ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ____เก็บ....'รัก' ____[Yaoi] [The End] [เปิดจอง!!!!!]

    ลำดับตอนที่ #17 : #17 โรงพยาบาล น้องร่าเริง และมุมมองของป้อง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 583
      3
      20 ก.ค. 57

    #17 โรงพยาบาล น้องร่าเริง และ มุมมองของป้อง


    วันนี้พ่อกับแม่ออกไปหาลูกค้านอกบ้านแต่เช้า ผมกับไอ้ป้องตื่นมาช่วยกันจัดการงานบ้านให้เรียบร้อย เอาผ้าเข้าเครื่องซักผ้า(ที่ใช้ได้แล้ว) เก็บกวาดเช็ดถูจนบ้านสะอาดนั้นแหละครับ ผมกับไอ้ป้องเลือกเมนูทานง่ายๆอย่างไข่ดาวคนละสองฟอง(จริงๆคือผมกินไปสาม)อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ได้เวลาพร้อมไปแล้วครับ

    ไอ้ป้องกำชับผมนิดหน่อยว่าให้แต่งชุดสีโทนอ่อนๆ ผมก็ไม่เข้าใจนักหรอกนะครับ เอาเป็นว่าผมตามใจมันล่ะกัน

    แน่นอนว่าวันนี้พาหนะของผมกับมันยังเป็นCbr คู่ใจเช่นเคย ไอ้ป้องแค่เตือนผมว่าให้ชะลอความเร็วจากปกติก็เท่านั้นแล้วก็ให้พกบัตรประชาชนไปด้วย ก่อนออกจากบ้าน ตอนแรกมึงหยุดยืนมองสเกตบอร์ดที่จอดไว้หน้าบ้าน สุดท้ายก็หิ้วติดมือมาด้วยทั้งของผมของมัน ผมไม่ถามเหตุผลหรอกนะว่ามันเอาไปทำไม เอาเป็นว่ามันอยากบอกก็คงบอกเองนั้นแหละครับ

    "เกียร์"

    "หื้ม?"

    "รู้จักโรงพยาบาล'มอร์ ลินเทอร์'ไหม?"

    ผมทวนชื่อโรงพยาบาลนั้นในใจเงียบๆ ก่อนจะส่ายหน้าเพราะไม่แม้แต่จะคุ้นด้วยซ้ำ

    "ฮะฮะ ไม่รู้จักก็ไม่แปลกหรอก มันเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางเล็กๆนะ"

    "แล้วมันเกี่ยวกับไรอ๊ะ?"

    ผมถามไปด้วย สวมหมวกกันน็อคไปด้วย ไอ้ป้องเงียบไปแปบก่อนจะตอบ

    "โรคหัวใจนะ"

    "งั้นบอกทางด้วยแล้วกัน กลัวพามึงหลง"

    ผมพูดกลั่วหัวเราะ รอยยิ์มจางๆถูกส่งผ่านกระจกมองข้างมาให้ ก่อนไอ้ป้องจะขึ้นซ้อนท้ายผมออกไป




    ผมขับรถตามคำบัญชาของไอ้คุณชายปกป้องไปจนถึงบริเวณโรงพยาบาลเล็กๆแห่งหนึ่ง

    โอเค...มันไม่ใช่โรงพยาบาลเฉพาะทาง ‘เล็กๆ’แบบที่ไอ้ป้องบอกเหรอ

    อาคารสีครีมอ่อนสูงหกชั้นตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าผม ไอ้ป้องบอกกับผมว่าไอ้ขับรถเข้าไปจอดช้าๆตรงบริเวณด้านหน้าโรงพยาบาล ก่อนผมกับมันจะเดินเข้าไปในตัวอาหาร

    “สวัสดีครับพี่แพร”

    มันว่า ก่อนจะยกมือไหว้นางพยาบาลสาว(สวยโคตรๆ)คนหนึ่ง หล่อนรับไหว้ก่อนจะถามต่อ

    “หวัดดีจ้าน้องปลื้ม มากับเพื่อนเหรอวันนี้ ?”

