ลำดับตอนที่ #28
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #28 : #26 เรื่องเล่าของหนมปัง
#26 เรื่องเล่าของหนมปัง
ผมค่อนข้างรู้สึกตื่นเต้นและประหม่ากับความคิดที่ว่าตัวเองจะได้เจอ'อามัว'ตัวเป็นๆ….
คือ.... จะว่าไงดี ? ผมชอบน้ำเสียงเขานะ ไม่ได้อลังการแก้วแตก แต่เป็นเสียงที่ฟังแล้วแตกต่างจากเสียงเพลงทั่วไปที่ผมเคยได้ฟัง ได้สัมผัสมา น้ำเสียงของอามัวจะออกทุ้มๆ ให้ความรู้สึก'อบอุ่น'ฟังแล้วมันพีคอ๊ะครับสำหรับผม
ถ้าวันนี้มีโอกาส ผมก็อยากจะสัมผัสกับคนที่ชอบ ...เรียกว่าI dol ก็ได้มั่งครับ ผมอยากรู้ว่าคนที่ผมติดตามแชลแนลมานานเกือบๆสองปีเนี้ย เขาจะมีหน้าตาแบบไหน? ลุคของเขาเป็นยังไง อะไรแบบนี้นะครับ...
ย้ำอีกครั้งว่า ถ้าผมมี'โอกาส'นะ...
"นี้คนรึว่าหนอนว่ะ!?!?"
ไอ้เฟรมพูดขึ้นก่อนจะส่งกล้องส่องทางไกลมาให้ผม ตอนนี้พวกเราอยู่กันตรงระเบียงอาคารห้าครับ ที่เคยจัดรับน้องนะ
แม้จะเพิ่งเก้าโมงกว่าๆ แต่ตอนนี้ผู้คนที่มาร่วมงานวิชาการเพลินจิตวิทยาเรียกได้ว่าล้นหลามมากครับ ผมเห็นพวกบริหารกับพิทักษ์วิ่งเคลียร์พื้นที่กันจ้าล่ะหวั่น เด็กครัวเองก็วิ่งเสิร์ฟของว่างให้แขกกันตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตอีกทั้งพวกวิชาการที่พยายามพรีเซนการเรียนการสอนของเพลินจิตเพื่อดึงดูดให้ผู้ปกครองเด็กม.สามพาเด็กมาสมัครที่นี้
แต่ที่เพลินจิตมีเงินอย่างเดี่ยวเรียนไม่ได้หรอกนะครับ มันต้องมีองค์ประกอบอื่นๆซึ่งช่างหัวมันก่อนเถอะครับ
"พวกคนจากค่ายเพลงเต็มเลยว่ะ กูเห็นมีคนจากค่ายXYWด้วย"
ไอ้อู๋ส่องกล้องก่อนจะบอกให้ผมมองตาม วันนี้เพื่อนผมสองคนเองก็มีหน้าทีที่ต้องดูแลครับ ไอ้เฟรมต้องไปประจำการแถวพวกกีฬำ ไอ้อู๋กับต้องตาต้องคอยดูแลแขกพิเศษที่ไม่ได้รับเชิญแต่ก็มีมาทุกปี
"กระจอกว่ะ"
มันว่า ก่อนจะกดส่งตั๊กแตนรำข้าวออกไปจัดการไวรัสของอีกฝ่าย
อย่างที่เคยบอกไปครับ เจ็ดเทพของโรงเรียนผม'โด่งดัง'จนเป็นที่นับหน้าถือตา แต่มีแสงก็ต้องมีเงา มีคนชอบย่อมมีไม่ชอบ
เพราะงั้นวันวิชาการของโรงเรียนผม ทุกๆปีจะมีแขกมาขอท้าดวลเสมอนั้นแหละครับ ท้าแข่งเต้นกับเทพลีลาบ้าง ดวลกีต้าร์กับเทพดนตรี แข่งทำอาหารกับเด็กครัว เยอะแยะครับ... แต่จริงๆต่อให้แพ้-ชนะก็ไม่ได้อะไร แค่'ศักดิ์ศรี'ของแหวนที่สวมมันค้ำคอครับ
"เดี่ยวพวกกูต้องไปแล้วนะ"
