่บ้านทั้งหลายที่ทำหน้าหงิกไอ้ป้องเองก็เหมือนกันแต่มันเลือกที่จะไม่พูดออกมาต่างหากเลยนั่งเงียบๆคีบหมูกินไป
"พี่ขอขอบคุณทุกคนมากนะที่ช่วยกันจนเหนื่อย วันนี้กินให้เต็มที่!!!"
พี่เซียร์บอก
ตอนแรกพี่แกลงทุนเหมาร้านครับ แต่เฮียเจ้าของร้านขอบริเวณหนึ่งไว้ให้กับลูกเฮียแกพร้อมเพื่อนๆเห็นบอกว่าฉลองแข่งกีฬาสี
เสร็จนะครับ สรุปแล้วทั้งร้านเลยมีแค่สองกลุ่มใหญ่ๆ คือกลุ่มเด็กพ.ว.ที่นั่งกันเป็นกลุ่มย่อยๆ กับอีกฟากที่เป็นเด็กโรงเรียนชาย
ล้วนชื่อดังพอๆกับพวกผม แต่ผมเห็นมีประมาณสิบกว่าคนเองน่ะนะ
บรรยากาศของร้านเป็นร้านติดแม่น้ำครับ จากจุดที่พวกผมนั่งอยู่มองเห็นวิวแม่น้ำยามค่ำเรียกได้ว่าบรรยากาศชวนนั่งดื่มนั่งกินจริงๆแหะแต่ที่เห็นจะไม่เข้ากับบรรยากาศก็อารมณ์มาคุของคนข้างๆผมเนี้ยแหละ
"ป้อง ไปเข้าห้องน้ำเป็นเพื่อนหน่อย"
ผมสะกิดเรียกเบาๆ ก่อนเราสองคนจะลุกออกไปจากวงหมูกระทะ ผมเดินพาป้องออกมายืนหน้าร้านตรงริมฟุตบาทไม่ใช่ห้องน้ำ
เหมือนที่บอกมันตอนแรก
"ป้องโกรธเกียร์เหรอ?"
ผมเปิดประเด็นขึ้น ไอ้ป้องส่ายหน้าช้าๆแต่ไม่ได้มองหน้าผม
"ป้อง.... เกียร์ดื่มแค่สองแก้วเองนะ"
"ครับ ป้องรู้แล้ว ...ก็ไม่ได้ว่าอะไร"
ปากไม่ได้ว่า แต่หน้าไปแล้วครับ
ผมดึงแก้มอีกฝ่ายทั้งสองข้างให้มันย้วยๆ ก่อนจะพูดต่อ
"ไหนเราตกลงกันแล้วไงครับ ว่าถ้ารู้สึกไม่ดีให้พูดออกมาไหนเราจะไม่เงียบใส่กันไง"
อีกฝ่ายถอนหายใจเหนื่อยอ่อน หลังพิงกำแพงร้านเอา
"ก็ป้องไม่อยากให้เกียร์ดื่ม มันไม่ดีต่อสุขภาพ"
ไหนที่สุดมันก็ยอมพูดออกมา ผมว่าแหละต้องเป็นเรื่องนี้
"ป้องครับ เกียร์ดื่มแค่บางครั้งเองนะ ไม่ได้ดื่มเมาหัวราน้ำทุกวัน"
ไอ้ป้องพยักหน้ารับฟัง แต่ดูเหมือนจะยังหม่นๆในใจอยู่
"เอางี้ เกียร์สัญญาว่าจะดื่มแค่บางครั้งจริงๆ และวันนี้แค่สองแก้ว แบบนี้พอโอเคไหมครับ?"
เรื่องบุหรี่ผมยอมเลิกแล้วหันไปเคี้ยวหมากฝรั่งแทนได้นะครับ แต่เรื่องดื่มเนี่ยผมว่ามันไม่ได้ร้ายแรงอะไรนะครับ ผมดื่มแค่พอเห็นว่าดื่ม ไม่ได้ดื่มแบบเป็นบ้าเป็นหลัง ทั้งยังคงสติไว้อยู่ในความคิดของผมการที่เราดื่มนี้ไม่ผิดนะครับ ถ้าดื่มแล้วเรารับผิดชอบตัวเองได้ดื่มแล้วไม่เป็นภาระใครก็ดื่มไปเถอะครับแม้จะยังคงหม่นๆ แต่สีหน้าที่แสดงออกของมันก็ ทำผมใจชื่นขึ้นมาหน่อยๆ
ตั้งแต่คบกับป้องถามว่ามีความสุขไหม? มีนะครับ เยอะด้วย แล้วทะเลาะกันมันก็มีบ้างเป็นธรรมดา ดีหน่อยตรงที่เราทั้งคู่ไม่งี้เง้า ไอ้ป้องอาจคิดเล็กคิดน้อยบ้างแต่นั้นก็ยังอยู่ในขอบเขตที่ผมรับได้ เหมือนๆกับที่เราพูดกันก่อนจะคบกัน
ไม่ต้อง'เปลี่ยน'จนไม่ใช่เรา แค่'ปรับ'ให้อยู่ด้วยกันได้
นั้นต่างหากคือความรักที่ดีสำหรับผม....
