ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ____เก็บ....'รัก' ____[Yaoi] [The End] [เปิดจอง!!!!!]

    ลำดับตอนที่ #14 : #14 ผู้ชาย ความรู้สึก และ โลก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 610
      2
      12 ก.ค. 57

    #14 ผู้ชาย ความรู้สึก และ โลก

    ตกเย็นของวันนี้ ไอ้ป้องสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาก่อนมันจะโซ้ยข้าวต้มเอาเป็นเอาตาย ก็สมควรอยู่หรอกครับ คุณชายป้องแกไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้านิ ผมนึกขำนั่งมองคนป่วยเคี้ยวข้าวต้มตุ้ยๆ แก้มย้วยๆพอเห็นผมมองก็ค้อนสะบัด

    "สัญญา ไม่แกล้งแล้วจริงๆ"

    มันทำเป็นเมิน หันหน้าหนีผมไปทางอื่น

    "จะให้'ช่วย'อีกรอบไหมล่ะ?"

    รอบนี้คนถูกจี้จุดสะอึก ก่อนมันจะโชว์นิ้วกลางใส่ผม

    "ถ้าอยากนักก็ไปทำคนเดี่ยวเหอะ"

    มันด่าไปกินไป

    "ถามจริง มึงจะอายทำไมว่ะ ถ้ากูเป็นผู้หญิงก็ว่าไปอย่าง"

    มันชะงักช้อนที่เตรียมจะใส่เข้าปากมองผมนิ่งๆ

    ที่ผมพูดนี้คือเรื่องจริงนะครับ ผมไม่รู้หรอกนะว่าสังคมอื่นเป็นแบบไหน แต่กับพวกทโมนอย่างพวกผม การช่วยเหลือตัวเองหรือการมีsexไม่ใช่เรื่องแปลกหรือน่ารังเกลียด เพียงแค่ต้องรู้จักการป้องกันตัวเอง รักสนุกได้แต่ต้องดูแลตัวเองเป็น ไม่ใช่รักสนุกแต่เจือกป้องกันไม่เป็น อย่างผมเงี้ย ถุงยางซื่อใส่ไว้ในกระเป๋าสตางค์ทุกเดือน สำหรับผมเป็นเรื่องธรรมดานะ

    แต่ผมเองก็ลืมไปว่า ไอ้ป้องมัน'ต่าง'จากผม

    "หรือว่ามึงยังไม่เคยมีอะไรกับใคร? "

    ผมพูดแหย่มันเล่น แต่คนโดนแหย่กับสะดุ้งตัวไปกับคำพูดของผม

    ไอ้ป้องหน้าแดงก่ำ ไม่ตอบผมแต่ตักข้าวเข้าปากรัวๆแทน(นี้มึงแก้เขินหรือมึงหิว ?)

    นี้ตกลง... มันยัง'บริสุทธิ์'อยู่จริงๆเหรอครับ???

    ผมไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไหร่นักหรอกครับ ว่าเด็กรุ่นๆพวกผมสมัยนี้ยังมีคนที่ไม่เคยอยู่ คือผมพูดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าสนับสนุนให้มีอะไรกันนะครับ แต่เชื่อผมเหอะทุกสิ่งมันมีความหมายในตัวมันเองทั้งนั้น

    "เอาไหมละมึง เดี่ยวกูหาหญิงให้สักคน ฮ่าๆ เดี่ยวพอถึงเวลาแล้วไม่เป็นงานนี้แย่นะ"

    ผมพูดหยอกเล่นแต่คนถูกหยอกไม่ขำไปกับผม

    ไอ้ป้องวางช้อนลงกับชามก่อนจะมองหน้าผมจริงจัง

    แววตาสีดำสนิทมองผมด้วยความรู้สึกที่ผมไม่เข้าใจ คิ้วของมันขมวดเข้าหากันเป็นปม สุดท้ายมันก็เลือกที่จะเงียบ วางช้อนลง
    แล้วเดินหนีผมไป...

    เป็นอีกครั้งที่ผมได้แต่สงสัยว่าผมพูดอะไรผิด?

