ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ____เก็บ....'รัก' ____[Yaoi] [The End] [เปิดจอง!!!!!]

    ลำดับตอนที่ #16 : #16 โลกของเธอ โลกของฉัน โลกของเรา [2]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 572
      3
      20 ก.ค. 57

    #16 โลกของเธอ โลกของฉัน โลกของเรา [2]


    "ไม่เป็นไรมาก แค่กระดูกมันส้นเฉยๆจากแรงกระแทก"

    พี่พยาบาลสาวที่คอยตั้งบูธดูแลคนเจ็บแบบผมบอกขึ้น

    "ขอบคุณครับพี่"

    ก็ไม่คิดหรอกนะ ว่าจะมาจับกบให้ไอ้ป้องดู อุตส่าห์ทำเท่ห์ สุดท้ายข้อเท้าส้นซะได้-*-

    ไอ้ป้องยืนอยู่ข้างๆคอยดูผมอยู่ ดีอย่างที่มันไม่คิดจะหัวเราะให้กับความโง่ของผม

    ก็ตอนเล่นบอร์ด ใครใช้ให้มองมันจนเสียจังหวะล่ะครับ...

    "เป็นไง"

    "ยังไม่ตาย เล่นอีกรอบก็ไหว"

    ผมตอบตามความจริง นี้แค่กระดูกส้นเองครับ ตอนฝึกเล่นใหม่ๆสมัยหัวเกรียนแขนผมเดียงไปจากการล้มกระแทกด้วยซ้ำครับ เพราะงั้นแค่มือส้น ถือว่าเล็กน้อยมากครับ

    ผมกับมันเดินออกจากบูธไป การเล่นท่าแล้วพลาดเนี่ย มันเป็นเรื่องธรรมดาของเด็กบอร์ดมากเลยครับ(ส่วนมาก เล่นพลาดจะเยอะกว่าเล่นดีอีก ฮ่าๆ)เพราะงั้นคนที่เล่นอยู่ด้านนอกเลยไม่มีใครหัวเราะหรือขบขันเพราะของแบบนี้มันพลาดกันได้

    "ไรว่ะเกียร์ เนินแค่นี้เล่นพลาด เขินแฟนเหรอ?"

    ยกเว้นไอ้พี่คนนี้...

    "สวัสดีครับพี่ปิง"

    "เออ ดีๆ"

    ผมยกมือสวัสดีพี่ปิง สาวหล่อห้าวที่ใส่เสื่องานสวมทับด้วยเสื่อนอกลายหัวกระโหลกไขว้ตาสองข้างแต้มด้วยอายไลเนอร์สีดำสนิท
    ไอ้ป้องยกมือไหว้ตามผม ก่อนเจ๊ปิงจะคลี่ยิ้มเอ็นดูมัน

    คงเพราะไอ้ความซื่อๆเอ๋อๆนั้นล่ะมั่งครับ

    "นี้ไอ้ป้องครับ เพื่อนผม"

    เจ๊ปิงหันไปยิ้มหวานให้มันก่อนจะพูด

    "ชอบเล่นบอร์ดเหรอ?"

    คนถูกถามเกาหัวเก้อๆก่อนจะตอบ

    "คือ จริงๆเพิ่งหัดเล่นครับ ไอ้เกียร์ชวนมางานพอดี"

    "เหรอ? สนุกไหม"

    คนถูกถามนิ่งไปแปป ก่อนจะพูดตอบมา

    "ผมว่าสนุกดีนะ มันดูเสี่ยงๆดี แบบ ตอนที่เราไถไป ผมรู้สึกว่าหัวใจมันสูบฉีดเลือดดี"

    เป็นคำตอบที่ทำให้ผมยิ้มออกมาได้ เจ๊ปิงคลี่ยิ้มก่อนจะชี้มาทางผม

    "เกียร์ ไปซื้อข้าวดิ เจ๊เลี้ยง"

    ไม่ใช่ประโยคขอร้องแต่เป็นคำสั่งเจ๊ปิงยื่นแบงค์ม่วงๆให้กับผมก่อนจะโบกมือไล่ไปทางบูธขายข้าว ผมเกาหัวแกรกๆที่ถูกใช้ แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว

    เจ๊ปิงเป็นเด็กบอร์ดคนหนึ่งที่พูดได้ว่าระดับโปร ผมเจอหล่อนครั้งแรกเมื่อตอนสมัยเล่นสเกตบอร์ดใหม่ๆสามปีทีแล้วแน่ล่ะว่าไอ้พวกเด็กโนเนมแบบผมมาเดินงานแบบนี้ก็ย่อมจะต้องไม่รู้หลักรู้ทางเดินสะเปะสะปะไปทั่ว จนกระทั้งมาถึงโซนแจมนี้แหละครับ อาเจ๊แกโชว์เหินให้ดูรอบหนึ่ง ก่อนผมจะโดนเบียดให้ขึ้นไปยืนเก้ๆกังๆอยู่ตรงเนินลูกหนึ่งที่เอาจริงๆมันก็ไม่ได้สูงอะไร แต่นึกสภาพเด็กเพิ่งหัดเล่นสิครับ เจอแค่นั้นก็ล้มไม่เป็นท่าแล้วครับจากนั้นเจ๊แกก็ไถมาใกล้ก่อนจะชมว่า'ล้มสวยดีนะ'

    นั้นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมรู้จักหล่อน

    ต่อมา หล่อนสอนผมให้ลองเล่นท่าต่างๆดูจนเริ่มเล่นได้ นับว่าเป็นเพื่อนต่างเพศต่างไวคนแรกของผมเลยละครับ เพราะผมอยู่
    โรงเรียนชายล้วนมาตั้งแต่เกิด ไอ้เรื่องจะให้มีเพื่อนผู้หญิงนี้ก็ยากหน่อยครับ ส่วนใหญ่จะมีแต่ความสัมพันธ์แบบอย่างว่าซะมากกว่า

    ผมต่อแถวคิวรอซื้อข้าว ตาก็เหลือบมองดูไอ้ป้องกับเจ๊ปิงเป็นระยะๆ ผมเห็นพี่ปิงลากมันไปนั่งตง สแตนท์แล้วก็คุยอะไรกันเรื่อยๆ จากตรงจุดนี้เห็นแค่สีหน้าครับ ผมเห็นไอ้ป้องทำหน้า...เขิน? 

    เขินอะไร? 

    พี่ปิงเหรอ...

    ผมไม่รีบด่วนสรุป แต่ยังมองเรื่อยๆ หน้าไอ้ป้องออกสีเลือดฟาดๆเป็นระยะๆสวนทางกับพี่ปิงที่หัวเราะชอบใจ

    "เอาข้าวผัดกระเพา3กล่องครับ อ้อพี่ .....เอาเนื้อปลาด้วยครับ!!! "

    ผมรีบบอก ก่อนจะชี้ไปที่เนื้อปลาส่วนห่างตัวประมาณเท่าๆปลานิล ไม่ยักรู้ว่ามีปลาขายด้วย... แต่ก็ดีครับ เพราะไอ้ป้องมันชอบ
    กินปลาทุกชนิดซื่อไปฝากมันคงดีใจ

    ผมไถตัวกลับไปหามัน เจ๊แกหัวเราะร่วน ขัดกับไอ้ป้องที่เกาหัวดูจะเขินๆ

    "กระเพาไก่คนละกล่อง"

    ผมพูดก่อนจะส่งกระเพาไก่ให้เจ๊ปิงกับไอ้ป้อง มันรับไปก่อนจะเปิดออกมาทาน

    “แล้วนี้ของมึง”

    ผมยื่นกล่องพลาสติกให้มันอีกไปอีกกล่องหนึ่ง มันมองหน้าผมหน่อยๆก่อนจะเปิดฝาแล้วทำหน้างงๆ

    “อะไรว่ะ ?”

    “เนื้อพะยูนมั่ง ไอ้ฟายยย ฉลาดไม่ใช่เหรอดูเอาสิว่าอะไร”

    “ปลา ?”

