ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ____เก็บ....'รัก' ____[Yaoi] [The End] [เปิดจอง!!!!!]

    ลำดับตอนที่ #22 : #20 แม่ ความกังวล และ ....ผมรัก.....ครับ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 569
      2
      28 ก.ค. 57



    #20 แม่ ความกังวล และ ความรัก


    คำพูดของไอ้ป้องสร้างความกดดันให้ผมเล็กๆ แต่หลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จมันก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก

    ช่วงบ่าย บรรยากาศของงานวันทานาบาตะยังคงคึกคักอยู่ เนื่องจากหน้าซุ้มงานยังคงมีกิจกรรมให้เล่นสนุกกันและรุ่นน้องหลายๆมาขอถ่ายรูปกับพี่ๆที่แต่งคอสเพลย์ แน่นอนว่าไอ้ป้องเองก็เป็นคนหนึ่งที่โดนดึงไปถ่ายรูปกับน้องๆ อาจจะเพราะไม่เคยเห็นเลขานร.เวอร์ชั่นนี้ล่ะมั่งครับ

    ผมเองก็โดนคนนู้นดึงไปถ่ายคนนี้ดึงไปถ่ายเหมือนกัน จนกระทั้งรู้ตัวอีกที่ก็โดนดึงเข้าไปใกล้ๆไอ้ป้องแล้ว 

    ใบหน้าของมันดูอ่อนล้ากว่าตอนก่อนจะกินข้าวอีก ก็อย่างว่าแหละครับ ชุดก็อตซิล่ามันเด่นเกินไป อีกทั้งร้อนมากๆด้วยเพราข้างในชุดแทบจะไม่ค่อยระบายอากาศ พอเห็นผมมองมามันก็ชูสองนิ้วให้ผมเป็นอันบอกว่ามันยังไหว

    “พี่เกียร์ขยับเข้าไปหาพี่ปกป้องหน่อยได้ไหมครับ ? อยากได้รูปนี้อ๊ะ เหมือนๆเจ้าชายมีสัตว์เลี้...เอ๊ย คู่หูนะครับ”
    ถึงจะยังที่มันพูดไม่จบดี แต่ผมว่าไอ้น้องคนนี้มันคงดูการ์ตูนบ่อยเกินไปถึงขนาดมองเห็นไอ้ป้องเป็นสัตว์เลี้ยงของผม แต่ทำไงได้ล่ะครับ เพราะตกลงกันก่อนแล้วว่าถ้ามีน้องๆมาขอถ่ายรูปต้องยอมให้ถ่าย เพื่อคืนกำไรให้ลูกค้า

    ไอ้ป้องยกยิ้มมุมปากนิดๆ(นิดเดี่ยวจริงๆนะรอบนี้)ก่อนจะเดินเหมือนเพนกวินมาอยู่ด้านหลังผม

    “โอเคครับ แล้วที่นี้พี่เกียร์เอามือไปช้อนคางพี่ปกป้องหน่อยครับ”

    น้องคนที่ถือคอนนอลในมือพูดต่อ

    ที่ถ้าไม่เห็นว่าอีกฝ่ายซื้อการ์ดขอพรไปร้อยใบผมคงโวยลั่นล่ะครับ....(สั่งให้กูทำท่าอะไรของมรึงงงงง  -  -*)

    ผมยอมทำท่าที่น้องมันบอกแต่โดยดี ก่อนจะปลายนิ้วไปที่คางของไอ้ป้อง 

    ใบหน้าของไอ้ป้องดูอ่อนล้ามากเต็มที่ ผมสัมผัสได้ว่าหน้ามันซีดกว่าเดิมมาก จากหน้าสีน้ำผึ่งกลับกลายเป็นน้ำซาวเข้าเพราความเหนื่อยอ่อน

    “ครับ...สวยดี”

    ตากล้องเด็กบอกก่อนจะรัวชัตเตอร์ ใส่ผมกับไอ้ป้อง

    “แล้วที่นี้ต่อไปก็...”

    “พี่ว่าพอก่อนเถอะนะครับ พี่ป้องไม่ไหวแล้ว”

    ถ้าจะถ่ายผมต่อผมไม่ว่าอะไร แต่ไอ้ป้องคงไม่ไหวแล้วจริงๆ

    เจ้าของชื่อพอได้ยินแบบนั้นสีหน้าก็ตื่นขึ้นมา แต่ผมไม่สนใจหรอก 

    ผมเตรียมจะดึงแขนไอ้ป้องเดินหนี

    “ขอตัวก่อนนะครับ ขอพี่ป้องกับพี่ไปพักผ่อน”

    “แต่ผมซื้อการ์ดวันทานาบาตะมาแล้วนะครับ ไหนบอกว่าจะให้ถ่ายรูปไง ?”