    “ครับพี่ นี้เกียร์เพื่อนผม”

    ผมยกมือไหว้อย่างงงๆกับนางพยาบาลคนนั้น เพราะเมื่อกี้หล่อนเรียกไอ้ป้องว่า ‘น้องปลื้ม’

    “โอเค เดี่ยวเกียร์พี่ขอบัตรประชาชนเราไว้หน่อยนะ เราต้องติดบัตรของทางโรงพยาบาลจ้า”

    ไม่ค่อยเข้าใจหรอกนะครับ ว่าทำไมมีแค่ผมคนเดี่ยวที่ต้องติดบัตรติดต่อภายใน แต่ไอ้ป้องกับเดินตัวปลิวไปมาได้ ยังกะมันได้อภิสิทธิ์พิเศษงั้นแหละครับ ผมยื่นบัตรประชาชนไปให้หล่อน ก่อนจะรับบัตรที่มีเข็ดกลัดเล็กๆไว้ติดตรงหน้าอก ไอ้ป้องคุยอะไรกับพี่แพรนิดหน่อยก่อนจะขอตัว

    ผมกับมันเดินขึ้นไปเรื่อยๆถึงชั้นสาม ก่อนไอ้ป้องจะเดินไปตรงห้องริมระเบียง มันหันมามองหน้าผมนิดหน่อยก่อนจะเปิดประตูเดินเข้าไป ภาพที่ปรากฏแก่สายตาหลังจากเดินเข้าไปคือเตียงนอนคนไข้ที่ป่วยด้วยผ้าสีฟ้าอ่อนๆ ไอ้ป้องขมวดคิ้วนิดหน่อยก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ

    “ร่าเริง อยู่ข้างไหนรึเปล่า ?”

    มันตะโกนเรียกชื่อใครบางคน แต่พอเปิดประตูห้องน้ำก็ไม่เจอใคร

    “พี่ปลื้มเหรอ ?”

    เสียงแหลมเล็กๆเหมือนเสียงเด็กเพิ่งแตกหนุ่มดังขึ้นจากริมระเบียง ไอ้ป้องทำหน้าย่นก่อนจะเดินไปตามเสียง

    “แล้วใครใช้ให้ไปยืนริมระเบียง เดี่ยวก็ตกลงไปหรอก”

    ผมยืนเงียบๆเพราะยังนึกไม่ออกว่าตัวเองควรจะทำยังไงต่อไป

    “ก็มันร้อนนิ...อ๊ะ...นี้... ?”

    “นี้พี่เกียร์ เพื่อนพี่เอง”

    ไอ้ป้องแนะนำ ก่อนน้องคนนั้นจะหันมาไหว้ผม

    รอยยิ้มเล็กๆถูกจุดขึ้นที่มุมปากของร่าเริง ในชีวิตผมถ้าไม่รวมพวกผู้หญิงแล้ว เด็กผู้ชายที่ยิ้มได้น่ารักมากมีสามคน ไอ้ต้องตาน้องรหัสผม น้องเพลงแฟนพี่กาเซียร์ และเด็กที่อยู่ตรงหน้า....

    “สวัสดีครับพี่ ผมชื่อร่าเริง”

    ถ้าเปรียบเทียบกันแล้วในความคิดผม ต้องตาเหมือนกล่องแพนโดร่า ที่แม้จะน่าหลงใหลแต่ก็แฝงไว้ด้วยอันตราย น้องเพลงเหมือนไวโอลิน ดูภายนอกงดงามเลอค่า แฝงทำนองไว้มากมาย ส่วนร่าเริงเหมือนพระอาทิตย์ดวงน้อยๆ ไม่ได้อบอุ่นจนแกร่งกล้า แต่ก็มากพอที่จะทำให้คนที่เห็นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเอ็นดู…

    ร่าเริงเป็นเด็กผู้ชายอายุคะเนคร่าวๆจากสายตาผมประมาณ 12-13ปี สูงประมาณ 150กว่าๆไม่มากไม่น้อยไปกว่านี้ เขาอยู่ในชุดคนป่วยแบบที่เห็นตามในหนังในละคร แต่เป็นสีฟ้าอ่อน ผมบนหัวยาวกว่าปกติแบบเด็กทั่วไป สิ่งที่ผมเห็นอย่างเดี่ยวคือบรรยากาศรอบๆตัวน้องมันดูเหมือนไอ้ป้อง

    แต่เป็น ’ความเหมือน’ ที่ ‘แตกต่าง’.....

