ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ____เก็บ....'รัก' ____[Yaoi] [The End] [เปิดจอง!!!!!]

    ลำดับตอนที่ #11 : #11 กาเซียร์ รับน้อง และเสมอกันนะ....

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 663
      4
      8 ก.ค. 57

    #11กาเซียร์ รับน้อง และเสมอกันนะ....


    มื้อเช้าของผมกับมันและน้องปลากะพงทอดกรอบได้จบลงด้วยดี...

    ก็...... จะว่ายังไงดี เอาเป็นว่าตอนนี้มันหายโกรธผมแล้วใช่มั้ยล่ะครับ ? เพราะงั้นก็ไม่มีมีเหตุผลใดๆที่จะไม่ไปโรงเรียนด้วยกัน แน่นอนว่าผมไม่คิดจะลืมเหตุการณ์ครั้งนี้หรอกนะ บทเรียนเลยแหละ

    ทะเลาะกันเนี้ย...ไม่ดีเลยแหะ

    “ป้อง  วันนี้มีงานอะไรอีกป๊ะ ?”

    ผมถามมัน เจ้าตัวชำเลืยงมองผมด้วยสายตาค้อนๆนิดหน่อยก่อนจะตอบ(นานๆที่มันจะแสดงอารมณ์ทางสีหน้า)

    “ไม่กลัวลืมอีกเหรอไอ้สัส”

    “โห ไหนบอกหายโกรธไง อดีตก็คืออดีตดิ”

    “เออๆ แต่วันนี้ไม่ว่างหรอก กูมีงานที่สภานักเรียน วันนี้พี่เซียร์นัดประชุม”

    มันพูดตอบพร้อมเอ่ยถึงบุคคลที่สาม

    กาเซียร์ เซซิล นับเป็นบุคคลอีกคนที่ถ้าเลี่ยงได้ ผมไม่อยากจะเกี่ยวข้องหรือมีปัญหาใดๆ

    ผู้ชายคนนี้ถือสัญชาติสองสัญชาติ เป็นลูกครึ่งไทย-รัสเซียเหมือนๆกับไอ้เด็กนั้น(อย่าถามถึงชื่อมันนะ ผมไม่อยากจำ) เป็นผู้ชายที่กุมอำนาจสูงสุดในเพลินจิตวิทยารองจากผอ.

    ถึงแม้เพลินจิตวิทยาของผมจะมีเจ็ดเทพที่โดดเด่นกันไปคนละด้านก็ตาม แต่ถ้าพูดถึงบุคคลที่เป็นขั้วอำนาจสูงสุดก็ไม่พ้นคนๆนี้เด็ดขาด ถึงขนาดที่ว่ากันว่า ถ้าผู้ชายคนนี้คิดอยากจะมีแหวนประดับนิ้วเจ็ดวงเมื่อไหร่

    ตำแหน่งที่ว่าก็ถ่ายโอนเมื่อนั้น....

    แต่คนๆนี้ไม่ใช่คนโง่ ไม่ว่าจะเก่งขนาดไหน คนๆเดี่ยวก็ยังมีขีดจำกัดหลายๆด้าน นั้นคือสาเหตุที่ท่านประธานคนนี้ไม่คิดจะแย่งตำแหน่งใดๆ

    เพียงแค่คอย’ควบคุม’แบบ’อิสระ’……

    ดึงความสามารถของคนใต้อาณัติให้ออกมาสูงที่สุด มีประสิทธิภาพที่สุด และได้ผลลัทธ์ที่ดีที่สุด

    คนๆนี้คือยอดคนอย่างแท้จริง ....

    ตั้งแต่ผมอยู่เพลินจิตมา ตำแหน่งของประธานนักเรียนเพิ่งถูกผ่านเปลี่ยนมือมาสองคน คนแรกคือพี่’ร่าเริง’ประธานที่มีดีหลายๆอย่าง พร้อมทั้งยังพัฒนาเพลินจิตวิทยาให้ก้าวหน้ามาได้ถึงขนาดนี้

    อีกคนคือคนที่กล่าวมาเบื้องต้น พี่กาเซียร์.....

