ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ____เก็บ....'รัก' ____[Yaoi] [The End] [เปิดจอง!!!!!]

    ลำดับตอนที่ #18 : #18 พร้อมแล้วบอก หนังสือ และยูกาตะ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 577
      2
      22 ก.ค. 57



    #18 พร้อมแล้วบอก หนังสือ และยูกาตะ



    ผมกับไอ้ป้องและน้องร่าเริงนั่งเล่นกันต่อไปเรื่อยๆสักพัก หัวข้อที่คุยกันเน้นไปทางเรื่องเบาๆ เท่าที่สมองโง่ๆของผมจะพอนึกออก ดีแต่ว่าไอ้ป้องยังให้ความร่วมมือด้วยดีด้วยการช่วยผมตบมุขเป็นระยะๆ ร่าเริงเองก็ดูจะแจ่มใสขึ้นมาก


    “กินข้าวกันไหม ?”

    คนไม่ชอบพูดที่วันนี้ต้องมาพูดมากถามขึ้น ผมกับน้องร่าเริงพยักหน้าตอบตกลงเพราะเริ่มๆหิวเหมือนๆกัน

    “กินอะไรกันล่ะ เดี่ยวกูไปซื้อให้”

    มันว่าพร้อมอาสา

    “เดี่ยวกูไปดีกว่าไหม ?”

    “มึงรู้ทางในโรงพยาบาลเหรอ ?”

    มันถามกลับ ก็จริงอย่างที่มันพูด ผมไม่รู้เส้นทางจริงๆนั้นแหละ

    สุดท้ายไอ้ป้องก็ตกลงว่าจะซื้อข้าวผัดให้ผม ของน้องร่าเริงเป็นโจ๊ก ส่วนมันก็คงหาปลากิน(มึงทำตัวเหมือนบ้านติดทะเลมากกก กินปลาทุกวัน - -) แม้จะขาดกำลังเสริมอย่างไอ้ป้องไปชั่วคราวแต่ผมก็ไม่ได้หวั่นอันใด ยังคงพยายามชวนร่าเริงคุยเป็นระยะๆพระอาทิตย์ตัวน้อยๆที่นั่งข้างๆผมยังคงสนุกสนานและยังอยู่ในโหมดปกติ

    “พี่เกียร์”

    “หื้ม ?”

    หลังจากผมเป็นฝ่ายชวนน้องคุยมาพักใหญ่ๆ ในที่สุดก็มีประโยคชวนคุยกลับมาสักที่

    “ชอบพี่ปลื้มใช่ไหม ?”


    ผมชะงักไปกับคำถาม น้องร่าเริงหยุดไกวชิงช้าหันมามองหน้าผมตรงๆ

    “ไม่รู้สิ ถ้าการอยากอยู่ข้างๆไอ้ป้องในทุกๆวันแปลว่าชอบ พี่ก็ตอบได้แค่ว่าใช่”

    “..............”

    “พี่ไม่รู้หรอกนะว่ามันเรียกว่าอะไร แค่พี่มีความสุขที่ขะอยู่ตรงนี้ในทุกๆวันก็พอแล้ว”

    “ฟังพี่พูดแบบนี้ผมก็หมดห่วง”

    “หมดห่วง ?”

    ผมทำหน้าสงสัย ร่าเริงยิ้มน้อยๆก่อนจะพูดต่อ

    “หมดห่วงว่าพี่ปลื้มจะเจอคนไม่ดีนะสิ”

    “ฮ่าๆ เหรอ แล้วทำไมคิดว่าพี่เป็นคนดีล่ะครับ ?”

    ผมถามต่อด้วยความอยากรู้

    “ก็พี่รักพี่ปลื้มมากเลยนิครับ ร่าเริงมองออกหรอกนะจะบอกให้”

    “จริงเหรอ ? เราดูผิดรึเปล่า”

    ผมแกล้งหยอก น้องมันทำปากยื่นนิดๆก่อนจะพูดต่อ

    “แล้วไอ้การที่แทบจะมองพี่ปลื้มอยู่ทุกเวลานี้ มันแปลว่าอะไรครับ ?”

