ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ____เก็บ....'รัก' ____[Yaoi] [The End] [เปิดจอง!!!!!]

    ลำดับตอนที่ #29 : #27 เสียงเพลงที่ร้องออกมาจากใจ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 427
      1
      8 ส.ค. 57

    #27 เพลงที่ร้องออกมาจากใจ








    “รบกวนช่วยขยับตัวเข้าไปอีกหน่อยนะครับ คนหลังจะได้เข้ามาได้”

    ผมพยายามยิ้มหวานให้สาวๆคอนแวนโรงเรียนดังแห่งหนึ่งขยับตัวเข้าไป เมื่อพวกคุณเธอเล่นขวางประตูไว้ คนอื่นจะเข้าไปได้ยังไงล่ะครับ 

    พวกหล่อนมองผมตาละห้อย ก่อนจะหันไปซุบซิบกัน ไม่นานหนึ่งในนั้นก็เดินมาหาผม

    “คือ...นายมีไลน์ไหมอ๊ะ ? เพื่อนเราอยากได้”

    สาวเจ้าบอก ก่อนจะชี้ไปที่เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่ม

    ก็น่ารักดีนะครับ ดูสดใสสมวัยดี แถมกลุ่มนี้ไม่แต่งหน้าอีกต่างหาก....

    ....แต่ไอ้ป้อง ‘ของผม’ ยังไงๆก็น่ารักกว่าอยู่ดี

    “ขอโทษนะครับ คือ....ผมมีแฟนแล้วนะครับ”

    ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมคงให้ไป พร้อมคิดในใจเสร็จสรรพว่าจะควงกี่วันดี แล้วแต่อารมณ์ ณ ตอนนั้น ...แต่ตอนนี้ ผมมีแฟนแล้ว และ
    ผมรักแฟนของผมมาก ถ้าทำแบบนั้นคงไม่ดีแน่ๆ 

    หล่อนฟังผมพูดแล้วหน้าเจื่อนๆไป ก่อนจะก้มหัวให้ผมแล้วเดินกลับไป พร้อมกันนั้นเองกลุ่มเพื่อนของหล่อนก็มองผมประมาณว่าเสียดายอะไรแบบนั้น ฮ่าๆ เอาเถอะครับ บอกเขาไปตรงๆดีกว่าให้ไลน์ไปแล้วเขามาจีบ แบบนั้นมันเหมือนเราเล่นด้วยครับ

    “โหพี่ มายื่นแปปเดี่ยว สาวๆตอมซะ ...ผมนี้ยื่นมาทั้งวันยังไม่มีใครมาถามแบบนั้นเลย”

    น้องที่คุมงานตรงประตูเป็นเพื่อนผมแซ่วขึ้นมา ก็กูหล่ออ๊ะ ต้องเข้าใจ นะน้อง
    ผมยิ้มตอบให้น้องมัน ก่อนจะพยายามตะโกนบอกคนที่เข้ามาขวางประตูให้เข้าไปข้างใน เพื่อที่คนที่มาที่หลังจะได้มีที่ยืนดูครับ

    ตอนนี้บนเวทีเริ่มมีวงดนตรีขึ้นไปเล่นบ้างแล้ว ผมรู้สึกได้ว่าทั้งรุ่นน้องและรุ่นพี่หลายๆคนของผมเกร็งๆไป เมื่อเห็นว่ามีคนจากหลายๆค่ายเพลงส่งคนมาดู ถึงแม้จะรู้ว่าเขาไม่ได้มาดูตน แต่หากบังเอิญจับพลัดจับพลูเล่นเข้าตากรรมการ โอกาสในการเข้าไปในวงการก็คงไม่ใช่แค่ฝันอีกต่อไป

    เวลาเดินผ่านไปอีกประมาณครึ่งขั่วโมง หลายๆวงที่ขึ้นไปเล่น พยายามปล่อยของกันสุดฤทธิ์ ผมเห็นพวกแมวมองจับกลุ่มกันซุบซิบ พอๆกับคนนอกที่เข้ามาชมการแสดง ถ้าเดาไม่ผิดต่อให้พวกเขาไม่ได้ตัวอามัวไป ผมว่าก็อาจจะมีใครสักคนในกลุ่มได้ ‘เพชร’เม็ดอื่นไปแทน แม้จะไม่ใช่จุดประสงค์หลักที่มางาน แต่ก็ถือว่าพอชดเชยกันไปได้

    ตราพ.ว. เบิกทางได้เหมือนเคยแหะ...

