ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ____เก็บ....'รัก' ____[Yaoi] [The End] [เปิดจอง!!!!!]

    ลำดับตอนที่ #24 : #22 เราคือครอบครัว กลิ่นธูป และตลอดไป....

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 531
      2
      30 ก.ค. 57



    #22 เราคือครอบครัว กลิ่นธูป และ ตลอดไป....




    "เออ กูรู้แล้วว่ากูชื่อป้อง แต่ตอนนี้วิ่ง!!!!"

    มันสั่งก่อนจะลากผมไป พร้อมๆกันนั้นเองพวกมันก็เริ่มมีสติกลับมา ก่อนจะเริ่มวิ่งไล่กวดผมกับไอ้ป้องอย่างเอาเป็นเอาตาย

    "มึงมาได้ไงว่ะ?"

    รู้นะครับว่าไม่ใช่เวลา แต่มันสงสัยนี้ครับ

    ไอ้ป้องไม่ตอบคำถามของผมแต่เร่งสปีดขึ้นแทนเมื่อพบว่าพวกมันยังไล่กวด ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรากำลังวิ่งไปทางไหนกัน รู้เพียง
    แต่ว่า...

    ผมเชื่อใจมัน

    เชื่อว่ามื้อข้างนี้ที่กำลังพาผมวิ่ง จะต้องพาผมรอดไปได้อย่างปลอดภัย ผมเลยไม่ลังเลที่จะวิ่งไปพร้อมๆกันกับมัน
    ไอ้ป้องบีบมือผมแน่น พาผมวิ่งลัดเลาะไปตามถนน มุ่งเข้าสู่ตัวตลาดสดแถวห้างทีพาร์ค แม้จะสงสัยก็เถอะว่าทำไมถึงพาผมวิ่งมาทางนี้

    "เกียร์ ส่งไฟแช็กมา!! กูรู้ว่ามึงพกติดตัวไว้"

    มันสั่งเสียงเย็น ผมอ่านสายตาของมันออกได้ว่า'กลับบ้านไปค่อยเคลียร์'

    ไอ้ป้องหยุดกึก ก่อนมื่อมันจะหยิบกระป๋องโค๊กกับขวดน้ำอัดลมออกมาจุดไฟ แล้วขว้างไปทางกลุ่มพวกมัน

    'บึ้ม!' 

    ทั้งเสียงและควันสีดำโชยออกมาพร้อมๆกัน ผมเห็นพวกมันรีบทรุดตัวลงหมอบกับพื้น ซื้อเวลาให้ผมกับไอ้ป้องได้วิ่งต่อ

    "นั้นมันอะไรว่ะ? ระเบิด"

    ผมถามเสียงหอบ ไอ้ป้องเองก็ใกล้หมดแรงพอๆกับผมแต่ก็ยังตอบกลับมา

    "ของเล่นของเด็กผู้ชายไง ก็แค่ใส่พวกสารเคมีบางชนิดเช่นสารบางอย่างที่อยู่ในน้ำยาล้างห้องน้ำ จุดไฟ จากนั้นก็บึ่ม"

    ไอ้ป้องพูดไป หอบไป แต่ก็ยังอุตส่าห์ยกมือขึ้นทำท่ากำมือแล้วกางออกให้ผมเห็นภาพ

    ถ้ารอดกลับไปผมคงต้องศึกษาเคมีจริงๆจังๆแล้วแหะ...

    ไอ้ป้องพาผมวิ่งหอบไปเรื้อยๆ จนผมกับมันหมดแรง พากันวิ่งไปหลบอยู่หลังตู้แช่ผัก ผมนั่งลงกับพื้นที่เลอะโคลนโดยไม่กลัวเสื้อหรือกางเกงเลอะ นาทีนี้ชีวิตสำคัญกว่าครับเพราะพวกมันยังคงวิ่งตามมาและวนเวียนอยู่รอบๆ

    "เกียร์ พอหายเหนื่อยแล้ววิ่งไปทางโรงน้ำแข็ง"