    ไอ้เด็กนั้นเถียงกลับ พลางชูการ์ดวันทานาบาตะให้ผมเห็น

    “น้องครับ พี่ว่าในเมมของน้องมันมีภาพพี่กับพี่ป้องไปเยอะแล้วล่ะ น้องเห็นหน้าพี่ป้องไม่ครับเขาจะไม่ไหวแล้วนะ”

    ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามพูดด้วยเหตุผลให้อีกฝ่ายเข้าใจ ด้วยความที่ว่าอีกฝ่ายยังเด็กกว่าและเป็นลูกค้า

    ....ร่วมทั้งมือเล็กๆที่กระตุกชายยูกาตะอยู่ด้านหลังผม

    “ไม่ไหวก็ต้องไหวสิพี่ นี้ผมเป็นลูกค้านะ”

    ความอดทนที่มีอยู่ในใจมลายหายไปในพริบตาเมื่ออีกฝ่ายพูดแบบนั้น ผมเกือบจะปล่อยหมัดลุ้นๆไปกระแทกใบหน้าไอ้เด็กนี้แล้ว ถ้าใครอีกคนไม่ล็อกแขนผมไว้ก่อน

    “ถ้าไม่พอใจก็คืนการ์ดแล้วเอาเงินของน้องคืนไปครับ”

    ใครสักคนพูดขึ้นก่อนจะควักแบงค์ร้อยคืนให้อีกฝ่าย ก่อนไอ้เด็กนั้นจะเบะปากแล้วปาการ์ดลงพื้นเดินหนีออกไปจากภายในงาน
    ผมหันไปมองหน้าคนที่เดินเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยสถานการณ์แต่ทว่านึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ร่วมทั้งเสื้อนักเรียนที่อีกฝ่ายใสแสดงให้เห็นชัดว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ในโรงเรียงเดี่ยวกันกับผม

    แต่เครื่อข่ายเดี่ยวกัน...

    “มู่หลาน”

    เสียงไอ้ป้องดังขึ้นจากด้านหลังของผม ที่แท้ก็มันนี้เองที่ล็อกแขนผมไว้

    “ไงปลื้ม”

    เจ้าของชื่อหันมายิ้มมีรับคำทัก ก่อนจะโบกมือให้ไอ้ป้องอย่างร่าเริง

    “เห้ย ไปไงมาไงเนี้ย แล้วพี่ยา ?”

    ไอ้ป้องก้าวเดินออกไปหาก่อนจะรัวคำถามใส่

    “ก่อนจะถามถึงไอ้บ้านั้น ช่วยแนะนำตัวกูกับเพื่อนมึงหน่อยเถอะปลื้ม”

    มู่หลานว่าก่อนจะยิ้มน้อยๆ สงสัยคงเห็นสีหน้าคำถามของผม

    “แหะๆ กูขอโทษ เออ นี้เกียร์เพื่อนกูเอง แล้วก็เกียร์ นี้มู่หลาน เลขานร.เหมือนกันกับกูแต่อยู่ที่เพลินจิตเขตรังสิต”

    ไอ้ป้องแนะนำตัวก่อนอีกฝ่ายจะยิ้มให้ผม

    ที่แท้ก็โรงเรียนเดี่ยวกันแต่คนละสาขา

    มู่หลานขมวดคิ้วนิดๆเหมือนเอ๊ะใจอะไรบางอย่าง ก่อนจะทำตาโตๆแล้วร้อง’อ้อ’ออกมา

    “เดี่ยวนะปลื้ม... นี้คือเกียร์...คนที่พี่เซียร์บอกว่ามึงชอ...”

    “แล้วพี่ยาไม่มาเหรอ ?”

    ไอ้ป้องขัดก่อนอีกฝ่ายก่อนจะพูดจบประโยค ผมเห็นมู่หลานร้องเชอะออกมาเบาๆก่อนจะพูดต่อ

    “ช่างหัวไอ้บ้านั้นเหอะ”

    “แหม ยังไงๆฝ่ายนั้นก็ประธานนร.นะเว้ย”

    ไอ้ป้องพูดขึ้น ผมเห็นมู่หลานขึ้นตาใส่ก่อนจะพูดต่อ

    “เชอะ คนแบบนั้นนะเหรอ เหอะ... ขี้เก๊ก อวดดี บ้า แล้วก็กวนโอ๊ยที่สุด”

    “เหรอครับ แล้วมีนิสัยอย่างอื่นอีกไหม ?” 

    มู่หลานทำแก้มป้องๆก่อนจะพูดต่อ

    คือ...จริงๆผมกับไอ้ป้องอยากจะสะกิดแล้วล่ะครับ ว่าคนที่พูดประโยคคำถามด้านบน...ไม่ใช่ผมกับไอ้ป้อง

    “มีสิ เพล์บอยที่สุด ชอบฟันสาวๆคอนแวนต์ ทำอะไรนะไม่เคยเห็นหัวคนอื่น คิดแต่เรื่องของตัวเองก่อนตลอดเวลา ทำตัวเป็นเด็ก
    ไม่รู้จักโต ไม่มีความรับผิดชอบ”

    “แย่ขนาดนั้นเลย  ?”

    “ใช่ แย่มากๆ ถ้าอยู่ต่อหน้านะ จะ...เห๊ย!!!!”

    เจ้าของชื่อ‘ยา’ปรากฏตัวออกมาจากด้านหลัง ผมเห็นไอ้ป้องรีบชิ่งมายืนข้างๆผม ในขณะที่มู่หลานมีสีหน้าตกใจเหมือนเห็นผี

    “ว่าไงครับ จะทำอะไรเหรอ ถ้านาย ‘โอสถ’อยู่ต่อหน้านะ....หื้ม ?”

    ผู้ชายตัวสูงๆผิวขาวจั๊วที่บ่งบองถึงสายเลือดให้ตัวพูดขึ้นกับมู่หลาน ผมเห็นอีกฝ่ายมีเข็ดกลัดติดตรงปกคอเหมือนพี่กาเซียร์ประธานนักเรียนของผม 

    “ก็จะ...จะ....”

    “จะอะไรครับ ?”