    เป็นเพื่อนกับไอ้ป้องนี้ลำบากจริงๆครับ ผมเดาอารมณ์มันไม่ถูก ก็บางวันมันก็ทำตัวง่ายๆให้ผมอ่านออก บางวันมันก็'ซ่อนตัวตน'จนผมสับสน

    ต้องรู้จักกันขนาดไหนเหรอครับ ถึงจะเข้าใจมันได้

    นี้คือคำถามที่ผมตอบไม่ได้จริงๆ....




       
    :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:




    วันเวลายังคงหมุนต่อ ตอนนี้ย่างเข้าเดือนเจ็ดแล้วครับ

    ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม......

    ผมกับมันยังไปโรงเรียนด้วยกัน วันไหนที่มันมีประชุมตอนเช้ามันก็ฝากจาคอปไปเก็บกับผม ตกเย็นก็กลับบ้านด้วยกันบางครั้ง มันยังคงสอนการบ้านในเรื่องที่ผมไม่เข้าใจ ผมยังคงแกล้งมัน กวนมันเป็นระยะๆ

    สิ่งเดี่ยวที่ขาดหายไปคือรอยยิ้ม... 

    จะว่าไปก็ลืมถามมันเลยเกี่ยวกับเรื่องจาคอปเก่าๆนี้กับเรื่องใบตารางนั้นอีก ตั้งแต่วันรับน้องก็ว่าจะถามแล้วดันลืมไปซะก่อน
    ไอ้ป้องเริ่มมีพัฒนาการด้านสังคมมากขึ้นตามลำดับ จากเดิมที่ไม่ค่อยมีใครยุ่งกับมัน แต่นับจากวันที่ผมปามันลงถังน้ำแข็ง เพื่อนๆหลายคนก็เริ่มกล้ากวนตรีนมันมากขึ้น(ตกลงมันดีหรือไม่ดีว่ะ555)ไอ้ป้องเองก็ตอบสนองด้วยการกวนตรีนกลับหน้าตาย มันเล่นกับทุกคน...

    ยกเว้นผม

    ดูเผินๆเหมือนไม่มีอะไร แต่เชื่อเหอะ ผมอยู่กับมันแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมงแต่ตั้งแต่วันที่มันป่วย ถ้าไม่นับการพูดคุยกันปกติ ตอนสอนการบ้าน หรือเรื่องสัพเพเหระทั่วไป

    ไอ้ป้องไม่คุยกับผมเลย...

    "เป็นเหรี้ยไรของมึงเนี้ย ทำหน้าเหมือนหมาแดรกแฟ้บ"

    คำทักทายแสนสุภาพดังออกมาจากปากเพื่อนสนิทของผม มันคงเห็นว่าผมทำหน้ามุ้ย

    ไอ้อู๋นั่งรัวนิ้วเล่นคอมพ์ไปด้วย สายตาก็มองผมไปด้วย

    "ไอ้อู๋ ถ้ามึงมีเพื่อนสนิทคนหนึ่ง และอยู่ๆเขาก็เงียบไม่คุยกับมึง คือ แบบ ไอ้คุยก็คุย แต่เหมือนกับเขาไม่หยอกล้อเล่นกับมึง...ว่า
    ง่ายๆนะ ถ้ามึงรู้สึกว่า มันไม่เหมือนเดิม มึงจะทำไงว่ะ?"

    ผมพูดสิ่งที่ค้างคาอยู่ในหัว

    "กูก็คงจะถาม 'มึงเป็นเหรี้ยไร' ก็ถามตรงๆนั้นแหละ"

    "แล้วถ้ามันไม่ตอบ? "

    "ก็ช่างแมร่งดิ ผู้ชายเวลาโกรธกันแปบๆก็หายเองนี้หว่า"

    จะว่าไปมันก็จริง อย่างผมกับไอ้อู๋งี้ ทะเลาะกันอย่าว่าแต่ขอโทษเลยครับ วันสองวันก็ลืมแล้วด้วยซ้ำ ว่าไอ้ที่ทะเลาะกันแทบเป็นแทบตายเนี้ย เพราะอะไร

    ผมทรุดตัวลงไปนอนฟุบกับพื้นโต๊ะตามเดิม เมื่อคำตอบของไอ้อู๋ดูไม่ช่วยอะไรผมเลย พอเห็นแบบนั้นไอ้เพื่อนตัวดีเลยโบกหัวผม

    "โอ๊ย เจ็บ ไอ้หอก!!!"

