ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ____เก็บ....'รัก' ____[Yaoi] [The End] [เปิดจอง!!!!!]

    ลำดับตอนที่ #13 : #13 ไอ้ป้องป่วย ก้อนกรวด และเล่นพิเรนท์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 630
      2
      10 ก.ค. 57

    #13ไอ้ป้องป่วย ก้อนกรวด และเล่นพิเรนท์

    แสงอาทิตย์ที่รอดผ่านม่านเป็นสิ่งที่ปลุกผมจากการหลับไหล...

    เมื่อวานนี้หลังจบรับน้อง ผมกับไอ้ป้องก็กลับบ้านกัน มือเย็นของผมกับมันเป็นอะไรที่เรียบง่ายมาก ไข่เจียวคนละแผ่น(แน่นอนว่าผมเบิ้ล) แล้วก็ขึ้นนอนกันเลย

    ผมขยับตัว บิดๆก่อนจะมองนาฬิการิมผนังห้อง

    7.45น.!!!!

    ผมตาโตเท่าไข่ห่านก่อนจะตะโกนแหกปากเรียกไอ้ป้อง เพราะเมื่อคืนนี้เพลียพอๆกันทั้งคู่สินะ ผมกับมันถึงได้หลับเป็นตายแบบนี้
    น่าแปลกที่ทั้งๆผมตะโกนปลุกมันแล้วแต่เจ้าของร่างนั้นยังไม่ตื่น

    "ป้อง ไอ้ป้อง ตื่นๆ สายแล้ว"

    พอตะโกนไม่ได้ผลผมเลยปีนลงไปหามันด้านล่าง พอเรียกมันใกล้ๆเจ้าของชื่อถึงได้ยอมยันกายลุกขึ้นมาสักที่

    "เจ็ดโมง...แล้ว...เหรอ"

    มันพูดเสียงขาดห้วงแหบๆเป็นระยะๆใบหน้าจืดๆก็ดูอ่อนเพลียกว่าปกติ ในขณะที่มันกำลังจะเดินผ่านผมไปห้องน้ำ ร่างทั้งร่างของไอ้ป้องก็ล้มลงทั้งยืน ดีแต่ว่าผมรับร่างของมันทัน

    "เห้ย!!! ไหวไหมมึง?!?"

    ผมประครองมันนั่ง ไอ้ป้องพยายามพยักหน้าว่ามันไหว มันยันตัวจะลุกแต่ก็ล้มฟุบกับเตียง ผมเห็นแบบนั้นเลยเอามือไปอังที่หน้าผาก

    ร้อน!!!!

    ตัวมันร้อนมากเหมือนเตาไฟที่เพิ่งเปิดใหม่ๆเลยครับ 

    "พอเลย ไอ้ห่า มึงเป็นหนักขนาดนี้ยังจะเสือกหวงเรียนอีก หยุดพักเหอะ"

    ผมจับมันนอนดีๆ ใบหน้าจืดๆนั้นส่งเสียงประท้วงผม

    "ไม่...ได้...วัน...นี้..ประชุม..."

    "จะปลาชุมปลาน้อยกูไม่สนหรอก แต่แค่จะลุกขึ้นมึงยังทำไม่ได้เลย"

    คนป่วยยังคงดื้อเสมอต้นเสมอปลาย มันพยายามยันตัวลุกขึ้นจนเหงื่อไหลไคล้ย้อยไปทั้งตัว ผมกดปิดแอร์ก่อนจะยกพัดลมตัวเล็กมาเปิดให้มัน แต่ดูเหมือนคนป่วยยังดื้อไม่เลิก

    ผมไม่พูดอะไรเพราะเริ่มรู้จักนิสัยมันดีขึ้นเรื่อยๆเลยยืนกอดอกมองดูมัน ปกป้องเป็นคนที่อยากจะทำอะไรก็จะพยายามที่จะทำ มันดื้อและหัวแข็งมากถึงมากที่สุดที่ผมปล่อยไม่ใช่อะไรนะครับ แต่เดี่ยวมันก็เลิกเอง และดูจากสภาพตอนนี้แล้วไม่นานนักหรอกครับ
    หลังพยายามมานับสิบนาที ในที่สุดคนป่วยก็หายบ้ายอมนอนสงบๆจนได้แต่กระนั้น ปากก็ยังพะงาบๆ ใบหน้าจืดๆซีดกว่าทุกวันมากริมฝีปากก่องจางมองเห็นเป็นสีคล้ำๆจนผมเริ่มเป็นห่วงอาการ