    เอาเข้าจริงๆถามว่าผมชอบไม่  ? ก็ไม่นะ ... จริงๆผมอยากให้พวกเขาดูที่ศักยภาพของพวกผมที่แสดงออกมา มองให้ลึกลงไปถึงสิ่งที่พวกผมมี ไม่ใช่แค่ว่าพอเห็นตราสถาบันแล้วก็คัดๆพวกผมไป พร้อมบอกว่าใช้ได้ ทั้งๆที่จริงแล้วพวกเขายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ ว่าพวกผมมีความสามารถถึงขั้นไหน สมควรได้รับการคัดเลือกไหม ?

    มันเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผมยอมรับว่ามีในสังคมไทยจริงๆ ชื่อสถาบันคือใบเบิกทาง ครั้งหนึ่งผมเคยจับพลัดจับพลู ถูกส่งไปแข่งขันวาดรูปศิลปะระดับภาคแทนเพื่อนสนิทตัวเองอีกคนหนึ่ง พอพวกกรรมการเห็นชื่อโรงเรียนผมแล้วก็กรอกคะแนนให้ผ่านเข้ารอบไปได้ ทั้งๆที่จริงแล้วมองตามเนื้องานแล้วมันไม่ใช่!!! ตัวผมเองแทบจะไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลยแม้แต่น้อย กระทั้งโจทย์ที่ต้องวาดผมก็เพิ่งรู้ตอนไปถึงสถานที่แข่งขัน  ไม่เหมือนเด็กคนอื่นที่เตรียมตัวมาแรมเดือนตั้งใจมาประกวดจริงๆ ผมมองหน้าเด็กโรงเรียนอื่นที่ผลงานดีกว่าผมแล้วไม่ได้เข้ารอบด้วยความละอายด้วยซ้ำ

    เพราะรู้สึกเหมือนโกงคนอื่น  สุดท้ายเลยตัดสินใจขออาจารย์สละสิทธิ์ไปดีว่าอาจารย์ท่านก็เข้าใจ เรื่องเลยจบลงด้วยดี....

    ถ้าสิ่งทีได้รับมา ไมได้เกิดจากความสามารถของตัวเอง ผมคงไม่ภูมิใจกับมันหรอกนะครับ

    “เกียร์ !!! มานี้เร็วๆ”

    เสียงของใครสักคนดังแข่งกับเสียงเพลงร็อคหนักๆจากบนเวที ก่อนผมจะถูกมือมืดปริศนาลากเดินฝาผู้คนผ่านเข้าไปกลางหอ
    ประชุม 

    “เดี่ยว เราเฝ้าหน้าประตูอยู่นะ”

    ผมแจง พอหันกลับไปมองก็เห็นว่าหน้าประตูมีคนอื่นมายืนคู่กับรุ่นน้องแทนผมแล้ว

    “ไม่เป็นไร ตรงนั้นปล่อยใครทำก็ได้ ...พี่เซียร์สั่งว่าให้พานายมายืนอยู่ตรงนี้ แล้วกำชับว่าห้ามเดินไปไหนเด็ดขาด!!! ยืนเง้าระวังอยู่ตรงนี้จนกว่าจะจบ โอเคนะ เราไปแล้ว...”

    ผมมองเห็นหน้าคนพูดไม่ขัด เพราะในหอประชุมดับไฟเกือบหมดทุกดวง เพื่อเน้นแสงสว่างให้กับบนเวที อีกฝ่ายพอพูดจบแล้วก็วิ่งไปอีกทางหนึ่ง

    สรุปคือ ... ผมถูกลากมาทิ้งไว้กลางหอประชุมโดยที่ไม่รู้เลยว่าอะไรเป็นอะไร แต่ถ้าลองเดาเล่นๆ ผมคิดว่าไอ้ป้องคงขอให้พาผมมาตรงนี้แหละ มันคงไม่อยากให้ผมยืนอยู่ตรงนั้นล่ะมั่งครับ 

    เอาเถอะครับ เขาให้เราอยู่ตรงไหนเราก็อยู่ตรงนั้นแหละ...