    ดีกรีความโหดของประธานโรงเรียนผมแต่ละรุ่นจะโดดเด่นแตกต่างกันไป บ้างก็เด่นวิชาการ บ้างเด่นบุ๊น บ้างเด่นบู๊ แต่พี่กาเซียร์นั้นพวกผมจัดเป็นพวกสายผสมครึ่งๆกลางๆ

    ไม่ใช่เก่งครึ่งๆกลางๆ แต่เสือกเก่งทุกด้าน จนไม่เด่นด้านใดด้านหนึ่ง

    ผมเคยกล่าวไปแล้วมั่งเกี่ยวกับรากฐานของเพลินจิตวิทยา ถ้าการแข่งขันของเด็กในโรงเรียนกับพวกนอกโรงเรียนหนักขนาดไหน คูณสิบเข้าไป นั้นแหละการแข่งขันกันภายใน

    .............ก็ไอ้พวกนี้มันกระหายชัยชนะทั้งนั้นนิครับ 

    แต่ถึงอย่างงั้นก็เถอะ ยามสงบเรารบกันเอง แต่ถ้าเมื่อใดที่มีศึกนอก

    เพลินจิตวิทยาจะร่วมเป็นหนึ่ง....

    ไม่แปลกใจเลย ทุกครั้งที่ไปที่ไหนแล้วมีตราโรงเรียนพ.ว.ไปด้วย การโดนมองจากเด็กโรงเรียนอื่นเป็นเรื่องปกติมากจนพวกผมชินกันตั้งนานแล้วล่ะครับ

    “แล้วมึงทำหน้าที่อะไรบ้างว่ะ”

    ถึงจะรู้ว่ามันทำงานในสภานักเรียนด้วย แต่กระทั้งงานที่มันทำผมก็ยังไม่ทราบเลยครับ

    “เลขาฯ คอยจัดการพวกผังงานโรงเรียนอะไรพวกนั้นต่อจากพี่เซียร์นะ”

    “เรียกผู้ชายคนนั้นสนิทปากนิ มึงสนิทกับพี่เขาเหรอว่ะ ?”

    ตั้งแต่อยู่เพลินจิตมา มีไม่กี่คนหรอกครับที่เรียกประธานโรงเรียนเราแบบนั้น

    ไอ้ป้องทำหน้าคิดก่อนจะตอบ

    “อื้ม...ก็นับว่าสนิทกันมากเลยนะ แต่พี่เซียร์เองนั้นแหละเป็นคนบอกให้เรียกแบบนั้น แกบอกว่าเรียกเต็มยศแล้วเขิน”

    มันตอบผมหน้าตาย เพียงแต่ผมไม่คิดว่าคนระดับนั้นจะเขินเป็นหรอกนะ

    “พี่เซียร์นี้เป็นคนใจดีมากนะ แถมยังอ่อนโยนสุดๆอีกต่างหาก เป็นอีกคนที่กูนับถือ เห็นพวกของในห้องไหมล่ะ นั้นพี่เซียร์เป็นคนซื่อมาหมดเลย แกบอกว่าว่างๆจะเข้าไปพักบ้างส่วนตัวดี แต่ตั้งแต่กูมีโซนส่วนตัวก็ไม่เห็นแกจะเข้าไปเลยนะ”

    ผมฟังที่มันพูดแล้วไม่ติดใจคำไหนเท่าครับนี้แล้วครับ....

    “อ่อนโยน ?”