    ไอ้ป้องที่ทรุดตัวลงข้างๆผม ชี้นิ้วไปทางโรงน้ำแข็งเก่าตรงด้านหลัง ผมแทบไม่ได้สนใจคำพูดมันด้วยซ้ำเพราะใบหน้าสีน้ำผึ่งของมันซีดจนไม่มีสีเลือด ริมฝีปากแห้งจนเห็นเป็นสีม่วง ผมยกมือข้างหนึ่งของมันขึ้นมาดูเล็บมือก่อนจะรู้สึกเย็นสุดขั่วหัวใจ เพราะมันเริ่มกลายเป็นสีม่วง 

    ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน!!!!

    หลังจากที่ผมรู้ว่ามันเป็นโรคอะไร ผมไม่ได้นิ่งนอนใจขนาดไม่ตรวจดูหรอกนะครับว่าอาการเบื้องต้นมีอะไรบ้าง ผมพยายามหาหนังสือมาอ่านอาการเบื้องต้นกับวิธีรับมือทุกชนิดด้วยซ้ำ อาการของไอ้ป้องตอนนี้ ณ ขณะนี้ถ้าผมเดาไม่ผิดเกิดจากการที่มันตกใจแล้ววิ่งหนักมากเกินไปจนหัวใจรับไม่ไหว

    ผมตัวชาไปทั้งร่าง เพราะอาการของคนข้างๆเริ่มทรุดตัวลงเรื่อยๆ ไอ้ป้องหอบช้าลงแต่ใบหน้ากลับยิ่งซีดขึ้นเรื้อยๆ

    "ไอ้เหรี้ยป้อง มึงอย่าทิ้งกูไปนะเว้ย!!"

    ผมสถบด่ามัน ไม่เคยรู้สึกโกรธมันขนาดนี้มาก่อน ทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองป่วยหนักแท้ๆ แต่ทุกครั้งที่ผมกำลังมีปัญหา ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่มือของมันจะไม่กุมมือของผมไว้ ไอ้ป้องหลับตาลงสนิท ผมเห็นมันหายใจช้าลงเรื่อยๆ ถึงผมจะโง่ แต่เหมือนสมองมันคอยย้ำผมซ้ำไปซ้ำมา ว่าถ้าผมไม่ทำอะไรสักอย่าง...

    ไอ้ป้องได้ไปจากผมตลอดกาลแน่ๆ

    ผมยันตัวขึ้น ก่อนจะแบกร่างของไอ้ป้องขึ้นหลัง ก่อนจะวิ่งไปทางที่มันชี้ เสียงเอะอะโวยวายของพวกมันที่ด้านหลังบ่งบอกให้รู้ว่าพวกมันเห็นผมกับไอ้ป้องแล้ว

    ความรู้สึกของผมตอนนี้ไม่ได้กลัวตัวเองตายอีกแล้ว แต่กลัวคนที่อยู่บนหลังทิ้งผมไป สองขาของผมเหนื่อยล้าจนรู้สึกเหมือนมันจะแตกออกจากกันเป็นส่วนๆแต่ผมหยุดไม่ได้

    เพราะถ้าผมหยุดแล้วไอ้ป้องเป็นอะไรไป

    ผมคงไม่คิดจะให้อภัยตัวเองเลยตลอดชีวิต...

    ไม่นานพวกมันคนใดคนหนึ่งก็วิ่งมาถึงตัวผมกับไอ้ป้อง

    "โอ๊ย!!!!"

    ผมร้องออกมา หลังพวกมันใช้ไม้หน้าสามฟาดเข้าที่ศีรษะอย่างจัง เลือดสีแดงสดไหลออกมาจนแสบตาไปหมด แต่สองข้างของ
    ผมยังคงก้าวต่อไป

    "ไอ้สัสนี้โดนไม้หน้าสามแล้วยังยืนไหวว่ะ"

    พวกมันยังคงพูดออกมา ก่อนไม้หน้าสามอันเดิมจะฟาดซ้ำลงมาที่เก่า ผมหลับตานิ่งรอรับชะตากรรม

    โถ่เว้ย...