    ผมยืนอยู่ตรงจุดเดิม ก่อนจะปล่อยอารมณ์ไปกับเสียงเพลงบนเวที หลายๆวงที่ขึ้นไปแสดง โชว์ให้ทุกคนเห็นถึงความพยายาม
    ของพวกเขา ทั้งวงที่เล่นเพลงยากโคตรๆในความคิดของผม และหลายๆวงที่ปล่อยของออกมา จนคนข้างล่างเพลิดเพลินไปกับอารมณ์ กระทั้งผมยังรู้สึกสนุกสนานไปด้วยเลย

    เพลินจนกระทั้งการแสดงวงสุดท้ายจบลงไป...


    ‘พรึ่บ!!!’


    ไฟในหอประชุมพร้อมใจกับดับทุกดวงไม่เว้นกระทั้งหน้าเวที หลายๆคนส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวกันขึ้นมา ก่อนไฟสีฟ้าอ่อนจะค่อยๆเปิดออกมากลางเวที พร้อมๆกันนั้นเองเสียงกรี๊ดทั้งสาวแท้และเทียมก็ดังขึ้นเหมือนกับงานเปิดตัวดาราดังๆสักคนหนึ่ง ก่อนดวงตาของ
    ผมจะค่อยๆเปิดกว้างขึ้นมาพร้อมๆกับหัวใจที่เต้นรั่ว....


    แสงไฟสีฟ้าอ่อนค่อยๆส่องสว่างจนมองเห็นใครคนหนึ่งยืนอยู่บนเวที

    “ความฝัน.....คำๆหนึ่งที่มีความหมาย....”

    ผมรู้สึกว่าตัวเองเหงื่อออกขึ้นมาดื้อๆ ทั้งๆที่แอร์ในหอประชุมเย็นเฉียบจนเรียกได้ว่าเกือบจะแช่แข็งพวกผมด้วยซ้ำ แต่เพราะอะไรบางอย่างในความรู้สึกที่กำลังหลอมละลายผมนั้นแหละ แอร์ในหอประชุมเหมือนพัดลมเก่าๆตัวหนึ่งไปเลย

    “ทำให้มีพลัง...ทำให้ร้อนรน...ทำให้ดิ้นรน.....”

    เสียงกรี๊ดในหอประชุมยังคงดังกระหึ่มตามคำพูดของเขา

    “แม้บางครั้ง ....ความฝันนั้นอาจจะเป็นเพียงฝัน....แต่ผมว่าอย่างน้อยๆ....การที่เราได้ฝัน ถึงอะไรสักอย่างมันก็ยัง......”

    เขาเว้นวรรคช่วงไปก่อนจะพูดปิดท้าย

    “ดีกว่าเราไม่เคยคิด....ที่จะฝัน”

    แสงไฟในหอประชุมสว่างขึ้นมา เสียงกรี๊ดที่แต่เดิมก็ดังอยู่แล้วกลับดังขึ้นไปอีกหลายระดับ เมื่อบนเวลาปรากฏนักดนตรีครบเซตเหมือนภูมิผีปีศาจที่ไม่มีใครทราบที่มาที่ไป พร้อมกันนั้นเองแต่ละคนยังคงสวมหน้ากากคาบูโต๊ะแบบของญี่ปุ่น  แต่ที่ดูเหมือนจะเป็นจุดเด่นมากที่สุด ไม่ใช่เพียงแค่อามัว แต่เป็นมือกีต้าร์ไฟฟ้าอีกคน ที่ส่วมแหวนสีน้ำเงินเข้มเอาไว้ที่นิ้วนาง

    เทพดนตรีคนใหม่!!!

    เสียงเบสไฟฟ้าค่อยๆดังขึ้น ก่อนเสียงเบลข้างๆจะเคาะตามเป็นจังหวะที่สอดคล้องกัน ‘อามัว’ ที่ตอนนี้อยู่ในชุดสีดำสนิทอีกทั้งยังสวมหน้ากากปีศาจตามแบบฉบับของญี่ปุ่นเอาไว้ค่อยๆยกไมค์ขึ้น

    ก่อนเพลงแรกของพวกเขาจะเริ่มต้น....


    ‘แม้อาจทำได้เพียงแค่นั้น
    อาจทำได้เพียงแค่ฉันจะเปลี่ยน
    แต่ฉันจะปล่อย…..’