    คนเด็กกว่าย้อนอย่างรู้ทัน ผมหัวเราะแห้งๆรับคำตอกย้ำนั้น

    โอเค ยอมรับว่าผมแน่ใจกับตัวเองแล้วล่ะว่าเผลอหลงเสน่ห์ไอ้จืดป้องเข้าเต็มๆลำ สองเดือนครึ่งที่ผ่านมาจะว่านานก็นานจะว่าช้าก็ช้า นับตั้งแต่วันที่มันเข้ามา ชีวิตของผมก็ปั่นป่วน จากคนหนึ่งคนที่ไม่สนิท ไม่เคยพูดกัน แต่ต้องมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในฐานะพี่น้อง ค่อยๆเริ่มเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน ตัวผมคนเดิมค่อยๆเปลี่ยนไปที่ละนิดๆในรูปแบบที่ตัวเองก็พึ่งพอใจ

    แต่ไม่ใช่แค่ผมเองหรอกนะครับที่เปลี่ยน

    ป้องเองก็เปลี่ยนไปมากเหมือนกัน จากคนๆหนึ่งที่โลกส่วนตัวสูง กลับเริ่มเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันกับคนอื่น เรียนรู้ที่จะค่อยๆปรับตัวเข้าหา เริ่มจะพูดถึงสิ่งที่อยู่ข้างในใจ ไม่ได้นิ่งเงียบแล้วเก็บเอาไว้อมพะนำอยู่คนเดี่ยว

    ผมกับมันเหมือนสีสองสีที่ต่างกัน รวมกันแล้วผสมออกมาเป็นสีใหม่ แต่สีใหม่ทั้งสองสีนี้ก็ไม่ได้เหมือนกัน และผมเชื่อว่ามันคงไม่มีวันเหมือนกัน เพราะต่อให้สีสองสีผสมกันอย่างไร สีแต่ละสีก็ย่อมต้องมีรูปลักษณ์ของตัวเองอยู่เสมอๆ

    เหมือนๆกับผมที่ค่อยๆเข้าใจอีกฝ่าย ค่อยๆเรียนรู้ว่าที่ไอ้ป้องมันทำไป เพราะแบบนี้นะ มันมีเหตุผลของมันนะ เหมือนกับไอ้ป้องค่อยๆซึมซับตัวผม ว่าผมทำแบบนี้นะ เพราะผมเป็นคนแบบนี้นะ

    ผมกับมัน ไม่มีใครอยากเปลี่ยนใคร 

    เรายังเป็นตัวของเราเอง เรายังคงใช้ชีวิตในรูปแบบของเรา

    แค่เราเรียนรู้ที่จะปรับตัวให้เข้ากับอีกคนหนึ่ง...

    ความรู้สึก ...ที่ผสมด้วยเหตุผล

    จากเดิมที่คนๆหนึ่ง ใช้ชีวิตอยู่กับความรู้สึก ทำตามสิ่งที่ใจต้องการ

    กับอีกคนหนึ่งที่อยู่กับเหตุผล ใช้ชีวิตอยู่บนหลักการ ทำตามสิ่งที่ตรรกะของตนคิดว่าดีสุด

    คนสองคนนั้น ไม่ได้เปลี่ยนตัวเองเพื่ออีกฝ่าย แต่ปรับตัวเอง ‘เพื่อเรา’

    เหมือนๆผมกับมัน

    ผมรักมัน ในสิ่งที่มันเป็น

    มันเองก็(น่าจะ)รักผมในแบบที่ผมเป็น

    ตอนที่ไอ้ป้องมันพูดว่า แค่ได้ตื่นมาก็มีความสุขแล้วนะ...ถ้าผมจะคิดเข้าข้างตัวเองว่า ‘เป็นเพราะได้เจอผมทุกเช้า’

    ผมคงไม่หลงตัวเองไปใช่ไหม ? .....

    “แปลว่ารักไง....”

    ผมตอบร่าเริงกลับไปแบบนั้น บีบมือเล็กๆนั้นหน่อยๆเพื่อเพิ่มความมั่นใจ ร่าเริงเองก็บีบตอบกลับมา

    “สัญญากับผมนะพี่เกียร์ ห้ามทำให้พี่ปลื้มร้องไห้เด็ดขาด”

    ร่าเริงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนจะยกนิ้วก้อยขึ้นมาให้ผมเกี่ยว

    “ครับร่าเริง พี่สัญญาด้วยชีวิตเลย จะดูแลจนกว่าพี่จะไม่สามารถทำได้”

    ผมยกมือขึ้นมาเกี้ยว ก่อนจะเขย่าเบาๆ

    อยากจะดูแลไปตลอดๆ 

    แต่คำว่าตลอดไปมันไม่มีจริง ผมทำได้เพียงสัญญาว่าจะทำให้ทุกๆวันของไอ้ป้องมันมีความสุข

    ถ้ามันจะยอมรับ.... ให้ผมเป็นคนๆนั้นของมันล่ะนะ....

