ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ____เก็บ....'รัก' ____[Yaoi] [The End] [เปิดจอง!!!!!]

    ลำดับตอนที่ #28 : #26 เรื่องเล่าของหนมปัง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 423
      2
      6 ส.ค. 57



    #26 เรื่องเล่าของหนมปัง




    ผมค่อนข้างรู้สึกตื่นเต้นและประหม่ากับความคิดที่ว่าตัวเองจะได้เจอ'อามัว'ตัวเป็นๆ….

    คือ.... จะว่าไงดี ? ผมชอบน้ำเสียงเขานะ ไม่ได้อลังการแก้วแตก แต่เป็นเสียงที่ฟังแล้วแตกต่างจากเสียงเพลงทั่วไปที่ผมเคยได้ฟัง ได้สัมผัสมา น้ำเสียงของอามัวจะออกทุ้มๆ ให้ความรู้สึก'อบอุ่น'ฟังแล้วมันพีคอ๊ะครับสำหรับผม

    ถ้าวันนี้มีโอกาส ผมก็อยากจะสัมผัสกับคนที่ชอบ ...เรียกว่าI dol ก็ได้มั่งครับ ผมอยากรู้ว่าคนที่ผมติดตามแชลแนลมานานเกือบๆสองปีเนี้ย เขาจะมีหน้าตาแบบไหน? ลุคของเขาเป็นยังไง อะไรแบบนี้นะครับ...

    ย้ำอีกครั้งว่า ถ้าผมมี'โอกาส'นะ...

    "นี้คนรึว่าหนอนว่ะ!?!?"

    ไอ้เฟรมพูดขึ้นก่อนจะส่งกล้องส่องทางไกลมาให้ผม ตอนนี้พวกเราอยู่กันตรงระเบียงอาคารห้าครับ ที่เคยจัดรับน้องนะ

    แม้จะเพิ่งเก้าโมงกว่าๆ แต่ตอนนี้ผู้คนที่มาร่วมงานวิชาการเพลินจิตวิทยาเรียกได้ว่าล้นหลามมากครับ ผมเห็นพวกบริหารกับพิทักษ์วิ่งเคลียร์พื้นที่กันจ้าล่ะหวั่น เด็กครัวเองก็วิ่งเสิร์ฟของว่างให้แขกกันตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตอีกทั้งพวกวิชาการที่พยายามพรีเซนการเรียนการสอนของเพลินจิตเพื่อดึงดูดให้ผู้ปกครองเด็กม.สามพาเด็กมาสมัครที่นี้

    แต่ที่เพลินจิตมีเงินอย่างเดี่ยวเรียนไม่ได้หรอกนะครับ มันต้องมีองค์ประกอบอื่นๆซึ่งช่างหัวมันก่อนเถอะครับ

    "พวกคนจากค่ายเพลงเต็มเลยว่ะ กูเห็นมีคนจากค่ายXYWด้วย"

    ไอ้อู๋ส่องกล้องก่อนจะบอกให้ผมมองตาม วันนี้เพื่อนผมสองคนเองก็มีหน้าทีที่ต้องดูแลครับ ไอ้เฟรมต้องไปประจำการแถวพวกกีฬำ ไอ้อู๋กับต้องตาต้องคอยดูแลแขกพิเศษที่ไม่ได้รับเชิญแต่ก็มีมาทุกปี

    "กระจอกว่ะ"

    มันว่า ก่อนจะกดส่งตั๊กแตนรำข้าวออกไปจัดการไวรัสของอีกฝ่าย

    อย่างที่เคยบอกไปครับ เจ็ดเทพของโรงเรียนผม'โด่งดัง'จนเป็นที่นับหน้าถือตา แต่มีแสงก็ต้องมีเงา มีคนชอบย่อมมีไม่ชอบ 
    เพราะงั้นวันวิชาการของโรงเรียนผม ทุกๆปีจะมีแขกมาขอท้าดวลเสมอนั้นแหละครับ ท้าแข่งเต้นกับเทพลีลาบ้าง ดวลกีต้าร์กับเทพดนตรี แข่งทำอาหารกับเด็กครัว เยอะแยะครับ... แต่จริงๆต่อให้แพ้-ชนะก็ไม่ได้อะไร แค่'ศักดิ์ศรี'ของแหวนที่สวมมันค้ำคอครับ

    "เดี่ยวพวกกูต้องไปแล้วนะ"