    อามัวลากเสียงสูงขึ้นไล่ตามเนื้อเพลง ก่อนจะค่อยๆลดระดับลงพร้อมๆกับเสียงในหอประชุมที่ดังกระหึ่มตอบรับ

    ‘จะขอเก็บมันเอาไว้อย่างนั้น
    เก็บฝันส่วนตัวเอาไว้กับฉัน
    แค่เธอเท่านั้น’

    หลายๆคนเริ่มปล่อยตัวไปกับจังหวะ แม้บางคนอาจจะไม่รู้จักเพลงนี้ แต่พวกที่ชอบเพลงที่เน้นความหมายมากๆอย่างผมรู้จักดีเลยครับ เพลงนี้ชื่อว่าเพลง ‘ฝันส่วนตัว’ ของพี่ๆวงBarbies ของเดิมออริจินัลจะเป็นเพลงที่ให้ความหมายเกี่ยวกับความฝัน เป็นเพลงที่ผมชอบฟังตอนเวลาเหนื่อยๆเลยล่ะครับ มันให้กำลังใจดี

    วงของอามัวใส่ลูกเล่นหลายๆอย่างเพิ่มเข้าไป น่าแปลกที่ผมกลับไม่รู้สึกรำคาญกับลูกเล่นเหล่านั้น จริงๆแล้วเพลงแนวป็อบแบบนี้ถ้าจะใส่ลูกเล่นเข้าไปแทนของเดิมก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ แต่วงโคฟเวอร์บางวงกลับใส่ลูกเล่นจนทำให้เนื้อเพลงเพี้ยน หรือสูญเสียคุณค่าในตัวมันเองไป

    ....นับว่าอามัวยังคงไม่ทำให้คนที่มาดูผิดหวังจริงๆแหะ

    เสียงเพลงและท่วงทำนองยังคงขับร้องต่อไป เพลงแรกผ่านพ้นไปได้ด้วยดี พร้อมๆกับกระแสที่โหมกระหน่ำในหอประชุม

    “เพลงที่ผ่านมา แด่ความฝันของทุกคน..... ส่วนเพลงต่อไปที่ผมจะเล่น เป็นเพลง เพลงแรกที่ทำให้ผมเริ่มที่อยากจะร้องเพลงขึ้นมามันเป็นเพลงที่ใครคนหนึ่งร้องให้ผมฟังตอนเจอกันครั้งแรก....”

    ผมนิ่งเงียบ รอฟังเพลงที่กำลังดังขึ้น พร้อมๆกันนั้นเองผมก็เริ่มจะนึกออกได้ถึงเรื่องบางเรื่องที่เคยเกิดขึ้นสมัยที่ผมยังอยู่ม.หนึ่ง….

    ‘ไอ้แว่น ฟังกูร้องเพลงนะ’

    ผมในตอนนั้นอายุประมาณสัก12ขวบเห็นจะได้  กำลังพูดคุยกับเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่สวมแว่นตาอันโตๆ แน่นอนว่าผมไม่ได้รู้จักเขาหรอกนะ แต่ผมชอบกวนคนไปเรื่อย

    ผมแหกปากร้องเพลงโดเรม่อนกรอกใส่หูมัน  ไอ้เด็กแว่นนั้นส่ายหน้าเอื้อมๆก่อนจะยกหนังสือเล่มหนาๆกั่นหน้าของตัวเองเอาไว้  จำได้ว่ามันเป็นเด็กห้อง5 .... ตอนนั้นผมอยู่ห้อง11 แล้วผมเสือกจำคาบผิด คิดว่าไปเรียนที่ห้องสมุด รู้ตัวว่าเข้าห้องผิดก็ตอนที่
    อาจารย์เช็คชื่อนั้นแหละครับ

    ท่วงทำนองโซ่โล่กีต้าร์ดังขึ้น ก่อนเพลงในวัยเด็กของทุกคนจะดังขึ้น

    เพลง โดราเอม่อน....

    .........เวอร์ชั่น ‘ร็อค’

    “...มินนะมินนะมินอินะ คะนะเอะเตะคุเระรุ
    ฟูชิงินะพกเก็ตโตะดะ คะนะอิเตะคูเระรู
    โซราจิยูนิ โทบิตะอินะ ฮาอิ ทาเคะคอปต้า
    ...อัง อัง อัง ตดเตะโมะดาอิซุคิ โดราเอ..มอนน...”