    "กูว่าไปหาหมอดีกว่า"

    ผมพูดขึ้นหลังดูอาการมัน แน่นอนว่าคนป่วยค้านหัวชนฝา

    "ไม่...เอา เดี่ยวนอนพักก็หาย"

    มันพูดขึ้นอย่างยากลำบาก ตาเองก็ปรื้อๆเต็มแก่

    ผมเกาหัวระคนหงุดหงิดไอ้ดื้อนี้แต่สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะห่มผ้าห่มผืนบางๆให้มัน

    "นอนซะ"

    ผมสั่ง มันพยักหน้าเข้าใจก่อนจะปิดเปลือกตา

    ตาปิด.... แต่ปากก็ยังพะงาบออกมาอยู่ดี

    "เกียร์"

    "ก็บอกให้นอน"

    ผมจุ๊ปากดุมัน ไอ้ป้องยกมุมปากเป็นเชิงขำผมนิดๆก่อนจะพูดกระท่อนกระแท่นต่อ

    "ช่วยกูหน่อย"

    "ช่วย?"

    มันพยักหน้ายืนยันคำพูดก่อนจะพูดต่อ

    "เอาผังงานไปส่งพี่กาเซียร์ให้หน่อย"

    "แค่เนี้ยเหรอ ที่มึงพยายามลุกขึ้นตั้งหลายรอบ?"

    ผมพูดเสียงเครียด นี้เองสินะที่ทำให้มันจะไปโรงเรียนให้ได้

    "ในผังงาน...มันมีกำหนดการวันทานาบาตะ"

    มันพูดกระท่อนกระแท่นต่อก่อนจะยกแขนปิดตาตัวเอง

    “แล้ว....?”

    "กูอยากเห็นมึงใส่ชุดยูกาตะ..."

    ผมนิ่งเงียบ สมองประมวลผลข้อมูลไม่ทันเสร็จมันก็พูดต่อเพียงแต่พูดเบามากจนหูผมแทบจะไม่ได้ยิน

    ..........แต่ใจผม กลับฟังได้อย่างชัดเจน...

    ..

    .

    .

    "ก็ถ้ามึงใส่...กูคงละสายตาไม่ได้"


    คนป่วยพูด เสหน้าไปทางอื่น ใบหน้าซีดๆนั้นก็ดูจะแดงก่ำขึ้นเรื่อยๆ

    ทั้งๆที่ป่วยแต่ก็ยังอยากจะเอาผังงานไปส่ง เพื่อที่แค่จะได้เห็นผมใส่ชุดยูกาตะ...

    คิดแค่นั้นความรู้สึกของผม เหมือนมีผีเสือเป็นพันๆตัวกระพือปีกในท้อง ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเดินไปใส่เสื่อกับสะพายกระบอกผังงานตั้งแต่ตอนไหน

    "นอนพักไป เดี่ยวจะรีบกลับมา"

    "มึงจะไปส่งให้กูเหรอ?"

    คนป่วยลืมตาขึ้นมองผมด้วยแววตาประหลาดใจ

    "รักษาคำพูดตัวเองด้วยแล้วกัน"

    มันทำหน้าไม่เข้าใจคำพูดของผมเห็นแบบนั้น ผมเลยอมยิ้มก่อนจะพูดเจ้าเล่ห์เลียนแบบมัน

    ...

    .

    .

    "ก็ถ้าวันทานาบาตะ มึงไม่'มอง'กูตลอดเวลา...น่าดู"

    ไอ้ป้องดึงผ้าห่มปิดหน้า บ่นผมเสียงอู้อี้ว่าแกล้งมัน พอผมจะเดินออกจากห้องมือมันก็กระตุกรั้งผมไว้ก่อน

    "เอานี้ไปด้วย จะได้สะดวกๆ"

    มันยื่นวัตถุบางอย่างลงบนฝ่ามือของผม วัตถุที่คล้ายกันกับของๆเพื่อนสนิทที่ถูกชิงไปเมื่อวาน เพียงแต่ของป้องมันเป็นสีขาว

    แหวนแห่งเทพปัญญา...

    ผมรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในอก 

    แหวนวงนี้สำคัญสำหรับมันมาก แต่กลับเลือกที่จะให้ผมถือโดยไม่กลัวว่าผมจะยึดแหวนมันไว้....การที่ไอ้ป้องถอดแหวนให้ผมแบบไม่ลังเลเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่า

    มันเชื่อใจผม...

    ผมยิ้มน้อยๆก่อนจะเดินออกมาจากห้องพอปิดประตูสนิทก็อดไม่ได้ที่จะเปรยออกมา

    "ถ้ามึงทำแบบนั้นตั้งหากถึงจะเรียกเสมอ เพราะตลอดเวลากูมองแค่มึงนี้หว่า"

    ผมสาวเท้ายาวๆก่อนจะสวมแหวนลงบนนิ้วนางข้างซ้าย รู้สึกแปลกๆนิดๆเวลาจับแฮนด์Carเพราะนิ้วมือไม่เคยชินกับเครื่องประดับแต่ก็เลือกที่จะใส่ตามเดิม ปกติแล้วผมมันจะรำคาญพวกแหวนพวกนี้นะครับ มันทำให้ผมจับแฮนด์ไม่ถนัด

    แต่สำหรับวงที่กำลังใส่อยู่วงนี้...

    ...ถือซะว่าเป็นข้อยกเว้นแล้วกัน

    ผมบิดมากพอสมควรเพราะใจอยากรีบกลับไปดูแลไอ้คนป่วยแสนดื้อต่อประกอบกับวันนี้ถนนโล่งเป็นพิเศษใช้เวลาไม่นานก็ถึงหน้าโรงเรียน 

    ผมยกมือข้างซ้ายโชว์แหวนสีขาวให้น้ายามหน้าโรงเรียนเห็น ก่อนแกจะเปิดที่กั่นรถให้ผมขับเข้าไป ผมขับรถไปจอดบริเวณของพวกคณะกรรมการนักเรียนก่อนจะรีบเดินเข้าตึกไป...ไม่ค่อยแปลกใจนักหรอกครับที่คนในโรงเรียนจะมองเพราะผมใส่แค่ชุดไปรเวทมานิ 

    ผมพยายามเดินลัดเลาะไปเส้นทางที่คนน้อยๆเพราะเริ่มรำคานสายตาและอยากรีบกลับเต็มแก่แล้ว

    ห้องคณะกรรมการนักเรียนอยู่ที่ชั้นเจ็ดตึกเจ็ด ผมกดลิฟต์เฉพาะของพวกกรรมการนักเรียน พอเข้าไปก็เจอกับพวกรุ่นพี่คณะกรรมการ ผมยกมือไหว้ตามมารยาท พวกรุ่นพี่เองก็ยกมือรับไหว้งงๆที่เห็นผมเปิดลิฟต์ตัวนี้ได้และยิ่งประหลาดใจที่เห็นผมสวมแหวนสีขาว แน่นอนว่าผมไม่คิดจะอธิบาย ใดๆทั้งสิ้น สิ่งที่สนใจคือเลขชั้นที่ระบุว่าผมมาถึงแล้ว

    ประธานนักเรียนของโรงเรียนเพลินจิตวิทยาล้วนแล้วแต่มีห้องส่วนตัวของตัวเองร่วมทั้งประธานคนปัจจุบันกาเซียร์ เซซิล
    ผมเดินไปที่หน้าห้องที่เขียนไว้ว่า’กาเซียร์ เซซิล’ พอยกแหวนตรงกับระดับเลเซอร์ตรวจตราประตูก็ค่อยๆเปิดออก

    ผมก้าวเข้าไปด้านใน สภาพภายในห้องนี้ไม่ได้คล้ายห้องทำงานสักเท่าไหร่หรอกนะครับผมรู้สึกเหมือนคอนโดหรูสักยูนิตหนึ่งซะมากกว่า