    “จะอะไรเหล่า ก็ไหนบอกจะไปหาพี่เซียร์ไง ก็ไปสิ”

    มู่หลานแวดใส่รีบหันหน้าจะเดินหนีคนตัวสูงกว่า แต่อีกฝ่ายรีบดักไว้

    “ผมคุยกับกาเซียร์เสร็จแล้วเลยมาเดินเล่นแถวนี้ แล้วก็มาได้ยินเด็กที่ไหนก็ไม่ทราบแอบนินทาผมลับหลัง”

    “อะไร ใครนินทาคุณ ? ถ้าคิดว่าตัวเองดีจริงๆก็อย่าร้อนตัวสิ”

    “ผมไม่เคยร้อนตัวหรอก แต่ชอบทำให้คนอื่นร้อนไปทุกส่วนมากกว่า....”

    ใบหน้าแบบอาตี๋แท้พูดขึ้น ตาหยี้ๆของพี่มันแทบจะกลายเป็นรูปสระอิตอนพูดประโยคนั้น ผมเห็นคนถูกจาบจ้วงด้วยคำพูด
    พยายามเดินหนีแต่ก็โดนล็อกแขนไว้

    “สวัสดีครับน้องปลื้ม”

    “สวัสดีครับพี่โอสถ”

    ไอ้ป้องยกมือไหว้ ส่งผลให้ผมยกมือไหว้ตาม

    “งานทานาบาตะปีนี้ก็ยิ่งใหญ่เหมือนทุกปีเลยนะ”

    อีกฝ่ายว่า ก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆงาน

    “ไม่หรอกครับ แต่แค่ดีหน่อยตรงได้คนคุมงานดี”

    ไอ้ป้องว่า ก่อนจะปรายตามองไปทางไอ้ปั๊กที่วันนี้ตลอดทั้งวันยังแทบไม่ได้นั่งพักเหนื่อยด้วยซ้ำ

    “ดีจังเลยนะ เพลินจิตวิทยาสาขานี้มีคนที่ช่วยงานได้เยอะเลย ไม่เหมือนสาขาพี่ ได้แต่เด็กๆเข้าสภา”

    “พี่ว่าใครเป็นเด็ก ?”

    “ก็ถ้าไม่เด็กคงโดนชิมไปวันละหลายๆรอบแล้วล่ะ”   

    คนถูกว่าตอบกลับพร้อมเลียริมฝีปาก

    “ไอ้ทะลึ่ง!!!”

    มู่หลานว่าก่อนจะสะบัดมือแล้วเดินหนี ไม่ทราบทำไมเหมือนกัน ผมเหมือนๆเห็นภาพน้องเพลงอีกเวอร์ชั่นหนึ่งแทรกขึ้นมาดื้อๆ แต่เวอร์ชั่นนี้ดูซึนกว่ามากๆก็เท่านั้น - -“ 

    “ฮ่าๆ พี่ขอตัวไปดูแลหลานก่อนนะ เดี่ยวเจอกันช่วงงานละครนะปลื้ม”

    “บายบ๊ายครับพี่”

    พี่โอสถยกมือบายๆผมกับไอ้ป้อง แกยิ้มจนตายี้พลางส่ายหน้าน้อยๆก่อนจะวิ่งตามมู่หลานไป

    “ประธานนักเรียนของเพลินจิตวิทยาทุกสาขานี้ต้องกินเด็กเหรอว่ะ ไอ้ป้อง ?”

    ผมถามขึ้นมาด้วยความสงสัย ไอ้ป้องยักไหล่ไม่ตอบ นั้นเป็นคำถามที่แม้แต่เด็กอัจฉริยะแบบไอ้ป้องก็ตอบไม่ได้....




                                                           
    :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:


    “เอาโค๊กเพิ่มไหม ?”

    ผมส่ายหน้าแทนคำตอบให้กับคำถามของไอ้ป้อง ก่อนเอนตัวลงนอนกับเสื่อ ไอ้ป้องทรุดตัวลงกึ่งนั่งกึ่งนอนด้านข้างก่อนจะถามผม

    “แล้วนึกไงชวนกูมาดูดาว”

    “ก็มาดูดาวแล้วมาฟังความจริงจากปากมึงไง”

    ตอนนี้ผมกับมันนอนกันอยู่บนชั้นสามของบ้านครับ เพราะบ้านผมเป็นทรงคล้ายๆบ้านทรงไทย เลยทำให้ระเบียงด้านบนของบ้านกว้างมากกกกกก จนพอให้เราสองคนมานอนดูดาวได้

    ผมเห็นมันขยี้ปากจมูกหน่อยๆ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่ม

    “เรื่องไหนก่อน ?”

    “ทุกเรื่อง ที่คน’สำคัญ’ควรต้องรู้ไว้....”

    ผมพูดเจาะจง ไอ้ป้องเบ้ปากนิดๆแต่ก็ยอมเล่นให้ผมฟังจนได้ 

    “เรื่องแรก...อื้ม...กูชื่อปลื้ม....”

    “แล้วทำไมแม่ลีลาวดีเรียกว่าป้อง ?”