    ไอ้อู๋เก็บโน๊คบุ๊คใส่กระเป๋า หลังดูนาฬิกา พวกมันถึงเวลาต้องไปแล้วนะครับ

    "เออ โชคดี เดี่ยวเที่ยงๆเจอกัน"

    ผมว่าก่อนจะโบกมือให้มันสองคน

    ปกติทุกปีเวลามีงานวันวิชาการ ผมกับไอ้สองแสบนี้จะพากันเดินเหล่สาวต่างโรงเรียน(ซึ่งพวกหล่อนก็มาเหล่หนุ่มโรงเรียนผมนั้น
    แหละ)ตกบ่ายผมก็ประกวดเดือนโรงเรียน แต่พอขึ้นม.ห้ามาอะไรๆก็เปลี่ยนไป เพราะส่วนใหญ่แล้วโรงเรียนผมจะให้พวกม.ห้าเป็นผู้คุมกิจกรรม ผู้ดูแลงานต่างๆมากกว่าพี่ม.หก เพื่อที่รุ่นพี่พวกผมจะได้เตรียมสอบเข้ามหาลัยได้อย่างเต็มที่ ส่วนผมเองปีนี้ก็ขี้เกลียดเลยไม่ได้สมัครลงเดือน

    รักเพื่อน เคารพรุ่นพี่ ดูแลรุ่นน้อง เป็นวลีสั้นๆที่ติดหูผมตั้งแต่สมัยเข้ามาม.ต้น พอผ่านมาสักพักผมถึงได้เข้าใจความหมายของมัน

    "อยู่นี้นิเอง"

    เสียงคุ้นเคยดังขึ้นจากทางซ้ายมือ ผมขมวดคิ้วตอบกลับไป

    "แวบออกมาได้ด้วยเหรอ?"

    ผมถามไอ้ป้องกลับไป

    วันนี้ป้องมันเป็นสตาร์ฟของฝ่ายจัดเวทีครับเลยได้อภิสิทธิ์ใส่เสื่อโปโลสีดำของงาน ซึ่งถือว่ามีอำนาจเดินเข้า-ออกพื้นที่ที่ห้าม
    คนนอกเข้าได้ครับ แน่ล่ะว่างานมันเยอะมากๆ ตั้งแต่ขับรถมาส่งเมื่อเช้าก็เพิ่งได้เจอกันเนี้ยแหละครับ

    "คิดถึง เลยแวะมาหา..."

    "อีกรอบ..."

    ไอ้ป้องทำหน้างงๆ ผมดึงมือมันมาวางซ้อนทับตรงที่เท้าแขนของระเบียบก่อนจะอธิบายให้มันฟัง

    "อ้อนเกียร์อีกรอบได้ไหมครับ หื้ม?"

    เพราะอยู่ในสถานที่ที่ไม่จัดว่าสมควรแก่การแสดงออก ผมเลยทำอะไรไม่ได้มากนักนอกจากกุ่มมือมัน ผมไม่ได้กลัวหรอกนะว่าถ้า
    ตัวเองกอดไปแล้วบังเอิญมีใครมาเห็นจะมองผมไม่ดีกลับกันผมกลัวคนอื่นมองมันไม่ดีต่างหาก

    ถ้าเราเลือกแล้วที่จะรักอีกฝ่าย ผมคิดว่าการให้เกียรติ์กันเป็นสิ่งที่สำคัญ ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมยังคงเห็นไอ้ป้องเป็นผู้ชายคนหนึ่งมาโดยตลอด 

    แค่เป็นผู้ชายที่ผมหลงรักก็เท่านั้นเอง...

    "ไม่เอาหรอก อ้อนบ่อยๆเดี่ยวไม่ศักดิ์ศิทธ์ ป้องแวะเอาของออกมาให้"

    มันว่า พร้อมชูเสื่อโปโลไซร์แอลสีดำอีกตัวหนึ่ง ด้านหลังสกรีนคำว่าสตาร์ฟเหมือนๆกับของไอ้ป้อง

    "จะดีเหรอ เอามาให้คนนอกเนี้ย?"

    ปากพูดไปงั้น แต่มื่อก็รับเสื่อมาอยู่ดีแหละครับ

    "คนนอกที่ไหนกัน เกียร์ก็ช่วยป้องเตรียมงานตั้งหลายอย่าง"

    ไอ้ป้องยกยิ้มมุมปาก ผมแกะกระดุมปลดเสื้อเชิตที่ใส่มาออก ก่อนจะใส่โปโลไปแทนที่

    "ขอบคุณนะ ว่าแต่ป้องกินไรยัง?"