    ผมอธิบายไม่ค่อยถูกเหมือนกันว่ามันหมายความว่ายังไง เอาเป็นว่าตอนนี้ผมเอ็นดูเด็กคนนี้แล้วกัน

    “เป็นไงมั่งเรา”

    ไอ้ป้องนั่งลงตรงเตียงก่อนจะถามร่าเริง เด็กนั้นยิ้มน้อยๆสไตล์คล้ายๆกันกับไอ้ป้องก่อนจะตอบ

    “ก็เหมือนเดิมครับพี่ ยังมีชีวิตอยู่อีกหนึ่งวัน”

     “‘ตั้ง’หนึ่งวันต่างหาก”

    ไอ้ป้องแก้ เด็กนั้นหัวเราะแห้งๆก่อนจะพูดต่อ

    “พี่ปลื้ม ร่าเริงเบื่อจะอยู่ในห้องแล้วอ๊ะ อยากออกไปสูดอากาศข้างนอก”

    คนเด็กกว่าพูดด้วยน้ำเสียงหดหู่ ใบหน้ายิ้มๆนั้นหมองลงไปถนัดหน้า

    “ไว้หายดีก่อนสิ เดี่ยวเราก็ได้ออกไปเดินเล่นแล้ว”

    “งั้นมันคงไม่มีโอกาสแล้วล่ะครับ....”

    “อย่าดื้อสิร่าเริง เดี่ยวก็หายเชื่อพี่สิ”

    ไอ้ป้องพยายามพูดตอบ คนเด็กกว่าไม่พูดอะไรแค่เงียบลงไปถนัดตา

    “จริงๆไปก็ได้ไม่ใช่เหรอป้อง ?”

    ผมที่นิ่งเงียบไปนานเอ่ยพูดขึ้นบ้าง น้องร่าเริงที่เมื่อกี้ทำท่าหูตก หูตั้งขึ้นมาทันตา

    “จริงเหรอครับพี่เกียร์ พาผมออกไปข้างนอกได้เหรอ ?”

    “ก็ได้สิ นอกห้องไม่ได้มียักษ์มีมารนิเราถึงจะออกไปข้างนอกไม่ได้”

    “ไชโย”

    เด็กนั้นร้องด้วยน้ำเสียงดีใจ ก่อนทำท่าจะกระโดด แต่ก็หยุดชะงักค้างอยู่กับที่ ใบหน้าที่สดใสเปลี่ยนเป็นเจ็บปวด ผมยังไม่ทันขยับตัวไอ้ป้องที่ทำหน้าตกใจก็รีบเข้าไปดูใกล้ๆก่อนผมจะทันขยับตัวด้วยซ้ำ

    “ใจเย็นๆ สูดลมหายใจลึกๆ นั่งลงก่อน”

    มันประครองร่างของร่าเริงที่กำลังพยายามควบคุมลมหายใจของตัวเองให้เป็นปกติ ไม่ถึงห้านาที่ร่าเริงก็ยกมือขึ้นมาบอกว่าตนโอเคแล้ว

    “เหนื่อยไหม ? พักก่อนรึเปล่า ?”

    ไอ้ป้องถามด้วยความเป็นห่วง แต่คนฟังกลับพยายามส่ายหน้ารั่วๆจนผมกลัวอาการน้องมันจะกำเริบอีก

    “ไม่เอา ร่าเริงจะไปกับพี่เกียร์”

    “เราไม่สบายอยู่ ออกไปไม่ได้”

    “แต่...แต่ผม....”        

    น้องมันทำหน้าอึดอักก่อนอาการแบบเดิมๆจะปรากฏขึ้นจนผมกับไอ้ป้องกระวนกระวาย สุดท้ายไอ้ป้องก็เลยยอมให้น้องมันออกไปข้างนอกได้

    “ออกไปก็ได้ๆ แต่แค่สวนของโรงพยาบาลเท่านั้นนะ”

    ไอ้ป้องยอมตามคำขอร้อง น้องมันทำได้แค่พยักหน้ารับช้าๆเพราะกลัวว่าอาการเดิมๆจะกำเริบอีก

    “โอ๊ย!!!”

    ผมสะดุ้งตัวเมื่อรู้สึกเจ็บแปลบๆที่แขน ตอนนี้น้องร่าเริงขอตัวเข้าไปอาบน้ำข้างในห้องก่อนครับ น้องมันบอกว่าไม่อยากลงไปข้างล่างแบบตัวเหม็นๆ

    “เกียร์ไปพูดแบบนั้นกับน้องเขาได้ยังไง”

    มันดุผมเสียงเข้ม

    “อ้าว ก็แล้วทำไมน้องเขาถึงออกไปข้างนอกไม่ได้ล่ะ”

    ผมถามด้วยสีหน้ากังขา ถึงจะเห็นว่าน้องมันดูจะตื่นตกใจง่ายไปหน่อยแต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีอันตรายใดๆเดินขึ้นเลยด้วยซ้ำ

    “ร่าเริงเป็นโรคหัวใจหลอดเลือดตีบตัน”

    “ห๊ะ ?”