    ผมถามอย่างสงสัย เพราะตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันแม่ลีลาวดีก็เรียกไอ้ป้องว่าป้องไม่ใช่‘ปลื้ม’

    ไอ้ป้องทำสีหน้าอึดอัดลำบากใจ แต่ก็ยอมเล่าโดยดี

    "จริงๆแล้วกูกับแม่ลีลาวดี ไม่ใช่แม่ลูกกันแท้ๆ"

    มันทรุดตัวลงไปนอน ก่อนจะยกแขนปิดตาไว้

    “ถ้ามึงสังเกตดีๆ มึงจะเห็นว่านามสกุลของกูกับของแม่เป็นคนละนามสกุลกัน กูเป็นลูกของแม่นิ เพื่อนสนิทของแม่ลีลาวดี แต่แม่แท้ๆของกูเสียตั้งแต่กูยังเล็กๆ แม่ลีลาวดีเองไม่มีลูกเลยรับกูมาเลี้ยง”

    ผมนิ่งเงียบไม่ได้ขัดอะไรตั้งใจฟังมันเล่าต่อ

    “แม่ลีลาวดี ดีกับกูมากจริงๆ แม่ไม่เคยไม่รักกูเลย นั้นกูก็รู้ ....แต่ถึงยังไงๆก็ก็เกรงใจมากๆที่แม่ลีลาวดีต้องมาพะวงเรื่องของกู”

    “เรื่องโรคประจำตัวมึงอ่ะนะ ?”

    มันยกแขนออกจากตา ก่อนจะมองผมด้วยสีหน้าประหลาดใจ

    “มึงรู้... ?”

    “เออ รู้ แต่เรื่องนั้นไว้ค่อยถามที่หลัง ตอบกูมาก่อนว่า ที่ผ่านมาตลอดเวลาที่มึงไม่ยอมรับเสื้อผ้าใหม่ๆจากแม่ลีลาวดี เป็นเพราะมึงเกรงใจแม่มากๆ เพราะงี้ใช่ไหม ?”

    “อะ..อื้ม จริงๆแม่ควรจะอยู่สุขสบาย ไม่ควรจะมาลำบากเพราะเด็กขี้โรคแบบกู”

    ไอ้ป้องทำท่าอึกอัดไม่สบายใจ

    ‘แล้วปลื้มคิดว่าแม่สบายใจจริงๆเหรอที่หนูทำแบบนี้’

    เสียงแม่ลีลาวดีดังออกมาจากไอโฟนที่ผมเปิดลำโพงเอาไว้ ไอ้ป้องกระเด้งตัวขึ้นก่อนจะอุทานเสียงหลง

    “แม่ !!!!...ไอ้เกียร์นี้มึง...”

    มึนถลึงตาใส่ผม

    ‘หยุดเลยนะ อย่าวีนเกียร์ ถ้าเขาไม่ทำแบบนี้แล้วแม่จะรู้ไหมว่าหนูเป็นอะไร’

    “แม่......”

    ไอ้ป้องครางเสียงอ่อน  ผมยังคงเงียบเพราะไม่อยากเข้าไปแทรกระหว่างที่แม่กับลูกเข้าคุยกัน

    ‘แม่รู้ ‘ทุกเรื่อง’ที่เกิดขึ้นจากปากเกียร์แล้ว’

    ไอ้ป้องเงียบกริบ รับฟังสิ่งที่แม่พูดต่อ

    ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่ามันเข้าใจความหมายของคำว่า ‘ทุกเรื่อง’ที่แม่ลีลาวดีบอกรึเปล่า...

    ‘รู้ไหมปลื้ม ทำไมแม่ถึงเรียกหนูว่าป้อง’

    “ไม่รู้ครับ...”

    ‘เพราะว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา แม่คิดเสมอไง ว่าหนูคือลูกของแม่ แล้วแม่เองก็ไม่อยากให้หนูต้องคอยย้อนไปถึงอดีตที่เจ็บของตัวเองบ่อยๆการชื่อเล่น ที่ผ่านมานี้แม่รักหนูตลอดและไม่เคยมีสักครั้งเลยที่แม่จะเลิกคิดที่จะรักเรา’

    “........”

    ‘มันก็จริงที่เราอาจจะไม่ใช่แม่ลูกกันตามตรงจากสายเลือด แต่แม่อยากจะบอกให้หนูรู้เอาไว้’

    “.........”

    ‘ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม่รักลูกมากๆ ป้องเป็นเด็กที่จริงจังกับชีวิต ฉลาด และใช้ชีวิตเป็น ลูกไม่เคยทำให้แม่ผิดหวัง ไม่เคยสักครั้งที่จะทำให้แม่รู้สึกแย่กับเรา กลับกัน แม่กลับรู้สึกดีที่ได้มีลูกอย่างป้อง’

    แม่ลีลาวดีเว้นวรรคไปก่อนจะพูดต่อ

    ‘ถ้าจะมีเรื่องเดี่ยวที่ทำให้แม่ไม่สบายใจ ก็เรื่องความกังวลของป้องเนี้ยแหละ’

    “...........”

    ‘แม่รู้ แม่เข้าใจ ว่าป้องคิดเสมอว่าตัวเองรบกวนแม่ แต่แม่อยากจะบอกให้รู้ ไม่มีแม่ที่ไหนหรอกที่อยากจะเห็นลูกตัวเองคิดมาก’

    “แม่....”

    ’แม่รักลูกเสมอนะป้อง และแม่จะรักลูกตลอดไปด้วย’

    ไอ้ป้องน้ำตาซึม นั่งมองไอโฟนในมือผม

    “ป้องก็รักแม่ครับ รักมากๆด้วย”

    ไอ้ป้อนสะอื้น ผมเลื่อนมือตัวเองไปบีบมือมันไว้เบาๆ

    ‘จ้าคนดี งั้นต่อไปนี้เราก็ไม่ต้องเกรงใจแม่แล้วเนาะ เพราะเราเป็นแม่ลูกกันนิ’

    “ครับแม่....”