    "ส..สวัสดีครับ มาหาพี่เซียร์เหรอครับ? "

    ผมยกมือรับไหว้เด็กผู้ชายคนหนึ่งที่อยู่ในห้อง ไม่รู้จักชื่อหรอกนะครับ แต่ถ้าดูจากลักษณะแล้วคงเป็นแฟนของพี่กาเซียร์ น่ารักพอๆกับไอ้ต้องตาแต่ดูใสซื่อและไม่เจ้าเล่ห์เท่าไอ้นั้น

    นิ้วมือเล็กๆชี้ไปทางซ้ายมือ ก่อนปากจะพูดโชว์เขี้ยวข้างเดี่ยวให้ผมดูอีกรอบ

    "เดินเข้าไปหาได้เลยครับพี่เซียร์อบแพนเค้กอยู่ในครัว "

    "อื้ม ขอบใจนะ"

    "ครับ"

    ความจริงๆก็อยากจะคุยต่อนะครับ แต่รีบจริงๆ

    ผมก้าวไปทางซ้ายก่อนจะเปิดประตูเข้าไปด้านใน

    ผู้ชายคนนั้นยืนฮัมเพลงในภาษาที่ผมไม่รู้จัก พอได้ยินเสียงเปิดประตูก็หันมามองผม เขาไม่ได้พูดอะไรไม่มีกระทั้งสีหน้าแปลกใจหรือว่าสงสัยใดๆด้วยซ้ำ

    "สวัสดีครับ คุณกาเซียร์ เซซิล"

    "ดีจ้า ไม่ต้องเรียกเต็มยศก็ได้นะ นั่งก่อนสิ"

    อีกฝ่ายทักทายกลับด้วยท่าที่สนิทสนมก่อนจะปิดแก๊สไฟฟ้าแล้วนั่งลงตรงข้ามกับผม

    "ปลื้มคุงไม่สบายเหรอ?"

    “ปลื้ม ?”

    ผมทำหน้าไม่เข้าใจ ก่อนพี่เซียร์จะคลี่ยิ้มลึกลับออกมา

    “เราหมายถึง ปกป้องนะ หรือจะเรียกว่าป้องคุงก็ได้”

    ผมพยักหน้าก่อนจะพูดต่อ

    "ครับ เขาวานผมนำมาให้นะครับ"

    พี่กาเซียร์พยักหน้าเข้าใจก่อนจะยกส้อมจิ้มลงบนแพนเค้กแล้วเคี้ยวตุ้ยๆเต็มสองแก้ม

    ถ้าไม่ติดว่าคนๆนี้เป็นประธานนักเรียน ผมคงหัวเราะขำไปแล้วละครับกับสภาะพี่มันในตอนนี้

    "คนเรามีหลากด้านเสมอเกียร์คุงนายอาจเห็นแต่ด้านที่เราดูน่าหวาดกลัว แต่ด้านแบบนี้ที่นายไม่เห็นก็มีใช่ไหมล่ะ?"

    "ครับ"

    ไม่ค่อยเข้าใจที่พูดหรอกนะครับ ผมแค่ต้องการรีบกลับ

    "ก้อนกรวด...น่าสนใจตอนไหนเหรอเกียร์คุง?"

    เขาพูดช้าๆ ส้อมในมือซ้ายยังคงถือจิ้มลงไปที่แพนเค้ก

    "ผมไม่ค่อยเข้าใจที่คุณพูดครับ"

    "อ่า...เราพูดเข้าใจยากไปสินะ เอางี้ เกียร์คุง...คิดไงกับป้องอ่า"

    คำถามที่ไม่คาดคิดว่าจะโดนถามดังตอบมา ผมขมวดคิ้วนิดๆก่อนจะตอบคำถามนี้ไป

    "แล้ว...มันเกี่ยวอะไรกับพี่เหรอครับ?"