    อีกแค่สองก้าวก็จะออกไปถึงทางออกไปเรียกรถแล้วแท้ๆ

    ปกป้อง...

    กูขอโทษ...

    'กร๊อบ...'

    "อ้าก!!!!!!"

    เสียงกระดูกหักดัง ขึ้นมาพร้อมๆกับเสียงคนร้อง แต่นั้นไม่ใช่เสียงของผม

    ผมลืมตาขึ้นมา ก่อนจะเห็นไอ้ชั่วที่ตีหัวผมทรุดลงไปกองกับพื้น ที่หัวไหล่อาบโชกไปด้วยเลือดสีแดงสด

    "เห้ย กระสุนบีบียิงมาจากไหนว่ะ?!?!"

    พวกมันที่เหลือเริ่มลนลานมองหาที่มาของกระสุนปืน แม้จะไม่ถึงตายแต่ขึ้นชื่อว่าปืนใครก็กลัว

    เสียง'กร๊อบ'ดังขึ้นเป็นคำรบที่สอง ก่อนพวกมันอีกคนจะทรุดตัวลงไปกองกับพื้น

    "แมร่งเอ๊ย มาจากไหนก็ช่างมัน กระทืบไอ้สองตัวนี้แล้วไปเหอะ"

    หนึ่งในพวกมันพูดขึ้น อย่าว่าแต่แรงจะหนีเลยครับ ผมทำได้มากสุดก็แค่บังตัวไอ้ป้องเอาไว้ตีนข้างหนึ่งของพวกมันยกขึ้นเตรียมจะถีบลงบนท้องของผม

    'กร๊อบ'

    "อ้าก!!!!!"

    เสียงร้องของพวกมันที่ดังออกมาอีกครั้งเป็นสัญญาณว่าผมยังไม่ตาย ผมรู้สึกได้ถึงแรงหิ้วตัวจากด้านหลังจนยืนขึ้นมาได้

    "เราไม่ได้มาช้าไปใช่ไหม?"

    น้ำเสียงสุภาพราบเรียบดังขึ้นตรงหน้าผม ก่อนตาซ้ายที่ยังไม่โดนเลือดของผมจะมองออกว่าเป็นใคร

    "คุณกาเซียร์!!!!"

    ประธานนักเรียนโรงเรียนเพลินจิตวิทยายืนอยู่ด้านหน้า ซ้ายขวามีผู้ชายอีกสองคนที่ผมคุ้นหน้าคุ้นตาดี

    "พี่สาทร ไอ้ตะวัน"

    เจ้าของชื่อหลังหันมายิ้มให้ผมจางๆ มือสองข้างของมันใส่สนับมือสีดำสนิท

    "ถุ้ย!!!มากันแค่สามคนทำเป็นเก่ง"

    หนึ่งในพวกมันพูดขึ้น พวกมันคงคิดแค่ว่าด้วยจำนวนคนที่มากกว่าย่อมทำให้พวกมันไม่ต้องเกรงกลัวอะไรพวกผม ผมสังเกตเห็นพี่กาเซียร์กระตุกยิ้มก่อนจะส่ายหน้าสังเวช

    "ไปกันเถอะเกียร์"

    พี่กาเซียร์ที่หิ้วไหล่ผมกับไอ้ป้องพูดขึ้น

    "แต่ พวกตะวัน..."

    "นั้นนะ 'เจ้าของแหวนสีแดง'กับ'อดีตเจ้าของแหวนสีแดง'นะเกียร์ ไอ้แค่คน7-8คนนะ..."

    "ไม่ครนามือพี่หรอกครับ"

    พี่สาธรที่มัดผมเป็นทรงจุกน้ำพุพูดขึ้น ผมเห็นพวกมันหน้าเสียที่โดนดูแคลนก่อนหนึ่งในนั้นจะวิ่งเข้าหาสองคนที่อยู่ด้านหน้า พี่กาเซียร์ส่ายหน้าสงสาร ก่อนจะหิ้วปีกผมกับไอ้ป้องเดินจากมา

    "มันก็จริงที่โรงเรียนเราบ้าอำนาจและชอบแข่นขันกันเอง..."