    เสียงทุ้มๆของเขาดังกระหึ่มก้องไปทั้งหอประชุม แม้จะเป็นเพลงสดใสอย่างเพลงโดราเอม่อน แต่ผมเพิ่งเคยเห็นคนที่เอามาแปลงเป็นเวอร์ชั่นร็อคเนี้ยล่ะครับ สุดยอดจริงๆ !!!

    เพลงโดราเอม่อนเวอร์ชั่นร็อคจบลงไปพร้อมเสียงปรบมือกราว อามัวยืนนิ่งๆอยู่บนเวทีก่อนจะค่อยๆพูดต่อ

    “ผมรู้ว่ามันบ้า....ตลอดเวลาที่ผ่านมากว่าห้าปี ผมรู้สึกดีกับคนๆหนึ่ง...เริ่มแรก ผมไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร....แต่ตอนนี้ผมมั่นใจแล้ว ว่าผมคิดถูกแล้วจริงๆ.....”

    ผมนิ่งเงียบ มองคนบนเวทีที่ดูเหมือนจะมองตรงลงมาตรงจุดที่ผมยืนอยู่

    “ถูกแล้วที่รักเธอ....”

    สิ้นเสียงจบประโยค ทำนองเพลงช้าๆแต่แผ่วเบาก็ค่อยๆดังขึ้นมา .... ผมกับคนดูหลายๆคนรู้สึกเหมือนถูกเบรกอารมณ์กลาง
    อากาศ แต่เป็นการเบรกอารมณ์ที่ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าไม่ดีแต่อย่างไร กลับกัน ผมรู้สึกว่าคนๆนี้เก่งจริงๆที่สามารถร้องเพลงได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งยังไม่ยึดติดกับกรอบเดิมๆ ที่จำกัดไว้  ใครว่าโดเรม่อนร้องแบบร็อคไมได้ ใครว่าเพลงร็อคร้องแบบป็อบไม่ได้ อามัวได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว

    ......ว่าอยากมองให้เห็นเป็นอะไรก็เป็นได้ อยู่ที่ใจคนมอง




    ‘วันที่ฝุ่นได้จางหาย
    ก็จะเหลือตัวจริงเท่านั้น
    ใครที่ยืนกับฉัน ฉันจะให้ใจ
    วันเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าฉันจะเจออะไร
    มองเห็นเธอเท่านั้น ที่อยู่ข้างกัน
    อยู่กับฉันทั้งทุกข์และสุข

    ถูกแล้วที่รักเธอ
    ถูกแล้วที่หัวใจเลือกเธอ
    เลือกเธอคนนี้ให้เป็นคนดีของหัวใจ
    ถูกแล้วที่รักเธอ
    ถูกแล้วที่หัวใจเลือกเธอ
    เขียนคำว่ารักและคำว่าเธอไว้ในใจ
    และยิ่งนานนับวันตัวฉันยิ่งมั่นใจ
    ถูกแล้วที่รักเธอ

    เราจะมีกันเสมอ
    แค่ได้ยินถ้อยคำสั้นสั้น
    มันสำคัญกับฉัน เหมือนคำมั่นสัญญา
    ว่าจะไม่ต้องหวั่นไหว
    กับอะไรในวันข้างหน้า
    เธอไม่มีวันปล่อยฉัน ไม่มีทิ้งกัน
    ไม่ว่าฉันจะทุกข์หรือสุข


    มีคำใดมีความหมาย
    มากเกินกว่าคำว่ารักมาก
    คำนั้นถ้าหากมี ฉันจะให้เธอ
    แต่ถ้ายังไม่มี ก็มีแค่นี้ รักเธอ
    รักเธอ หมดใจ

    ถูกแล้วที่รักเธอ
    ถูกแล้วที่หัวใจเลือกเธอ
    เลือกเธอคนนี้ให้เป็นคนดีของหัวใจ
    ถูกแล้วที่รักเธอ
    ถูกแล้วที่หัวใจเลือกเธอ
    เขียนคำว่ารักและคำว่าเธอไว้ในใจ
    และยิ่งนานนับวันตัวฉันยิ่งมั่นใจ
    .......ถูกแล้วที่รักเธอ’




    เนื้อเพลงท่อนสุดท้ายค่อยๆขับขานลง ก่อนเสียงปรบมือในหอประชุมจะส่งก้องไปถึงคนที่ยืนอยู่บนเวที

    “ขอบคุณ...ที่รักผม....เหมือนๆกับที่ผม....รักคุณหมดใจ.....”