    พี่กาเซียร์ไม่ได้แสดงสีหน้าโมโหที่โดนย้อนแม้แต่น้อย กลับกัน แกหัวเราะร่วน

    "ก็เปล่าหรอก ก็แค่สงสัยว่าเกียร์คุงจะ'รับ'ไหวรึเปล่า ถ้าสิ่งที่เลือกมันหนักอึ่ง ทั้งๆที่เป็นแค่ก้อนกรวด"

    "ไม่ใช่หรอกครับ"

    "...."

    "จะก้อนกรวด เศษหิน หรือดินปูน ผมก็ไม่สนใจนักหรอกครับ ขอแค่เป็นป้องก็พอ"

    "งั้นเหรอ..."

    แกหลับตาพยักหน้ารับตอบกลับ ผมลุกขึ้นวางกระบอกผังงานเอาไว้ก่อนจะยกมือไหว้

    "ผมขอตัวก่อนนะครับ...อ้อ ถ้าเป็นปกป้อง เขาไม่ใช่ก้อนกรวดหรอกครับ คนๆนี้คือ'ครอบครัว'ของผม มีค่ามากกว่าดาวหรือเดือน"
    "...."

    "ผมหวังว่าคุณกาเซียร์คงเข้าใจและไม่พูดแบบนั้นกับคนในครอบครัวผมอีก เพราะผมไม่ใช่ผู้ชายใจเย็นแบบไอ้ป้อง"

    ผมพูดเสียงแข็งขึ้น รู้สึกไม่ชอบคนๆนี้ไม่รู้เป็นเพราะอะไร แค่พูดถึงไอ้ป้องในทางที่ไม่ดี

    ผมก็ไม่ชอบแล้วล่ะ....

    "จ้าๆ ถามแค่นี้ไม่เห็นต้องทำหน้าเครียดเลย ก็ปลื้..เอ๊ยป้องคุงเขาชอบบอกว่าตัวเองเป็นก้อนกรวดนิหน่า... ฝากบอกป้องคุงด้วยว่าหายไวๆนะ อ้อ ๆส่วน'เรื่องนั้น'บอกไปด้วยว่าพี่อนุญาต"

    พี่กาเซียร์พูดเสียงหวานก่อนจะขยิบตาให้ผม

    "เรื่องนั้น?"

    "อื้ม 'เรื่องนั้น'นั้นแหละ"

    ในเมื่ออีกฝ่ายไม่คิดจะขยายความผมจึงก้าวเดินออกไปจากห้องทิ้งไว้เพียงคำถามที่อยู่ในใจ

    เรื่องนั้นเรื่องไหน...

    กลับไปค่อยถาม(เคลียร์)กับไอ้ป้องและกัน

    ผมเดินออกมาจากนอกห้องครัว เห็นน้องเพลงนั่งดูหนังอยู่ เด็กคนนั้นพอเห็นผมเดินออกมาก็ส่งยิ้มซื่อๆให้

    “อย่าไปถือสาพี่เซียร์เองนะครับ แกชอบหยอกเล่นไปงั้นแหละ”

    น้องมันพูดเบาๆก่อนจะโบกมือให้ผม อาจจะเพราะระยะห่างที่ไม่ไกลกันมากน้องเพลงเลยได้ยินเรื่องที่ผมคุยกับพี่เซียร์

    “ครับ พี่กลับก่อนนะ”

    “โชคดีครับพี่”

    น้องเพลงยกมือไหว้ผม ก่อนจะหันไปสนใจหนังการ์ตูนที่ฉายอยู่ตอนนี้ต่อ

    ผมเดินลงมาจากตึกด้วยเวลาที่ไม่นานนัก ระหว่างทางขากลับก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย

    ผู้ชายหน้าจืดๆคนหนึ่ง โลกส่วนตัวสูงสัสๆ ไม่ค่อยพูดจาอะไรกับใครมากมาย โกรธคนยาก จุดเดือดสูง และไม่เคยมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับใคร ชอบอยู่เงียบๆรักสงบ ไม่มีอะไรน่าสนใจ ชีวิตไม่หวือหวา....

    ก้อนกรวดงั้นเหรอ....

    ถ้ามันเป็นแบบนั้นก็ดีสิครับเป็นแค่ก้อนกรวดธรรมดาและไร้ค่า...