    ผมชูนิ้วกลางใส่มัน ก่อนไอ้อู๋จะพูด

    "กูรู้สึกว่ามึงกำลังคิดมาก จริงไหม?"

    ผมพยักหน้า มันดีดนิ้วก่อนจะพูดต่อ

    "แล้วเรื่องที่คิด ก็เกี่ยวข้องกับคนๆนั้น"

    ผมยังคงพยักหน้าให้ข้อสัญนิฐานของมัน

    "มึงว้าวุ้นกับคนๆนั้น เพียงแค่เพราะเขาไม่สนใจ"

    ผมทำแบบเดิม สีหน้าไอ้อู๋จริงจังขึ้นก่อนจะพูดต่อ

    "ข้อนี้มึงไม่ต้องตอบกู ตอบตัวเองก็พอ"

    "เออ"




    "มึงคิดกับคนๆนั้น'แค่เพื่อน'จริงๆเหรอ?"


    จบคำของไอ้อู๋ ผมแทบร่วงไปกองกับพื้น

    "มึงจะบ้าเหรอ กูไม่ได้ชอ..."

    "ตอนกูโกรธ มึงเคยง้อกูเหรอว่ะ? "

    ไอ้อู๋พูดสวน ผมสะอึกเงียบไป

    "ก็...ก็..."

    ผมพูดไม่ถูก ไปต่อไม่เป็น

    มันพูดถูกแล้ว

    ผมไม่เคยง้อใครแม้แต่เพื่อนสนิท

    ผมไม่เคยสนใจว่าใครจะโกรธ งอน ไม่ยุ่งกับผม

    ทุกสิ่งที่ทำลงไป ผมให้คำอธิบายกับตัวเองว่า เพราะมันเป็นเพื่อนสนิทและเป็นคนในครอบครัว ผมเลยแคร์และใส่ใจมัน
    มันก็แค่นั้นจริงๆไม่ใช่เหรอครับ?

    "ไอ้ป้องมันอาจเข้าใจยาก แต่ไม่ยากเกินเข้าใจหรอกเว้ย"

    "แต่กูไมเข้...เห้ย ไม่ใช่มัน!!!"

    ผมเผลอพูดตามก่อนจะสะดุดกึกกับคำพูดของมัน

    ไอ้อู๋ส่ายหน้าเอื้อมระอา

    "พวกมึงสองคนนี้ปากแข็งพอๆกัน ต้องให้ตายจากกันรึไงว่ะ ถึงจะพูดจากันให้เคลียร์"

    น้ำเสียงของมันปนไปด้วยความรู้สึกจริงจังบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจ ร่วมทั้งแววตาที่มองมา

    เหมือนจะสมน้ำหน้าผมกลายๆ....

    "ก็มึงพูดบ้าๆ ไอ้ป้องมันเป็นผู้ชาย แถมมันยังแมนทั้งแท่ง"

    "ผู้ชายแล้วไงว่ะ"

    "มันจะแล้วไง ก็ผู้ชายกับผู้ชาย มันก็เกย์อ่ะดิ"

    รอบนี้มันพับหน้าจอลง ก่อนจะหันเก้าอี้มาทางผม

    "แล้วผู้ชายกับผู้ชาย ไม่มีหัวใจเหรอว่ะ?"

    "..."

    "กูจะพูดกับมึงตรงๆนะเกียร์ กูเองก็ไม่ได้เชี่ยวชาญนักหรอกเรื่องความรัก แต่กูมี'ความกล้า'มากพอจะไขว้คว้าความสุขใส่ตัวเอง
    ไอ้สังคมที่ต้องเจอ กูขอพูดตรงๆว่ากูเกลียดมาก เกลียดตรงที่ชอบมานิยาม มาจำกัดความเหรี้ยอะไรก็ไม่รู้มากมาย วุ่นวาย ไอ้สัส ผู้ชายแล้วไงว่ะ? จะผู้ชาย ผู้หญิง หรืออะไร สุดท้ายความรัก มันก็คือความรัก มันต้องมีเหรี้ยไรมากน้อยไปกว่านั้นเหรอว่ะ???"