ไอ้อู๋เก็บโน๊คบุ๊คใส่กระเป๋า หลังดูนาฬิกา พวกมันถึงเวลาต้องไปแล้วนะครับ
"เออ โชคดี เดี่ยวเที่ยงๆเจอกัน"
ผมว่าก่อนจะโบกมือให้มันสองคน
ปกติทุกปีเวลามีงานวันวิชาการ ผมกับไอ้สองแสบนี้จะพากันเดินเหล่สาวต่างโรงเรียน(ซึ่งพวกหล่อนก็มาเหล่หนุ่มโรงเรียนผมนั้น
แหละ)ตกบ่ายผมก็ประกวดเดือนโรงเรียน แต่พอขึ้นม.ห้ามาอะไรๆก็เปลี่ยนไป เพราะส่วนใหญ่แล้วโรงเรียนผมจะให้พวกม.ห้าเป็นผู้คุมกิจกรรม ผู้ดูแลงานต่างๆมากกว่าพี่ม.หก เพื่อที่รุ่นพี่พวกผมจะได้เตรียมสอบเข้ามหาลัยได้อย่างเต็มที่ ส่วนผมเองปีนี้ก็ขี้เกลียดเลยไม่ได้สมัครลงเดือน
รักเพื่อน เคารพรุ่นพี่ ดูแลรุ่นน้อง เป็นวลีสั้นๆที่ติดหูผมตั้งแต่สมัยเข้ามาม.ต้น พอผ่านมาสักพักผมถึงได้เข้าใจความหมายของมัน
"อยู่นี้นิเอง"
เสียงคุ้นเคยดังขึ้นจากทางซ้ายมือ ผมขมวดคิ้วตอบกลับไป
"แวบออกมาได้ด้วยเหรอ?"
ผมถามไอ้ป้องกลับไป
วันนี้ป้องมันเป็นสตาร์ฟของฝ่ายจัดเวทีครับเลยได้อภิสิทธิ์ใส่เสื่อโปโลสีดำของงาน ซึ่งถือว่ามีอำนาจเดินเข้า-ออกพื้นที่ที่ห้าม
คนนอกเข้าได้ครับ แน่ล่ะว่างานมันเยอะมากๆ ตั้งแต่ขับรถมาส่งเมื่อเช้าก็เพิ่งได้เจอกันเนี้ยแหละครับ
"คิดถึง เลยแวะมาหา..."
"อีกรอบ..."
ไอ้ป้องทำหน้างงๆ ผมดึงมือมันมาวางซ้อนทับตรงที่เท้าแขนของระเบียบก่อนจะอธิบายให้มันฟัง
"อ้อนเกียร์อีกรอบได้ไหมครับ หื้ม?"
เพราะอยู่ในสถานที่ที่ไม่จัดว่าสมควรแก่การแสดงออก ผมเลยทำอะไรไม่ได้มากนักนอกจากกุ่มมือมัน ผมไม่ได้กลัวหรอกนะว่าถ้า
ตัวเองกอดไปแล้วบังเอิญมีใครมาเห็นจะมองผมไม่ดีกลับกันผมกลัวคนอื่นมองมันไม่ดีต่างหาก
ถ้าเราเลือกแล้วที่จะรักอีกฝ่าย ผมคิดว่าการให้เกียรติ์กันเป็นสิ่งที่สำคัญ ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมยังคงเห็นไอ้ป้องเป็นผู้ชายคนหนึ่งมาโดยตลอด
แค่เป็นผู้ชายที่ผมหลงรักก็เท่านั้นเอง...
"ไม่เอาหรอก อ้อนบ่อยๆเดี่ยวไม่ศักดิ์ศิทธ์ ป้องแวะเอาของออกมาให้"
มันว่า พร้อมชูเสื่อโปโลไซร์แอลสีดำอีกตัวหนึ่ง ด้านหลังสกรีนคำว่าสตาร์ฟเหมือนๆกับของไอ้ป้อง
"จะดีเหรอ เอามาให้คนนอกเนี้ย?"
ปากพูดไปงั้น แต่มื่อก็รับเสื่อมาอยู่ดีแหละครับ
"คนนอกที่ไหนกัน เกียร์ก็ช่วยป้องเตรียมงานตั้งหลายอย่าง"
ไอ้ป้องยกยิ้มมุมปาก ผมแกะกระดุมปลดเสื้อเชิตที่ใส่มาออก ก่อนจะใส่โปโลไปแทนที่
"ขอบคุณนะ ว่าแต่ป้องกินไรยัง?"