    “อาการของน้องมันก็เหมือนที่มึงเห็นเมื้อกี้ เหนื่อยง่ายตามความรู้สึก แค่ตกใจหรือดีใจมันก็เจ็บหน้าอกแล้ว จริงๆอาการของน้องมันในตอนนี้ไม่ควรจะลุกขึ้นมาด้วยซ้ำ......... ”

    “อ้าว...คือ กูไม่รู้....”

    ผมพูดเสียงต่ำ เริ่มรู้ตัวว่าทำพลาดไป ก็มันไม่ยอมบอกอะไรผมก่อนสักอย่างเลยนิครับว่าต้องทำยังไงบ้าง

    “ช่างเถอะ เอาเป็นว่าให้น้องลงไปเดินเล่นก็ได้ แต่ต้องช่วยกันดูแลนะ ร่าเริงสุขภาพไม่ค่อยดีเท่าไหร่”

    “อ่า......”

    ระหว่างที่นั่งรอร่าเริง ไอ้ป้องก็เริ่มเล่าให้ผมฟังถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่

    ร่าเริงคือรุ่นน้องคนหนึ่งที่สนิทกันมากสมัยที่พ่อของไอ้ป้องยังอยู่ เป็นเพื่อนบ้านที่เห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆ เหมือนพี่น้องต่างสายเลือดกัน แต่เพราโรคหัวใจที่เป็นโรคประจำตัวซึ่งเพิ่งตรวจเจอสมัยเข้ามัธยมต้น ทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติเหมือนๆเด็กทั่วไป ร่าเริงเองก็พยายามอย่างเต็มที่ในการใช้ชีวิตเพื่อให้มี‘วันพรุ่ง’นี้ต่อไป ทั้งการทำกายภาพบำบัดหรือการเข้ารักษาต่างๆ

    แต่อาการของน้องตรวจสอบพบ....’ช้าเกินไป’……

    พ่อแม่ของน้องร่าเริงเองก็พยายามอย่างเต็มที่แล้วเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะทำให้ลูกของตนได้ ไม่ว่าจะหมอกนอกหรือหมอไทย ทั้งแบบวิทยาศาสตร์และความเชื่อ

    แต่คำว่า ‘ช้าเกินไป’ มีอยู่จริงเสมอ....

    ผมเลียริมฝีปากที่แห้งสนิท ไม่คิดเหมือนกันว่าตัวเองจะมาพบกับเรื่องแบบนี้ใน ‘โลกของมัน’

    ไอ้ป้องบอกต่อว่ามันพยายามที่จะมาโรงพยาบาลทุกอาทิตย์เพื่อเยี่ยมน้องมันเพราะมันเองก็มีธุระประจำ

    สิ่งที่ไอ้ป้องทำได้คือแค่ช่วยอยู่ข้างๆไม่ให้น้องร่าเริงเหงา.....มันบอกว่ามันเองก็รู้สึกแย่ที่ทำได้แค่นี้

    ผมไม่ได้พูดแสดงความคิดเห็นใดๆออกไป ไอ้ป้องเองก็ดูเหนื่อยล้าพอสมควรในการเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง

    ถ้าสิ่งที่ป้องทำให้น้องร่าเริงได้คืออยู่ข้างๆ....

    สิ่งที่ผมทำได้ก็แค่กุมมือมันไว้

    “มึงทำดีที่สุดแล้ว”

    ผมบอกมันไปแบบนั้น ไม่ได้หวังปลอบใจหรือเพื่ออะไร ผมแค่พูดในสิ่งที่รู้สึกว่าตัวเองสมควรจะพูด

    ไอ้ป้องไม่ได้ตอบอะไรผมกลับมา แววตาของมันดูเหนื่อยอ่อน มือที่ผมกุมไว้ก็ดูสั่นแปลกๆ ผมไม่ถามไม่ซักต่อถึงสิ่งที่ค้างคาใจเพราะไม่อยากทำให้มันลำบากใจเพิ่ม แค่พยายามกุมมือมันไว้ให้แน่นที่สุด.....

    “พร้อมแล้วครับ”

    น้ำเสียงสดใสของร่าเริงดังออกมาจากห้องน้ำ ก่อนน้องมันจะโผล่ออกมาในชุดเสื่อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั่นสามส่วน ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มพระอาทิตย์ยังคงประดับอยู่เสมอๆ ผมรู้สึกว่าเด็กคนนี้เข้มแข็งกว่าที่ตัวเองเห็น....