    ไอ้ป้องยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาก่อนจะรับปากหนักแน่น

    ผมได้ยินเสียงลมหายใจเหมือนๆกับแม่ลีลาวดีเองคงโล่งอกที่ได้ยินเสียงมันรับปากแบบนั้น

    ย้อนกลับไปวันอาทิตย์...

    หลังจากผมพาไอ้ป้องไปฝึกบอร์ดที่สวนสาธารณะเสร็จก็กลับมาถึงบ้าน มันขอตัวไปอาบน้ำก่อนจะปล่อยผมไว้คนเดี่ยว เป็นจังหวะเดี่ยวกับที่ท้องของผมประท้วงหน่อยๆว่าหิวแล้วนะ หาข้าวกินได้แล้ว เพราะคิดได้แบบนั้นผมเลยเดินลงไปที่ห้องครัวด้านล่างก่อนจะพบว่า แม่ลีลาวดีทำนามบัตรใบหนึ่งตกไว้ที่หน้าตู้เย็น ผมหยิบมันขึ้นมาก่อนจะอ่านแล้วประหลาดใจ....

    ‘นาง ลีลาวดี โกสนสุข’

    ผมจำได้ว่าไอ้ป้องนามสกุล ‘เกียร์ติยานันท์’ ไม่ใช่ ‘โกสนสุข’

    ความสงสัยหลายๆอย่างประกอบร่วมกันในหัว สมองของผมพยายามมองหาความเป็นไปได้ต่างๆนานา สุดท้ายแล้วก็ไม่แคล้ว
    โทร.ไปถามกับแม่ลีลาวดีโดยตรง

    และคำตอบที่ได้ ก็ทำให้ผมรู้สึกโกรธไอ้ป้อง

    โกรธ...ที่มันรักผมจนไม่กล้าบอก

    ทั้งๆที่เป็นเรื่องสำคัญมากขนาดนี้....

    ‘อ้อป้อง...’

    “ครับ ?”

    เสียงแม่ลีลาวดีเงียบไปแปปหนึ่งก่อนจะพูดต่อ

    ‘อันนี้แม่รู้นะว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของเรา แต่แม่อยากจะบอกป้องเอาไว้....’

    “...................”

    ‘โกหกใครก็โกหกได้ แต่เราโกหกใจตัวเองไม่ได้นะป้อง อีกอย่าง แม่บอกแล้วไง เกียร์เล่าให้แม่ฟัง ‘ทุกเรื่อง’แล้ว’

    ไอ้ป้องหันขวับมาหาผม ผมแกล้งผิวปากเสหน้าไปทางอื่น

    “แต่.......”

    ‘ป้องเป็นคนที่ใช้แต่เหตุผล แม่ว่าเรื่องนี้ ลองใช้’หัวใจ’บ้าง ที่แม่อยากจะพูดก็คือ ไม่ว่าป้องจะเป็นเจ้าบ่าวหรือเจ้าสาว แม่ก็รับได้นะ อิอิ’

    “แม่!!!”

    ไอ้ป้องแว้ดใส่ไอโฟนผมเสียงสูง ก่อนจะตวัดค้อนประหล่ำประเหลือใส่ผม สวนทางกับเสียงหน้าลีลาวดีที่ยังคงหัวเราะร่วน

    ‘โอเคๆ แม่ไม่แกล้งเราแล้ว แต่ยังไงก็แล้วแต่...ไม่ลูกจะเป็นอะไรหรือเป็นแบบนั้น ขอให้ลูกเป็นคนดีก็พอ...แม่รักป้องนะครับ’

    “ครับแม่ ป้องก็รักแม่ครับ”

    ‘จ้าๆ งั้นก่อนนอนอย่าลืมห่มผ้าห่มนะ อุ๊ย ลืมไปเลย เดี่ยวนี้ลูกชายเรามีคนดูแลแล้วนิ จริงไหมครับเกียร์ อิอิ งั้นแม่ไปนอนก่อนนะ รักลูกทั้งสองคนมากๆจ้า’

    แม่ลีลาวดีพูด ก่อนจะวางสายไป

    “ไอ้เกียร์บ้า”

    ไอ้ป้องตะโกนใส่หน้าผม ก่อนจะทุบเข้ามาที่ต้นแขนผมแรงๆที่หนึ่ง เจ็บนะเว้ย!!

    “ก็ถ้าไม่ทำแบบนี้มึงจะยอมเหรอว่ะ”

    “ก็ไม่เห็นต้องบอกทุกเรื่องก็ได้”

    “ก็กูจริงจังจริงใจนิหว่า เพื่อวันหน้าจะได้สู่ขอได้เลย”

    หน้าไอ้ป้องแดงแปร๊ดขึ้นมาเหมือนมีใครเอาสีมาทาไว้

    ตอนแรกที่รู้ว่ามันไม่ใช่ลูกแท้ๆของแม่ลีลาวดีผมก็ตกใจเหมือนกันครับ แต่คิดอีกทางนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะแบบนี้เท่ากับว่าไอ้ป้องไม่ใช่พี่ท้องทางความสัมพันธ์กับผมแน่ๆ

    “เกียร์...”