    เมื่อเช้านี้เพราะต้องรีบมาเตรียมงานป้องเลยอดข้าวเช้าครับ ผมเองก็เลยเลือกไม่กินจะได้มาส่งอีกฝ่ายทัน จากนั้นก็เดินดูงาน
    เพลินจนมาถึงบนตึกนี้

    "ยังเลย ป้องว่าจะกินตอนเที่ยงที่เดี่ยวเลย"

    "แล้วไม่หิวเหรอ? "

    สุดท้ายผมงัดไม้ตายชูถุงหมูปิ้งเจ้าอร่อยจากหน้าโรงเรียนขึ้นมา สุดท้ายมันกับผมเลยทรุดตัวนั่งลงกับพื้นกินข้าวเหนี่ยวหมูปิ้งกัน
    ตรงระเบียงเนี้ยแหละครับ ลมเย็นดี

    "เออเกียร์"

    "ครับ?"

    "อย่าลืมไปดูคอนเสิร์ทวันนี้นะ"

    ไอ้ป้องพูดพร้อมเคี้ยวหมูปิ้งไปด้วยจนเต็มสองแก้ม แก้มมันน่าหยิกเล่นชะมัด!!!

    "นี้ก็ตั้งใจไปดูเหมือนกัน ป้องเคยเห็นอามัวรึยัง?"

    ไอ้ป้องชะงักไปกึกหนึ่งก่อนจะตอบกลับผม

    "เคยสิ...จริงๆแล้วป้องมีเรื่องจะบอกเกียร์ด้วย"

    "เรื่องอะไรล่ะ?"

    ผมเหยียดขาตรงนั่งหลังชนกับระเบียงรอฟังอีกฝ่ายพูด

    "คือว่าจริงๆแล้ว อามัวนะ..."

    'โครม'

    เสียงของไอ้ป้องขาดหายไปหลังเสียงถังขยะโลหะตรงปลายระเบียงทาวเชื่อมล้มลงไป ผมกับไอ้ป้องหันขวับไปมอง ก่อนจะเห็น
    เด็กสาขาสองคนหนึ่งที่ดูแล้วน่าจะวิ่งทะเล่อไปชนถังขยะล้มลงอยู่

    "นาย...เห้ย เดียร์!!!!"

    ไอ้ป้องที่วิ่งเข้าไปช่วยดึงอีกฝ่ายขึ้นร้องเสียงหลง คนรู้จักสินะ

    "จริงๆเราชื่อหนมปัง... แต่ตอนนี้ขอที่ซ่อนให้เราหน่อย!!!!"

    "ที่ซ่อน?"

    "อื้มอะไรก็ได้ ขอตอนนี้เลย!!!"

    ผมกับไอ้ป้องหันมามองหน้ากัน ก่อนจะชี้ไปที่ถังน้ำแข็งยูนิตที่ใช้ในวันรับน้อง อีกฝ่ายผงกหัวขอบคุณๆ ก่อนจะวิ่งไปเปิดฝาแล้ว
    ปีนลงไปอย่างรวดเร็ว คือ.... ในนั้นมันมืดและไม่มีอากาศนะครับ(ผมเคยโดนไอ้พวกทโมนในห้องจับยัด-*-) แต่ดูเหมือนอีกฝ่าย
    ไม่แคร์เลยวุ้ยแค่หน้าที่นั้นได้ซ่อนตัวก็คงพอใจแล้ว

    ........แล้วซ่อนตัวจากอะไร?

    "นู้นไง NPC ปริศนามาโน้นแล้ว"

    ไอ้ป้องบุ้ยปากตอบสิ่งที่ผมสงสัย

    ผมเห็นเด็กสาขาสองอีกคนหนึ่งวิ่งอ้อมทางเชื่อมตึกจนมาถึงหน้าหอประชุมเล็กที่พวกผมอยู่ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อแสดงออก
    ถึงความพยายามในการติดตามอะไรบางอย่าง ซึ่งก็คงไม่แคล้วคนในถัง

    "โทษนะ...นาย...ป้อง เห็นคนที่สูงประมาณนี้ ใส่แว่นอันโตๆวิ่งมาไหม?"