    เสียงกรี๊ดกระหึ่มดังขึ้นมาหลังจบประโยคชวนเลี่ยน ผมรู้สึกเหมือนคนที่โดนหมักฮุค เหมือนๆกับว่าผมกำลังโดนสารภาพรักอยู่กลายๆ ทั้งๆที่ปกติแล้ว ผมต่างหากที่ต้องทำให้อีกฝ่ายเขิน

    ไม่ใช่ตัวเองมายืนอายหน้าแดงแบบนี้....

    “ผมเองก็ไม่รู้กัน ว่าเรื่องของผมกับเขา เราจะเดินกันไปได้ถึงวันไหน วันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เรายังจะมีกันเรื่อยไปรึเปล่า.....”

    ผมเงียบกริบ รอฟัง ‘ไอ้ตัวดี’ พูดความในใจออกมา

    “แต่ผมจะทำทุกวัน ....ให้เป็นวันของเรา.....”

    จบประโยค เสียงเพลงนุ่มเคลิ้มชวนฝันก็ค่อยๆดังขึ้น นี้ก็เป็นอีกเพลงหนึ่งที่ผมเคยฟังมาตั้งนานแล้ว เป็นเพลงที่เรียกได้ว่าเหมือนผมกับมันจริงๆนั้นแหละ....




    ‘ไม่เคยคิดเลย ว่าจะเจอกับวันที่ดี ที่เราอยู่ตรงนี้
    แค่เพียงแรกเจอรู้สึกทันที เหมือนว่ามีอะไร
    เมื่อเราได้คุยก็พอรู้ และดูว่ามันก็คงมีความหมาย
    ระหว่างสองเราคงมีอะไร เชื่อมข้างในให้ถึงกัน

    (ต่างคนต่างเข้าใจ) อย่างง่ายดาย
    (ต่างกับคนทั่วไป) ตั้งมากมาย
    (ตอบความจริงข้างใน) ว่าคิดกันอย่างไร
    (เข้ากันดีกับที่หัวใจบอกไว้)

    อาจมีหลายทีที่สับสน กี่คนผ่านมาและคงต้องผ่านไป
    แต่เมื่อพบเธอมันต่างกันไป เพราะว่าฉันมั่นใจ
    หากวันนี้เราจะจบลง ก็คงจะเป็นอะไรที่ผิดไป
    เมื่อได้พบคนที่เคยวาดไว้ เข้ากันดีกับหัวใจ

    (ต่างคนต่างเข้าใจ) อย่างง่ายดาย
    (ต่างกับคนทั่วไป) ตั้งมากมาย
    (ตอบความจริงข้างใน) ว่าคิดกันอย่างไร
    (เข้ากันดีกับที่หัวใจบอกไว้)

    ฉันไม่เคยเจอใคร ไม่ขวา ไม่ซ้าย ไม่สมบูรณ์ไป
    ไม่มองแง่ร้าย หรือ เอาแต่ใจ แต่มีอะไรไม่ธรรมดา

    ฉันไม่เคยเจอใคร ไม่เร็วไม่ช้า ไม่น้อยเกินไป
    แต่มีอะไรที่ดีกว่าใคร ลงตัวกับใจอยู่กันได้พอดี

    (ต่างคนต่างเข้าใจ) อย่างง่ายดาย
    (ต่างกับคนทั่วไป) ตั้งมากมาย
    (ตอบความจริงข้างใน) ว่าคิดกันอย่างไร
    (เข้ากันดีกับที่หัวใจบอกไว้)

    ฉันไม่เคยเจอใคร ไม่ขวา ไม่ซ้าย ไม่สมบูรณ์ไป
    ไม่มองแง่ร้าย หรือ เอาแต่ใจ แต่มีอะไรไม่ธรรมดา

    ไม่เคยคิดเลย ว่าจะเจอกับวันที่ดี ที่เราอยู่ตรงนี้
    แค่เพียงแรกเจอรู้สึกทันที เหมือนว่ามีอะไร’






    ไม่ได้ต้องการคนที่สมบูรณ์    ไม่ได้ต้องการคนที่เหมือนๆกัน  ต้องการแค่คนที่พร้อมจะเข้ากันได้....