    “ก็ปลาไง”

    ผมไม่เข้าใจว่าตกลงมันงงอะไรกันแน่

    ไอ้ป้องกระพริบตาปริบๆแต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อก่อนมันจะกินเนื้อปลาที่ผมส่งไปให้

    “ก็ชอบกินปลา เห็นมันมีขายเลยซื่อมาฝาก โอเค๊”

    “อื้ม ขอบใจ”

    คำตอบรับสั้นๆตามสไตล์มันตอบกลับผมมา ก่อนผมจะนั่งกินข้าวของตัวเองมั่ง(หิวเป็นนะเว้ยเห้ย!!!) เพียงแต่ช้อนพลาสติกสีขาว
    ขุ่นถูกยื่นมาใกล้ๆผม

    “อะไร ?”

    “เนื้อพะยูนมั่ง.... ก็ปลามันอร่อยดีเลยแบ่งให้”

    มันย้อนผมหน้าตายก่อนจะตักชิ้นเนื้อปลาให้ผม

    “สองคนนี้สนิทกันดีนะ”

    เจ๊ปิงพูดแทรกขึ้น ผมเห็นไอ้ป้องมันหัวเราะก่อนจะหันไปคุย

    “ไม่หรอกครับพี่ปิง ไอ้เกียร์มันชอบกวนประสาทผมมากกว่า”

    “อย่าไปเชื่อมันพี่ปิง ไอ้ป้องมันก็ไม่ได้กวนน้อยไปกว่าผมหรอก”

    “ไม่จริงพี่ เกียร์มันเคยทิ้งผมด้วย”

    “โห ดูพูดเข้า ก็ผมลืมนี้หว่า อุตส่าห์ตื่นไปตลาดแต่เช้าง้อด้วยปลาแล้วด้วย พี่คิดดูดิคนอะไรต้องง้อด้วยปลาถึงจะหายงอน”

    “อะไรใครงอน ? ผมแค่โกรธมันหรอก”

    “ไม่งอนนะ แต่ไม่ยอมมองหน้าผม”

    ผมเห็นพี่ปิงกั่นยิ้มด้วยความขำขันที่เห็นผมกับมันนั่งทะเลาะกันไปมาแบบนี้ ทั้งๆที่เป็นการทะเลาะกันแท้ๆแต่ผมกลับรู้สึกดีที่ได้อยู่กับมัน คุยกันเรื่อยๆแบบนี้

    “อยู่ถึงกี่โมงกันนะ ?”

    พอกินข้าวเสร็จจนนั่งย่อยได้สักพักพี่ปิงก็ถามขึ้น

    “ว่าจะไปแล้วครับพี่ เดี่ยวจะไปต่ออีกหน่อย”

    ผมดึงไอ้ป้องที่ทำตัวขี้เกลียดหลังกินข้าวเสร็จลุกขึ้นยื่นก่อนจะหันไปหาพี่ปิง

    “เหรอ ? โชคดีนะ ปีหน้าพี่ขอให้เจอพวกเราสองคนอีก อ้อ!!! ป้องอย่าลืมที่พี่บอกไปนะเว้ย”

    พูดจบ พี่ปิงก็โบกมือลาพวกผมสองคนก่อนจะไถสเกตบอร์ดออกไป 

    “พี่เขาบอกอะไรมึงว่ะป้อง ?”

    มันสะดุ้ง หน้าสีน้ำผึงเริ่มออกสีเลือดฝาดนิดๆ

    “ปะ...เปล่า”

    “แน่นะ ?”

    ผมใช้สายตาสแกนคำตอบใส่ร่างมัน ไอ้ป้องอึกอักก่อนมันจะเกาๆหัวแล้วจับมือผมเดินออกไป

    “ไปกันดิ่”

    “ไปไหน ?”

    “ก็...ก็มึงบอกจะพากูไปอีกที่ไม่ใช่เหรอ ?”

    รู้หรอกนะว่าอีกฝ่ายจงใจเปลี่ยนเรื่อง แต่ถ้าอุตส่าห์จับมือผมเดินออกมานอกงานโดยไม่สนใจสายตาคนอื่น งั้นถือว่าผมยกผล
    ประโยชน์ให้จำเลยสักครั้งก็ได้ครับ ....

    ผมกับไอ้ป้องไถสเกตบอร์ดมาจนถึงที่จอดรถ ก่อนผมจะเตรียมสตาร์ทรถ

    “โอ๊ย!!”