    อย่าลืมนะว่า ไอ้ตอนนี้นะ....ที่พูดมาทั้งหมด ยังคงเป็นผมที่ ‘รู้สึก’.....

    ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายจะยอมรับผมมั้ย.....

    “อีกเรื่องหนึ่งนะพี่เกียร์”

    “ครับ ?”

    ร่าเริงเม้มปากแน่นสนิท ก่อนริมฝีปากเล็กๆนั้นจะพูดต่อ

    “ช่วยกล่อมพี่ปลื้มให้ผ่าตั....”

    “ข้าวเที่ยงมาแล้วจ้า”

    เสียงไอ้ป้องดังขัด ก่อนผมกับน้องร่าเริงจะดึงนิ้วก้อยออกจากกัน

    “พี่ซื้อโจ๊กป้าพรมาฝากเราด้วยนะร่าเริง”

    มันบอก ก่อนจะยกกล่องข้าวเล็กๆขึ้นมา ผมเห็นว่าไอ้นั้นมีโจ๊กหมูร้อนๆน่าทานอยู่ประมาณครึ่งกล่อง ร่าเริงยิ้มรับก่อนจะยื่นมือรับกล่องข้าวเที่ยงมาถือเอาไว้

    ไอ้ป้องนั่งลงข้างๆผมก่อนจะยื่นกล่องข้าวผัดกระเพราโป๊ะด้วยไข่ดาวส่งมาให้ ผมพยักหน้าขอบใจมันเบาๆก่อนจะลงมือทาน

    “เดี่ยวกินเสร็จแล้วต้องขึ้นไปพักผ่อนนะครับ โอเคนะร่าเริง”

    “ครับ”

    อาจจะเพราะได้สัมผัสในสิ่งที่ตัวเองต้องการเต็มที่แล้ว หรือไม่ก็เพราะจิตใจของร่าเริงสงบขึ้นมา น้องเลยไม่ได้มีที่ท่าว่าจะไม่อยากขึ้นไปพักผ่อน ยอมรับอย่างหนึ่งอาหารของที่นี้อร่อยมากครับ ไม่เหมือนอาหารของคนป่วยเลยแหะ ยังกะฝีมือภัทตาคารระดับห้าดาว ขนาดแค่ข้าวกล่องของผมยังอร่อยมากขนาดนี้ ร่าเริงตักโจ๊กเข้าปากที่ละคำๆจนกระทั้งโจ๊กหมดกล่อง เจ้าตัวเอามือลูบพุงน้อยๆที่ยื่นออกมานิดหน่อย ก่อนจะเอนหลังพิงช้าช้าเอาไว้

    “วันนี้ดีจังเลย...ขอบคุณนะครับ พี่ปลื้ม พี่เกียร์”

    น้ำเสียงสดใสบอกผมกับไอ้ป้องแบบนั้น

    “ไว้พี่จะมาเยี่ยมบ่อยๆนะ”

    “พี่ด้วย เดี่ยวตามไอ้ป้องมาเยี่ยม”

    ร่าเริงพยักหน้าดีใจ ก่อนผมกับไอ้ป้องจะรีบกินข้าวกันจนอิ่ม ก่อนจะกุมมือน้อยๆแล้วเดินกลับเข้าตัวอาคารไป พอเดินผ่านไปหนึ่งน้องร่าเริงก็ขอคุยกับพี่แพรก่อน

    “เป็นไงบ้างครับร่าเริง สนุกไหม ? ”

    หล่อนถาม ร่าเริงกอดพี่แพรก่อนจะตอบ

    “ขอบคุณนะครับพี่แพร ผมสนุกมากเลย ข้างนอกอากาศดีแหะ”

    นางพยาบาลสาวยิ้มรับด้วยความดีใจ ก่อนจะลูบหัวน้องมันด้วยความเอ็นดู ผมยังนึกอยากให้น้องโตไวๆเลย ผมว่าต้องหล่อมากแน่ๆ

    “ขอบคุณปลื้มกับเกียร์มากนะ อุตส่าห์ช่วยดูแลน้อง”

    “ผมเองก็ต้องขอโทษพี่แพรด้วยนะครับ ที่ทำอะไรตามอำเภอใจ”

    ผมยกมือไหว้พี่แพรจากใจจริง เพราะหากน้องร่าเริงเกิดเป็นอะไรขึ้นมา คนที่ซวยคนแรกก็คือพี่แพร หล่อนยิ้มให้อย่างไม่ถือสาก่อนจะขอตัวไปรับคนไข้คนต่อไป