เมื่อเช้านี้เพราะต้องรีบมาเตรียมงานป้องเลยอดข้าวเช้าครับ ผมเองก็เลยเลือกไม่กินจะได้มาส่งอีกฝ่ายทัน จากนั้นก็เดินดูงาน
เพลินจนมาถึงบนตึกนี้
"ยังเลย ป้องว่าจะกินตอนเที่ยงที่เดี่ยวเลย"
"แล้วไม่หิวเหรอ? "
สุดท้ายผมงัดไม้ตายชูถุงหมูปิ้งเจ้าอร่อยจากหน้าโรงเรียนขึ้นมา สุดท้ายมันกับผมเลยทรุดตัวนั่งลงกับพื้นกินข้าวเหนี่ยวหมูปิ้งกัน
ตรงระเบียงเนี้ยแหละครับ ลมเย็นดี
"เออเกียร์"
"ครับ?"
"อย่าลืมไปดูคอนเสิร์ทวันนี้นะ"
ไอ้ป้องพูดพร้อมเคี้ยวหมูปิ้งไปด้วยจนเต็มสองแก้ม แก้มมันน่าหยิกเล่นชะมัด!!!
"นี้ก็ตั้งใจไปดูเหมือนกัน ป้องเคยเห็นอามัวรึยัง?"
ไอ้ป้องชะงักไปกึกหนึ่งก่อนจะตอบกลับผม
"เคยสิ...จริงๆแล้วป้องมีเรื่องจะบอกเกียร์ด้วย"
"เรื่องอะไรล่ะ?"
ผมเหยียดขาตรงนั่งหลังชนกับระเบียงรอฟังอีกฝ่ายพูด
"คือว่าจริงๆแล้ว อามัวนะ..."
'โครม'
เสียงของไอ้ป้องขาดหายไปหลังเสียงถังขยะโลหะตรงปลายระเบียงทาวเชื่อมล้มลงไป ผมกับไอ้ป้องหันขวับไปมอง ก่อนจะเห็น
เด็กสาขาสองคนหนึ่งที่ดูแล้วน่าจะวิ่งทะเล่อไปชนถังขยะล้มลงอยู่
"นาย...เห้ย เดียร์!!!!"
ไอ้ป้องที่วิ่งเข้าไปช่วยดึงอีกฝ่ายขึ้นร้องเสียงหลง คนรู้จักสินะ
"จริงๆเราชื่อหนมปัง... แต่ตอนนี้ขอที่ซ่อนให้เราหน่อย!!!!"
"ที่ซ่อน?"
"อื้มอะไรก็ได้ ขอตอนนี้เลย!!!"
ผมกับไอ้ป้องหันมามองหน้ากัน ก่อนจะชี้ไปที่ถังน้ำแข็งยูนิตที่ใช้ในวันรับน้อง อีกฝ่ายผงกหัวขอบคุณๆ ก่อนจะวิ่งไปเปิดฝาแล้ว
ปีนลงไปอย่างรวดเร็ว คือ.... ในนั้นมันมืดและไม่มีอากาศนะครับ(ผมเคยโดนไอ้พวกทโมนในห้องจับยัด-*-) แต่ดูเหมือนอีกฝ่าย
ไม่แคร์เลยวุ้ยแค่หน้าที่นั้นได้ซ่อนตัวก็คงพอใจแล้ว
........แล้วซ่อนตัวจากอะไร?
"นู้นไง NPC ปริศนามาโน้นแล้ว"
ไอ้ป้องบุ้ยปากตอบสิ่งที่ผมสงสัย
ผมเห็นเด็กสาขาสองอีกคนหนึ่งวิ่งอ้อมทางเชื่อมตึกจนมาถึงหน้าหอประชุมเล็กที่พวกผมอยู่ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อแสดงออก
ถึงความพยายามในการติดตามอะไรบางอย่าง ซึ่งก็คงไม่แคล้วคนในถัง
"โทษนะ...นาย...ป้อง เห็นคนที่สูงประมาณนี้ ใส่แว่นอันโตๆวิ่งมาไหม?"