ผมรักป้อง อยากดูแลป้อง แต่ก็มีบางเรื่องที่ผมอยากทำ อยากสนุก บางครั้งเราก็รู้แหละครับ ว่าที่ๆทะเลาะกันก็เพราะเขารักเราเลยห่วงเรา เหมือนๆปัญหาตอนนี้
"ตกลงไหมครับ?"
ผมถามย้ำ อีกฝ่ายพยักหน้าตอบเบาๆ ผมเลื่อนมือไปดึงแก้มไอ้ป้องเล่นอีกรอบก่อนจะพูดเสียงใส
"ขอบคุณที่เข้าใจเกียร์นะ"
อยากกอดขอบคุณอีกฝ่ายนะครับ แต่หน้าร้านก็ดูจะประเจิดประเจ้อไปหน่อย
"แต่ถ้าเกินสองแก้ว นอนชั้นบน!!!"
ผมบีบมือมันเบาๆแทนคำตกลง ก่อนจะพากันกลับเข้าไปในร้าน พอเงยหน้ามองฟ้ารู้สึกเหมือนๆข้างนอกร้านฝนกำลังตั้งเค้าแหะ
"เห้ย เดี่ยวก่อน!!! เต้จับไอ้ฟ้าดิ"
เสียงตกอกตกใจดังขึ้น ก่อนผมจะดึงไอ้ป้องหลบคนที่วิ่งสวนออกมาจากภายในร้าน
"เชรี้ยเอ๊ย!!! มึงอยู่นี้ก่อนนะ ไอ้ตี๋วิ่งหนีไปแล้ว"
ผู้ชายตัวสูงๆสบถหลังจับตัวคนวิ่งออกไปนอกร้านไม่ทัน ก่อนเพื่อนตัวเล็กๆมัดผมไว้เป็นกระจุกที่วิ่งมาด้วยกันจะหันมาขอโทษผมกับป้องที่ยังยืนงงๆ
"เราขอโทษแทนเพื่อนด้วยนะครับ ที่วิ่งสวนพวกนายออกไปแบบนั้น"
คนตัวสูงกว่าหันมาขอโทษผมพร้อมกันก่อนจะวิ่งออกนอกร้านไปทิ้งไว้เพียงไอ้ป้องที่ยิ้มจืดๆรับคำ พอผมเห็นว่าไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองแล้วเลยเดินพากันเดินเข้าไปด้านในต่อ
"สัส พวกมึงพลาดฉากเด็ด"
ไอ้อู๋ทัก หลังผมกับไอ้ป้องนั่งลงที่เดิมก่อนมันจะพูดขยายความ
"เมื่อกี้นี้เขาสารภาพรักกันเว้ย แมร่งดีดกีตาร์อย่างพลิ้ว แต่สรุปเด็กเขาไม่เล่นด้วยวะ วิ่งหนีไปนู้น"
ไอ้อู๋บุ้ยปากไปตรงประตูทางออกผมยักไหล่ไม่ใส่ใจเรื่องชาวบ้านเขาครับจะอยากรู้ไปทำไมไอ้ป้องเองก็คงคิดเหมือนผมเลยไม่
ได้ถามต่อแต่นั่งกินหมูกะรทะไปเงียบๆแทน
ผมรู้สึกว่าแต่ล่ะคนจะมีวิธีการง้อคนของตัวเอง(ใช้คำว่าแฟนเหมารวมไม่ได้เพราะบางคนยังไม่ใช่แฟน หึหึหึ) อย่างพี่เซียร์ก็ดูแลน้องเพลงเป็นพิเศษ ไอ้อู๋เอาขนมมาล่อต้องตา ส่วนคนอื่นๆก็ง้อกันไปตามบริบท สรุปแล้วพวกผมได้แค่คนละแก้วครับดีเหมือนกัน
ไม่เปลื้องเงินก็อย่างที่บอกครับกินแค่แก้อยากผมนั่งกินต่อสักพัก ก่อนเพื่อนคนหนึ่งจะเดินเข้ามาหา
"ไอ้หมาเกียร์ กูมีของจะขายมึงสองร้อย"
ไอ้ปั้น เพื่อนที่เป็นช่างภาพประจำห้องผมพูดขึ้น ก่อนมันจะล้วงเอาอะไรสักอย่างขึ้นมาจากกระเป๋า
"อะไรวะ ตั้งสองร้อย?"
มันคลี่ยิ้มก่อนทำท่าจะส่งมาให้ผมดู แต่ไอ้ป้องคว้าหมับเอาไปดูก่อน
"กูซื้อเอง"
มันพูดเรียบๆก่อนจะยัดรูปลงกระเป๋าตัวเองหลังเห็นภาพดังกล่าว ไอ้ปั้นยักคิ้วกวนตรีนก่อนจะกลับไปนั่งโต๊ะเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจไถ่
ตังค์เพื่อน
"รูปไรวะป้อง?"
ผมถามด้วยความสงสัย ก็ดูไอ้ป้องมันลุกลี้ลุกลนนิครับ
"รูปหลุด"
"ดูหน่อย"
"ไม่เอา"
"ป้องครับ ขอเกียร์ดูหน่อยน่า"
ผมอ้อนเสียงหวานเอาหน้าถูไถต้นแขนมัน แต่ดูเหมือนไอ้ป้องจะไม่อยากให้ผมเห็นจริงๆแหะ
ตกลงมันเป็นรูปอะไรกันแน่ ?