    “อื้ม อบอุ่นมากๆ เหมือนๆพระอาทิตย์ดวงหนึ่งเลยแหละ ยิ่งตอนพี่เขาดูแลน้อง’เพลง’นะ โคตรๆอ๊ะ”

    ผมนึกภาพไม่ออกหรอกนะครับ ว่าคนแบบนั้นจะมีด้านที่อ่อนโยนยังไง เอาเป็นว่าถ้ามีบุญมากพอผมอาจจะได้เห็นก็ว่าได้ แต่ถ้าฟังจากที่มันเล่ามาคนๆนี้ก็ใจดีกับไอ้ป้องจริงๆนั้นแหละเพราะข้าวของในห้องนั้นก็กินราคาร่วมๆเกินห้าหลักก็ว่าได้ ส่วนน้องเพลงที่ไอ้ป้องพูดถึง คือน้องชายแท้ๆของประธานโรงเรียนคู่อริเราครับ....ผมเองก็ไม่รู้รายละเอียดนักหรอกนะว่าไปรักกันได้ยังไง เอาเป็นว่าไม่อยากสอดแล้วกันครับ

    ในที่สุดผมกับมันก็มาถึงเพลินจิตวิทยากันตอนประมาณเจ็ดโมงกว่าๆ....

    “เดี่ยวกูขึ้นไปหาพี่เซียร์นะ”

    “แล้วกระเป๋ามึงอ๊ะ ?”

    ผมชี้ไปที่จาคอปมัน 

    “ค่อยเอาขึ้นไปเก็บก็ได้มั่ง”

    “ฝากกูไปก็ได้นะ”

    ก็กระเป๋ามันไม่ได้หนักอะไรเท่าไหร่เลยนิครับ เบาพอๆกับของผมนั้นแหละ เพราะส่วนใหญ่แล้วจะเก็บของกันไว้ที่ล็อคเกอร์ของโรงเรียนเรามากกว่า เอาไปแค่พวกชีทหรือสมุดที่มีการบ้าน

    ไอ้ป้องทำท่าคิด ก่อนจะยื่นกุญแจล็อคเกอร์มันกับกระเป๋าจาคอปให้ผม

    “เจอกันบนห้อง”

    “เออ ไว้เจอกัน”

    ผมโบกมือลากับมัน  ก่อนจะหนีบจาคอปไว้ทั้งสองข้างแล้ววิ่งขึ้นไปบนตึก เกือบซวยหน่อยๆตอนเลี้ยวมุมตึกแล้วผมเจอบรา
    เทนเดอร์ม.อื่นเดินตรวจตึกอยู่ ดีว่าผมถอดหันก่อนแกจะหันมาเจอ(โรงเรียนผมห้ามใส่รองเท้าขึ้นอาคารเรียนครับ แต่ผมขี้เกรียจ  -  -)

    กระเป๋าหนังจาคอปของไอ้ป้องอยู่ในสภาพที่เรียกได้ว่า‘โทรม’เกินเยียวยา แม้มันจะขัดเช็ดถูอย่างดีจนมันเงาวับก็เถอะครับ แต่เพราะใช้มานานแล้วหนังบางส่วนของกระเป๋าก็หลุดลอกออกไป ผมว่าจะทักมันหลายรอบแล้วล่ะครับเรื่องเสื่อผ้านักเรียนกับพวกของใช้ ทำไมมันไม่เปลี่ยนใหม่สักที่ ทั้งๆที่เงินเดือนของแม่ลีลาวดีก็สูงพอๆกับพ่อผม เรียกได้ว่าใช้จ่ายได้สบายๆ แต่มันกลับประหยัดจนเกินเหตุ ผมสังเกตดูแล้วล่ะครับ ป้องมันไม่ใช่พวกงกเกินเยียวยา แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงไม่ยอมเปลี่ยนของใช้ส่วนตัวพวกนี้สักที่

    สงสัยไว้ค่อยถามตอนกลับบ้านวันนี้แล้วกันครับ....