    "..."

    "เก็บไปคิดดีๆนะเกียร์ มึงจะตัดสินใจยังไงก็แล้วเแต่เลย แต่จำไว้ด้วย วันไหนที่ใครสักคนเลือกที่จะปล่อยมึงไป..."

    "..."

    "มึงจะไม่มีโอกาสอีกเลยนะ"

    ไอ้อู๋พูดก่อนจะเปิดหน้าจอขึ้นมา มันไม่ได้กวนใจผมอีกแต่ยอมปล่อยให้ผมนั่งเงียบๆคนเดี่ยว

    ไม่หรอก...

    ผมไม่มีความกล้าขนาดนั้นหรอก

    มันคงไม่ใช่ความรัก แต่เป็นความผูกพันของเพื่อนที่เป็นทั้งครอบครัว เป็นทั้งพี่ชาย อาจเพราะความดีของไอ้ป้องเลยทำให้ผมรู้สึกดีมากเป็นพิเศษ

    มันต้องเป็นแบบนั้นสิ...

    "เวรละ"

    ไอ้อู๋สถบสีหน้าซีเรียส

    "อะไรว่..."

    ผมยังไม่ทันได้ถามเสียงใสๆขนาดใหญ่ก็ดังผ่านออกมาจากลำโพงประจำชั้น

    'โย่วๆ สวัสดีพี่น้องเพลินจิต นี้ก็ยังเช้าอยู่ ตื่นกันรึยังครับ'

    เสียงไอ้ต้องตาพูดออกมาคล้ายมันร้องเพลงแร๊ปก่อนจะร้อง

    'วันนี้มีเรื่องราวดีๆ ผมจึงอยากนำมา ให้คุณๆได้ฟังกัน'

    'ฟังแล้วคุณจะต้องตกใจ คุณจะต้องตื่นตัว คุณจะต้องตาผม'

    'อย่ารอช้า ลีลา เสียเวลา ฟังเลยกันดีกว่า กับพี่อามัว'

    ชื่อสุดท้ายสะกิดผมให้ลุกขึ้น ก่อนจะเดินออกไปที่ระเบียง

    'ร้องสดครั้งแรกของผม ช่วยฟังกันด้วยนะครับบบ'

    น้ำเสียงทุ้มต่ำฟังดูขี้เล่นดังขึ้น ผมขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม เพราะเสียงนี้เป็นเสียงที่ตัวผมเองได้ยินติดหูมาตั้งแต่ไหนแต่ไหร่
    เสียงกีต้าร์โปร่งดังขึ้นเปิดตัว แค่ความอลังการนี้ก็ทำเอาแก๊งนางฟ้าที่รู้จักเจ้าของเสียงนี้ผ่านงานCoverพากันกรี๊ดไม่ลืมหูลืมตาหลายๆคนพากันหยิบสมาร์ทโฟนของตัวเองหรือของเพื่อนเพื่ออัดเสียงปริศนานี้เก็บไว้

    ยกเว้นผม...

    'มีใครบางคนให้คำนิยาม ว่ารักคือความทุกข์
    แตกต่างกับฉันที่มองว่ารักคือความสุข' 


    หลังท่อนเพลงท่อนแรกดังขึ้น ขาของผมเปลี่ยนจากก้าวยาวๆเป็นวิ่งแทน

    ไปไหน?

    บางครั้งผมก็รู้สึกว่ามนุษย์เรามันงี้เง้าสิ้นดี ที่สำคัญคือผมเป็นคนที่ชอบใช้ความรู้สึกมากกว่าเหตุผล

    เพราะงั้นที่ว่า'ไปไหน'ก็คงตอบไม่ได้เหมือนกัน รู้แค่ว่า'ต้องไป'ก็เท่านั้นจริงๆ

    บางอย่างในความรู้สึกของผม ประกอบกับสิ่งที่ได้คุยกับเพื่อนสนิทของตัวเองมา บอกผมให้วิ่งไป...