    อีกฝ่ายพูดพลางหอบด้วยน้ำเสียงร้อนรน สิ่งที่ทำให้ผมสงสัยคือแววตาที่แสดงออกมา มันเป็นแววตาคู่หนึ่งที่ผมรู้จักดี เป็นแววตาที่ผมเคยมีสมัยช่วงตกหลุมรักไอ้ป้อง

    ...แววตาของคนที่รู้ว่าตัวเองตกหลุมรักเขาเข้าแล้ว

    "เห็น/ไม่เห็น"

    ผมหันกลับไปมองหน้าคนข้างๆด้วยความไม่เข้าใจ ผมว่าคนในถังน้ำแข็งคงกำลังก่นด่าไอ้ป้องแหง่มๆ

    "เกียร์ไม่ต้องโกหกหรอก...เราเห็น 'หนมปัง' วิ่งไปทางนู้น"

    พอไอ้ป้องชี้นิ้วไปในทิศทางตรงกันข้ามนั้นแหละผมเพิ่งได้เข้าใจว่ามันพูดว่าเห็นเพราะอะไร

    "อ่า ขอบคุณครับป้อง"

    อีกฝ่ายพูดขอบคุณก่อนจะเตรียมวิ่งไปแต่ไอ้ป้องพูดเนิบๆดักทางไว้ก่อน

    "ถึงจะเป็น'สีเทียน' แต่ถ้ามีเรื่องในสาขาหนึ่ง ผมก็ไม่ไว้หน้าหรอกนะ"

    อีกฝ่ายก้มโค้งรับคำให้พวกผม ก่อนจะยิ้มจางๆให้ก่อนจะวิ่งหายไป

    "ตกลงป้องจะรู้จักNPCลับทุกตัวเลยใช่ไหมครับ?"

    ผมถามหยอกอีกฝ่าย เพราะตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาเวลาพวกนี้ปรากฏที่ไรไม่เห็นมีคนที่ผมรู้จักเลย ไอ้ป้องจิกตาใส่ผม พลางพูดผ่าน
    ริมฝีปากว่า'ไม่ใช่เวลา' โห่ก็ผมไม่อยากให้แฟนเครียดนิครับ

    "ออกมาเถอะหนมปัง เขาไปแล้ว"

    ผมรู้สึกเหมือนๆไอ้ป้องจะเลี่ยงการพูดชื่ออีกฝ่ายตรงๆแหะ

    หนมปังค่อยๆดันฝาถังน้ำแข็งขึ้นก่อนจะมองลอดสายตากวาดไปรอบๆพอเห็นว่าปลอดภัยแล้วถึงค่อยกระโจนออกมา

    "โอ๊ย หนมปังเกือบตายในนั้นแล้วป้อง นึกว่าป้องจะบอกมันซะอีก"

    หนมปังทรุดตัวลงไปนั่งกับเก้าอี้ตัวหนึ่งในห้อง ก่อนจะโบกมือพัดระบายความอบอาวจากการเข้าไปอยู่ข้างใน

    "กินน้ำก่อน คิดว่าสีเที..เขาคงยังไม่วิ่งกลับมาหรอก"

    ไอ้ป้องบอก หนมปังรับน้ำไปก็กระดกลงอย่างไม่เกรงใจ 

    "ขอบใจนะป้อง"

    หนมปังว่าพลางถอนหายใจยาวๆ

    "แล้ววิ่งหนีเขาทำไมอ๊ะหนมปัง"

    พอเห็นอีกฝ่ายจัดการตัวเองเข้าที่เข้าทางแล้วไอ้ป้องก็ถามขึ้น

    “ก็แค่...ไม่อยากเจอ ....”

    “โกรธกันอยู่เหรอ....?”

    “เปล่าหรอก...คือจริงๆ เราไมได้เป็นอะไรกันด้วยซ้ำ”

    ผมเห็นหนมปังเม้มปากตอนพูดท่อนสุดท้าย อะไรบางอย่างในแววตาหมองลงไป

    “คือจริงๆเราก็ไม่ได้สนิทกัน.... แต่ถ้ามีอะไรไม่สบายใจพูดให้ป้องกับเกียร์ฟังก็ได้นะ”

    ไอ้ป้องพูด ก่อนตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆเป็นเชิงให้กำลังใจ

    หนมปังเม้มปากสนิท ก่อนจะค่อยๆเล่าเรื่องให้ผมฟัง จริงๆแล้วผมคิดว่าหนมปังคงไม่ได้อยากเล่านักหรอก แต่สิ่งที่อยู่ข้างในคงอัดแน่นเกินกว่าจะทนเก็บเอาไว้  อีกทั้งป้องเองก็มีลักษณะที่น่าเชื่อถือมากพอว่าจะพูดเรื่องของอีกฝ่ายในทางที่เสียหาย
    ในเมื่อมันเป็นเรื่องของ ‘หนมปัง’ ผมเองก็ขอแค่รับฟังไว้ แต่ไม่ขอเล่าต่อ….