    ผมหนีบจาคอปสองข้างมาถึงห้องเรียน ในห้องมีพวกเพื่อนๆผมอยู่เกือบๆครึ่งห้องเห็นจะได้ ไอ้พวกทโมนพวกนี้มันจะแบ่งสังคมกันอยู่ชัดเจนครับ พวกเรียนๆหน่อยก็ด้านหน้านั่งอ่านหนังสือ ส่วนพวกผมก็เตะบอลกันบ้างเล่นบอร์ดกันบ้างด้านหลังห้อง จะว่าไปแล้วเร็วๆนี้จะมีงานบอร์ดนี้หว่า(ดีนะเห็นพวกมันเล่นบอร์ดแล้วนึกขึ้นได้)

    “กระเป๋าใครว่ะไอ้เกียร์”

    ไอ้อู๋เหลือบตามองทักผม ก่อนจะหันไปสนใจหน้าจอของมันต่อ ขอบคุณนะครับเพื่อนรักที่ยังอุส่าห์เหลือบตามองว่ากูมาถถึงห้องเรียนแล้ว

    “ของไอ้ป้อง”

    “ห๊ะ มึงบอกว่าของใครนะ ?”

    รอบนี้ไอ้อู๋ชะงักก่อนจะหันมาสนใจผมเต็มตา 

    “ของไอ้ป้อง ปกป้อง เกียรติ์ติยานันท์ จะให้เอาเบอร์โทรให้ด้วยไหม ?”

    “ไม่ใช่ๆ ประเด็นคือ มึงไปสนิทกับมันตอนไหนว่ะ กูไม่เห็นจะรู้เลย”

    มันว่า แต่ผมยักไหล่ไม่สนใจจะตอบคำถามมันเพราะนึกไม่ออกเหมือนกันว่าสนิทกันตอนไหน 

    เอาเป็นว่ารู้ตัวอีกที่ก็นับแมร่งเป็นเพื่อนสนิทอีกคนของผม ณ ตอนนี้แล้วอ๊ะครับ

    ผมไขกุญแจล็อคเกอร์ของมันก่อนจะยัดจาคอปเข้าไป สายตาผมพลันเหลือบมองไปเห็นสมุดสีเทาปกแข็งเล่มหนึ่งที่ไม่ใข่สมุดเรียนของโรงเรียนผม สงสัยจะเป็นพวกสมุดย่อยของมันล่ะมั่งครับ ?

    ผมกวาดสายตามองล็อคเกอร์ของมัน นอกจากจะเป็นระเบียบกว่าของผมแล้ว ยังมีตารางปฎิทินเล็กๆแปะอยู่ตรงประตูล็อคเกอร์ด้านใน ของเดือนนี้ล่ะครับเพียงแต่มันจะมีรอยดินสอดำๆเขียนทุกๆวันอาทิตย์แบบอาทิตย์เว้นอาทิตย์ ผมเห็นแค่เครื่องหมาย ‘ + ‘ นอกจากนั้นก็ไม่เห็นมันจะเขียนอะไรกำกับไว้เลย ของเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมานี้เป็นเครื่องหมาย ขีดเล็กๆสองเส้นเขียนต่อกันเหมือนเครื่องหมาย = ...

    แล้วไอ้เครื่องหมาย + กับ =  นี้มันแปลว่าอะไรว่ะ ???

    เย็นนี้คงได้มีคำถามหลายคำถามซะแล้วล่ะมั่งครับ จะว่าไปแล้ววันอาทิตย์มันก็ไม่ค่อยอยู่บ้านจริงๆนั้นแหละ....

    แปดโมงครึ่งเริ่มต้นเรียนวิชาประวัติศาสตร์ ไอ้ป้องขึ้นมาก่อนมิสอรทัยเข้าสอนนิดหน่อย มันหันมาทำปากขอบคุณผมตอนที่มาเอากุญแจไขล็อคเกอร์เอาจาคอปก่อนจะกลับไปนั่งที่นั่ง สุดท้ายความสนใจของมันทั้งหมดก็หันไปจนใจหน้ากระดาน

    สวนทางกับสายตาของผมที่เหลือบมองมันเป็นระยะๆ....