    “โอเค งั้นขึ้นห้องนอนกันนะ”

    ไอ้ป้องบอกกับน้องร่าเริง ก่อนผมและมันจะจับมือน้องเดินกันไปคนละข้าง หลังพาน้องร่าเริงขึ้นมาถึงห้องเจ้าหัวก็อ่อนเพลียจนขอตัวไปนอน ผมเองก็รู้สึกดีที่น้องมันได้พักผ่อนหลังเคลื่อนไหวร่างกายมากพอสมควร อย่างน้อยๆในวันนี้เท้าของร่าเริงก็ยังได้สัมผัสกับผืนดินตามความต้องการของเจ้าตัว

    “ไปไหนต่ออ๊ะ เพิ่งบ่ายโมงเอง”

    ผมถาม หลังมองหน้าปัดนาฬิกาบนข้อมือ

    “ยังมีที่ๆอยากให้พาไปไง”

    มันพูดเป็นปริศนา ก่อนจะพาผมเดินลงไปจากห้องนอนของร่าเริง

    เราสองคนเดินผ่านห้องพักคนไข้หลายๆห้อง บางห้องเองก็มีคนไข้อยู่กันเป็นครอบครัว บางห้องก็มองเห็นคนไข้นั่งอยู่คนเดี่ยว ผมเองก็เดินเงียบๆกับมัน ชอบอยู่กับไอ้ป้องก็ตรงนี้แหละครับ ไม่ต้องมีเรื่องคุยแต่ก็ไม่รู้สึกอึดอัด แค่เดินไปข้างๆกันก็พอ

    “อันนี้ของเรานะปลื้ม พี่จัดการให้เรียบร้อยแล้ว”

    พี่แพรพูด ก่อนส่งถุงหูหิ้วของโรงพยาบาลมาให้

    อยากถามนะครับว่าคืออะไร แต่สายตาของไอ้ป้องมันบอกกับผมว่าอย่าเพิ่งถาม ผมถอนหายใจช้าๆระบายความรู้สึกด้านใน คือไม่ได้โกรธมันครับ แค่ไม่ชอบใจมากกว่าที่มันไม่ยอมบอกอะไรผมเลย คนแบบไอ้ป้องนะ ถ้าอยากจะบอกมันจะพูดออกมาเอง แต่ถ้าไม่คิดจะบอกต่อให้บีบคอมันก็ไม่พูดออกมาหรอกครับ เพราะงั้นผมเลยเลือกที่จะอยู่เงียบๆมันคงจะดีกว่า

    “ถ้าพร้อมแล้วบอกกูนะ”

    ผมพูดกับมันแบบนั้นหลังเราออกมาจากโรงพยาบาล 

    ไอ้ป้องที่อยู่ด้านหลังพยักหน้ารับช้าๆ มันส่งสายตาขอบคุณมาให้ผมผ่านกระจกมองข้าง

    “ถ้าพร้อมแล้วกูจะบอกมึงนะ....”

    ผมเองก็พยักหน้ารับคำพูดของมัน ก่อนจะบิดเครื่องยนต์ไปตามเป้าหมายที่มันต้องการ ในใจผมเองก็หวังเพียงแต่ว่าวันที่มันเลือกจะบอกผม ...

    คงไม่สายเกินไป ...




    :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:



    “ก็รู้นะว่ามึงกับกูต่างกัน แต่โลกอีกครึ่งใบของมึงนี้มัน....”

    ผมพูด ก่อนจะหันไปมองรอบๆ

    “อะไร กูว่าที่นี้ดีกว่าเกมเซ็นเตอร์ของมึงอีก”

    “เหรอ ? แล้วงั้นเมื่อวานใครตีตุ่นไปยี่สิบกว่ารอบ”

    ผมย้อนมันนิดๆ เจ้าตัวทำปากยื่นๆไม่สนใจผมก่อนจะมองหาหนังสือเล่มต่อไป

    ครับ ... ตอนนี้ผมอยู่ในโลกครึ่งใบของไอ้ป้อง ...

    โลกแห่งหนังสือ

    ผมอยากจะบ้าตาย มองไปทางไหนก็เจอแต่สันหนังสือหนาๆ แถมยังเรียงกันเป็นชั้นๆชวนให้ผมรู้สึกเวียนหัวไม่น้อย แต่กลับรู้สึกว่าไอ้คนข้างๆมองเห็นที่นี้เป็นสวรรค์ ผมแทบจะเมากลิ่นหนังสือใหม่ด้วยซ้ำไป

    “เคยอ่านหนังสือไหม ?”