"เดี่ยวถ้าผลสอบกลางภาคออกมาผ่านทุกวิชาแล้วจะให้ดู โอเค๊?"
มันพูดเสียงสูงจนผมต้องยอมรับอย่างเสียไม่ได้พลางสงสัยว่าเป็นรูปอะไรกันแน่ ถึงได้ทำให้ไอ้ป้องลงทุนควักกระเป๋าซื้อได้ตั้ง
สองร้อยบาท ปกติป้องมันใช้เงินเป็น(งก)จะตายไป
พวกเรานั่งดื่มกินกันไปดูแม่น้ำไป ตอนนี้ฝนด้านนอกตกแล้วครับแถมลมยังแรกมากๆอีกต่างหาก ผมสังเกตเห็นกลุ่มเด็กที่อยู่อีกฟากหลายๆคนกำลังนั่งไม่ติดโดยเฉพาะผู้ชายที่ตัวเล็กๆไอ้คนที่ขอโทษผมกับไอ้ป้องนะครับสงสัยคงเป็นเรื่องของไอ้ผู้ชายตัวขวาๆที่วิ่งสวนกับพวกผมนั้นแหละนะ
พอวกกลับมาฝั่งผม ไอ้ป้องคงเหนื่อยๆ แถมอากาศตอนนี้ก็เย็นจนน่านอนมันเลยหลับพิงไหล่ผมเอาดื้อๆ เวลาล่วงเลยไปราวเกือบๆสี่ทุ่มกว่า หลังกินกันเสร็จสิ้น พี่กาเซียร์อาสาพาพวกเพื่อนผมกับไอ้ป้องทยอยกันไปส่ง(พี่มันขับรถส่วนตัวมาครับ)ส่วนผมเองก็พาไอ้ป้องนั่งCbrกลับบ้าน ไอ้ป้องยังคงเหนื่อยจนหลับซบกับหลังผมไป
สิ่งที่เหนี่ยวรั้งผมกับมันเอาไว้ คือวงแขนของมันที่เอื้อมมาจับกัน... ผมมองผ่านกระจกหลังพลางคิดในใจเรื่อยเปื่อย
อยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไปนะป้อง....
….
..
.
.
หลังจบงานวันวิชาการ โรงเรียนผมก็ได้จัดละครเวทีแทบจะต่อเนื่องกันเพื่อโหมกระแสของเพลินจิตวิทยา คลิปการแสดงสดของ
อามัวหรือไอ้ป้องของผมถูกอัพลงยูทูปภายในวันนั้น ก่อนยอดวิวจะพุ่งทะยานถึงสามหมื่นวิวภายในวันเดี่ยว และยังคงพุ่งขึ้นต่อเนื่องเป็นประวัติการ
งานวันวิชาการว่ายุ่งยากและมีเรื่องเกิดขึ้นเยอะมากแล้ว งานวันแสดงละครเวทียุ่งยากมากกว่ายกกำลังสิบ!!!
เริ่มจากเหตุการณ์ป่วนๆที่เกิดขึ้นจากสีเทียนและหนมปัง โอเค...ถ้าจะพูดให้ถูกต้องโทษไอ้สีเทียนคนเดี่ยวต่างหาก(สนิทกันแล้วครับ เพราะหนมปังมาสาขาหนึ่งที่ไรจะเกาะติดไอ้ป้อง สีเทียนเลยมานั่งกับผมบ่อยๆ)ที่แมร่งบ้าขึ้นไปบทเวทีทั้งๆที่ไม่รู้บทในฐานะอัศวินเพื่อนสนิทของพระเอก แต่ดันเจือกมาชอบเจ้าหญิงจำเป็น(โดนบังคับ)ซึ่งรับบทโดยหนมปัง เรื่องมันคงไม่ยุ่งถ้าไอ้คนที่รับบทเจ้าชายก็ดันจีบหนมปังอยู่ สรุปแล้วฉากที่พวกเสนาธิการพยายามแปลงบทกันก็ได้แปลงบทจริงๆชนิดที่ว่าแทบจะลืมต้นฉบับไป เจ้าชายกับอัศวินทะเลาะกันแย่งเจ้าหญิงสุดท้ายนางฟ้า(ที่โผล่มาแบบงงๆเพราะตอนแรกไม่มีบท)มาเสกให้เจ้าหญิงสลายไป(วิ่งหนีลงเวทีด้วยความอับอาย)
แมร่ง เวอร์ชั่นพิสดารไปไหน.... พิสดารถึงขนานที่ว่าแทบจะล้มลงไปทั้งกอง ดีว่าผู้ชมที่มาชมดันคิดว่าพวกผมเตี๋ยมกันมาเลยไม่มีปัญหาอะไรมาก แต่แน่นอนว่าหลังงานทุกคนโดนหัวหน้าใหญ่ของทั้งสองสาขาคือพี่เซียร์และพี่ยาทำโทษ ข้อหาที่ทำอะไรตามใจตัวเองโดยไม่คิดถึงผลกระทบที่ตามมา สุดท้ายทั้งสามคน(หนมปังก็โดนข้อหาต้นเหตุ เจ้าตัวเลยตอบแทนเจ้าชายและอัศวินไปคนละหมัด ...โหดเชรี้ยๆ)เลยโดนทำโทษด้วยการทำตัวเป็นจิตสาธารณะให้แก่โรงเรียนทั้งสองสาขาเป็นเวลาหนึ่งเดือน
แต่ก็ถือว่าทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดี......