    ไอ้ป้องครางเสียงอ่อนใจอีกรอบ ใบหน้าก็ฉายความกังวลชัดเจน

    “อย่า หยุดเลยป้อง มึงยังไม่ได้เล่าอีกสองเรื่องที่กูต้องรู้”

    ไอ้ป้องกรอกตาไปมาแบบคนถูกจับฟอร์มได้ คิดจะเล่นงี้แล้วชิ่งอ่ะดิ โด่ววว

    “งั้นเรื่องไหนก่อน ?”

    “เรื่องโรคประจำตัวของมึงก่อน”

    รอบนี้ผมเริ่มซีเรียสขึ้นมาบ้าง เพราะถ้าขึ้นต้นว่าเป็นโรคประจำตัวแล้ว อะไรๆมันก็ไม่น่าพิสมัยสำหรับผมนักหรอก

    “กูเป็น...ภาวะเสี่ยงโรคหัวใจนะ”

    “ยังไง ?”

    ผมเริ่มใจไม่ดีเพราะไอ้ชื่อโรงนี้มันร้ายแรงพอสมควร แม้จะบอกแค่ว่ามันแค่’เสี่ยง’ก็เถอะ

    “คือ...กูก็อธิบายไม่ถูก แบบ.... ยังไงดี ถ้าเป็นภาษาบ้านๆก็คือกูเสี่ยงจะเป็นโรคหัวใจตีบตันหรืออะไรแบบนั้น”

    “แล้วมันเกิดขึ้นได้ยังไง ?”

    “หัวใจกูโตตั้งแต่เกิดนะ มันเลยเป็นภาวะที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด แล้วตอนเด็กๆกูเครียดบ่อย มันก็เองเสี่ยงอยากที่เห็น สุดท้ายกูเลยพยายามกินยาตามที่หมอสั่งแล้วก็ดูแลสุขภาพเท่าที่ทำได้”

    “มันหายได้ใช่ไหม ?”

    ผมบอก ก่อนจะบีบมือมันเบาๆเพื่อนยืนยันกับมัน

    ไม่ว่าจะเกิดอะไร ผมจะอยู่ข้างๆมัน...

    “หมอบอกว่าหายขาดได้ ถ้ากูเข้ารับการผ่าตัดแต่...”

    “แต่อะไร”

    มีที่ผมกุมไว้สั่นเล็กๆน้อย ผมเพิ่มแรงบีบเข้าไปนิดหน่อยจนกระทั้งมันค่อยๆหายสั่น

    “มันมีความเสี่ยง50/50 ว่าง่ายๆ กูอาจจะตายได้ถ้าการผ่าตัดล้มเหลว....”

    ผมบอกแล้วใช่ไหม ผมมันโง่...

    คนแบบผม คิดคำพูดดีๆไม่เป็นหรอก   

    ผมดึงไอ้ป้องมากอดไว้เต็มตัว คิดอยู่อย่างเดี่ยวอยากให้อีกฝ่ายได้ไออุ่นจากผมให้เยอะที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ผมไม่อยากให้มันคิดมาก คิดไปไกลเกินกว่าที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน

    “เกียร์”

    “หื้ม ?”   

    มันเงยหน้าออกจากอกผม ก่อนจะทำสีหน้าประมาณพูดดีหรือไม่พูดดีออกมา

    “คือ...กูก็ซึ่ง แต่กูอึดอัด มึงมันอ้วน...”

    มันจะไม่ซึ่งก็ไอ้ตรงมึงว่ากูอ้วนเนี้ยแหละ -  -*

    ผมขึ้งตาใส่มันก่อนจะยอมปล่อยอีกฝ่ายออกจากอ้อมกอดอยู่ดี แต่ที่ไม่ยอมแน่ๆก็มือข้างหนึ่งเนี้ยแหละ ยังไงๆก็ต้องยอมให้ผมกุม

    “เอาจริงๆนะป้อง นี้มันเรื่องใหญ่ แต่มึงไม่ยอมบอกกูเลย”

    ผมนอนหันหน้าไปพูดกับมัน

    “ก็กูกลัวว่ามึงจะคิดมากไง แค่นี้หน้าก็ย่นพอแรงอยู่แล้ว”

    ไอ้ป้องพูดด้วยแววตาใสซื่อ

    ถ้าไม่ติดว่ามันเป็นคนที่ผมรัก ผมคงจะชกมันไปแล้วล่ะ เดี่ยวก็ว่ากูอ้วน เดี่ยวก็ว่ากูเหี่ยว ชักยั้วแล้วนะเว้ย...

    “งั้นเรื่องนี้ผ่าน เป็นอันว่ากูเข้าใจ และจะดูแลมึงดีๆ...มึงต้องหาย เชื่อกู...” 

    “อื้ม...กูจะหาย เชื่อกูดิ่”

    มือที่กุมกันไว้ ต่างบีบเบาๆให้กันและกัน ผมเห็นไอ้ป้องยิ้มออกมาได้ในที่สุด เป็นรอยยิ้มที่ไม่ว่าจะได้เห็นกี่ครั้งผมก็มีความสุขตาม

    “งั้นเรื่องสุดท้าย....”

    “อะไรว่ะ...”

    ผมสบตามันตรงๆ เลือนตัวเข้าไปใกล้ๆจนหน้าเราไม่ไกลกันแม้แต่น้อย

    “มึงคิดยังไงกับกูว่ะ....”

    “กูก็คิดว่ามึงเป็นเพื่...”