    .......นี้คงเป็นสิ่งที่มันส่งผ่านมาให้ผมสินะ

    แสงไฟบนเวทีดับวูบลงไป  ก่อนไฟสีขาวนวลจะสว่างขึ้นมา ตอนนี้บนเวทีปรากฏเพียงแค่ร่างของอามัว ส่วนสมาชิกที่เหลือพร้อมเครื่องดนตรีอันตรธานหายไปเหมือนตอนขามา สิ่งที่เพิ่มเข้ามามีเพียงกีตาร์โปร่งหนึ่งตัว


    “เพลงนี้ เป็นเพลงสุดท้ายแล้วที่ผมจะร้องในวันนี้....เป็นเพลงที่แทนความรู้สึกของผมทั้งหมด”



    ‘มันพูดขึ้น’ ก่อนนิ้วมือจะค่อยๆจรดกีตาร์ขึ้นมาเป็นท่วงทำนอง




    ‘ในโลกที่มี ความวกวน
    ในโลกที่ทุกคนต้องดิ้นรน
    ที่สับสน ร้อนรนจนใจ นั้นแสนเหนื่อย
    ในโลกที่ความทุกข์ท้อใจ
    ได้เดินผ่านเข้ามาเรื่อยๆ
    จนบางครั้งไม่รู้จะข้ามไปเช่นไร
    แต่ยิ่งชีวิต ยิ่งผ่าน ยิ่งได้พบ ยิ่งเจอ
    กลับทำให้ฉันยิ่งคิด ในใจ

    ฉันดีใจทีมีเธอ ฉันดีใจที่เจอเธอ
    เธอคือกำลังใจเดียวที่มี ไม่ว่านาทีไหนๆ
    ฉันดีใจที่มีเธอ แม้จะต้องพบ อะไร
    และฉันรู้และฉันอุ่นใจ
    ว่าฉันนั้นจะมีเธออยู่ ตรงนี้

    แต่ยิ่งชีวิต ยิ่งผ่าน ยิ่งได้พบ ยิ่งเจอ
    กลับทำให้ฉันยิ่งคิด แน่ใจ
    ฉันดีใจทีมีเธอ ฉันดีใจที่เจอเธอ
    เธอคือกำลังใจเดียวที่มี ไม่ว่านาทีไหนๆ
    ฉันดีใจที่มีเธอ แม้จะไม่เหลือใครๆ
    แต่ฉันก็รู้ และฉันอุ่นใจ
    ว่าฉันนั้นจะมีเธออยู่ ตรงนี้
    ฉันก็รู้ และฉันอุ่นใจ
    ว่าฉันนั้นจะมีเธออยู่กับฉัน’





    ผมรู้สึกเหมือนเวลาถูกแช่แข็ง ทุกคนในหอประชุมเงียบกริบ กระทั้งใครสักคนหนึ่งปรบมือขึ้นมา เหมือนๆเป็นชนวนที่ทำให้คนอื่นปรบมือตาม ผมเองก็อยากจะปรบมือนะ แต่มือตอนนี้ไม่ว่างจริงๆ....

    ผมกลัวว่าถ้าไม่รีบเช็ดตอนนี้ เกิดไฟสว่างขึ้นมามันคงไม่น่าดูสักเท่าไหร่ ผู้ชายตัวโตๆยืนน้ำตาไหลเนี้ย......

    ....ก็ใครใช้ให้ไอ้ป้องมันร้องเพลงให้ผมแบบนี้ล่ะครับ

    "ผมดีใจ...ที่มีคุณ"




           
    :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:






    สายลมเอื่อยๆตอนเย็นปะทะเข้ากับใบหน้าของผม  ตะวันที่ส่องอยู่ตรงหน้ากำลังใกล้จะลับขอบฟ้าเต็มที่

    หลังจบเพลงสุดท้ายแสงไฟในหอประชุมก็ดับลงไป พร้อมๆกับร่างบนเวทีที่หายตัวไป เล่นเอาเกิดการจลาจลนิดๆเลยล่ะครับ ดีว่าพวกคณะกรรมการนักเรียนห้ามทัพคนในหอประชุมทัน เล่นเอาวุ่นวายไปตามๆกัน

    “ชั้นสองตึกห้านี้มันมีมนต์ขลังอะไรรึเปล่า ? มายืนบ่อยจัง”

    เสียง ‘ตัวต้นเหตุ’ ความวุ่นวายดังขึ้น ก่อนมันจะเดินมายืนข้างๆผม

    “มีสิ ...... ก็ตึกนี้เป็นตึกที่เจอกันครั้งแรกนิ”

    ผมเอามือไปวางทาบมันไว้  แดดยามเย็นที่มันอุ่นดีจริงๆแหะ

    “จำได้แล้ว ?”