    'อาจจะเหนื่อยบางครั้ง อาจจะเจ็บบางที
    แต่ก็ยิ้มได้เรื่อยมา อาจจะต้องผิดหวังก็ไม่เป็นไร' 


    เนื้อเพลงท่อนต่อไปถูกร้องออกมาด้วยคีย์เสียงทุ้มต่ำแต่ทรงพลังมากพอที่จะทำให้คนฟังเนื้อเต้น ตื่นตัวไปกับมันได้

    อยู่ที่ไหน?

    สมองโง่ๆของผมประมวลผลความเป็นไปได้ต่างๆนานา ห้องส่งไม่ใช่แน่นอนเพราะไอ้ต้องมันคงไม่โง่ให้ใครไปขัดขวางมัน

    ตึกคณะกรรมการนักเรียน? 

    คิดว่าไม่ใช่ พี่กาเซียร์อาจจะยอมให้เล่นแบบนี้เพื่อสร้างสีสรรค์ แต่คงไม่ยอมให้ใช้ตึก

    ด่านฟ้าคือคำตอบสุดท้าย...

    ผมวิ่งสุดกำลังไปที่ตึกสามพร้อมๆกับวิ่งขึ้นบันไดตอนนั้นเองที่ท่อนฮุคของเพลงดังขึ้น

    'อย่างน้อยฉันเคยได้รักเธอ
    รักด้วยการไม่หวังอะไร
    ก็รู้ฉันเองก็ยังไม่ใช่
    ไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น '


    น้ำเสียงที่เปล่งออกมา สัมผัสได้ถึงความรู้สึกน้อยใจของคนร้อง แม้จะเป็นแบบนั้นแต่ก็ยังเพราะมากอยู่ดี

    ผมวิ่งเลี้ยวไปทางห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ ตรงนั้นมีบันไดหนีไฟเล็กๆที่วิ่งไปถึงด่านฟ้าได้

    อีกแค่ชั้นเดี่ยวเท่านั้น!!!

    ‘อย่างน้อยฉันได้เรียนรู้ ได้เข้าใจ
    ทุกนาทีที่ฉันมีเธอ รักคือความสุขที่ยิ่งใหญ่
    และมีความหมายมากมายจริงๆ

    อาจจะเหนื่อยบางครั้ง อาจจะเจ็บบางที
    แต่ก็ยิ้มได้เรื่อยมา อาจจะต้องผิดหวังก็ไม่เสียใจ’


    เสียงเพลงท่อนสุดท้ายดังขึ้นผมเปิดประตูชั้นด่านฟ้าออก

    สิ่งแรกที่ปะทะกับร่างกาย คือสายลมแรงๆของดาดฟ้าชั้นเจ็ด ภาพที่เห็นคือโต๊ะนักเรียนเก่าๆตั้งไว้กลางด่านฟ้า บนโต๊ะมีโน๊คบุ๊คสีขาว มีลำโพงสองข้างเสียบต่อกัน ด้านหน้ามีเครื่องวิทยุเล็กๆที่เป็นตัวกระบอกเสียงคอยเป็นตัวเชื่อมโยง

    พวกนั้นไม่ได้อยู่บนนี้...

    ผมมองไปรอบๆด่านฟ้า เศษก้านธูปสีแดงเลือดหมูตกอยู่เต็มพื้นไปหมด

    เสียงเพลงเงียบหายไป ก่อนเสียงเจื้อยแจ้วของไอ้ต้องตาจะดังขึ้นอีกครั้ง

    'เจ้าขาเอยเจ้าข้า 16กรกฎคมนี้ขอเชิญพ่อแม่พี่ป้าน้าอา ลูกหลานเหลนลื้อ เพลินจิตวิทยา ร่วมกันมาวันวิชาการที่เพลินจิตวิทยา 
    พบกับการเล่นสดครั้งแรกเต็มรูปแบบของอามัวพร้อมการประกวดแข่งขันวงดนตรี อย่าพลาดเด็ดขาด
    ปลาลิงๆ สำรองที่นั่งร่วมทั้งซื่อบัตรเข้างานได้แล้ววันนี้ ที่ประชาสัมพันธ์หรือเวปเพจP.W.'