อีกฝ่ายพูดพลางหอบด้วยน้ำเสียงร้อนรน สิ่งที่ทำให้ผมสงสัยคือแววตาที่แสดงออกมา มันเป็นแววตาคู่หนึ่งที่ผมรู้จักดี เป็นแววตาที่ผมเคยมีสมัยช่วงตกหลุมรักไอ้ป้อง
...แววตาของคนที่รู้ว่าตัวเองตกหลุมรักเขาเข้าแล้ว
"เห็น/ไม่เห็น"
ผมหันกลับไปมองหน้าคนข้างๆด้วยความไม่เข้าใจ ผมว่าคนในถังน้ำแข็งคงกำลังก่นด่าไอ้ป้องแหง่มๆ
"เกียร์ไม่ต้องโกหกหรอก...เราเห็น 'หนมปัง' วิ่งไปทางนู้น"
พอไอ้ป้องชี้นิ้วไปในทิศทางตรงกันข้ามนั้นแหละผมเพิ่งได้เข้าใจว่ามันพูดว่าเห็นเพราะอะไร
"อ่า ขอบคุณครับป้อง"
อีกฝ่ายพูดขอบคุณก่อนจะเตรียมวิ่งไปแต่ไอ้ป้องพูดเนิบๆดักทางไว้ก่อน
"ถึงจะเป็น'สีเทียน' แต่ถ้ามีเรื่องในสาขาหนึ่ง ผมก็ไม่ไว้หน้าหรอกนะ"
อีกฝ่ายก้มโค้งรับคำให้พวกผม ก่อนจะยิ้มจางๆให้ก่อนจะวิ่งหายไป
"ตกลงป้องจะรู้จักNPCลับทุกตัวเลยใช่ไหมครับ?"
ผมถามหยอกอีกฝ่าย เพราะตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาเวลาพวกนี้ปรากฏที่ไรไม่เห็นมีคนที่ผมรู้จักเลย ไอ้ป้องจิกตาใส่ผม พลางพูดผ่าน
ริมฝีปากว่า'ไม่ใช่เวลา' โห่ก็ผมไม่อยากให้แฟนเครียดนิครับ
"ออกมาเถอะหนมปัง เขาไปแล้ว"
ผมรู้สึกเหมือนๆไอ้ป้องจะเลี่ยงการพูดชื่ออีกฝ่ายตรงๆแหะ
หนมปังค่อยๆดันฝาถังน้ำแข็งขึ้นก่อนจะมองลอดสายตากวาดไปรอบๆพอเห็นว่าปลอดภัยแล้วถึงค่อยกระโจนออกมา
"โอ๊ย หนมปังเกือบตายในนั้นแล้วป้อง นึกว่าป้องจะบอกมันซะอีก"
หนมปังทรุดตัวลงไปนั่งกับเก้าอี้ตัวหนึ่งในห้อง ก่อนจะโบกมือพัดระบายความอบอาวจากการเข้าไปอยู่ข้างใน
"กินน้ำก่อน คิดว่าสีเที..เขาคงยังไม่วิ่งกลับมาหรอก"
ไอ้ป้องบอก หนมปังรับน้ำไปก็กระดกลงอย่างไม่เกรงใจ
"ขอบใจนะป้อง"
หนมปังว่าพลางถอนหายใจยาวๆ
"แล้ววิ่งหนีเขาทำไมอ๊ะหนมปัง"
พอเห็นอีกฝ่ายจัดการตัวเองเข้าที่เข้าทางแล้วไอ้ป้องก็ถามขึ้น
“ก็แค่...ไม่อยากเจอ ....”
“โกรธกันอยู่เหรอ....?”
“เปล่าหรอก...คือจริงๆ เราไมได้เป็นอะไรกันด้วยซ้ำ”
ผมเห็นหนมปังเม้มปากตอนพูดท่อนสุดท้าย อะไรบางอย่างในแววตาหมองลงไป
“คือจริงๆเราก็ไม่ได้สนิทกัน.... แต่ถ้ามีอะไรไม่สบายใจพูดให้ป้องกับเกียร์ฟังก็ได้นะ”
ไอ้ป้องพูด ก่อนตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆเป็นเชิงให้กำลังใจ
หนมปังเม้มปากสนิท ก่อนจะค่อยๆเล่าเรื่องให้ผมฟัง จริงๆแล้วผมคิดว่าหนมปังคงไม่ได้อยากเล่านักหรอก แต่สิ่งที่อยู่ข้างในคงอัดแน่นเกินกว่าจะทนเก็บเอาไว้ อีกทั้งป้องเองก็มีลักษณะที่น่าเชื่อถือมากพอว่าจะพูดเรื่องของอีกฝ่ายในทางที่เสียหาย
ในเมื่อมันเป็นเรื่องของ ‘หนมปัง’ ผมเองก็ขอแค่รับฟังไว้ แต่ไม่ขอเล่าต่อ….