    ..




    .

    .


    .

    .


    .




    .

    .



    “แล้วนี้มึงรอดมาได้ยังไงว่ะ ?”

    ไอ้ป้องถามขึ้นหลังจากหนมปังเล่าฉากที่ระทึกขวัญที่สุดให้ฟัง โปรดอย่าแปลกใจกับสรรพนามที่เปลี่ยนไปครับ เด็กผู้ชายอยู่ใกล้ๆกันแปปๆก็สนิทกันแล้วครับ

    “กูเอาขวดเหล้าที่กลิ้งอยู่แถวพื้นนั้นแหละฟาดหัวมัน”

    หนมปังตอบหน้าตาย ไอ้ป้องหัวเราะร่วนถูกใจ ก่อนทั้งคู่จะยกหมัดขึ้นมากระแทกเบาๆเป็นเชิงถูกใจกันและกัน

    “ดีแล้วมึง เราไม่ใช่นางเอกเว้ย จะได้ยอมให้พระเอกปล้ำแบบนั้น”

    “ใช่ๆ กูไม่ใช่นางเอก”

    ครับ.... ก็รู้ว่าไม่ใช่นางเอกกันทั้งคู่นั้นแหละ แต่มีอย่างที่ไหนเอาขวดเหล้าฟาดพระเอกว่ะ!!!

    ผมแอบสยองหน่อยๆ พอคิดว่าถ้าเกิดตัวเองเมาแล้วปลุกปล้ำไอ้ป้องบ้าง มันจะเอาขวดเหล้าฟาดหัวผมเหมือนที่หนมปังทำกับสี
    เทียนไหม.... 

    “แล้วหลังจากฟาดแล้วทำไงต่อว่ะ ??”

    ไอ้ป้องถามต่อ หนมปังฮึดฮัดจมูกก่อนจะตอบ

    “จริงๆอยากจะใจไม้ไส้ระกำปล่อยมันนอนเลือดอาบหัวตายตรงนั้นแหละ แต่ขี้เกลียดเจ็บกวาดศพ”

    “เลย... ?”

    “ก็เลยช่วยทำแผลให้นั้นแหละ จริงๆหัวมันแตกแค่นิดหน่อยเพราะฟาดไม่เต็มแรงมาก ..ยั้งๆแรงไว้อยู่นะ แค่ต้องการเรียกสติมัน”

    หนมปังตอบกลับมา ไอ้ป้องพยักหน้ารับก่อนจะพูดต่อ

    “แล้วอีกฝ่ายว่าไงมั่งหลังสร่างเมา ?”

    รอบนี้หนมปังทำหน้าเบื่อโลกสุดชีวิต ก่อนจะเขี่ยๆไม้แหลมหมูปิ้งเล่น(พอสนิทกันปุบ แมร่งแย่งของผมแดรกปับ ขอบคุณนะหนม
    ปัง-*-)

    “เหอะ....มันจะพูดว่าไงเหรอ ....? มันหาว่ากูโมเมไง แถมยังถีบกูตกเตียงอีกต่างหาก รู้งี้นะ เมื่อคืนน่าจะฟาดให้ตายไปเลย”

    หนมปังกำหมัดชูขึ้นมานิดๆ ใบหน้าบ่งบอกว่าเอาจริงสุดๆ   ไอ้ป้องพยักหน้าขึ้นลงเห็นด้วย

    ..........นี้ผมกลายเป็นส่วนเกินตอนแม่บ้านเขาคุยกันรึเปล่าครับ... ?

    “แต่เอาจริงๆนะ หนมปัง...ยังชอบสีเทียนใช่ไหม ?”