    เสียงไอ้ต้องตาพูดจบประโยค

    หน้าจอของโน๊คบุ๊คสีขาวก็ดับไป พร้อมๆกับที่ลำโพงตัวเล็กๆสองตัวหน้าเกิดการลัดวงจร ไอไหม้ลอยคลุ้งออกมาเป็นควันย่อมๆ สายตาผมมองเห็นกระดาษสีขาวเล็กๆเสียบไว้ตรงใต้โต๊ะ ผมเดินไปหยิบก่อนจะอ่านข้อความ

    'มองเห็น แต่เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น... เหมือนดังสายลมที่จับต้องได้เพียงภาพลวงตา...'

    ผมมองพาดไปถึงขอบฟ้ายามเช้าที่เพิ่งมีแสงแดดอ่อนๆ รู้สึกขำตัวเองนิดหน่อยๆที่วิ่งมาตั้งไกลเพื่อกระดาษแผ่นเดี่ยว

    แต่ผมบอกไปแล้วใช่ไหม? 

    ผมมันไม่มีเหตุผล...

    ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองวิ่งมาทำไม วิ่งมาเพื่ออะไร เพราะเสียงร้องของใครบางคนที่เพราะมากๆ

    หรือเพราะแค่กำลังสับสนกับตัวเองจนอยากระบาย...

    ผมกับไอ้ป้อง ดูเหมือนจะเป็นกระจกที่สะท้อนด้านตรงข้ามของกันและกัน

    คนหนึ่ง อยู่ได้ด้วยเหตุและผล ทำตามสิ่งที่ตัวเองคิดว่าดีแล้วสำหรับทุกคน

    ส่วนผม อยู่ได้ด้วยความรู้สึก ผมแทบไม่เคยใช้ ‘เหตุผล’ในการตัดสินใจด้วยซ้ำ

    ผมรู้สึกว่า ผมกับมัน....

    แตกต่างกันมากจริงๆ....

    ผมเปิดโทรศัพท์มือถือชั่งใจอยู่นานก่อนจะกดเบอร์ที่เขียนไว้ว่า ‘ไอ้เวร’ เจ้าของเบอร์ปล่อยให้ผมรอประมาณสองสามนาทีก่อนปลายสายจะกดรับเบอร์โทรศัพท์

    ‘มีไรว่ะ กูประชุมอยู่’

    มันตอบกลับมาแบบนั้น น้ำเสียงหอบเล็กน้อย

    ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆก่อนจะพูดบอกมันไป

    “ป้อง เสาร์-อาทิตย์นี้ไปเที่ยวกัน”

    ‘ไปไหน ?’

    มันถามกลับมา ผมยิ้มน้อยๆก่อนจะบอกไป

    “โลก”

    ‘กูไม่เข้าใจที่มึงพูด’

    รอบนี้ผมหัวเราะออกมากว้างๆ นึกออกเลยว่าตอนนี้ไอ้ป้องมันคงกำลังทำหน้างงๆ มึนๆอยู่แหง่ๆ

    “โลกของกู  ....“

    ความแตกต่างหมายถึง การที่คุณกับใครสักคนหนึ่งไม่เหมือนกัน

    แต่นั้นไม่ได้หมายความว่า ความต่างนั้นจะทำให้พวกคุณเข้ากันไม่ได้นิครับ....

    ไอ้ป้องเงียบไปสักพักหนึ่งก่อนจะตอบกลับมา 

    ผมว่าผมไม่ได้คิดไปเองหรอกนะ แต่ผมว่าน้ำเสียงมันดูตื่นๆนิดๆ

    ‘ก็ยังไม่เข้าใจที่มึงพูดหรอกนะ แต่ไปก็ไป’

    ผมกดวางสาย เดินลงจากดาดฟ้า ก่อนไอพอดในมือจะเปิดหน้าเวปงานบางอย่าง

    ‘GO SKATEBOARDING  DAY 2014’


    The supreme happpiness of life is the conviction that we are loved. #ปกป้อง



    TBC.

    สาระเล็กน้อย

    จริงๆแล้ววันจัดงานคือเดือนมิถุนายน วันที่21นะครับ ซึ่งเป็นวันSKATEBOARโลกที่ผ่านมานะครับ แต่ต่างเอามาเขียนใหม่เป็นเดือนกรกฏแทน ฮ่าๆ 

    ให้เวลาเกียร์หน่อยนะครับ ^^ 
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×