.......ยกเว้นสอบกลางภาคของผมนะน่ะ...
สอบไปแปดวิชาตกไปหนึ่งวิชา สุดท้ายแล้วผมก็ไปไม่รอดกับพันธุกรรม ได้9คะแนน(แมร่งอีกศูนย์จุดห้าก็ทำไม่ได้นะไอ้เกียร์) ดีว่าคุณแฟนของผมเมตตาปราณีเพราะถือว่าขาดแค่ศูนย์จุดห้าเลยลงโทษเบาๆด้วยกันแยกกันนอนสามวัน
พระเจ้า ตั้งสามวันเชี่ยวนะครับ!!! ผมงี้แทบจะลงแดงตาย ไอ้ป้องโหดจริงๆเลยพับผ่าสิ....
เรื่องต่อมาคือปกติแล้วทุกเย็นผมกับป้องจะกลับบ้านด้วยกันนะครับ เพียงแต่ทุกวันนี้ผมลงเรียนพิเศษดรออิ้ง ของสถาบันสอนวาดรูปแห่งหนึ่ง ทำให้ช่วงนี้ไอ้ป้องจะกลับบ้านถึงก่อนผม(ถ้ามันไม่ติดประชุมนะ) วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมกลับถึงบ้านช้ากว่าไอ้ป้อง ผมเดินผ่านห้องนั่งเล่นก่อนจะเห็นพ่อกับแม่นั่งกันอยู่
“พ่อครับ แม่ครับ สวัสดีครับ”
ผมส่งเสียงทักก่อนจะยกมือไหว้พ่อกับแม่ ท่านทั้งสองหันมามองหน้าผมก่อนจะยิ้มรับให้ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ผมรู้สึกว่าสายตาของแม่ลีลาวดีดูจะเศร้าแปลกๆ ใบหน้าเองก็เศร้ามองลงไปมาก พอมองไปทางพ่อผมก็มีสภาพไม่ต่างกันนัก
“มีอะไรรึเปล่าครับ ทำไมพ่อกับแม่ดูเครียดๆจัง ?”
ผมถาม ก่อนพวกท่านจะพยายามเค้นรอยยิ้มออกมา
“ไม่มีอะไรหรอก เกียร์ขึ้นไปทำการบ้านเถอะ แล้วเดี่ยวลงมากินข้าวด้วยกันนะ”
แม่ลีลาวดีบอกผมแบบนั้น สุดท้ายผมเลยฟังคำแม่ด้วยการขึ้นไปบนห้อง
“ป้องจ้า กลับมาแล้ววววว”
ผมลากเสียงหวานก่อนจะปิดประตูลงแผ่วเบา ไอ้ป้องนั่งอัดเทปอะไรสักอย่างอยู่ตรงเตียงชั้นล่างก่อนจะหยุดลงเมื่อผมเดินเข้าไป
ถึงตัว
“ทำอะไรอยู่ครับ ?”
ผมกอดอีกฝ่ายแผ่วเบา ก่อนจะซุกหน้าถูไถไปมา ไอ้ป้องยิ้มให้ผมจางๆเหมือนเคยก่อนจะกอดผมกลับ
แปลกๆแหะ....
“ไม่ได้ทำอะไรครับ นั่งเล่นอยู่”
“อืม ป้องสอนผันเต๊ะกับไนหน่อย เกียร์ลืมวิธีผันไปแล้วอ๊ะ”
ผมพูดถึงไวยากรณ์ญี่ปุ่นที่ได้เรียนมาวันนี้ ก่อนจะหยิบหนังสือเรียนสีส้มออกมาจากกระเป๋า
“อ่า...วันนี้ป้องปวดหัวอ่ะ....”