…
..
.
.
.
.
.
.
.
“แล้วนี้มึงรอดมาได้ยังไงว่ะ ?”
ไอ้ป้องถามขึ้นหลังจากหนมปังเล่าฉากที่ระทึกขวัญที่สุดให้ฟัง โปรดอย่าแปลกใจกับสรรพนามที่เปลี่ยนไปครับ เด็กผู้ชายอยู่ใกล้ๆกันแปปๆก็สนิทกันแล้วครับ
“กูเอาขวดเหล้าที่กลิ้งอยู่แถวพื้นนั้นแหละฟาดหัวมัน”
หนมปังตอบหน้าตาย ไอ้ป้องหัวเราะร่วนถูกใจ ก่อนทั้งคู่จะยกหมัดขึ้นมากระแทกเบาๆเป็นเชิงถูกใจกันและกัน
“ดีแล้วมึง เราไม่ใช่นางเอกเว้ย จะได้ยอมให้พระเอกปล้ำแบบนั้น”
“ใช่ๆ กูไม่ใช่นางเอก”
ครับ.... ก็รู้ว่าไม่ใช่นางเอกกันทั้งคู่นั้นแหละ แต่มีอย่างที่ไหนเอาขวดเหล้าฟาดพระเอกว่ะ!!!
ผมแอบสยองหน่อยๆ พอคิดว่าถ้าเกิดตัวเองเมาแล้วปลุกปล้ำไอ้ป้องบ้าง มันจะเอาขวดเหล้าฟาดหัวผมเหมือนที่หนมปังทำกับสี
เทียนไหม....
“แล้วหลังจากฟาดแล้วทำไงต่อว่ะ ??”
ไอ้ป้องถามต่อ หนมปังฮึดฮัดจมูกก่อนจะตอบ
“จริงๆอยากจะใจไม้ไส้ระกำปล่อยมันนอนเลือดอาบหัวตายตรงนั้นแหละ แต่ขี้เกลียดเจ็บกวาดศพ”
“เลย... ?”
“ก็เลยช่วยทำแผลให้นั้นแหละ จริงๆหัวมันแตกแค่นิดหน่อยเพราะฟาดไม่เต็มแรงมาก ..ยั้งๆแรงไว้อยู่นะ แค่ต้องการเรียกสติมัน”
หนมปังตอบกลับมา ไอ้ป้องพยักหน้ารับก่อนจะพูดต่อ
“แล้วอีกฝ่ายว่าไงมั่งหลังสร่างเมา ?”
รอบนี้หนมปังทำหน้าเบื่อโลกสุดชีวิต ก่อนจะเขี่ยๆไม้แหลมหมูปิ้งเล่น(พอสนิทกันปุบ แมร่งแย่งของผมแดรกปับ ขอบคุณนะหนม
ปัง-*-)
“เหอะ....มันจะพูดว่าไงเหรอ ....? มันหาว่ากูโมเมไง แถมยังถีบกูตกเตียงอีกต่างหาก รู้งี้นะ เมื่อคืนน่าจะฟาดให้ตายไปเลย”
หนมปังกำหมัดชูขึ้นมานิดๆ ใบหน้าบ่งบอกว่าเอาจริงสุดๆ ไอ้ป้องพยักหน้าขึ้นลงเห็นด้วย
..........นี้ผมกลายเป็นส่วนเกินตอนแม่บ้านเขาคุยกันรึเปล่าครับ... ?
“แต่เอาจริงๆนะ หนมปัง...ยังชอบสีเทียนใช่ไหม ?”