    “ลงลิฟต์ นะ”

    ผมไม่อยากให้น้องมันเคลื่อนไหวร่างกายมากเกินความจำเป็น เอาจริงๆเองผมก็เริ่มหวั่นใจแล้วว่าการที่ให้ร่าเริงออกไปเดินเล่นนี้มันเหมาะสมจริงๆรึเปล่า ?

    ไอ้ป้องส่งสีหน้าที่แสดงคำว่าขอบคุณมาให้ผม ก่อนผมกับมันจะจับมือน้องร่าเริงคนละข้าง บางที่ผมก็รู้สึกเกลียดตัวเองเหมือนกัน ที่บางครั้งเราก็ทำได้แค่ ‘อยู่ข้างๆ’  อย่างเดี่ยว....

    เราลงลิฟต์กลางของโรงพยาบาล ไปจนถึงชั้นล่าง พอจะเดินผ่านประชาสัมพันธ์พี่แพรก็ทำตาโตก่อนจะพูดออกมา

    “ร่าเริงพี่ว่าเรา...ไม่ควรจะเคลื่อนไหวร่างกายมากเกินไปนะ”

    หล่อนพยายามพูดไม่ให้กระทบจิตใจของคนป่วย ร่าเริงเองก็ทำหน้างอๆ ผมเห็นไอ้ป้องส่งสีหน้าขอโทษไปให้พี่พยาบาล

    “พี่แพรครับ ขอให้ผมกับป้องพาน้องไปเดินเล่นนะครับ แค่ที่สวนของโรงพยาบาลก็พอ”

    “แต่...”

    “ผมสัญญาว่าจะดูแลน้องดีๆจริงๆครับ ถ้ามีอะไรผิดปกติผมจะเรียกพยาบาลให้เร็วที่สุดแน่นอนครับ”

    พี่แพรมีสีหน้าอึดอัด หล่อนทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างแต่สุดท้ายก็เลือกที่จะถอนหายใจยาวๆแล้ววางมือไว้บนบ่าผม

    “รบกวนเรากับปลื้มด้วยนะ...แต่ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นต้องเรียกพี่ให้ไวที่สุดเลยนะ เราเข้าใจใช่ไหมครับเกียร์  ?”

    หล่อนพูดกับผมด้วยเสียงเบาหวิวท้ายประโยค ผมเองก็รู้ดีว่าตัวเองกำลังทำเรื่องเสี่ยงๆอยู่

    แต่ผมว่าคนเราไม่ควรจะอยู่แค่ห้องสี่เหลี่ยมนั้น...

    “ขอบคุณนะครับพี่แพร”

    ร่าเริงพูด ก่อนจะสวมกอดนางพยาบาลสาว หล่อนลูบหัวน้องมันด้วยความเอ็นดูก่อนจะยอมปล่อยออก

    “ถ้าเจ็บหน้าอกหรือรู้สึกผิดปกติต้องรีบบอกพี่เกียร์พี่ปลื้มนะ....”

    หล่อนย้ำจริงจังกับร่าเริง เด็กน้อยเองตะเบ๊ะมือขึ้นมาก่อนจะพูดน้ำเสียงจริงจัง

    “สัญญาด้วยเกียรติ์ลูกผู้ชายเลยครับ”

    ผมกับพี่แพรร่วมทั้งไอ้ป้องต่างตลกกับท่าที่ของน้องมัน ก่อนจะเดินออกไปด้านนอก พี่แพรส่งวิทยุเล็กๆไว้ให้ผม แกกำชับไว้นักหนาเลยว่าต้องรีบวอติดต่อทันที่ที่ร่าเริงผิดปกติ แม้แต่นิดเดี่ยวก็ตาม ผมพยักหน้าตอบตกลงก่อนจะคาดหูของวิทยุไว้กับหูกระเป๋ากางเกงก่อนจะรีบวิ่งไปจับมือร่าเริงอีกข้าง

    ใบหน้าของร่าเริงคล้ายกับไอ้ป้องเมื่อวาน คือรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับทุกสิ่งทั่วไป ทั้งๆที่ไอ้พวกนี้เป็นอะไรที่ปกติธรรมดามาก แต่สำหรับคนๆหนึ่งที่ถูกห้ามไม่ให้ลงมาข้างล่างนานถึงหกเดือน ผมว่าก็ไม่แปลกอะไรที่จะรู้สึกแบบนี้