    มันถาม

    “ก็เคย หนังสือเรียนไง”

    “แล้วพวกหนังสืออ่านเล่นฆ่าเวลาอ๊ะ”

    รอบนี้ผมส่ายหัวแทนคำตอบ

    “ชอบอะไรเป็นพิเศษไหม ? แบบพวกแนวหนังสืออะไรงี้”

    ผมยืนนิ่งคิดหน่อยๆ จะว่าสิ่งที่ผมสนใจเกี่ยวกับหนังสือนะเหรอ....

    “กูไม่แน่ใจว่าจะมีไหมว่ะ ?”

    “หนังสืออะไรล่ะ ลองบอกมาดิเดียวกูช่วยหา”

    ผมเลียริมฝีปากน้อยๆ ก่อนจะตอบมันไป

    “หนังสือสอนจีบผู้ชาย”

    ไอ้ปกป้องกระพริบตาปริบๆมองผม คืออย่าว่าแต่มันเลยครับ ผมเองก็งงตัวเองเหมือนกันที่ถามอะไรแบบนี้ออกไป เพียงแต่คนถามทำหน้านึกก่อนจะตอบออกมา

    “ไม่เคยเห็นนะ แล้วมีแนวไหนอีกไหมที่อยากจะอ่าน”

    หลังผมเห็นกาบินผ่านหน้าไปสองสามตัว ไอ้ป้องก็เปลี่ยนเรื่อง 

    นี้มึงไม่รู้จริงๆเหรอ ว่ากูแค่เล่นมุก....

    “ไม่รู้อ๊ะ ปกติกูไม่เคยจับหนังสือด้วยซ้ำ”

    โอเคครับ อย่าเพิ่งไปปล่อยมุกหรือคิดจะรุกอีกฝ่ายเลย กับไอ้คนหน้าตายแบบไอ้ป้อง ต้องค่อยๆตะล่อมแล้วจับกิน...เอ๊ย...จับใจ ไอ้ป้องยืนทำหน้าคิด ก่อนมันจะเดินอ้อมชั้นหนังสือไปอีกโซนหนึ่งแล้วหาหนังสือเล่มหนึ่งมาให้ผม

    “ลองอ่านดู”

    ผมรับหนังสือจากมัน ก่อนจะพลิกหน้าปกไปมา

    “หนังสืออ่านเล่นเพลินๆ กูชอบนะ”

    “ไม่เอาหรอก ยังไงกูก็คงไม่ชอบ”

    “เอาน่า เล่มนี้กูชอบจริงๆ ลองอ่านดูก่อนก็ได้”

    ผมรู้สึกๆเหมือนๆมันจะคล้ายๆย้ำประโยคตอนท้ายนิดๆ แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเปิดอ่านตามคำบอกของมัน หนังสือเล่มนี้เป็นนิยายแนวแฟนตาซีครับ ประมาณเป็นเกมออนไลน์ของโลกอนาคตที่คนเราสามารถเข้าไปเล่นในเกมได้จริงๆ ผมรู้สึกสนใจมันขึ้นมานิดๆ แต่ก็คิดว่าคงไม่ได้ชอบอะไรมากมาย...

    แล้วบทนำของเรื่องก็ดำเนินต่อไปผ่านสายตาของผม


    ..


    .


    .

    “ซื้อแบบบ็อกเซต 1200บาทถ้วนนะค่ะ”


    ผมพยักหน้าตอบตกลงก่อนจะยื่นแบงก์พันและแบงก์ห้าร้อยให้พี่พนักงานขาย ข้างๆผมมีไอ้ป้องที่ถือหนังสือของพี่นักเขียนที่ชื่อนิ้วกลมไว้กับตัวสามเล่ม มันมองผมด้วยสายตาเหมือนจะหัวเราะนิดๆ

    อะไรของมึง...ก็หนังสือมันสนุกจริงๆนี้หว่า....

    ที่แรกผมคิดเหมือนกันว่าตัวเองน่าจะเบื่อมันตั้งแต่บทนำ เพราะทั้งเล่มมีแต่ตัวหนังสือยั่วเยี้ยเต็มไปหมด แต่เพราะอะไรก็ไม่ทราบ ยิ่งอ่านรู้สึกว่าตัวเองยิ่งชอบ สุดท้ายไปๆมาๆก็เหมายกภาคไปตามระเบียบ

    นับว่าไอ้ป้องประสบความสำเร็จในการชักจูงผมให้อ่านหนังสือ....