       
       :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:





    “ไอ้เกียร์”

    “เออๆ”

    ผมยกมือรับเสียงเรียกชื่อตัวเองก่อนจะเดินไปเอาป้ายชื่อเล่นสีเหลืองอ๋อยที่เขียนไว้ว่า ‘เกียร์’จากไอ้ปั๊ก หัวหน้าห้องผม มันยื่นมาให้ก่อนจะขานป้ายชื่อเรียกคนต่อไป

    ตอนนี้เลิกเรียนแล้วครับ พวกผมกับเพื่อนมานั่งรอกันในห้องประชุมเล็กของสายศิลป์-ญี่ปุ่น รอพี่ๆและเซนเซมาเตรียมรับน้อง รู้สึกข่าวกรองที่ว่า ‘เปียก’ นี้คงไม่เกินจริงสักเท่าไหร่ ประมาณการได้จากพี่คนส่งน้ำแข็งที่มาส่งให้พวกรุ่นพี่ผมแล้วสี่กระสอบ...

    วันนี้คงมีคนได้เปียกจริงๆแหะ....

    ไอ้ปั๊กแจกป้ายชื่อให้เพื่อนๆจนครบ ก่อนน้องม.สี่จะเดินเข้ามาด้านในห้อง เซฯเตอร์ครูสอนภาษาญี่ปุ่นบอกให้พวกน้องๆนั่งข้างๆพวกผมครับ ผมเห็นต้องตาหันหน้ามายกมือไหว้ก่อนจะยิ้มน้อยๆให้ผม น้องต้องครับ...มึงไม่น่าเกิดเป็นผู้ชายเลยจริงๆ จะใสไปถึงไหนเนี้ย!!!

    “อ้าว ไหนน้องคนไหนจะหาพี่รหัสตัวเองไม่เจอบ้าง”

    เซเตอร์ถามขึ้น

    ก็มีบ้างส่วนนั้นแหละครับที่หาพี่รหัสของตัวเองไม่เจอ เพราะแม้บางคนจะตั้งชื่อรหัสพร้อมคำใบ้ง่ายๆ แต่ไอ้พวกที่ตั้งยากๆก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มี

    ผมเห็นน้องมอสี่หลายๆคนยืนขึ้นพร้อมเพื่อนผมบางคนร่วมทั้งไอ้อู๋(ไม่ใช่ว่ามันหาไม่เจอหรอกนะ มันไม่หาต่างหาก มั่วแต่นั่งเล่นโน๊ตบุ้คลูกมันอยู่ - - )

    “ใครที่หาพี่รหัสไม่เจอแยกมายืนข้างหน้าเลยนะ กฎข้อเดี่ยวคือห้ามขัดขืนพี่ๆรหัสเด็ดขาด!!!”

    เซเตอร์พูดขึ้นก่อนรุ่นพี่พวกผมจะยิ้มกริ้ม อื้ม...ได้แกล้งรุ่นน้องนี้ไม่ว่าใครก็คงจะมีความสุขกันทั้งนั้นสินะ สินะ สินะ (ยกเว้นคนถูกแกล้ง.....)

    และแล้วการรับน้องของพี่ๆก็เริ่มต้นขึ้น

    แป้งมันที่พวกผมชอบเล่นกันตอนสงกานต์ถูกผสมกับน้ำเย็นเจี๋ยบบบบบบบบ ก่อนจะไล่แปะหน้าน้องๆแต่ละคน พี่ๆแก๊งนางฟ้าเองก็ใช่ย่อย เดินเอาน้ำแข็งใส่เสื่อพวกผม เน้นๆทั้งน้ำแหละเนื้อ (เหรี้ยเอ๊ย น้ำแข็งแมร่งไหลลงเกงใน....)

    ผมกับเพื่อนๆร่วมทั้งรุ่นน้องโดนละเลงหน้าจนพอใจ(พี่ๆและเซนเซที่รัก) ก่อนสถานการณ์จะกลับสู่ความสงบสุขอีกครั้ง หันไปมองหน้าแต่ละคนนี้ดูไม่จืดเลยครับ ผมโดนเขียนปากด้วยลิปสติกสีชมพูแปร๊นอีกต่างหาก-*- ไอ้เฟรมไอ้อู๋โดนหนักพอๆกันกับผม
    พอหันไปมองไอ้ป้องที่นั่งแถวๆริมหน้าต่างผมเห็นหน้ามันทั้งหน้าโดนละเลงด้วยแป้ง .... เอิ่มนะ ปกติหน้ามันก็จืดสนิทอยู่แล้วนะครับ พอแต่งแบบนี้แมร่งยิ่งโคตรจืดเลย ตาเรียวสองข้างก็มีแป้งมันวงอยู่รอบๆดวงตา จมูกถูกป้ายด้วยลิปสติก

    ....