    พี่กาเซียร์พูดขึ้น ผมสาบานได้ว่าขนานแค่เพิ่มเริ่มเดินห่างออกมาเสียงพวกมันก็ร้องกันละงมแล้วครับ

    "แต่ถ้าครอบครัวคนใดคนหนึ่งของเราโดนทำร้าย เราไม่อยู่เฉยๆหรอกนะเกียร์"

    ผมเบิกตากว้างนิดๆที่เห็นเด็กเพลินจิตยืนอยู่ข้างนอกเป็นกลุ่มใหญ่ๆประมาณ30กว่าคนในสภาชุดนร.บ้าง ชุดเล่นกีฬาบ้าง นั้นหมายความว่าทุกคนทิ้งทุกกิจกรรมที่กำลังทำแล้วมาที่นี้ ที่เห็นแล้วคุ้นก็เพื่อนห้องเดี่ยวกันแล้วก็เพื่อนสนิทผมในกลุ่มพอพวกมันเห็นผมกับไอ้ป้องก็กรูกันเข้ามาดีแค่พี่กาเซียร์ยกมือห้ามทัพไว้ก่อน

    "อู๋ขับรถเป็นใช่ไหม? ขับรถพาป้องกับเกียร์ไปโรง'บาล บอกต้องตาให้แฮกสัญญาณไฟจราจรเป็นเขียวให้หมดตอนขาไป"

    พี่กาเซียร์ปล่อยผมออก หลังไอ้อู๋ไอ้เฟรมวิ่งเข้ามาช่วยประครองแทน

    "ที่เหลือแยกย้ายกันเก็บกวาด'ขยะ'เฉพาะที่วิ่งไล่ไอ้เกียร์ นอกนั้นปล่อยไป"

    พี่กาเซียร์พูดเสียงเย็น ก่อนพวกเด็กโรงเรียนผมส่วนหนึ่งจะวิ่งไปทางโรงน้ำแข็ง

    "เสร็จเรื่องแล้วแยกย้ายกันกลับบ้าน กล้องทุกตัวในละแวกนี้ใช้การไม่ได้สองชั่วโมง แยกย้ายได้!!!"

    คำสั่งสุดท้ายดังขึ้น ก่อนพี่กาเซียร์จะยื่นกุญแจรถให้ไอ้อู๋พร้อมชี้ไปทางรถเก๋งคันหนึ่งที่จอดไว้ตรงริมฟุตบาท

    "เนี้ยแหละเด็กพ.ว. We are family"

    ไอ้อู๋พูดยิ้มๆ

    ตั้งแต่อยู่เพลินจิตมา นี้เป็นอีกครั้งที่ผมโครตภูมิใจในสถาบันของตัวเอง

    ผมกับไอ้ป้องถูกหิ้วไปนั่งเบาะหลังก่อนไอ้อู๋ไอ้เฟรมจะวิ่งอ้อมไปนั่งเบาะหน้า มันส่งผ้าเช็ดหน้ามาให้ผมกดเลือดที่ไหลออกมา
    จากหัว

    “พวกมึงมากันได้ยังไงว่ะ ?”

    “แหวนไง”

    “ห๊ะ ?”

    “ไอ้ป้องพอมันรู้มึงมาแถวย่านนี้มันก็รีบขี่มอไซร์กูมาเนี้ยแหละ มันกดสัญญาณขอความช่วยเหลื่อ...ประโยชน์ของแหวนนะ กูรู้สึกว่าที่มาก็จะมีพี่ไทน์มือสไนเปอร์ยิงมาจากดาดฟ้าห้างทีพาร์ค เจ้าของแหวนสีเทา ไอ้ต้องตาช่วยแฮกกล้องวงจรปิดของห้างจนเจอมึง ส่วนไอ้ตะวันมันผ่านมาแถวนี้พอดี นอกนั้นแต่ละคนก็มาเพราะเห็นประธานเรามาเนี้ยแหละ แต่ที่สำคัญที่สุด.... “

    “................”