    “สนุกใช่ไหมล่ะ ?”

    “อื้ม สนุกจริงๆนั้นแหละ”

    ผมไม่ปฏิเสธคำพูดของมันหรอกครับ 

    ตอนนี้ประมาณบ่ายสี่โมงกว่าๆแล้ว แสงอาทิตย์เริ่มลดหลั่นลงไปตามเวลาของวัน ไอ้ป้องกับผมเดินจากร้านหนังสือขึ้นไปชั้นสามของห้าง ก่อนมันจะพาผมไปถึงร้านขายเสื้อผ้าแห่งหนึ่ง ถ้ามันไม่บอกให้พามา ผมก็ลืมไปแล้วล่ะครับว่าพรุ่งนี้มันวันที่เจ็ดเดือนเจ็ด...

    วันทานาบาตะ

    สำหรับที่มาของวันนี้ ว่ากันว่าชาวญี่ปุ่นเชื่อกันว่าวันทานาบาตะนั้นเป็นวันแห่งความสุขสมหวังของดาวสองดวง คือดาวเจ้าหญิงทอผ้า โอริฮิเมะ หรือดาวเวก้า เป็นดาวที่สดใสที่สุดในกลุ่มดาวพิณ กับดาวคนเลี้ยงวัว ฮิโกโบชิ หรือดาวอัลแตร์ เป็นดาวที่สดใสที่สุดในกลุ่มดาวนกอินทรี ที่ผลัดพรากจากกัน โดยมีแม่น้ำแห่งสวรรค์ (อามาโนคาวา) ซึ่งก็คือทางช้างเผือกกั้นไว้ ทั้งสองจะมีโอกาสได้ข้ามแม่น้ำแห่งสวรรค์ มาพบกันแค่ปีละครั้งในวันที่ 7 เดือน 7 นี้ ชาวญี่ปุ่นจึงถือกำเนิดวันทานาบาตะขึ้นมา ในวันทานาบาตะนี้ ชาวญี่ปุ่นจะตัดกิ่งไผ่มาปักไว้ และเขียนคำอธิษฐานห้อยกับกิ่งไผ่ เพราะเชื่อว่า คำอธิษฐานจะสมหวังเหมือนกับที่เจ้าหญิงทอผ้า โอริฮิเมะ และคนเลี้ยงวัว ฮิโกโบชิ สมหวังได้มาพบกันครับ

    และเป็นธรรมเนียมของโรงเรียนผมในทุกๆปีที่จะต้องจัดวันทานาบาตะขึ้นมา อย่างที่กล่าวไปว่าพวกผมเป็นแม่งานของปีนี้ครับ เลยต้องแต่งคอสเพลย์กัน โดยปีนี้ผมเลือกจะใส่ชุดยูกาตะครับ และแน่นอนว่าผมเองแทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าต้องแต่งคอสฯ

    “ขอดูชุดยูกาตะของผู้ชายหน่อยครับ”

    ไอ้ป้องบอกกับพี่คนขาย หล่อนยิ้มให้ก่อนจะเดินหายเข้าไปข้างใน

    “ป้อง...”

    “หื้ม ?”

    “แล้วมึงล่ะ ไม่ซื้อเหรอ ?”

    ผมถาม เพราะมันบอกว่าขอดูแค่ชุดเดียว

    ไอ้ป้องส่ายหน้าก่อนจะอธิบาย

    “กูมีชุดที่จะคอสฯแล้ว”

    “มึงจะคอสฯเป็นอะไรว่ะ ?”

    รอบนี้มันยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะกระซิบที่ข้างๆหูผม

    “กูจะคอสฯเป็น.....”

    ลมหายใจอุ่นๆรดลงตรงใบหูผม ขนแขนลุกขึ้นจากสัมผัสนั้น...

    “เป็น...”

    ผมพูดออกมา ไม่กล้าหันหน้าไปทางมัน เพราะลมหายใจนั้นยังคงรดลงมาอยู่

    “ไม่บอก”

    ไอ้ป้องพูดหน้าตาย ก่อนจะแลบลิ้นออกมาให้ผม

    “ไอ้เหรี้ยยยยย โกงกูไง มึงรู้แล้วอ๊ะว่ากูจะใส่ชุดยูกาตะ”

    ผมโวยลั่นทันทีที่สัมผัสร้อนๆนั้นหายไป 

    “พรุ่งนี้เดี่ยวก็เห็นน่า”

    “ไม่เอา ก็อยากรู้อ๊ะ”

    “ไม่เอา ไม่บอก”

    “ไอ้ป้อง นิสัยงี้ไง”

    ผมแกล้งกระฟัดกระเฟียดโกรธมัน ไอ้ป้องกระพริบตาปริบๆก่อนจะพูดต่อ

    “สามพยางค์”

    “ห๊ะ... ?”