    ผมกับไอ้ป้องพยายามคอยสังเกตอาการของร่าเริงทุกระยะ น้องเองยังมีสีหน้ายิ้มแย้มและแจ่มใสประดับบนใบหน้า ระหว่างทางเดินไปสวนน้องเองก็คอยซักถามถึงสิ่งที่สังเกตเห็น คอยมองคนนู้นที่ คนนี้ที่ ตอนนี้เราสามคนจูงมือกันเดิน ไม่รู้สิครับ ผมแค่รู้สึกว่าไม่อยากปล่อยมือเด็กคนนี้

    แค่อยากช่วยไอ้ป้องอยู่ข้างๆคนที่เหมือนน้องชายมัน.....

    สวนของทางโรงพยาบาลตกแต่งเหมือนสวนญี่ปุ่นขนาดใหญ่ คือเอาจริงๆผมก็อธิบายไม่ถูกหรอกนะครับแต่รู้สึกว่ารูปแบบการจัดสวนเป็นแบบที่เคยเห็นมาตามรายการทีวีของญี่ปุ่น มีหินก้อนใหญ่ๆตั้งตระหง่านไว้ด้านหน้า ตัวอักษรคันจิญี่ปุ่นสลักไว้บนก้อนหิน(แน่นอนว่าผมอ่านไม่ออกหรอกนะแต่ถ้าไอ้ป้องคงไม่แน่)

    ผมกับไอ้ป้องจูงมือน้องมันมาจนถึงชิงช้าขนาดใหญ่ ต้องตาเองก็ดูเหมือนจะพอใจที่ได้มานั่งตรงนี้

    “อากาศสดชื่นจัง”

    ร่าเริงพูดพร้อมสูดอากาศหายใจเข้าปอดลึกๆ ร่างน้อยๆยังคงยิ้มพรายมองดูผู้คนที่เข้ามาเดินเล่นในสวนเหมือนกับพวกผม

    “เจ็บหน้าอกไหมเรา ?”

    ไอ้ป้องสอบถาม น้องมันส่ายหัวช้าๆก่อนจะถอดสายตาออกไป ร่าเริงสลัดรองเท้าแตะที่ใส่มาทิ้ง ก่อนจะค่อยๆกดฝาเท้าลงกับดิน

    “นานแค่ไหนแล้วนะพี่ปลื้ม ที่เท้าผมไม่ได้สัมผัสกับดินมานานขนาดนี้....”  

    ร่าเริงพูดด้วยน้ำเสียงเบาหวิว ปลายเท้าทั้งสองข้างจิกลงกับดินเล็กน้อย

    ผมกับไอ้ป้องไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม มันคงจะคิดเหมือนๆกับผม คืออยากให้น้องมันได้สัมผัสสิ่งที่ขาดหายไปให้เต็มที่ เราจึง
    เลือกที่จะเงียบกันโดยไม่ต้องนัดแนะ

    เป็นความเงียบที่ไม่อึดอัด...

    “พี่ปลื้ม พี่เกียร์”

    “ครับ/ครับ”

    ผมกับไอ้ป้องขานรับเสียงน้องมัน

    ร่าเริงสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆก่อนจะค่อยๆพูดออกมา

    “พี่ว่า ‘จากเป็น’ กับ ‘จากตาย’ แบบไหนมันแย่กว่ากันครับ...”

    มือเล็กๆที่ผมกับไอ้ป้องกุมไว้สั่นขึ้นมาเล็กน้อย ผมบีบเบาๆเป็นเชิงให้กำลังใจ ไม่รู้จะตอบยังไงดี ผมมันพวกไม่มีวาทะศิลป์ซะด้วย

    “แล้วมันต่างกันยังไง ?”

    “............”

    ผมกับน้องร่าเริงเงียบรอฟังมันพูดต่อ

    “จะจากเป็น หรือตาย พี่ว่ามันไม่ต่างกัน จากก็คือจาก มันก็แปลได้แค่ว่าเราไม่มีทางได้เจอกันแล้วนะ....”

    “............”

    “มนุษย์ทุกคนเกิดมาสุดท้ายก็ต้องจาก จะช้าจะเร็วนั้นก็อีกเรื่อง ถ้าถามพี่ว่าจากแบบไหนแย่กว่ากัน พี่ว่ามันก็แย่ทั้งคู่ จากตายคนที่ยังอยู่ก็ไม่ต่างอะไรจากตายไปแล้ว จากเป็นแล้วมันดียังไง ? ในเมื่อมันก็ไม่ได้ห่างไกลจากคำว่าตายแม้แต่น้อย ”

    “.......”