    “ไอ้ป้องมันเป็นห่วงมึงมากนะเกียร์”

    น้ำตาผมไหลมากขึ้นเรื่อยๆ ไอ้ป้องต้องมาเจ็บตัวเพราะความดื้อรั้นของผม แค่เพียงเพราะคิดว่าคงไม่เป็นอะไร คงจะไหว คงจะผ่านไปได้ ผมไม่รู้จริงๆว่าจะขอโทษมันยังไงดีให้สาสมกับสิ่งทีเกิดขึ้น

    "ไปโรง'บาลเกษรมนะ"

    ไอ้อู๋พูดขึ้นเตรียมสตาร์ทรถ

    "ช่วยพาไปโรง'บาลมอร์ ลินเทอร์ที่"

    ผมพูดทั้งๆที่ยังหลับตาข้างหนึ่งจากความแสบของเลือดที่ไหลจากศีรษะเปื้อนลงกับตา สมองเองก็เริ่มเลื่อนลางจนแทบไม่รู้สึกตัว สิ่งสุดท้ายที่จิตใต้สำนึกของผมสั่งให้ทำ คือกอดไอ้ป้องให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

    ขอร้องล่ะป้อง …

    มันเป็นคำขอร้องที่โคตรขี้ขลาดจากคนอย่างกู

    "อย่าตายนะป้อง"

    น้ำตาผมไหลออกมาสัมผัสกับแก้มเย็นๆของมัน ผมจูบริมฝีปากหยาบกระด้างและเย็นขึ้นเรื้อยๆของไอ้ป้องก่อนสติที่มีทั้งหมดจะ
    ดับวูบลงไป

    ป้อง...

    อย่าทิ้งกูนะ...

    อย่าตายนะป้อง...





                         
    ---------------------------------------------------------------------------------------




    ควันธูปสีเทาลอยโชยมาปะทะเข้ากับจมูก...ผมรู้สึกแสบจมูกไปหมดทุกครั้งที่ได้กลิ่นธูป 

    ครั้งนี้เองก็เหมือนกัน…

    “เตรียมไปส่งพี่ป้องเป็นครั้งสุดท้ายนะเกียร์”

    พ่อผมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงขื่นขม ก่อนจะดันผมขึ้นไปตรงเมรุ รูปไอ้ป้องสีดำสนิทตั้งอยู่บริเวณหน้างาน ผมแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองถูกดึงมาตอนไหน รู้ตัวอีกที่ในมือก็ถือดอกไม้จันเอาไว้แล้ว แม่ลีลาวดีเองก็ขื่นขมเกินกว่าจะมาส่งไอ้ป้องเป็นครั้งสุดท้ายได้

    “ดูหน้าพี่เขาเป็นครั้งสุดท้ายนะเกียร์”

    พ่อผมพูดขึ้นแผ่วเบา หลังคนเปิดโลงศพของไอ้ป้องออกมา

    ใบหน้าจืดๆยังคงนอนหลับตาสนิท ไอ้ป้องตอนนี้อยู่ในชุดนักเรียนครบเครื่องแบบ รอบๆกันนั้นเองก็มีเด็กเพลินจิตทุกคนมาช่วยกัน
    ส่งมันเป็นครั้งสุดท้าย 

    การผ่าตัดเมื่อสามวันก่อนล้มเหลว...

    ไอ้ป้องไปถึงโรงพยาบาลช้าเกินไป

    ผมยื่นนิ่งเงียบสนิทเมื่อถึงตาตัวเองต้องส่งดอกไม้จันเข้าไปในเปลวเพลิง แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองด้วยซ้ำว่าที่คือความจริง

    เพราะผม...มันถึงตาย...

    ไม่คิดเลยว่าต้องจากกันเร็วขนาดนี้.... ทั้งๆที่เพิ่งได้พูดความในใจ เพิ่งได้บอกว่ารักมันมากแค่ไหนด้วยซ้ำ

    หัวใจของผมแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี 

    ป้อง...