    ผมถามประเด็นที่ตัวเองสงสัย หลังจากทั้งคู่มีช่องว่างให้ผมเข้าไปแทรกได้สักที่

    หนมปังฟังคำถามผมแล้วก็เงียบไป ถ้าให้ผมเดาก็คงกำลังสับสนกำกึ่งระหว่างความรู้สึกกับสิ่งที่อีกฝ่ายได้กระทำไว้กับตัวเองนั้น
    แหละครับ แต่เรื่องนี้จะโทษหนมปังก็ไม่ได้ เพราะสีเทียนผิดเองที่ทำอะไรแย่ๆลงไปแบบนั้น อีกทั้งถ้าผมเดานิสัยของสีเทียนจาก
    คำพูดของหนมปังนะ ผู้ชายคนนี้อ่อนข้อให้ใครไม่เป็นครับ

    “หนมปังไม่รู้หรอก ว่ายังใช้คำว่า ‘ชอบ’ ได้ไหม ..... หนมปังอาจจะยังอยากอยู่ใกล้ๆเขา อะไรแบบนี้ แต่ทุกๆครั้งที่ได้ขยับเข้าไป
    ใกล้ๆ ความกลัวของหนมปังจะเพิ่มพูนเข้ามาในทางตรงกันข้าม สิ่งที่เขาทำไว้มันหนักหนาจริงๆนะเกียร์ หนมปังอึดอัด หนมปังไม่ชอบท่าที่ของเขา หนมปังไม่ได้อยากให้เขาบอกใครๆหรอกถ้าเกิดว่าเราจะคบกันจริงๆ สิ่งเรานั้นมันไม่จำเป็น.....”

    หนมปังเว้นวรรคช่วงไปก่อนจะพูดต่อ

    “การแสดงออกของสีเทียนเป็นเหมือนเงา..... หนมปังเหมือนจะมองเห็นมันแต่ก็มองไม่ชัด มันเป็นความรู้สึกที่หนมปังขยาดและ
    หวาดกลัวเกินกว่าจะตัดสินได้ว่าควรจะทำยังไงต่อไป ทุกครั้งเวลาที่หนมปังคิดจะเลิกชอบเขา มันเหมือนกับว่าเขาเล่นตลกกับหนมปังด้วยการขยับเข้ามาใกล้ๆอีกหนึ่งก้าว มันเหมือนให้ความหวังกันเลยเนาะ......”

    เสียงของหนมปังเริ่มสั่นมากขึ้นเรื่อยๆ ไอ้ป้องหันมาเอ็ดผมหน่อยๆที่ทำเพื่อนมันเศร้า

    “หนมปังกลัวว่า เรื่องที่เกิดขึ้น มันไม่ใช่ความรัก .... มันอาจจะเป็นทิฐิของเด็กผู้ชายก็ได้ เวลาสูญเสียสิ่งที่คิดว่าตัวเองได้ครอบครองลงไป กลัวว่าจะเสียศักดิ์ศรี เลยพยายามลากให้หนมปังเข้าไปในวังวนของเขา”

    “แต่เขาอาจจะจริงจังกับหนมปังก็ได้นิ ?”

    ผมพูดในแง่ของคนที่รับฟัง และค่อยๆให้คำปรึกษา ไม่อยากชี้ชัดอะไรมากครับ

    “เอาเป็นว่าทำตามที่หนมปังสบายใจเถอะ เรื่องแบบนี้ค่อยๆคิดก็ได้ ให้เวลาเป็นเครื่องตัดสิน”

    ไอ้ป้องที่เงียบไปนานพูดขึ้นมาบ้าง ก็คงจะจริงอย่างที่ป้องมันว่าล่ะครับ เรื่องของหนมปังกับสีเทียนซับซ้อนมากเกินกว่าที่คนนอกสองคนอย่างพวกผมจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว มันเป็นเรื่องที่คนสองคนต้องหันหน้าเข้าคุยกันจริงๆ แต่ดูเหมือนตอนนี้คงเป็นไปได้ยาก เพราะหนมปังเองก็หวาดกลัวกับเรื่องที่โดนกระทำเกินกว่าจะเปิดใจให้สีเทียนได้

    ผมแอบดีใจนิดๆที่ป้องกับผมไม่ซับซ้อนแบบคู่นี้แหะ....

    “อื้ม...หนมปังจะค่อยๆตัดสินใจนะ ขอบใจป้องกับเกียร์มากเลยที่มานั่งฟังอะไรไร้สาระแบบนี้...”