    ผมสบถออกมานิดหน่อย ขาข้างที่กระแทกพื้นรู้สึกเจ็บแปลบตอนที่สตาร์ทรถ

    “ไหวป่าวเกียร์ ?”

    ไอ้ป้องถามขึ้นหลังเห็นสีหน้าเหยเกของผม

    “ไหวๆ”

    ผมตอบ

    คือถามว่ามันเจ็บไหม มันก็เจ็บครับ แต่ตอบไปก็กลัวจะเสีย ฟอร์ม อีกอย่างหนึ่งเอารถมาแบบนี้ถ้าไม่เอากลับก็คงจะไม่ได้ แต่ขาผมดันเจ็บซะนี้สิ

    ไอ้ป้องมองผมก่อนจะเดินมาถือกุญแจรถไปแทน

    “อะไรว่ะ ?”

    “เดี่ยวกูขับเอง ขาเจ็บแล้วจะเหยียบเบรกได้เหรอ ? กูกลัวตายเหมือนกันนะ”

    มันพูดยิ้มขำๆ  ที่ผมสงสัยคือ ....

    “มึงขับรถเป็น ?”

    “ก็...ก็พอได้ แต่กูว่าก็ดีกว่าให้คนเจ็บเท้าขับอ๊ะ”

    นั้นไง ผมเดาผิดที่ไหนล่ะ 

    “เอางี้”

    “...........”

    “กูขาเจ็บ แต่มือยังโอเคอยู่ งั้นเดี่ยวกูประครองรถ มึงเป็นคนเหยียบพวกคันเร่งหรือกับเบรก ตกลงไหม ?”

    “อื้ม...ก็...โอเค”

    สุดท้ายคือมันนั่งด้านหน้าก่อนจะยกเท้าสตาร์ทรถ ผมนั่งซ้อนท้ายแต่ยื่นแขนข้าวไหล่มันไปจับแฮนด์เอาไว้แต่ไม่ถนัด

    “ป้อง”

    “ห๊ะ ?”

    “คือ มือกูมันยื่นไปจับไม่ถนัด...กูขอ....โอบเอวมึงไว้นะ”

    ผมนั่งเงียบอยู่ด้านหลังเพราะมองไม่เห็นเหมือนกันว่ามันจะทำสีหน้าแบบไหนอยู่ โกรธผมรึเปล่าที่ทำแบบนี้หรืออายรึเปล่าที่ผม
    จะ...เออ โอบเอวมัน(แม้จะเพราะสถานการณ์ตรงหน้าก็เถอะ)

    “ก็โอบไปดิ”

    เสียงราบเรียบดังบอกผมแบบนั้น 

    พอได้ยินผมเลยค่อยๆสอดแขนผ่านเอวเหมือนกับกำลังโอบเอวมันนั้นแหละครับ ไอ้ป้องไม่ได้พูดอะไร

    ไม่รู้ว่าเพราะมันเข้าใจสถานการณ์หรือเพราะมันยอมผมแล้วกันแน่...

    แต่เอาเป็นว่าตอนนี้ผมก็ทำแบบนั้นไปแล้วล่ะครับ

    Cbr ของผมค่อยๆแล่นออกจากบริเวณที่จัดงาน เพราะตอนนี้มันเป็นคนที่หนังอยู่ด้านหน้าผมเลยมองไม่เห็นสีหน้าของมัน

    “ป้อง”

    “หื้ม ?”

    “สนุกไหมว่ะที่ไปเดินมา แล้วก็ร้อนไหม ?”

    มันเงียบไปแปปก่อนจะพูด

    “ร้อนมาก เหนื่อยมาก.....”

    ผมได้ฟังแบบนั้นก็เริ่มใจหาย ยังไม่ทันโต้แย้งอะไรอีกฝ่ายก็พูด

    “แต่สนุกมาก และโคตรจะมีความสุขมาก ได้เจอคนแปลกๆในงานเยอะ เห็นอะไรที่ไม่เคยเห็น ได้ลองทำอะไรที่ไม่เคยลอง ถ้าจะให้พูดมันก็คุ้มดีกับความร้อนและก็ความเหนื่อยนะ ปกติแล้วกูไม่ชอบเดินงานอะไรแบบนี้แบบ กลัวๆจะอึดอัด แต่พอได้มาลองเดินดูมันก็ไม่ได้อึดอัดอะไร แถมยังรู้สึกดีที่ได้เดินกับมึง”

    ประโยคใดเหล่าจะเท่าประโยคจบ...