    ..



    .

    .




    .


    .


    .


    .



    "ไอ้ป้อง!!!!!!!"

    ผมสะดุ้งตัวลุกขึ้นยืน หัวใจข้างซ้ายเต้นระรัวจนรู้สึกเจ็บไปหมด รอบๆกายมีแต่ความมืดมิด สิ่งเดียวที่สัมผัสได้ถึงความมีชีวิตคือมือของใครอีกคนที่กุมกันเอาไว้ทั้งยามหลับและยามตื่น

    ผมน้ำตาไหลพรากหนักกว่าเก่ายกมือของไอ้ป้องมาแนบไว้กับหัวใจ



    "ไม่ว่าจากเป็นหรือจากตาย แค่คิดว่าขีวิตกูจะไม่มีมึงอยู่ข้างๆกันแล้ว... กูก็ทนไม่ไหวแล้วป้อง"



    ผมเอ่ยอย่างแผ่วเบา ยกมือข้างนั้นของมันขึ้นมาจูบซับเอาไว้

    "เกียร์..."

    เสียงไอ้ป้องพูดขึ้นแผ่วเบา ผมวางมือของมันลงก่อนจะเห็นอีกฝ่ายได้สติขึ้นมาแล้ว

    "ไม่ต้องลุก นอนลงไปเลย"

    ผมเอ็ดมันก่อนจะเช็ดน้ำหูน้ำตาตัวเอง ไอ้ป้องยังคงยิ้มจางๆที่มุมปาก

    "เจ็บไหม"

    มันพูดเสียงแผ่ว ใบหน้าแทบไม่มีสีเลือดด้วยซ้ำ

    "....."

    "เกียร์...ร้องทำไม...เจ็บแผลเหรอ?"

    ผมสายหน้าน้ำตาไหลพรากเป็นเผาเต่า

    "ไม่ต้องพูดอะไรแล้วป้อง..."

    ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว...

    ไม่ต้องพูดแล้วจริงๆ....

    ผมซุกหน้าลงกับอกมัน ไอ้ป้องลูบหลังให้แล้วก็เงียบไป แม้กระทั้งตัวเองป่วยหนักขนาดนี้แต่คนแรกที่มันห่วงตอนลืมตา...

    ..........ก็คือผม

    ผมสะอื้นน้อยลงเรื่อยๆก่อนจะเงยหน้ามองมัน

    "ป้อง ......สัญญากับกูนะ..."

    "....."

    "ห้ามตายก่อนกูเด็ดขาด"

    ในหน้าจืดๆของมันส่งยิ้มให้ก่อนจะตอบตกลง

    "สัญญาชั่วชีวิตเลยครับ"

    ผมช้อนศีรษะมันขึ้น ก่อนจะก้มลงจูบอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบาแต่ก็หนักแน่น น้ำตายังคงไหลนองออกมาเลอะแก้มอีกฝ่าย ผมถอนจูบจากปากแล้วจูบซับทั้งใบหน้าของมัน ไอ้ป้องเองก็ไม่ได้ว่าอะไร มันยังคงส่งยิ้มให้ผม

    สัญญาเลยป้อง...

    กูจะอยู่เคียงข้างมึง...

    ...ตลอดไป


    TBC.


    "คนเราจะรักกันได้ มันไม่ได้มีแค่ช่วงเวลาที่มีความสุข แม้ยามเราทุกขฺ เราก็พร้อมแล้วที่จะแบ่งปันมันกับอีกฝ่าย"

    อันนี้แม่แตกต่างกล่าว

    แม่เป็นแม่ที่น่ารักมากกกกก ไม่เคยมีสักครั้งที่แม้จะพูดว่าเสียใจที่แตกต่างไม่ใช่เด็กผู้ชายทั่วไป ต่างคิดว่าตัวเองโชคดีมากนะที่เกิดมามีแม่ที่เข้าใจเรา

    รักแม่ครับ  :กอด1:

    รักคนอ่านด้วย  :L2:
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×