    “กูบอกว่า ที่กูจะคอสฯพรุ่งนี้นะ เป็นคำหนึ่งคำสามพยางค์”

    มันใบ้ให้ผมแค่นั้น 

    ผมยังไม่ทันจะแย้งเลยว่ามันกว้างไป พอดีกับพี่พนักงานในร้านเดินเข้ามาหาพวกผมซะก่อน

    “สำหรับชุดยูกาตะของร้านเรา จะมีสามสีให้เลือกนะค่ะ มีสีดำ สีฟ้าอ่อน แล้วก็สีขาวค่ะ ไม่ทราบว่าต้องการแบบไหนค่ะ ?”

    พี่พนักงานพูด ก่อนจะชูชุดยูกาตะให้ผมกับไอ้ป้องดู

    ชุดยูกาตะที่นำมาเป็นแบบที่ตัดเสร็จแล้วสำเสร็จรูปครับ มีลายลูกไม้เรียบๆประดับนิดหน่อยทุกตัว แต่ผมว่าก็โอเคนะ เป็นผู้ชายคงไม่ต้องการลายอะไรมากมายหรอกครับ

    “ไม่มีสีเขียวอ่อนเหรอครับ ?”

    ผมชอบสีเขียวอ่อน  มันสบายตาดี และเป็นสีที่สื่อได้ถึงธรรมชาติที่ผมชอบ แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อพี่คนขายส่ายหน้า

    “งั้นขอลองสีฟ้าครับหน่อยครับ”

    “ไม่ลองสีดำเหรอเกียร์ กูว่าผิดมึงขาวๆน่าจะตัดดำได้นะ”

    ไอ้ป้องเสนอความคิดเห็น

    “สีฟ้า....”

    “........”

    “ก็มึงชอบสีฟ้า”

    ผมขยายความให้คนเข้าใจยากฟัง

    ไม่ใช่สีขาวหรือสีดำมันไม่ดี แต่ที่ผมเลือกสีฟ้า....

    เพราะมันชอบ

    ไอ้ปกป้องมันชอบสีฟ้า สีน้ำเงินครับ สีโทนอ่อนคล้ายๆของผม มันเคยบอกว่าสีฟ้าเป็นสีของท้องนภา เห็นแล้วมันสบายใจของมันดี

    พี่พนักงานมองผมด้วยรอยยิ้มนิดๆ ก่อนจะส่งยูกาตะสีฟ้าอ่อนให้

    “เดี่ยวไปลองที่ห้องลองเสื่อได้เลยนะค่ะ”

    หล่อนบอก พร้อมผายมือไปที่ห้องลองเสื้อของร้าน

    “งั้นเปปหนึ่งนะ”

    ผมว่า ก่อนจะถือชุดยุกาตะสีฟ้าอ่อนตัวนั้นเข้าห้องลองเสื่อไป

    ผมถอดเสื่อยืดสีเทาที่ใส่มาออก ก่อนจะสวมยูกาตะลงไป ดีหน่อยตรงที่ยูกาตะตัวนี้นั้นเป็นแบบสวมใส่ง่าย และเบามากครับ อาจจะเพราะทอมาจากผ้าเนื้อดีล่ะมั่ง พอผูกเสร็จ ผมลองหมุนตัวรอบๆกระจกดู จากไอ้ที่ดูด้วยสายตามันก็โอเคนะครับ เพราะผมหล่อใส่ชุดไหนก็หล่อ(มั่นหน้ามากมึง : ปกป้อง) สีฟ้าอ่อนตัวนี้แม้จะไม่ได้ตัดกับสีผิวขาวๆของผม แต่ก็ให้ความรู้สึกที่กลมกลืน ไม่ขัดแย้งจนเกินไป

    ผมทดลองหมุนอีกรอบจนรู้สึกว่าโอเคแล้วเลยเปิดประตูออกไป

    “ป้อง....”

    ไอ้ป้องมันยื่นหลังหันให้ผมอยู่ครับ สงสัยคงมองวิวด้านนอกฆ่าเวลา

    “........”

    “เป็นไง หล่อไหม ?”

    “........”

    เงียบ...

    เงียบสนิท....

    ไอ้ป้องยื่นมองผมเงียบๆแต่ไมได้พูดอะไร

    “ป้อง!!!”