    ผมคงจะได้ไม่ต้องคอยเป็นห่วง...........

    ว่าจะมีใคร....สนใจมัน



    ผมบิดCbrเร็วขึ้นกว่าเก่านิดหน่อย แวะตลาดยามสายหาซื่อข้ามต้มเนื้อปลาให้มันพร้อมๆกับแวะร้านยา ซื่อพวกยาลดไข้แผ่นเจลแปะหน้าผากอะไรพวกนี้ไปเพื่อๆก่อนจะขับกลับบ้าน

    ไอ้ป้องยังนอนอยู่ที่เดิม เพียงแต่ตัวมันร้อนมากขึ้นกว่าเดิม

    “ป้อง”

    ผมสะกิดเรียกมันเบาๆ เจ้าตัวพยักหน้าน้อยๆเป็นสัญญาณว่ารับรู้การกลับมาถึงบ้านของผม

    “กินข้าวก่อนไหม ? กูซื้อข้าวต้มมาฝาก”

    รอบนี้มันส่ายหน้าแทน เหงื่อยังผุดขึ้นมาตามใบหน้า

    ผมเม้มปากแน่น ก่อนจะเดินไปวางถุงข้าวต้มไว้บนโต๊ะเครื่องแป้งแทน สมองก็คิดถึงวิชาสุขศึกษาที่ได้เรียกมาสมัยเด็กๆ ในมือของผมถือกะละมังน้ำที่ผสมกับน้ำอุ่นไว้นิดหน่อยกับน้ำเย็นในห้องน้ำ ผ้าขนหนูพื้นเล็กถูกซับให้หมาดๆก่อนจะเดินกลับมาหาคนป่วยที่เตียง

    ข้อแรก เขาบอกกันว่าให้ลดความร้อนในร่างกายของคนเราเวลาป่วยด้วยการเช็ดตัว

    ผมนั่งลงข้างๆมัน ก่อนจะดึงเสื่อกล้ามสีขาวมันขึ้น คนป่วยสะดุ้งตัวลืมตามองผม

    “ทำ...ไร”

    “จะเช็ดตัวให้ ตัวมึงมันร้อนมาก เข้าใจ๋”

    ไอ้ป้องยอมให้ผมถอดเสื่อดีๆแต่พริบตานั้นมันก็ลืมตาอีกรอบ

    “เกียร์”

    “อะไร”

    มันถลึงตามองผมก่อนจะพูด

    “เสื่อไม่ว่า แต่บ็อกเซอร์กู...ไม่ต้องถอดก็ได้มั่ง”

    “จะเช็ดก็เช็ดทั้งตัวไง มึงจะอายอะไร ถอดโชว์กูมาแล้วก็ยังเคย”

    ไอ้ป้องสะอึก มันพยายามจะแย้งแต่ผมไม่รอมันพูดต่อหรอก

    ขนาดเวลาสบายดีๆปกติไอ้ป้องมันยังสู้แรงผมไม่ได้เลยครับ ไม่ต้องกลัวเลยว่าเวลาป่วยนี้จะขัดขืนไหว สุดท้ายไม่เกินสามนาที่มันก็ลอกคราบเหลือแต่ตัวเปล่าๆ

    ไอ้ป้องพยายามยกแขนสองข้างของมันมากุมป้องน้อยไว้  แต่เพราะขนาดที่ใหญ่เกินไปเลยปิดไม่มิดเท่าไหร่ ผมเห็นแบบนั้นเลยผิวปากแกล้งมัน

    “จะเช็ดก็รีบๆเช็ดดิว่ะ”

    มันสถบพูดออกมารั่วๆ แต่มือทั้งสองข้างยังกุมป้องน้อยไว้

    “มึง”

    “อะไร...”

    “ไม่ได้มาสเตอร์เบสมากี่วันแล้ว”

    หน้าไอ้ป้องที่ตอนแรกแดงอยู่แล้วยิ่งแดงก่ำ มันค้อนผมตาจะหลุดก่อนจะพูดเสียงต่ำ

    “ทะลึ่ง”

    “เอ้า ด่ากูอีก กูพูดเรื่องธรรมชาติ”

    ผมค่อยๆบิดผ้าขนหนูก่อนจะเช็ดใบหน้าซีดๆนั้น มันหลับตาปี๋เพราะไม่คุ้นชินกับสัมผัสแบบนี้ ก่อนมือของผมจะไล่ไปตามเนื้อตัวมัน

    ใบหน้า...