    “อย่าโกหกกูนะ...ขอร้อง”

    ผมวิงวอนอีกฝ่ายผ่านทางสายตา

    ก็ขนาดลงทุนโทร.ไปบอกแม่เรื่องนี้ คิดไหมครับว่าผมต้องใช้ความกล้าซะขนาดไหน

    ถ้าครั้งนี้มันยังปากแข็งอยู่ ผมเองก็อาจจะยอมแพ้ตัวเองแล้วก็ได้...

    ไอ้ป้องยกมือข้างหนึ่งมาลูบตา ดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย

    “กู...รู้สึกดีกับมึงมั่ง...”

    “แล้วรู้สึกดีที่ว่านะ...’รัก’รึเปล่า ?”

    ผมอาจจะปล่อยเลยไปมากมายในหลายๆเรื่อง แต่สุดท้ายแล้วพอถึงเวลา ผมเองก็คงต้องการสถานะที่มันชัดเจนในความรู้สึกสักที่ จริงอยู่ว่าความคลุมเครือมันคลาสสิก แต่พอถึงเวลาจริงๆความชัดเจนที่ปรากฏออกมาก็ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดี

    “ถ้ากูพูดออกไป มึงจะคิดยังไงว่ะเกียร์ ....”

    “ก็ถ้าไม่พูด กูจะรู้ไหมว่ามึงคิดอะไร...”




    “กูรักมึง”




    คำพูดสั้นๆแผ่วเบา แต่ก็ทำให้คนฟังแบบผมหัวใจพองโตจนแอบๆกลัวว่าจะเป็นโรคหัวใจแบบมันไหมมีความสุข
    สุขที่ได้รับ’รัก’กลับคืนมา....

    “มึงโกรธกูรึเปล่าว่ะเกียร์ ที่กู...เออ..คิดกับมึงแบบนี้”

    สีหน้าไอ้ป้องฉายแววกังวลชัดเจน อย่าบอกนะว่าที่ผ่านมาทั้งหมด...

    “ที่มึงไม่กล้าบอกกู เพราะว่ากลัวกูโกรธ....”

    “นั้นก็ใช่”

    “แล้วทำไมกูถึงต้องโกรธด้วย...ในเมื่อก็คิดไม่ต่างกันทั้งคู่”

    “มึงหมายความว่า.....”

    ขอยืนยันอีกครั้ง ว่าผมมันโง่ จะให้ผมพูดซ้ำๆซากๆมันก็ไม่ใช่แนว

    ใบหน้าของผมแนบชิดสนิทกับมัน ริมฝีปากชนกัน ผมคงไออุ่นจากริมฝีปากไว้เนินนาน และพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่สอดลิ้นเข้าไป เพราะไม่งั้น ‘ครั้งแรก’ ของผมกับมัน อาจจะเป็นสถานทีที่ไม่ดีเอาซะเลย....

    “แบบนี้พอจะยืนยันคำตอบได้ชัดเจนไหม ?”

    ผมถอนจูบออกมา นานแล้วนะครับเนี้ยที่แค่จูบเฉยๆแต่ไม่ได้สอดลิ้นเข้าไป

    ใบหน้าสีน้ำผึ่งของไอ้ป้องยากยิ่งที่จะให้ผมจำแนกออกมาว่ามันคิดอะไร ชอบ ไม่ชอบ เขิน อาย ดีใจ หรือโกรธ เอาเป็นว่ามันคงชอบแล้วกันมั่งครับ(เมื่อเช้านี้ผมแปรงฟันแล้วนะเว้ย คงไม่มีกลิ่นปากหรอก -  -)

    “กูดีใจที่ได้ตอบแบบนี้ แต่กูก็กลัว....”

    “กลัวอะไรว่ะ ?....”

    คนถูกถามละสายตาไปจากผม ก่อนจะอธิบายให้ฟัง

    “สังคม หน้าที่การงาน หลายๆอย่าง ร่วมทั้งอนาคตของมึง”

    “แต่กูว่านั้นไม่ใช่ปัญหา”

    “มัน นั้นมันเป็นปัญหาข้อแรกสุดเลยเกียร์ แถมเป็นปัญหาที่กูแอบกังวลมาตั้งนานแล้วด้วย...”

    ผมทำหน้ามุ้ยไม่เข้าใจที่มันพูด

    “มึงกับกู...ต่างเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ เอาจริงๆนะเกียร์ ที่กูไม่เคยบอกอะไรมึงไปเลยก็เพราะแบบนี้ มึงเป็นคนที่หล่อและดูดีมากๆนะในสายตากู ร่วมทั้งมึงเป็นผู้ชายเต็มตัวด้วย กูไม่คิดว่าคนแบบมึงจะลดตัวลงมาชอบกู”

    “ทำไมมึงคิดว่ากูต้องลดตัวลงไปด้วยว่ะ....”

    “ก็กูเป็นแค่ดิน”

    มันตอบกลับ


    “แต่สำหรับกู มึงเป็นมากกว่าเดือนหรือดาว กูรักมึงเพราะมึงเป็นมึง ไม่ได้รักที่ตรงนี้”


    ผมชี้ไปที่ใบหน้าของมัน

    “ตรงนี้”

    ผมเลือนมือไปจับช่วงลำตัวกับสะโพกของมัน ไล่ขึ้นไปที่แผ่นหลัง

    “หรือว่าตรงนี้”

    ผมเลือนมือไปที่หน้าอกแบนๆของอีกฝ่าย 

    “รัก ที่มึงเป็นมึง คำตอบของกูมีแค่นั้นจริงๆ....”