    ผมรู้สึกเหมือนมีผีเสื่ออีกสักฝูงสองฝูงกระพือปีกบินไปมาในท้อง ความรู้สึกที่กลัวๆเหมือนกันว่าอีกฝ่ายจะเข้ากันไม่ได้กับโลกของผมค่อยๆลดน้อยถอยลงไป

    “ดีใจนะที่มึงชอบ”

    “อื้ม..วันหลังชวนมาอีกก็ได้นะ”

    ผมถือว่านั้นเป็นประโยคที่แปลได้ว่ามันไปไหนมาไหนกับผมได้

    แบบนี้จะเรียกว่า ‘ก้าวหน้า’ รึเปล่าครับ....  ?

    “ป้อง”

    “ห๊ะ ?”

    ผมลังเลนิดหน่อยกับความคิดตัวเอง กำลังคิดอยู่ว่าควรจะถามออกไปดีไหม หรือไม่ควรถามดี

    “มึงคิดยังไงกับน้องแสงว่ะ ?”

    “แสง...อ้อ น้องรหัสกูอ่ะนะ”

    “เออ”

    มันเงียบไป เป็นเรื่องปกติล่ะครับ ก่อนไอ้ป้องจะพูดอะไรสักอย่างมันจะเงียบไป เป็นการแสดงออกว่ากำลังกลั่นกรองความรู้สึก
    นึกคิดที่อยู่ในหัวให้ออกมาเป็นคำพูดที่ตรงประเด็นมากที่สุด

    “ก็ดีนะ น้องเขาหล่อดี น่ารัก เอาใจเก่ง แถมยังชอบเล่าเรื่องตลกๆให้ฟัง”

    “เหรอ”

    เหมือนๆไอ้ผีเสือฝูงนั้นจะถูกอะไรสักอย่างโจมตีจากภาคพื่นดินด้านล่างจนร่วงเกลื่อนท้องผมไปหมด

    “อื้ม....เป็นรุ่นน้องที่น่ารักดี”

    “รุ่นน้อง ?”

    “อื้ม รุ่นน้อง”

    คำยืนยันสถานะของไอ้แสงดังออกมาจากปากมัน ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเอาใบชุบไปแจกให้ไอ้ผีเสือฝูงนั้น จนพวกมันฟื้นคืนชีพขึ้นมาตีปีกบินพับๆ หัวเราะผมที่ด่วนใจร้อนสรุปไปเอง

    “แล้วกูหล่อไหม ?”

    ไม่รู้เหมือนกันว่าพูดออกไปได้ยังไง ปกติผมไม่เคยถามคำถามนี้กับใครนะ แม้จะหล่อจริงๆก็เถอะ (อะไร พูดความจริงแค่นี้ถึง
    ขนาดต้องอ้วกเลยเหรอครับ -  -)

    “ก็หล่อดี”

    คำตอบสั้นๆได้ใจความดังขึ้นจากปากมัน

    คือ จะพูดอะไรยาวๆต่อจากนี้ก็ได้นะเว้ย กูก็อยากรู้....

    ว่ามึงคิดยังไงกับกู....

    ผมไม่กล้าถามไอ้ป้องออกไปหรอกนะเกี่ยวกับตัวเอง ด้วยคำถามที่คล้ายกับของไอ้แสง 

    ‘คิดยังไงกับกูว่ะป้อง ?’

    กลัวว่าคำตอบที่ได้....

    มันจะทำร้ายใจผมเองนี้แหละ

    กลิ่นหอมสบู่จางๆจากตัวคนถูกโอบ ทำให้ผมเคลิบเคลิ้มไปหน่อยๆ ผมสูดลมหายใจช้าๆเข้าออก พยายามเก็บเกี่ยวทุกความรู้สึกให้ได้มากที่สุดเพราะสักวันหนึ่งที่ผมมีความกล้ามากพอที่จะพูดออกไป

    วันนั้นอาจจะเป็นวันเดี่ยวกับการที่มัน....