ผมถามประเด็นที่ตัวเองสงสัย หลังจากทั้งคู่มีช่องว่างให้ผมเข้าไปแทรกได้สักที่
หนมปังฟังคำถามผมแล้วก็เงียบไป ถ้าให้ผมเดาก็คงกำลังสับสนกำกึ่งระหว่างความรู้สึกกับสิ่งที่อีกฝ่ายได้กระทำไว้กับตัวเองนั้น
แหละครับ แต่เรื่องนี้จะโทษหนมปังก็ไม่ได้ เพราะสีเทียนผิดเองที่ทำอะไรแย่ๆลงไปแบบนั้น อีกทั้งถ้าผมเดานิสัยของสีเทียนจาก
คำพูดของหนมปังนะ ผู้ชายคนนี้อ่อนข้อให้ใครไม่เป็นครับ
“หนมปังไม่รู้หรอก ว่ายังใช้คำว่า ‘ชอบ’ ได้ไหม ..... หนมปังอาจจะยังอยากอยู่ใกล้ๆเขา อะไรแบบนี้ แต่ทุกๆครั้งที่ได้ขยับเข้าไป
ใกล้ๆ ความกลัวของหนมปังจะเพิ่มพูนเข้ามาในทางตรงกันข้าม สิ่งที่เขาทำไว้มันหนักหนาจริงๆนะเกียร์ หนมปังอึดอัด หนมปังไม่ชอบท่าที่ของเขา หนมปังไม่ได้อยากให้เขาบอกใครๆหรอกถ้าเกิดว่าเราจะคบกันจริงๆ สิ่งเรานั้นมันไม่จำเป็น.....”
หนมปังเว้นวรรคช่วงไปก่อนจะพูดต่อ
“การแสดงออกของสีเทียนเป็นเหมือนเงา..... หนมปังเหมือนจะมองเห็นมันแต่ก็มองไม่ชัด มันเป็นความรู้สึกที่หนมปังขยาดและ
หวาดกลัวเกินกว่าจะตัดสินได้ว่าควรจะทำยังไงต่อไป ทุกครั้งเวลาที่หนมปังคิดจะเลิกชอบเขา มันเหมือนกับว่าเขาเล่นตลกกับหนมปังด้วยการขยับเข้ามาใกล้ๆอีกหนึ่งก้าว มันเหมือนให้ความหวังกันเลยเนาะ......”
เสียงของหนมปังเริ่มสั่นมากขึ้นเรื่อยๆ ไอ้ป้องหันมาเอ็ดผมหน่อยๆที่ทำเพื่อนมันเศร้า
“หนมปังกลัวว่า เรื่องที่เกิดขึ้น มันไม่ใช่ความรัก .... มันอาจจะเป็นทิฐิของเด็กผู้ชายก็ได้ เวลาสูญเสียสิ่งที่คิดว่าตัวเองได้ครอบครองลงไป กลัวว่าจะเสียศักดิ์ศรี เลยพยายามลากให้หนมปังเข้าไปในวังวนของเขา”
“แต่เขาอาจจะจริงจังกับหนมปังก็ได้นิ ?”
ผมพูดในแง่ของคนที่รับฟัง และค่อยๆให้คำปรึกษา ไม่อยากชี้ชัดอะไรมากครับ
“เอาเป็นว่าทำตามที่หนมปังสบายใจเถอะ เรื่องแบบนี้ค่อยๆคิดก็ได้ ให้เวลาเป็นเครื่องตัดสิน”
ไอ้ป้องที่เงียบไปนานพูดขึ้นมาบ้าง ก็คงจะจริงอย่างที่ป้องมันว่าล่ะครับ เรื่องของหนมปังกับสีเทียนซับซ้อนมากเกินกว่าที่คนนอกสองคนอย่างพวกผมจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว มันเป็นเรื่องที่คนสองคนต้องหันหน้าเข้าคุยกันจริงๆ แต่ดูเหมือนตอนนี้คงเป็นไปได้ยาก เพราะหนมปังเองก็หวาดกลัวกับเรื่องที่โดนกระทำเกินกว่าจะเปิดใจให้สีเทียนได้
ผมแอบดีใจนิดๆที่ป้องกับผมไม่ซับซ้อนแบบคู่นี้แหะ....
“อื้ม...หนมปังจะค่อยๆตัดสินใจนะ ขอบใจป้องกับเกียร์มากเลยที่มานั่งฟังอะไรไร้สาระแบบนี้...”