    “โหย แค่นี้จิ๊บๆ เรื่องของเพื่อนนี้ไม่ไร้สาระหรอก ...อีกอย่าง หนมปังกับป้องเจอกันบ่อยๆแต่ไม่ค่อยได้มีโอกาสมานั่งคุยกันแบบนี้เลย”

    “ฮ่าๆ ก็จริงแหะ เจอกันที่ไหร่มีแต่เรื่องยุ่งๆตลอดเลย”

    แล้วหนมปังกับป้องก็นั่งหัวเราะร่วมกัน  โดยมีผมเป็นตัวประกอบแบล็กกราว....(ผมยังเป็นพระเอกของเรื่องนี้อยู่ไหม ...ตอบ ?)

    “แล้วมึงไม่คิดจะฟังกูพูดบ้างเหรอ ?”

    น้ำเสียงเย็นๆดังขึ้นจากหน้าห้องประชุมเล็ก ผมเห็นหนมปังแทบจะโดดไปหลบอยู่หลังป้องด้วยซ้ำ

    “เดี่ยว.... ใจเย็นก่อนสีเทียน”

    ไอ้ป้องยืนกั่นห้ามทัพระหว่างหนมปังกับคนที่เพิ่งมา สีเทียนตอนนี้ทั่วทั้งร่างอาบไปด้วยเหงื่อ ผมเห็นแววตาเหน็ดเหนื่อยของอีกฝ่ายถูกเคลื่อบไว้จางๆด้วยความรู้สึกของคนที่กำลังน้อยใจ

    “ป้อง ....สีเทียนของคุยกับหนมปังเป็นการส่วนตัว...ได้ไหม ?”

    สีเทียนพูดช้าๆชัดๆ เต็มถ้อยคำ ผมเห็นหนมปังเกาะหลังไอ้ป้องแจเหมือนกลัวไอ้ป้องจะหายไปจากตรงนั้น

    “เทียนกลับไปก่อนเถอะ...ป้องทิ้งปังไมได้หรอก เกิดเทียน....”

    สีเทียนปั้นหน้ายาก ก่อนจะหันมาทางผม ....แววตาที่ส่งออกมาสื่อสารกันได้เป็นอย่างดีจนผมเข้าใจ  แววตาที่ผมแสดงออกมาตอนจะขอร้องลุกผู้ชายด้วยกันสักคนหนึ่ง

    “ป้อง ไปกันเถอะ”

    สุดท้ายไม่รู้เป็นเพราะอะไร แต่ผมรู้สึกสงสารสีเทียนจนยอมไปดึงป้องออกมาจากตรงนั้น  ไอ้ป้องทำหน้าเหวอ แต่ก็โดนผมลากออกมาอยู่ดี

    “เดี่ยวก่อน เกียร์...เห้ย!!!”

    “สีเทียนคุณต้องรับปากผม.... ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับหนมปัง ผมจะเป็นคนแรกที่เอาเรื่องคุณ!!!”

    ผมทิ้งท้ายไว้แค่นั้น สีเทียนส่งแววตาขอบคุณมาให้ ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับหนมปังที่ตอนนี้แทบอยากจะกระโดดหน้าต่างหอ
    ประชุมหนีออกไปด้วยซ้ำ

    ผมลากป้องออกเดินออกมาเรื่อยๆ  ไอ้ป้องเองแม้จะขัดขื่นบ้างแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรผมนัก

    “ทำไมเกียร์ทำแบบนี้อ๊ะ...เกิดสีเทียนทำอะไรหนมปังขึ้นมาจะว่ายังไง ?”

    ไอ้ป้องเอ็ดผมชุดใหญ่หลังผมพามันมาหยุดตรงทางเชื่อม ดวงตาคู่เรียวมองผมด้วยความไม่เข้าใจ

    “ป้อง  ในเขตโรงเรียนเรายังไงพวกเราก็ใหญ่ที่สุด เกียร์ว่าดีกว่าให้เขาไปเคลียร์กันที่อื่นนะ มันอาจจะเป็นโอกาสที่ดีก็ได้ในการที่เขาสองคนจะเข้าใจกัน”

    “แต่เกียร์ สีเทียนทำไม่ดีกับหนมปังไว้นะ”

    “เกียร์ก็เคยทำไม่ดีไว้กับป้อง ทำไมตอนนี้เราถึงยังรักกันได้ล่ะครับ ?”

    ถ้าจะคุยกับป้อง ต้องยกตัวอย่างและเหตุผลที่มีน้ำหนักมากเพียงพอให้อีกฝ่ายคิดตามครับ ผมอยู่กับป้องมาจนจับหลักได้แล้ว

    “ก็...ก็เกียร์รักป้องไง....”