    อีกฝ่ายเริกคิ้วถามด้วยความแปลกใจ ผมไม่ตอบแต่กุมมือมันแน่นๆแทน

    “วันนี้ร้องเพลงแล้วทำไมถึงยังสวมหน้ากากล่ะครับ ?” 

    ผมถามสิ่งที่สงสัย

    ตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น ผมก็รู้แล้วล่ะครับว่าอามัวของผมนะเป็นใคร  ผมเองก็ไม่ได้งี่เง้าและคิดเล็กคิดน้อยจนจะเอามาเป็นประเด็น
    โกรธอีกฝ่ายหรอกนะครับ ว่าทำไมไม่บอกผมเรื่องนี้  ถ้าให้เดาไอ้ป้องมันคงตั้งใจจะบอกผมตั้งแต่เมื่อตอนกลางวันแล้ว แต่ดันวุ่นๆเรื่องขนมปังแทนเลยไมได้บอกออกไป อีกอย่างมากสุดในความรู้สึกของผมก็แค่ตกใจเท่านั้นแหละครับ ที่คนที่เราฟังเพลงเขามานานคือคนที่นอนข้างๆกันทุกคืน

    ในความรู้สึก...มันเหลือแค่คำว่ารัก

    “เกียร์รู้เหรอ ? ”

    “กอดอยู่ทุกวันจนจำหุ่นได้ แค่เห็นช่วงเอวก็มองออกแล้ว   อ้วนๆแบบนี้มีคนเดี่ยวแหละ”

    แต่นอนว่าผมยังคงโดนตีแขนเสมอต้นเสมอปลาย เอาเถอะครับ เป็นแบบนี้ก็ดี....

    .....อยู่ข้างๆกันแบบนี้ตลอดไปเถอะนะ

    “เพลงเพราะ....”

    “เพลงเพราะ....เพราะเธอ”

    ไอ้ป้องหยอดกลับ เดี่ยวนี้ทำไมแฟนผมมันวิวัฒนาการไวจังวะ .... แล้วงี้ผมควรจะหยอดกลับไปยังไงดี ?

    ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไรออกไปดี หรือเวลานี้ควรจะทำอะไรกับอีกฝ่ายดีไหม  ไอ้ป้องเองก็คงคิดเหมือนกับผม 

    รัก...จนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรตอบแทนกันและกันแล้ว.....

    “ข้างๆกัน.....”

    “อื้ม...ข้างๆกัน....ตลอดไป”

    ผมฝ่าฝืนกฎตัวเองข้อหนึ่งที่เคยตั้งไว้ว่าในโรงเรียนผมจะไม่ทำตัวรุ่มร่ามกับไอ้ป้องมัน เพื่อเป็นการให้เกียรติ์มัน 

    แต่วันนี้ขอเหอะ....

    แค่กอดคนที่เรารัก...คงไม่เป็นอะไรหรอกมั่งครับ….

    ผมกอดมันแน่น จนแอบกลัวเหมือนกันว่าอีกฝ่ายจะเจ็บรึเปล่า แต่เพราะมันไม่ว่าอะไรก็เลยกอดไปแบบนั้น มันเองก็กอดผมตอบ
    กลับมาเหมือนกัน

    ถ้าเปรียบผมกับมันเป็นละครเรื่องหนึ่ง ตอนนี้คงเป็นตอนที่ผมมีความสุขมากที่สุด มีความสุขที่ได้รับ มีความสุขที่ได้รัก มีความสุขที่ได้อยู่ข้างๆกัน…. ผมโคตรอยากหยุดเวลาเอาไว้ตรงนี้จริงๆ  หยุดเอาไว้ตรงที่เรามีความสุข ....

    แต่ตัวผมเองก็ลืมไปถนัด....

    ....ว่าละคร มันไม่ได้มีแค่ฉากที่มีความสุข



    TBC.
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×