“อ้าวเหรอ งั้นไม่เป็นไรช่างมันก่อนก็ได้”
เพราะเห็นสีหน้าเหนื่อยๆของอีกฝ่ายผมเลยเลิกตอแย ก่อนจะเหวี่ยงเสื่อนักเรียนลงตะกร้าผ้าแล้วเดินไปเปิดคอมเล่นดอทเอรอเวลากินข้าว เล่นไปสักตาไอ้ป้องก็ชวนผมกินข้าว น่าแปลกที่วันนี้ทั้งโต๊ะอาหารดูจะเงียบไปสนิท ไอ้ป้องเองก็กินน้อยลงมากๆทั้งๆที่กับข้าวก็เป็นปลาทับทิมทอดกรอบของโปรดมัน พ่อกับแม่เองต่างคนก็ต่างทานกันเงียบๆ ผมอุปปมาไปเองว่าพวกท่านคงเหนื่อยจากการทำงานที่ต้องเจอกับผู้คนเยอะๆในทุกๆวัน
“ป้อง ไม่กินปลาวะ”
ผมพูดก่อนจะทำท่าตักให้ แต่มันยกมือกันช้อนผมไว้
“กูไม่สบายนิดหน่อยวะ”
ผมขมวดคิ้วไม่เข้าใจสรรพนามที่อีกฝ่ายเรียกผม เพราะมันเลิกแทนตัวเองว่ากูกับผมมาตั้งแต่วันนั้นของเราแล้วครับ พอได้ยิน
แบบนี้เลยไม่ค่อยคุ้นหูเท่าไหร่แต่ก็ไม่ได้ท้วงอะไรออกไป ผมเลยเลือกที่จะทานข้าวเงียบๆ ก่อนไอ้ป้องจะกินเสร็จก่อนผมแล้วเดินขึ้นห้องไป พอตามขึ้นไปมันก็กวักเรียกผมไปนั่งตรงโต๊ะคอม
“อะไรวะ”
ผมถามงงๆ ไอ้ป้องไม่ตอบแต่จับผมนั่งตรงๆก่อนจะหยิบผ้าขนหนูที่บิดหมาดๆจากการชุบน้ำอุ่นมาค่อนๆเช็ดหน้าผม พอรู้สึกสบายตัวผมเลยปล่อยให้อีกฝ่ายจัดแจงตามใจชอบ
“หนวดมึงยาวแล้วนะ...เดี่ยวกูโกนให้”
อีกฝ่ายชี้แจงจุดประสงค์ ก่อนจะค่อยๆป้ายครีมสีขาวสำหรับโกนหนวดให้กับผม
ไอ้ป้องค่อนๆช้อนหน้าผมขึ้นก่อนจะมองต่ำลงมา ในแววตาของมันเจือปนไปด้วยความรู้สึกต่างๆที่ผมแยกไม่ถูกเหมือนๆกับมันกำลังกลัวอะไรบางอย่างที่ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
ใบมีดโกนหนวดค่อยๆขยับช้าๆเบาๆ ไอ้ป้องเริ่มไล่โกนให้ผมจากซ้ายไปขวาจนกระทั้งสะอาดก่อนจะค่อยๆเอาผ้าเช็ดให้ผมที่ละนิดๆ ปิดท้ายด้วยการป่ายของเหลวอะไรสักอย่างที่ทำให้ผมไม่แสบบริเวณที่เพิ่งถูกโกนไป ผมรู้สึกดีจนฟินนั่งนิ่งๆไปเลยแหละขอบอก
พอโกนหนวดให้เสร็จมันก็ไล่ผมไปอาบน้ำ ก่อนวันนี้จะบอกให้ผมรีบนอนไวๆ น่าแปลกที่วันนี้ผมไม่ต้องอ้อนอีกฝ่ายก็ลงมานอนกับผมดีๆ เพราะปิดไฟทุกดวงในห้องไปแล้วผมเลยไม่เห็นว่าอีกฝ่ายมีสีหน้ายังไง รู้เพียงแต่มันหันหน้ามาทางผมก็เท่านั้นเอง
“วันนี้เป็นอะไรรึเปล่าครับ อ้อนเกียร์จัง ?”
ผมพูดหลังสัมผัสได้ถึงหัวทุยๆของมันที่ซบลงมา ปกติแล้วไอ้ป้องไม่ค่อยจะอ้อนผมนักหรอกนะครับ
“เกียร์ ....”
“ครับว่า... ?”
“ทำไมถึงชอบป้องล่ะ”
คำถามนี้ออกมาจากปากมัน ก่อนผมจะขยี้หัวเบาๆแล้วตอบกลับไป
“นกจะบินจำเป็นต้องมีเหตุผลเหรอป้อง ?”
ผมกลายเป็นพวกชอบตอบคำถามด้วยคำถามตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้แหะ รู้แต่ว่าที่ตอบไปนั้นมันก็น่าจะทราบถึงความคิดของผมนะ ไอ้ป้องหัวเราะเบาๆในลำคอก่อนมันจะนอนนิ่งๆไป
“หลับแล้วเหรอ ?”
ผมถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งไป ก่อนแรงขยับเบาๆจะตอบผมแทนเจ้าตัว
“ป้อง....อย่าเลือนมือไปแถวนั้น...”
ผมเตือนเบาๆ เมื่อมือบางของไอ้ป้องเริ่มไปแถวๆบริเวณโซนอันตรายด้านล่างของผม แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ฟังที่ผมพูดเลยแม้แต่น้อยเพราะมือมันล้วงเข้าไปในขอบกางเกงของผมแล้ว!!!
“พรุ่งนี้ไม่ไปโรงเรียนเหรอ ?”
ผมเตือนต่อเพราะเริ่ม ‘ตื่นเต็มตัว’
อย่างที่กล่าวไปเริ่มต้นแต่แรกแล้วว่าผมปิดไฟหมดทุกดวงแล้วเลยไม่เห็นหรอกว่าสีหน้าอีกฝ่ายกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ มือบางๆของมันล้วงเข้าไปประชิดชายแดนก่อนจะค่อยๆจับอย่างแผ่วเบา
“พรุ่งนี้กูไม่ไปโรงเรียน”
“ไปไหน”
“ทำธุระ...กับแม่นะ”
เพราะได้ยินแบบนั้น ผมเลยพลิกตัวอีกฝ่ายให้ลงไปอยู่ด้านล่างแทน
“งั้นคือนี้...ขอนะ”
เหมือนๆได้ยินเสียงมันหัวเราะเบาๆในลำคอ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม.....
แต่ผมกลับรู้สึกว่ามัน....
....กำลังเศร้าอยู่
…
.