    ผม..พูดสิ่งที่ผมอยากจะพูดหมดแล้ว

    ที่เหลือจากนี้ ขึ้นอยู่กับอีกฝ่ายล้วนๆแล้วครับ..

    “นั้นเป็นเรื่องที่ทำให้กูดีใจ แต่ความดีใจมันก็แฝงมาถึงหลายๆอย่างที่ทำให้กูกังวล”

    “มึงกังวลอะไรนักหนา ไหนลองพูดออกมาให้หมดดิ่”

    ผมชักจะเหลืออดกับไอ้มนุษย์คนนี้แล้ว ปากก็บอกว่ารักผม แต่สุดท้ายก็ยังมีข้อกังวลนู้นี้นั้นมากมาย

    “เกียร์ไม่เคยอยากมีครอบครัวเหรอ ?..”

    ผมชะงักไปกับคำถามนั้น แต่ก็ตอบไป

    “ก็เคย”

    “อื้ม...แล้วถ้ามึงอยากมีลูก กูก็มีให้มึงไม่ได้”

    “แล้วยังไง”

    มันชะงักไป ก่อนจะพูดต่อ

    “มันไม่ยังไง แต่แบบนี้แล้วเกียร์จะมีครอบครัวได้ยังไง ?”

    “ไม่หรอก....”

    “.........”

    “กูอาจจะมีลูกกับมึงไม่ได้ แต่กูเชื่อว่าถ้าเป็นคำว่า ‘ครอบครัว’ กูสร้างมันขึ้นมาได้”

    “............”

    สุดท้ายผมก็ต้องเปิดปาก เปิดใจไอ้บ้านี้อยู่ดี...เฮ้ออออออ

    “รู้ไหมป้อง ก่อนจะรักมึงกูกังวลเรื่องอะไรมากที่สุด ?”

    “อะไร ?”

    ผมอมยิ้มก่อนจะตอบมัน

    “กูกังวลว่าทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมา กูจะทำยังไงดีให้มึงหัวเราะ”

    “.......”

    “จะทำยังไงดีให้มึงหันมามองแค่กู รักกูบ้าง แม้แต่เศษเสี้ยวส่วนหนึ่งของหัวใจก็ยังดี”

    “.......”

    “ถามว่าพวกเรื่องอนาคตกูคิดบ้างไหม จริงๆกูก็คิดนะ กูคิดว่าอยากอยู่กับมึงไปนานๆ คิดว่าอยากจะดูแลมึง คิดว่าถ้ามึงอยู่กับกูมึงจะมีความสุขไหม ? ทุกๆวันที่เราอยู่ด้วยกัน มึงจะหัวเราะได้รึเปล่า”

    “.......”

    “สายตากับคำคน มันเป็นสิ่งที่กูเดินผ่านมาแล้วปกป้อง เขาอยากมองเราก็ให้มองไปดิ รู้ไหมเวลาถูกมองเกียร์คิดว่ายังไง เกียร์คิดว่าเขามองก็คือมอง ไม่มาก ไม่น้อยไปกว่านั้น”

    “เกียร์.....”

    “เชื่อใจผมได้ไหมครับ ? เชื่อใจได้ไหมว่าไอ้คนๆนี้จะไม่ทำให้ปกป้องเสียใจ และไอ้ลูกผู้ชายที่ชื่อเกียร์คนนี้รักปกป้องสุดหัวใจจริงๆ”

    น้ำตามันไหลอาบสองแก้ม ผมเอื้อมมือไปเช็ดอย่างเบาแรงที่สุด

    ความกังวลของอีกฝ่าย ผมสลายไม่ได้หรอกนะครับ เพราะมันคือความจริงที่ผมกับป้องต้องเจอ สังคมที่เราอยู่มันเป็นแบบนั้นจริงๆ ไอ้คำว่าเปิดกว้างกว่าแต่ก่อน มันก็หมายถึงมันเปิดกว้างออกมาด้วยการมีคนแสดงตัวมากขึ้น ไม่ได้หมายความว่าคนทั้งสังคมจะยอมรับผมกับไอ้ป้อง มันยังมีคนอีกหลายๆคนที่ไม่ยอมรับแล้วคิดว่าความรักแบบนี้มันเป็นเรื่องที่ผิดปกติ

    สำหรับผม ความรักไม่มีคำว่าผิด

    เพราะรัก....คือรัก....

    แต่ผมว่าผมเลือกได้ ที่จะเติมให้อีกฝ่ายเจอแต่ความสุข...

    ......และปล่อยเรื่องที่ไม่ดีให้ออกไปจากใจ



    “ผมรักปกป้องครับ”




    ผมเลื่อนใบหน้าจูบลงอย่างแผ่วเบาที่ริมฝีปาก หวังเพียงให้ไออุ่นแทรกซึมเข้าไปหาอีกฝ่ายให้ได้มากที่สุด ปลายลิ้นของผมสอดเข้าไปอย่างไม่รีบร้อน และค่อยๆชิมความหวานจากโพรงปากนั้น จนกระทั้งรู้สึกว่าอีกฝ่ายถึงขีดจำกัดแล้วจริงๆผมถึงได้ยอมถอนลิ้นออกมา ไอ้ป้องสูดเอาอากาศหายใจเข้าปอดลึกๆก่อนจะพูดเสียงพร่าออกมา....



    “ปกป้องก็รักก้องเกียร์ติ์ครับ....”



    TBC.
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×