    เลือกจะเดินจากผมไปก็ได้


    ...




    “มึงพากูมาที่นี้อ่ะนะ ?”

    “อื้ม โลกอีกครึ่งใบของกู”

    เสียงผู้คนมากมายกำลังโหวกเหวกโวยวาย เสียงเด็กๆร้องกระจองอแงขอตังค์พ่อแม่ ณ ตอนนี้ผมกับมันได้มาอยู่กันที่...

    “โลกของมึงนี้มีแต่เกมสินะ”

    ไอ้ป้องพูดขึ้น

    ครับ ตอนนี้ผมกับมันมาอยู่กันที่เกมเซนเตอร์แถวโรงเรียนที่ผมกับเกลอแก๊งชอบมานั่งตกเหยื่อ เอ๊ย รอสาวกันเป็นประจำ  ครั้งนี้ต่างกันตรงที่ผมมากับไอ้ป้อง

    ....ผู้ซึ่งผมคิดว่าไม่เคยเล่นเกมมาก่อนเลย

    “ก็บอกแล้ว วันนี้กูอยากพามึงไปที่ๆกูอยากไป ส่วนพรุ่งนี้ก็ตามใจมึง อยากพากูไปเที่ยวที่ไหนก็เอาเลย”

    ผมกับมันยื่นอยู่ที่แถวรอแลกเหรียญสิบครับ

    “พูดอย่างกับมาออกเดทกันแนะ...”

    ผมเกือบสำลักอากาศแถวๆนี้ด้วยซ้ำ คือรู้นะครับว่ามันแค่บ่นไปเรื่อย แต่พอโดนจี้ใจดำเนี้ยก็อดไม่ได้ที่จะสะดุ้งนิดๆ

    “ก็นะ ถือเป็นการขอโทษมึงไง”

    “ขอโทษ... ?”

    “ขอโทษที่กูไม่ค่อยเข้าใจมึงไง แต่ที่กูพามึงมานี้เพราะกูเองก็อยากให้มึงได้เข้าใจไง ว่าเออ กูเป็นคนแบบนี้นะ กูชอบอะไรแบบนี้ ไม่ใช่แค่ว่ากูทำเป็นแต่ม่อสาวหรือทำอะไรที่มันไม่ดีๆ กูแค่อยากให้มึงได้เห็นอีกด้านของกู”

    ผมพูดออกไปด้วยความงงๆมึนๆของตัวเอง ไม่รู้เหมือนกันว่ามันรู้เรื่องรึเปล่ากับสิ่งที่ผมพูด เพราะผมเองก็มึนเหมือนกัน แต่พูดตามที่ใจคิด ที่รู้สึกครับ...

    “....................”

    “มึงเข้าใจที่กูพูดไหมว่ะ ???”

    “เข้าใจ”

    “อื้ม ดีแล้วแหละ เพราะงั้นพรุ่งนี้มึงต้องพากูไปเที่ยวด้วย”

    “.....................”

    “กูอยากเข้าใจมึงไง....”

    เป็นคำตอบ ......ที่อาจจะถือได้ว่าสรุปสั้นๆสุดๆแล้วล่ะมั่งครับ

    การมาเที่ยวครั้งนี้ ตัวผมเองแอบแฝงอะไรไว้หลายๆอย่าง ผมอยากให้มันเข้าใจผม มุมมองของผม ความเป็นตัวเองของผม ว่าผมนะมันปากเสีย ดื้อด้าน อะไรแบบนี้ ผมอยากจะมองเห็นมันในมุมใหม่ๆ อยากรู้ อยากเข้าใจ ว่ามันคิดอะไร อยากได้อะไร เอาจริงๆคืออยู่ด้วยกันมาจะเกือบๆสองเดือนแล้ว กระทั้งพวกสิ่งที่มันสนใจผมยังไม่รู้จักดีพอ

    ถ้าไม่รู้กระทั้งเรื่องเล็กๆน้อยๆของอีกฝ่าย ....