“โหย แค่นี้จิ๊บๆ เรื่องของเพื่อนนี้ไม่ไร้สาระหรอก ...อีกอย่าง หนมปังกับป้องเจอกันบ่อยๆแต่ไม่ค่อยได้มีโอกาสมานั่งคุยกันแบบนี้เลย”
“ฮ่าๆ ก็จริงแหะ เจอกันที่ไหร่มีแต่เรื่องยุ่งๆตลอดเลย”
แล้วหนมปังกับป้องก็นั่งหัวเราะร่วมกัน โดยมีผมเป็นตัวประกอบแบล็กกราว....(ผมยังเป็นพระเอกของเรื่องนี้อยู่ไหม ...ตอบ ?)
“แล้วมึงไม่คิดจะฟังกูพูดบ้างเหรอ ?”
น้ำเสียงเย็นๆดังขึ้นจากหน้าห้องประชุมเล็ก ผมเห็นหนมปังแทบจะโดดไปหลบอยู่หลังป้องด้วยซ้ำ
“เดี่ยว.... ใจเย็นก่อนสีเทียน”
ไอ้ป้องยืนกั่นห้ามทัพระหว่างหนมปังกับคนที่เพิ่งมา สีเทียนตอนนี้ทั่วทั้งร่างอาบไปด้วยเหงื่อ ผมเห็นแววตาเหน็ดเหนื่อยของอีกฝ่ายถูกเคลื่อบไว้จางๆด้วยความรู้สึกของคนที่กำลังน้อยใจ
“ป้อง ....สีเทียนของคุยกับหนมปังเป็นการส่วนตัว...ได้ไหม ?”
สีเทียนพูดช้าๆชัดๆ เต็มถ้อยคำ ผมเห็นหนมปังเกาะหลังไอ้ป้องแจเหมือนกลัวไอ้ป้องจะหายไปจากตรงนั้น
“เทียนกลับไปก่อนเถอะ...ป้องทิ้งปังไมได้หรอก เกิดเทียน....”
สีเทียนปั้นหน้ายาก ก่อนจะหันมาทางผม ....แววตาที่ส่งออกมาสื่อสารกันได้เป็นอย่างดีจนผมเข้าใจ แววตาที่ผมแสดงออกมาตอนจะขอร้องลุกผู้ชายด้วยกันสักคนหนึ่ง
“ป้อง ไปกันเถอะ”
สุดท้ายไม่รู้เป็นเพราะอะไร แต่ผมรู้สึกสงสารสีเทียนจนยอมไปดึงป้องออกมาจากตรงนั้น ไอ้ป้องทำหน้าเหวอ แต่ก็โดนผมลากออกมาอยู่ดี
“เดี่ยวก่อน เกียร์...เห้ย!!!”
“สีเทียนคุณต้องรับปากผม.... ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับหนมปัง ผมจะเป็นคนแรกที่เอาเรื่องคุณ!!!”
ผมทิ้งท้ายไว้แค่นั้น สีเทียนส่งแววตาขอบคุณมาให้ ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับหนมปังที่ตอนนี้แทบอยากจะกระโดดหน้าต่างหอ
ประชุมหนีออกไปด้วยซ้ำ
ผมลากป้องออกเดินออกมาเรื่อยๆ ไอ้ป้องเองแม้จะขัดขื่นบ้างแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรผมนัก
“ทำไมเกียร์ทำแบบนี้อ๊ะ...เกิดสีเทียนทำอะไรหนมปังขึ้นมาจะว่ายังไง ?”
ไอ้ป้องเอ็ดผมชุดใหญ่หลังผมพามันมาหยุดตรงทางเชื่อม ดวงตาคู่เรียวมองผมด้วยความไม่เข้าใจ
“ป้อง ในเขตโรงเรียนเรายังไงพวกเราก็ใหญ่ที่สุด เกียร์ว่าดีกว่าให้เขาไปเคลียร์กันที่อื่นนะ มันอาจจะเป็นโอกาสที่ดีก็ได้ในการที่เขาสองคนจะเข้าใจกัน”
“แต่เกียร์ สีเทียนทำไม่ดีกับหนมปังไว้นะ”
“เกียร์ก็เคยทำไม่ดีไว้กับป้อง ทำไมตอนนี้เราถึงยังรักกันได้ล่ะครับ ?”
ถ้าจะคุยกับป้อง ต้องยกตัวอย่างและเหตุผลที่มีน้ำหนักมากเพียงพอให้อีกฝ่ายคิดตามครับ ผมอยู่กับป้องมาจนจับหลักได้แล้ว
“ก็...ก็เกียร์รักป้องไง....”