.
.
.
.
.
“งั้นเดี่ยวเกียร์ไปโรงเรียนก่อนนะ”
ผมบอกกับไอ้ป้องที่นอนอยู่บนเตียงในสภาพยับเยิน เมื่อคืนนี้กว่าจะปล่อยมันนอนก็ล่อไปเกือบๆเที่ยงคืน ที่สำคัญคือไอ้ป้องเป็นคนเริ่มครั้งแรกตั้งแต่คบกันมา ถ้าผมไม่เริ่มก็ไม่มีทางได้เลย....
เจ้าตัวยิ้มรับคำให้ผมจางๆก่อนจะพูดเบาๆ
“โชคดีนะเกียร์”
“พูดเหมือนกับเกียร์จะไปไกลๆงั้นแหละ”
ผมแปลกใจกับคำพูดอีกฝ่ายเพราะมันดูเหมือนผมกับมันจะไม่ได้อยู่ด้วยกันงั้นแหละครับ ไอ้ป้องยิ้มให้ผมกว้างๆก่อนจะพูดต่อ
“ไม่ไกลหรอก...เกียร์อยู่ในใจเสมอนั้นแหละ”
แน๊ะ....เดี่ยวนี้หัดหยอดเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ผมแลบลิ้นให้มันก่อนจะก้าวออกจากห้องนอนไป พอเดินลงไปข้างล่างก็เห็นแม่ลีลาวดีในชุดทำงานกำลังยืนอยู่
“แม่หวัดดีครับ...วันนี้จะพาป้องไปไหนเหรอแม่ ?”
แม่ลีลาวดีไม่ตอบ แต่ดึงผมไปกอดแน่นๆแทน ก่อนจะปล่อยออกแล้วยื่นบางอย่างให้ผม
“แม่ซื้อมาให้ เกียร์เก็บไว้ใช้นะ”
ผมขมวดคิ้วก่อนจะเปิดออกดู แล้วพบกับปากกาโคปิกอยู่ในกล่องของขวัญเล็กๆยี่สิบแท่งเรียงตัวบรรจุอยู่ในกล่องอย่างเป็นระเบียบ
“ขอบคุณครับแม่”
ผมกอดขอบคุณ ก่อนแม่ลีลาวดีจะลูบหัวผมแผ่วเบา
“เกียร์ ตั้งใจเรียนนะลูก แม่รักเกียร์มากๆนะเหมือนๆกับเราเป็นลูกคนหนึ่งของแม่เลย....”
“ครับ”
ผมรับคำเพราะรู้สึกแปลกๆในใจ ทำไมแม้กระทั้งแม่ลีลาวดีก็พลอยพูดแปลกๆไปอีกคน
“งั้นเกียร์ไปโรงเรียนก่อนนะครับแม่”
“โชคดีนะลูก”
แม่ลีลาวดียิ้มให้ผมจางๆ ก่อนจะยอมปล่อยผมออกจากอ้อมกอด พอเดินไปที่หน้าบ้านผมเห็นพ่อยืนสูบบุหรี่อยู่...แปลกแหะ ผมรู้สึกเหมือนๆพ่อจะเลิกสูบตั้งแต่ตอนเจอกับแม่แล้วนะครับ แถมวันนี้ยังไม่ไปทำงานอีกต่างหาก
“ไปโรงเรียนก่อนนะพ่อ”
ผมตะโกนบอกก่อนจะเตรียมตัวเดินออกไป
“เย็นนี้กลับมาพ่อมีเรื่องจะคุยด้วยนะ”
พ่อผมพูดด้วยน้ำเสียงสงบๆแบบบอกไม่ถูก ผมพยักหน้ารับคำก่อนจะเดินออกนอกบ้านไป
หวังเพียงขอแค่ให้เวลาผ่านไปไวๆให้ผมกลับมาเจอไอ้ป้องอีกครั้งหนึ่งก็พอ....
..
..
.
.
.
.
วันนี้ทั้งวันผมรู้สึกเรียนไม่รู้เรื่องเลยครับ ไม่ใช่ว่าไม่เคยมาเรียนคนเดี่ยวหรอกนะ เพียงแต่ผมรู้สึกเหงาๆแบบบอกไม่ถูกเพราะพอมองไปที่นั่งของไอ้ป้องแล้วเห็นว่ามันไม่อยู่
อย่าคิดมากดิวะไอ้เกียร์ กลับบ้านไปเดี่ยวก็ได้เจอกันแล้ว....
ผมไม่เคยรู้สึกอยากได้ยินเสียงออดตั้งแต่เกิดจนกระทั้งถึงวันนี้เลยครับ พอได้ยินเสียงออดปุ๊บผมแทบจะหนีบจาคอปแล้ววิ่งหูตั้งออกไปนอกโรงเรียนเพื่อไปเรียนพิเศษดรออิ้งจนกระทั้งหกโมงเย็น
......แค่คิดถึงใครที่คอยอยู่ที่บ้าน ผมก็แทบจะรอไม่ไหวแล้วครับ
ผมกลับมาถึงบ้านในเวลาจวนเจียนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า รู้สึกคุ้นตาเหมือนๆตอนที่ผมกับไอ้ป้องยืนด้วยกันที่ชั้นสองตึกห้าเลยแหะมันเป็นวันแรกที่พบได้จับมือกับมันอังแสงพระอาทิตย์
พอก้าวเข้าไปในบ้านผมยกเดินผ่านห้องนั่งเล่นยกมือไหว้พ่อ ก่อนจะแทบจะถลาขึ้นไปห้องตัวเองชั้นบน....