    ลำคอ....

    หน้าอก....

    หน้าท้อง....

    ไล่ลงมาถึงช่วงล่าง….

    ผมรู้ว่าพูดไปคงมันคงไม่ยอมผมแน่ๆ เห็นแบบนั้นผมเลยไขว้แขนของมันทั้งสองข้างเอาไว้

    “เห้ย เกียร์ เล่นเหรี้ยไร ???”

    มันร้องเสียงหลง ตาโตมองการกระทำอุจอาจของผมที่ทำกับมัน ผมไม่สนใจคำประท้วงนั้นโยนผ้าไปข้างๆเตียงก่อนปลายนิ้วจะไล่วนแถวๆหน้าท้อง

    ไอ้ป้องสะดุ้งตัวนิดๆ พยายามจะดึงแขนออกจากมือผม แต่เพราะแรงที่เหลือน้อยยิ่งกว่าน้อยเลยทำให้ดิ้นไปมา สุดท้ายกลายเป็นมันดันตัวลุกขึ้นมานั่งได้แต่ก็ขัดขื่นผมไม่ได้อยู่ดี

    “อยู่นิ่งๆดิ”

    “เกียร์...อย่าเล่นแบบนี้”

    พริบตาเดี่ยวที่ผมคลาดสายตา มือสองข้างที่ผมคิดว่ามีแรงน้อยกว่าผมก็ผลักผมลงไปนอนกับพื้นเตียง ก่อนไอ้ป้องจะขึ้นมาคร่อมผมไว้

    ดวงตาสีดำสนิทมองผมในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มันเอนหน้าลงมากระซิบเสียงเย็นข้างหู 

    “ที่บอกว่าอย่าเล่นแบบนี้นะ...กูบอกเพราะเป็นห่วงมึงหรอกนะ...เกียร์”

    “................”

    “ระวังเหอะ เล่นมากๆ ถ้ากู’อยากเล่น’เมื่อไหร่...มึงอย่าโวยนะ”

    ผมกลืนน้ำลายลงคอ ทั้งสีหน้า แววตาและคำพูดของมันที่พูดออกมาไม่ได้ล้อเล่นแม้แต่น้อย ร่วมทั้งไอ้แรงที่ผลักผมนั้น...มันคืออะไร

    ผมนิ่งเงียบ ไม่กล้าขยับตัวเพราะมันนอนทับแบบนั้นอยู่ ไอ้ป้องเงียบไปนานมากจนกระทั้งผมได้ยินเสียงลมหายใจเข้า-ออกเป็นช่วงๆ...

    หลับไปแล้ว....

    ผมถอนหายใจ ดันคนที่หลับไปแล้วให้ลงจากร่างของตัวเอง ก่อนพลิกตัวให้มันนอนหงาย แล้วห่มผ้าห่มให้ดีๆ

    ใบหน้าของมันยังคงหลับตาสนิท หายใจเข้าออกอย่างสงบ สวยทางกับใจของผมที่ยังเต้นแรงจากเหตุการณ์เมื้อกี้...

    ผมว่าผมเองก็ควรจะเล่นพิเรนท์ๆกับอีกฝ่ายให้น้อยลงแล้วล่ะเพราะกลัวจริงๆว่าถ้ามัน’อยากเล่นจริงๆ’

    ผมจะโดนอะไรบ้าง.... 

    ผมสองมือผมเกาหัวตัวเองหน่อยๆก่อนจะนึกถึงขั้นตอนดูแลคนป่วย

    ก็ข้อสองเขาบอกว่าให้ทำให้คนป่วยมีความสุขนิครับ

    ผมทำผิดตรงไหน..... ?

    ก็เวลาผมทำแบบนี้ที่ไหร่ผมก็มีความสุขทุกที่.... 



    TBC.
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×