ไอ้ป้องพูดไป หน้าแดงนิดๆไป
“ก็นั้นไง เหตุผลที่เกียร์กล้าปล่อยหนมปังไว้กับสีเทียน”
“เกียร์หมายความว่า.... ?”
ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะอธิบายความรู้สึกของตัวเองให้ฟัง
“ป้องฟังที่เกียร์พูดนะ เรื่องที่หนมปังเล่ามา เกียร์ไม่ได้บอกว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง แต่ป้องรู้ไหม หลายๆเรื่องถ้าเราไม่ได้เป็นคนในเหตุการณ์นั้นๆ หรือเจอมากับตัวเอง เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าทำไมถึงทำแบบนั้น ทำไมถึงเลือกที่จะทำแบบนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างสองคนนั้นเกียร์ว่ามันเป็นความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นจากทิฐิของพวกเขา เรื่องแบบนี้เราไม่ควรจะเข้าไปยุ่ง สีเทียนอาจจะมีเหตุผลที่ต้องทำอะไรแบบนั้นลงไปก็ได้นิครับ ที่เกียร์พูดนี้จริงไหม ?”
ไอ้ป้องค่อยๆคิดตามที่ผมพูด ก่อนจะพยักหน้าขึ้นลงช้าๆ
“หน้าที่ของเพื่อนคือการยืนอยู่ข้างๆกัน ไม่ต้องกลัวหรอกว่าหนมปังจะเป็นอะไร ป้องคิดว่าคนที่มีสติตอนตัวเองกำลังจะถูกปล้ำนี้
จะเอาตัวรอดไม่ได้จริงๆเหรอ ? เผลอๆเกียร์ว่าคนที่น่าห่วงกลัวว่าจะเป็นอะไรสมควรเป็นสีเทียนมากกว่าซะอีก”
ผมพยายามพูดตลกให้ไอ้ป้องคลายความกังวล.... แต่จริงๆแล้วผมว่าผมห่วงสีเทียนนะ เพราะถ้าขนาดหนมปังกล้าเอาขวดเหล้าฟาดหัว ผมว่าของในห้องนั้นหนมปังก็คงไม่ลังเลที่จะใช้มันเป็นอาวุธในการป้องกันตัวหรอกครับ
“ตอนนี้หน้าที่ของป้องอีกอย่างคือการเตรียมสตาร์ฟไม่ใช่เหรอครับ ? นี้มันบ่ายโมงแล้วนะ”
ผมพูดเตือน ก่อนจะชุนาฬิกาข้อมือในอีกฝ่ายดู ไอ้ป้องเบิกตากว้างก่อนจะพูดขึ้น
“เออใช่ มัวแต่คุยกับหนมปังจนลืมเวลาเลย!!!!”
นั้นไงล่ะ ผมเดาผิดซะที่ไหน ป้องนะเวลาทำอะไรเพลินๆแล้วลืมเวลาตลอดครับ
“งั้นก็รีบไปกันเถอะครับ เดี่ยวสองคนนั้นเคลียร์เสร็จก็คงลงมาจากตึกเองแหละ”
แม้จะอยากย้อนกลับไปดูเพื่อน แต่ไอ้ป้องคงถือว่าคำพูดของผมมีน้ำหนักมากเพียงพอ มันเลยเลือกจะจับมือผมแล้ววิ่งไปทางหอ
ประชุมใหญ่ อีกประมาณครึ่งชั่วโมงการแข่งขันดนตรีต้านยาเสพติดของวงแรกจะเริ่มประกวดแล้ว และต่อจากนั้นอีกสองชั่วโมงอามันจะขึ้นแสดงสด ไอ้ป้องวานผมให้ไปเป็นสตาร์ฟในหอประชุมเหมือนกัน ผมรู้ว่ามันคงไม่อยากทิ้งผมไว้แค่คนเดี่ยวนั้นแหละ
อีกแค่สองชั่วโมงสินะ....
แล้วเจอกัน.....
....อามัว
TBC.
ตอนนี้เกียร์รู้สึกเหมือนเป็นตัวประกอบจริงๆแหะ
ตอนหน้าได้เจอกับ 'อามัว' แน่นอนครับ สัญญา
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น