    ไอ้ป้องพูดไป หน้าแดงนิดๆไป

    “ก็นั้นไง เหตุผลที่เกียร์กล้าปล่อยหนมปังไว้กับสีเทียน”

    “เกียร์หมายความว่า.... ?”

    ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะอธิบายความรู้สึกของตัวเองให้ฟัง

    “ป้องฟังที่เกียร์พูดนะ เรื่องที่หนมปังเล่ามา เกียร์ไม่ได้บอกว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง แต่ป้องรู้ไหม หลายๆเรื่องถ้าเราไม่ได้เป็นคนในเหตุการณ์นั้นๆ หรือเจอมากับตัวเอง เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าทำไมถึงทำแบบนั้น ทำไมถึงเลือกที่จะทำแบบนี้  สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างสองคนนั้นเกียร์ว่ามันเป็นความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นจากทิฐิของพวกเขา เรื่องแบบนี้เราไม่ควรจะเข้าไปยุ่ง สีเทียนอาจจะมีเหตุผลที่ต้องทำอะไรแบบนั้นลงไปก็ได้นิครับ ที่เกียร์พูดนี้จริงไหม ?”

    ไอ้ป้องค่อยๆคิดตามที่ผมพูด ก่อนจะพยักหน้าขึ้นลงช้าๆ

    “หน้าที่ของเพื่อนคือการยืนอยู่ข้างๆกัน  ไม่ต้องกลัวหรอกว่าหนมปังจะเป็นอะไร  ป้องคิดว่าคนที่มีสติตอนตัวเองกำลังจะถูกปล้ำนี้
    จะเอาตัวรอดไม่ได้จริงๆเหรอ ? เผลอๆเกียร์ว่าคนที่น่าห่วงกลัวว่าจะเป็นอะไรสมควรเป็นสีเทียนมากกว่าซะอีก”

    ผมพยายามพูดตลกให้ไอ้ป้องคลายความกังวล.... แต่จริงๆแล้วผมว่าผมห่วงสีเทียนนะ เพราะถ้าขนาดหนมปังกล้าเอาขวดเหล้าฟาดหัว ผมว่าของในห้องนั้นหนมปังก็คงไม่ลังเลที่จะใช้มันเป็นอาวุธในการป้องกันตัวหรอกครับ

    “ตอนนี้หน้าที่ของป้องอีกอย่างคือการเตรียมสตาร์ฟไม่ใช่เหรอครับ ? นี้มันบ่ายโมงแล้วนะ”

    ผมพูดเตือน ก่อนจะชุนาฬิกาข้อมือในอีกฝ่ายดู ไอ้ป้องเบิกตากว้างก่อนจะพูดขึ้น

    “เออใช่ มัวแต่คุยกับหนมปังจนลืมเวลาเลย!!!!”

    นั้นไงล่ะ ผมเดาผิดซะที่ไหน ป้องนะเวลาทำอะไรเพลินๆแล้วลืมเวลาตลอดครับ 

    “งั้นก็รีบไปกันเถอะครับ เดี่ยวสองคนนั้นเคลียร์เสร็จก็คงลงมาจากตึกเองแหละ”

    แม้จะอยากย้อนกลับไปดูเพื่อน แต่ไอ้ป้องคงถือว่าคำพูดของผมมีน้ำหนักมากเพียงพอ มันเลยเลือกจะจับมือผมแล้ววิ่งไปทางหอ
    ประชุมใหญ่ อีกประมาณครึ่งชั่วโมงการแข่งขันดนตรีต้านยาเสพติดของวงแรกจะเริ่มประกวดแล้ว และต่อจากนั้นอีกสองชั่วโมงอามันจะขึ้นแสดงสด ไอ้ป้องวานผมให้ไปเป็นสตาร์ฟในหอประชุมเหมือนกัน ผมรู้ว่ามันคงไม่อยากทิ้งผมไว้แค่คนเดี่ยวนั้นแหละ

    อีกแค่สองชั่วโมงสินะ....


    แล้วเจอกัน.....


    ....อามัว




    TBC.


    ตอนนี้เกียร์รู้สึกเหมือนเป็นตัวประกอบจริงๆแหะ


    ตอนหน้าได้เจอกับ 'อามัว' แน่นอนครับ สัญญา   :hao6:
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×