    “มีคนเคยถามพี่เล่นๆไว้ว่า ถ้าให้เลือกระหว่างตัวเองกับคนที่พี่รักมากๆ ถ้าต้องกำหนดว่าให้ใครสักคนตาย จะเลือกให้ใครตาย ? เขาหรือพี่ รู้ไหมพี่ตอบคนๆนั้นว่ายังไง”

    ผมสัมผัสได้ว่ามือที่สั่นอยู่ทั้งสองข้างสงบลงจนเริ่มเป็นปกติ ร่าเริงส่ายหน้าช้าๆรอฟังคำตอบ

    “มึงล่ะเกียร์ ถ้าต้องเลือกนะ”

    มันหันมาถามผม

    “กูคง...เลือกให้กูตายมั่ง....”

    ผมตอบด้วยสามัญสำนึก คงไม่มีใครหรอกมั่งครับที่อยากให้คนที่เรารักตาย

    ไอ้ป้องทำหน้านิ่งๆแต่สงบมากในสายตาผม ก่อนจะตอบในสิ่งที่มันเลือก...

    ..

    .

    .


    “พี่จะเลือกให้เขาตาย”



    ผมกับร่าเริงหันไปหาคนพูดด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ....

    “ถ้าพี่เป็นคนที่เขารักหมดหัวใจ ถ้าพี่เป็นคนที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเขา พี่จะเลือกให้เขาตาย แล้วพี่จะแบกรับทุกสิ่งทุกอย่าง
    เอาไว้แล้วเดินหน้าต่อไป”

    “.......................”

    “ลองคิดในมุมกลับกัน  ถ้าเขาตาย พี่คงทรมานมาก ....ทรมานในทุกๆวันที่ยังลืมตาขึ้นมาแล้วเห็นว่าไม่มีเขา แค่คิด...พี่แทบจะยืนไม่ไหวด้วยซ้ำ เพราะงั้นถ้าต้องเลือก....พี่จะให้เขาตาย พี่คงทนไม่ได้ ถ้าคนที่พี่รัก...ต้องทรมานเพราะพี่ตาย.....”

    “.........................”

    “จะว่าพี่เป็นคนเห็นแก่ตัวก็ได้นะ แต่พี่คิดแบบนั้นจริงๆ  พี่อยากจะมีลมหายใจต่อไปเพื่อแบกรับความรู้สึกขมขื่นนั้นเอาไว้ ดีกว่าจากไปแล้วปล่อยให้ใครอีกคนตายทั้งเป็น...พี่ทนไม่ได้จริงๆที่จะเห็นคนที่พี่รักต้องเสียใจ”

    มุมมองที่ผ่านออกมาจากปากมันทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะคิดตาม...

    และเห็นด้วยกับมุมมองของไอ้ป้อง

    ถ้ามองในสายตาของคนทั่วไป มันคงเป็นอะไรที่เห็นแก่ตัว เลือกที่จะให้ตัวเองมีชีวิตอยู่แล้วปล่อยให้อีกคนตายไป...

    แต่ถ้ามองอีกด้านหนึ่งเหมือนที่มันมอง แล้วคนที่อยู่ต่อไป....จะมีความสุขได้จริงๆเหรอครับ.....

    ทุกๆวันที่ต้องอยู่กับความทรมานที่ใครคนหนึ่งจากไป ทุกๆวันที่ต้องลืมตามาเพื่อใช้ชีวิตไปอีกวัน

    มันคงทรมานมากจริงๆ....

    เลือก...ที่จะให้อีกคนจากไปอย่างสงบ

    เลือก...ที่จะใช้ชีวิตต่อไป แม้จะทรมานเหมือนมีมีดนับล้านมากรีดหัวใจ

    เพียงเพราะแค่ไม่อยากให้คนที่ตัวเองรักต้องทรมาน

    ผมว่ามัน...ไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย ถ้าเราจะเลือกเส้นทางเส้นนี้....

    เจ็บปวด ทรมาน แต่มีความสุข ที่ไม่ต้องเห็นคนที่รักสุดหัวใจ ทรมานกับการจากไปของเรา....

    ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเริ่ม‘เรียนตัว’ปกป้องไปอีกก้าว มุมมองที่ผ่านออกจากปากมันยิ่งทำให้ผมรู้สึก

    “จะจากเป็นหรือจากตาย ไม่สำคัญเท่าวันนี้....เรายังยืนอยู่ตรงนี้ ....เรายังมีลมหายใจต่อไป .....เรายังต้องยืนขึ้นมาอีกครั้ง
    หนึ่ง.....”