    ผมเดินเข้าไปใกล้ๆก่อนจะเรียกมันเสียงดัง

    “ห๊ะๆ ว่าไง ?”

    มันสะดุ้งทำหน้าตื่นๆ อะไรของมันว่ะ ?

    “จะว่าไงบ้าอะไรว่ะ กูถามมึงว่า หล่อไหม โอเครึยัง รึว่ากูใส่แล้วมันน่าเกลียด ?”

    ผมว่า ก่อนจะหมุนตัวให้มันดู

    “หล่อดี”

    คำชมสั้นๆออกมาจากปากมัน ป่วยการที่จะขอประโยคชมยาวๆจากปากหนักๆของมัน

    “ตกลงเอาตัวนี้ล่ะครับ”

    ผมยื่นชุดยูกาตะทดลองให้พี่พนักงาน ก่อนหล่อนจะยิ้มร่าให้เมื่อรู้ว่าขายเสื้อได้แล้ว

    “เกียร์....”

    “อะไร”

    “ขอบใจนะที่เลือกสีฟ้า มึงใส่แล้วหล่อดี....”

    รอยยิ้มจางๆแสดงออกมา มันเกาแก้มน้อยๆ ใบหน้าสีน้ำผึ่งเริ่มปรากฏเป็นสีเลือดฟาดๆ

    “เออ กูหล่ออ๊ะดีแล้ว”

    ผมส่งรอยยิ้มคืนกลับไปให้ ก่อนจะเดินไปยื่นข้างๆมัน

    “มึงหิวข้าวยัง ?”

    มันถามระหว่างรอพี่พนักงานเอาเสื่อมาให้

    “ยังไม่หิว”

    “งั้นมึงช่วยอะไรหน่อยได้ไหม”

    “...............”

    “คือ ... ถ้ายังไม่กลับบ้าน  ใกล้ๆห้างนี้มีสวนสาธารณะ....ช่วยสอนกูเล่นบอร์ดต่อหน่อยดิ ....”

    เกือบลืมไปอีกนั้นแหละว่าพกบอร์ดมาด้วย...ที่แท้มันก็อยากเล่นอีกนั้นเอง ตอนแรกผมคิดว่ามันจะไม่กล้าจับแล้วด้วยซ้ำเพราะล้มบ่อยมาก

    พอได้ฟังแบบนี้แล้วผมรู้สึกดีใจนะครับ เหมือนๆกับป้องเองก็คงจะชอบโลกของผมบ้างแล้ว

    “สอนให้ได้ แต่ไม่สอนให้ฟรีๆนะ...”

    ผมตอบกลับไป ไอ้ป้องทำหน้างงๆ แต่ก็รอฟังผมพูดต่อ

    “มึงเองก็ช่วยแนะนำหนังสือดีให้กูด้วยแล้วกัน”

    และผมเอง....ก็ชอบโลกของมัน...

    “เออ”

    เมื่อวานนี้...คือ'โลกของผม'

    วันนี้....คือ'โลกของมัน'

    ผมคาดหวังและปรารถนาเหลือเกิน อยากให้พรุ่งนี้และวันถัดๆไป....

    เป็น'โลกของเรา'.....



    TBC.


    เก๊าขอโทษที่มาสายไปหนึ่งวัน เมื่อวานนี้ประสบอุบัติเหตุในการลงนิยายนิดหน่อยจ้า

    ยังเดามาได้เรื่อยๆว่าหนูป้องจะคอสฯเป็นอะไรรรรรรรร  :hao7:

    ปล. วันที่เจ็ดเดือนเจ็ด หรือวันจันทร์ที่จะถึงนี้ เป็นวันทานาบาตะของแท้จริงๆนะครับ แตกต่างเองก็ต้องแต่งคอสเพลย์เหมือนกัน Y Y 

    ขอบคุณทุกคนที่อยู่ข้างๆน้อง แตกต่างเองก็พูดได้แต่เพียงว่า ในชีวิตของคนเรานั้นมันไม่มีอะไรที่ตลอดไปจริงๆนะครับ วันนี้สุข พรุ่งนี้เศร้า มันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต

    เพราะงั้นตอนที่ยังสุข เราก็ต้องสุขให้เต็มที่

    เพื่อตอนที่ทุกข์มาถึง เราจะได้ไม่ฟูมฟายเกินไป

    ย้ำอีกครั้งว่าเรื่องนี้ครบรส ....  :z2:

    ขอบคุณทุกคนครับ   :bye2:
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×