.....ก่อนจะพบว่าห้องทั้งห้องที่เหลือเพียงแค่ความว่างเปล่า
มันว่าง....เหมือนก่อนที่ใครอีกคนจะก้าวเข้ามาในชีวิต
สิ่งของที่เคยยืนยันว่ามีใครอีกคนหนึ่งใช้ชีวิตตลอดระยะเวลาสี่เดือนในห้องๆนี้กับผม....
.....หายไปหมดแล้ว
แขนของผมที่หนีบจาคอปไว้คลายตัวออกอัตโนมัติ ก่อนจะเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า ผมค่อยๆยกมือที่แทบจะหมดแรงเปิดประตูตู้ออกมา ก่อนจะพบว่าข้างในเหลือเพียงแต่เสื่อผ้าของผมห้องทั้งห้องดูโล่งไปถนัดตา ผมเดินไปนั่งที่เตียงชั้นล่าง ก่อนจะเห็นเทปอัดเสียงที่ไอ้ป้องชอบอัดคำศัพท์ไว้ให้ผมฟังเวลาล่างวางไว้ข้างๆสมุดเล่มหนาสีเทา นิ้วมือของผมค่อยๆเลื่อนไปกดปุ่มเพลย์
เงียบ....ผมเห็นเครื่องบันทึกเสียงวิ่ง แต่กลับไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมา ผมนั่งฟังแนบมันไว้กับหูก่อนเสียงๆหนึ่งจะรอดออกมาให้ผมได้ยิน
‘พอถึงเวลาจริงๆ.....กูพูดไม่ออก......’
น้ำเสียงของ ‘คนที่หายไป’ ดังออกมา ผมนั่งเม้มปากนิ่งรอฟังเสียงที่รอดออกมา
‘มันจุก...จนพูดไม่ออก......กูไม่รู้ว่า....จะต้องบอกมึงยังไง.......’
น้ำเสียงที่พูดออกมาเจือปนไปด้วยความรู้สึกใจหาย
ไม่ใช่แค่คนพูด....
....คนฟังอย่างผมก็แทบจะหยุดหายใจ
‘กูมันคนขี้ขลาด...เกียร์.....’
มันเว้นวรรคไปก่อนเสียงกีตาร์จะดังขึ้น ผมแทบจะกลั่นหายใจฟังด้วยซ้ำ
‘เหตุผลเป็นร้อยเป็นพันที่เจอ
ทำให้เธอและฉันดูเหมือนยิ่งรักยิ่งห่าง
เหตุใดความรักที่พร้อมทุกอย่าง
บางสิ่งกลับดูขาดหาย สุดท้ายก็หาไม่เจอ’
‘เป็นเพราะเราต่างกัน
บนสวรรค์บันดาลให้ฉันและเธอต้องจาก
อยากให้เธอรู้เอาไว้อย่าง’
เสียงกีตาร์เงียบหายไป ก่อนเสียงร้องของมันจะออกมาพร้อมๆกับน้ำตาที่เอ่อร้นออกมาทั้งสองข้างของผม
‘......ว่าฉันจะมีแต่เธอ....อึก.....ในใจเสมอ’
หยาดน้ำตามากมายของผมไหลออกมา ก่อนเสียงร้องที่ปนไปกับเสียงสะอื้นร้องไห้ของไอ้ป้องจะดังออกมา
‘ความทรงจำดีดี...อึก....จะคงเหมือนเดิม..’
‘อย่างน้อยได้รู้ว่ารัก...เธอมากแค่ไหน...อึก....’
‘ฉันไม่เคยเลยไม่เคยเสียใจ............................’
‘ที่ได้รักเธอ.....’
เสียงไอ้ป้องเงียบหายไปนานมากแต่ไม่มากเท่าน้ำตาของผมที่ยังคงไหลรินออกมาจากดวงตา....
‘ป้อง...อึก....ป้องขอโทษ....ที่ต้องไป.......’
‘ไม่ได้อยากห่าง....แม้กระทั้ง...สักวินาที’
‘แต่ถ้าป้องไม่ไป.....เรื่องมันคง....เลวร้ายมากกว่านี้.........’
‘อึก....ขอโทษนะเกียร์...............’
‘ปกป้อง....จะรักก้องเกียรติ์เสมอไป....ครับ......’
ผมทรุดตัวลงไปนอนตรงที่ๆใครคนหนึ่งเคยนอนอยู่ทุกๆวัน หมอบใบเดิมถูกวางอย่างเป็นระเบียบเหมือนกับไม่มีใครมานอนนานมากแล้ว คราบฟูกจางๆยังติดจมูกผมอยู่ กลิ่นของคนที่ผมรักยังคงตลบอบอวลไปทั้งห้อง ผมร้องไห้จนปวดตาทั้งสองข้าง สมอง
เองก็ตื้อไปหมด
รู้ตัวอีกที่ผมก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าพ่อของผมแล้ว....
“พี่ป้อง....ไปไหนเหรอครับ......”
ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง พ่อของผมนั่งลงกับโต๊ะของห้องรับแขกก่อนจะพูดออกมา
“ย้ายออกไปแล้ว”
มันเหมือนมีมีดสักร้อยสักพันมากรีดใจของผมแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ผมแทบล้มทั้งยืนด้วยซ้ำ
“ทำไม...ครับพ่อ......”
“..........................”
“ผมกับป้อง....ทำผิดอะไร....”
ผมสะอื้น พยายามควบคุมน้ำเสียงและร่างกาย ไม่ให้อ่อนแอไปมากกว่านี้
“ความรัก....มันผิดตรงไหนครับ”
“มันผิดตรงที่พวกแกทั้งคู่เป็นผู้ชาย !!! เกียร์ พ่อเลี้ยงแกมาตั้งแต่อ้อนแต่ออดตั้งแต่แม่ของแกทิ้งไป แกไม่เคยผิดปกติหรือจะเป็นตุ๊ดเป็นแต๋ว แต่ทำไมแกถึงได้ชอบผู้ชาย!!! พ่อไม่เคยคิดเลยว่าแกจะเป็นแบบนี้”
พ่อลุกขึ้นยืนตวาดเสียงดังลั่น ถ้าเป็นปกติผมคงหงอแล้วเดินกลับห้องไป
“ผมแค่มีความรัก...ผมทำผิดอะไรร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอครับ แค่คนที่ผมรัก....คือไอ้ป้อง”
“ผิดสิ ความรักของแก มันไม่ใช่ความรักที่ถูกต้อง !!!! แกคิดจริงๆเหรอว่าผู้ชายกับผู้ชายมันจะไปด้วยกันรอด มันไม่มีหรอก ไอ้รักแท้จอมปลอมนั้น ขนาดผู้หญิงกับผู้ชายปกติทั่วไปยังเลิกรากันออกจะเยอะแยะไป แล้วไหนจะคนในสังคมอีก ความรักของแก มันเป็นความรักที่สังคมไม่ยอมรับ!!!! แกจะให้ชั้นเอาหน้าไปไว้ที่ไหนที่มีลูกชายเป็นเกย์ ห๊ะ!!!!”
น้ำตาของผมไหลออกมาอีกระลอกเมื่อได้ฟังคำพูดของคนเป็นพ่อ ผมบีบเครื่องอัดเสียงของไอ้ป้องไว้แน่นก่อนจะหันหลังให้กับพ่อ
“ถ้าแกยังดื้อดึงไม่เลิก ฉันจะส่งแกไปนอก และจะไม่ให้กลับมาที่ไทยอีก”
ผมไม่รู้หรอกนะ ว่าไอ้พวกตัวเอกที่โดนพ่อแม่พูดใส่แบบนี้จะยืนนิ่งๆช็อกอะไรรึเปล่า แต่สภาพจิตใจของผมตอนนี้ มันไม่มีอะไร
จะแย่ไปเท่ากับการที่หัวใจอีกครึ่งดวงของผมต้องโดนพรากจากไปหรอกครับ ผมแทบจะวิ่งออกไปด้วยซ้ำ แทบไม่อยากจะรับรู้ว่ามันคือเรื่องจริง
“ไอ้เกียร์ แกจะไปไหน!!!!”
ผมไม่ตอบคำถามของพ่อ ไม่สนใจสิ่งที่อยู่ข้างหลัง ... ผมแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังจะไปไหน แค่รู้ว่าอยากตามมันกลับมา อยากตามคนๆนั้นมาอยู่ข้างๆกันอีกครั้ง ผมได้ยินเสียงพ่อตะโกนไล่ตามหลังออกมาอีกมากมาย แต่เหมือนระบบรับรู้ของผมจะดับลงไปแล้ว ผมแทบจะคิดอะไรไม่ออกแล้วด้วยซ้ำ นอกจากไถ่สเกตออกไปข้างนอกก่อนจะถึงบริเวณโค้งตรงทางเลี้ยวออกไปนอกซอย ไอ้ป้องย้ำกับผมเสมอว่าเวลาขับรถให้ระวังตรงโค้งนี้ เพราะคนที่ขับสวนเข้ามาจะมองไม่เห็นผมหรือใครก็ตามที่กำลังจะออกไป
......และผมก็ลืมคำเตือนนั้นไปสนิทใจ
‘ปรี๊นนนนนนนนนนนนนน’
แสงไฟจากหน้ารถยนต์คันหนึ่งซึ่งขับเข้ามาในซอยสะท้อนใส่แก้วตาของผมก่อนร่างกายจะสัมผัสได้ถึงแรงกระแทกที่มากพอจะ
ทำให้ร่างทังร่างกระเด็นลอยกลับไป ผมได้ยินเสียงคนร้องตกใจมากมาย ได้ยินเสียงพ่อตะโกนเรียกชื่อผม ของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากศีรษะและลำตัวที่กระแทกเข้ากับพื้นถนน สติที่เหลืออยู่ของผมสั่งให้มือทั้งสองข้างกุมเทปที่บันทึกเสียงของไอ้ป้องไว้
ป้อง....อย่าทิ้งกูนะ....
นั้นคือสิ่งสุดท้ายที่ผมคิด ก่อนโลกทั้งใบจะดับวูบลงไป......
TBC.
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น