    “...........”

    “เพราะปัจจุบันคือของขวัญที่มีค่ามากที่สุด มันเป็นสิ่งที่พี่มองว่าพระเจ้าให้เป็นของขวัญมา เราทำมัน ให้กลายเป็นอดีตที่เติมเต็มปัจจุบัน และทำมัน ให้เติมเต็มอนาคต อดีต ปัจจุบัน อนาคต ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เชื่อมต่อกัน พี่เชื่อว่าขอแค่เราทำมันให้เต็มที่...มันไม่มีอะไรเลยจริงๆที่จะทำให้เราเสียใจ...เพราะเราได้ทำเต็มที่แล้วในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง....”

    สายลมเอื่อยๆพัดผ่านตัวผมกับน้องร่าเริงไป คนพูดหยุดเว้นไปช่วงหนึ่งก่อนจะพูดต่อ

    “แค่ทุกวัน.... ได้รู้ว่าเรายังมีลมหายใจ .... มันก็เป็นโชคดีเท่าที่คนๆหนึ่งจะมีแล้วล่ะ....”

    “................”

    ปกป้องเหมือนทะเลสาบที่กว้างใหญ่เกินกว่าจะหยั่งถึง เงียบสงบและลึกลับ .....

    ความสงบนั้น เพื่อแผ่มาถึงผมกับน้องร่าเริง.....

    “ขอบคุณครับพี่ปลื้ม”

    น้ำเสียงของร่าเริงสงบขึ้นมาจากตอนแรก ผมรู้สึกได้ถึงแรงกุมตอบกลับเบาๆจากมือน้อยๆข้างที่จับกับผมไว้ คิดว่าไอ้ป้องเองก็คงไม่ต่างกัน

    “ฮ่าๆ ขอโทษนะ พี่พูดอะไรเรื้อยเปื่อยเพ้อเจ่อไปหน่อย”

    มันเกาหัวแกรกๆแก้เขิน ชิงช้ายังคงไกวไปเรื่อยๆ....

    ผมรู้สึกว่าใจของผมสงบมากขึ้น ความคิดของตัวเองเริ่มเปลี่ยนไปในแบบของผมเอง

    โลกของปกป้อง ไม่ได้หวือหวา ไม่ได้มีเฉดสีแรงๆหรือเร้าใจแบบของผม

    โลกของปกป้อง ไม่ได้มีเรื่องน่าตื่นเต้น ไม่ได้มีเรื่องที่จะทำให้ตื่นมาแล้วสนุกได้ในทุกๆวัน

    แต่เป็นโลกที่เต็มไปด้วยไออุ่น...

    ปกป้อง...เป็นอะไรที่ผมเปรียบเทียบหลายๆอย่างๆ....

    อบอุ่นดุจดังพระอาทิตย์….

    สงบเหมือนทะเลสาบ…

    เป็นขุนเขาที่กว้างใหญ่...

    เป็นป่าไม้ที่ร่มเย็น...

    ตอนนี้ผมเข้าใจตัวเองแล้วล่ะ....

    ว่าทำไมผมถึงได้รัก‘โลกใบนี้’


    TBC.


    ยิ่งเขียนยิ่งยาว ฮ่าๆ  :mc4: ขอบคุณคนที่เข้ามาอ่านใหม่ๆด้วยนะครับ ขอบคุณที่ชอบในตัวน้องๆ ขอบคุณที่ยังรักพวกเขาแม้จะ 'แตกต่าง'ก็ตามแต่....

    โลกของป้อง เป็นตอนหนึ่งในหลายๆตอนที่เราเค้นพลังภายในออกมาสักพักใหญ่ๆมากก่อนจะเขียนออกมา เป็นตอนที่เราต้องเค้นหลายๆสิ่งในชีวิตเราออกมาตอบ

    คำตอบของป้อง อาจจะไม่ถูกใจทุกคน แต่เพราะป้องเป็นป้อง เลยเลือกที่จะตอบไปแบบนั้น

    ขอบคุณทุกคนครับ รักมาก อยู่กันไปนานๆนะเออ  :กอด1:

    ปล. ตอนหน้ายังคงวิ่งเล่นในโรงพยาบาลอีกสักครึ่งตอน ขอบคุณทุกคนอีกครั้งนะครับ   :z2:
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×