    แล้วผมจะ ‘รู้ใจ’ มันได้ยังไงล่ะครับ ?

    ผมไม่ได้รีบร้อน ไม่เร่งสรุปความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อมัน ไม่หาคำจัดกัดความใดๆมาคิดในปวดหัวด้วย ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่ามันเป็นอะไรกับผม หรือผมกำลังเป็นอะไร ผมยังยื่นยันได้หนักแน่นเต็มปากว่าตัวเองเป็น‘ผู้ชาย’และผมยังชอบ’ผู้หญิง’ ยังมีอารมณ์ทางเพศกับเพศตรงข้าม ยังสนใจเรื่องยังว่า เหมือนๆกับมันที่ยังเป็นผู้ชายเต็มตัว

    บางที่ธรรมชาติก็ไม่ได้อยากให้คนเราทำอะไรให้มันซับซ้อนมากมาย

    นิยามสั้นๆของผมที่มีต่อมัน ก็คงจะเป็นคำตอบที่ว่า....

    ผมได้อยู่กับมันแล้วผมมีความสุข

    ไม่ต้องแอ็ค ไม่ต้องเก๊ก ทำอะไรก็ได้ตามใจ ไม่ต้องคอยวางมาดเกร็งเหมือนเวลาอยู่ต่อหน้าผู้หญิง ไม่ต้องคอยจำวันเกิด วันสำคัญ วันครบรอบ บลาๆๆ นู้น นี้ นั้น  แสดงความเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเปิดเผย

    กับไอ้ป้องก็เหมือนกัน อยู่กับผม ผมก็ไม่เคยเห็นว่ามันจะประดิษฐ์อะไรออกมาสักอย่าง รอยยิ้ม คำพูด ท่าทาง ทุกอย่างล้วนไร้การปรุงแต่งและผมชอบ....ที่เป็นแบบนั้น

    “อยากเข้าใจกูจริงๆเหรอ ?”

    คำถามลอยๆออกมาจากปากมัน

    “อื้ม...อยากรู้ ว่าบางที่ที่มึงเงียบ มึงคิดอะไรอยู่ ”

    มึงคิดยังไงกับกูอยู่...

    นั้นต่างหากคำถามที่ถูกต้อง

    “งั้นมึงก็ต้อง ‘ไม่เข้าใจ’”

    ผมยกคิ้ว งงกับคำตอบของมัน

    “คือ กูหมายถึง ถ้าอยากเข้าใจ มึงต้องไม่เข้าใจ เพราะบางครั้งตัวกูเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าบางครั้งกูเงียบไปเพราะอะไร กูอาจจะเงียบเพราะอยากอยู่คนเดี่ยว กูอาจจะเงียบเพราไม่มีอะไรให้พูด กูอาจจะเงียบเพราะต้องการจะฟังเสียงรอบๆตัว....”

    “..............”

    “หรือกูอาจจะเงียบ....เพราะกูเองก็อยากจะรู้จักมึง....ให้มากกว่าที่เป็นอยู่ เพราะงั้นตอนที่กูเงียบก็ไม่ต้องคิดมากก็ได้”

    “..............”

    “ไม่ต้องเข้าใจกันทุกเรื่อง แค่อยู่ข้างๆกัน มีความสุขไปกับสิ่งตรงหน้า มึงว่า...แบบนี้มันมากพอรึเปล่าว่ะ ?”

    คนไม่ชอบพูด พูดสิ่งที่คิดออกมายาวๆ ตอนที่มันพูด ไม่ได้พูดด้วยน้ำเสียงหวานๆ ไม่ได้มีแววตาซึ่งกินใจ ไม่มีการกุมมือกันในรู้สึกอบอุ่น พูดออกมาด้วยลักษณะธรรมดาๆ

    ไม่บ่อยนักหรอกนะครับที่มันจะพูดอะไรออกมายาวๆกับผมขนาดนี้

    ผมหลับตานิ่ง ไอ้สมองโง่ๆของผมนะไม่รู้หรอกว่าที่มันพูดแปลความหมายไปได้มากขนาดไหน ผมรู้เพียงแต่ว่า....

    ผมดีใจที่ได้ยินแบบนั้น

    “มากพอเกินขอบคุณเลยแหละ”

    ไม่มีอ้อมกอดโรแมนทริกๆเหมือนในหนังในละคร ไม่มีฉากสารภาพหวานๆ  ไม่มีคำพูดที่บ่งบอกไปในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ทุกอย่างมีแต่ความคลุมเครือที่ไม่ชัดเจน ไม่มีคำจำกัดความในสถานะใดๆ

    แค่รู้ว่าอยู่ข้างๆกันแล้วมีความสุขทั้งคู่....

    ก็พอแล้ว.....

    เป็นอย่างที่คิด ไอ้ป้องไม่เคยมาเล่นเกมอะไรพวกนี้หรอกครับ มากสุดที่มันเล่นคือเกมในโทรศัพท์มือถืออะไรทำนองนี้

    ผมสอนมันเล่นเกมกดตามตู้เหมือนสอนเด็กเล็กๆๆเล่น แรกๆไอ้ป้องก็ดูเกร็งๆ พอเล่นไปสักพักก็เริ่มคล่อง เล่นแข่งกับผมได้สบายๆ เกมที่โดนใจไอ้ปกป้องมากที่สุด ไม่ใช่เกมต่อสู้เลือดสาด ไม่ใช่เกมใช้สมองแบบไพ่ต่อกัน ไม่ใช่เกมเอเลี่ยนล่าสัตว์ประหลาดแต่เป็นเกม...

    ตีตุ่น...

    'ตุ๊บ'

    เสียงค้อนดังทุบตัวตุ่นเป็นจังหวะเดี่ยวกับที่ตุ่นตัวสุดท้ายถูกไอ้ป้องตี

    "เกียร์ ขอเหรียญสิบหน่อย"

    มันบอก มือข้างซ้ายถือค้อนตีตุ่นไว้ มือข้างขวายื่นมาทางผม

    ผมเหมือนเป็นตู้ธนาคารให้เด็กตัวเล็กๆรีดไถตังค์ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเด็กอัจฉริยะจะชอบเล่นเกมตีตุ่น
    ไอ้ป้องทุบค้อนลงไปด้วยแรงพอประมาณที่จะทำให้ตัวตุ่นถูกดันลงไปด้านล่างจากแรงทุบ ไม่ได้ทุบแบบบ้าคลั่งระบายอารมณ์ เหตุผลที่มันชอบเล่นมีเพียงอย่างเดี่ยว

    "มันเรียบง่าย ไม่ซับซ้อนดี แค่ตีลงไป ไม่ต้องคิดอะไรให้วุ่นวาย"

    ชอบ เพราะว่ามันเรียบง่าย

    จะบอกว่ามันคลาสสิคดีหรือตลกดีล่ะครับ

    ไม่ว่าสุดท้ายจะลงท้ายแบบไหน ผมชอบที่เป็นแบบนั้น

    ชอบที่ครั้งนี้ ไอ้ตัวดียอมทำตัวง่ายๆ ยอมพูดตรงๆกับสิ่งที่อยู่ข้างใน นี้คือสิ่งที่ทำให้ผมสบายใจในความสัมพันธ์ในตอนนี้

    วันนี้ ‘โลกของผม’ ผ่านพ้นไปแล้ว.....

    พรุ่งนี้ผมจะได้เจอแล้วสินะ....

    ‘โลกของมัน’นะ.....





                         
      _______________________________________________________


    TBC.

    ในที่สุดก็จบลงแล้วกับ 'โลกของเกียร์' ไม่รู้เหมือนกันว่าเราถ่ายทอดความรู้สึกของเกียร์ให้ออกมาชัดเจนรึยัง ถ้าอ่านแล้วยังงงๆแปลว่าสกิลแตกต่างยังไม่ถึงขั้น Orz

    ตอนหน้าเป็น 'โลกของป้อง'นะครับ...

    อยากรู้ไหม ว่าโลกที่ป้องอยู่....

    มันเป็นยังไง :)

    ขอบคุณทุกคน ทุกคอมเม้นท์ทุกกำลังใจ บอกเลยว่าปลื้มปริ่มๆมาก
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×