    ..

    .

    แต่ก็น่ามองอยู่ดี.....


    “เกมต่อไป ขอให้น้องๆม.4กับม.5จับคู่พี่รหัสน้องรหัสกันค่า”

    พี่หัวหน้าแก๊งนางฟ้าพูดเสียงหวานเซ็กซี่(แต่ฟังแล้วพวกผมสยองปนเซ็กเสื่อม)ออกมา ก่อนพวกผมจะขยับตัวนั่งตามคู่กับน้องรหัสของตัวเอง ไอ้ป้องไปนั่งกับไอ้เด็กนั้นแถวเดี่ยวกันกับผมแต่ถัดไปจากไอ้อู๋และไอ้เฟรม ผมเห็นไอ้อู๋เหลือบมองน้องรหัสผมแปลกๆ ส่วนไอ้ต้องตาเองก็ยิ้มกระล่อนออกมา

    นี้กูพลาดอะไรอีกรึเปล่าว่ะ ???

    “เกมนี้จะให้น้องๆทุกคนทำยังไงก็ได้ ให้ควานหาเหรียญห้าสิบสตางค์จากในถังน้ำแข็งนี้ คู่ไหนที่ทำได้ภายในเวลาที่กำหนดพี่ๆจะมีรางวัลให้นะค่า”

    พี่คนเดิมพูดขึ้นอีกครั้งก่อนจะผายมือไปทางถังน้ำแข็งสีส้มที่ด้านในบรรจุน้ำแข็งไว้เต็มอัตรา ก่อนพวกต้นแถวแต่ละคู่จะเริ่มออกไปล้วงน้ำแข็ง คู่ไหนโชคดีหน่อยล้วงครั้งเดี่ยวก็เจอครับ พวกไหนโชคร้ายล้วงเป็นสิบแมร่งก็คว้าได้แต่เหรียญบาท(สมน้ำหน้านิดๆ  เห็นพวกมันยืนกันฟันกันเพราะความเย็น)

    จนกระทั้งมาถึงคู่ไอ้ป้องกับน้องรหัสมัน   

    ไอ้ป้องเดินไปยื่นอยู่หน้าถังน้ำแข็งกับน้องรหัสมัน ผมเห็นไอ้เด็กนั้นพูดอะไรนิดหน่อยก่อนพี่ม.หกจะพูดต่อ

    “พี่นับสาม สอง หนึ่งแล้วล้วงเลย พร้อมนะ”

    มันกับน้องมันพยักหน้า ก่อนพี่ๆจะเริ่มนับ

    “สาม สอง หนึ่ง เริ่ม!!!”

    พอสิ้นสุดคำว่าหนึ่ง วงแขนของไอ้ป้องก็พุ่งเข้าหาถังน้ำแข็งพอๆกับไอ้เด็กประกายแสงนั้น ผมเห็นมันนิ่วหน้าเหมือนเจ็บปวดอะไรสักอย่าง แต่มื่อทั้งสองข้างก็ยังควานหาเหรียญต่อไป จนผ่านไปสัก10วิ มันก็ควานหาเหรียญห้าสิบสตางค์เจอพร้อมๆกับน้องรหัสของมัน

    ไอ้ป้องรีบชักมือออกจากถังน้ำแข็งก่อนจะสะบัดไล่น้ำแข็งที่เกาะตามแขน ผมเห็นมันกัดฟันนิดๆก่อนจะเห็นว่าปลายนิ้วมันมีเลือดไหลออกมาซิบๆ ให้ผมเดาจังหวะที่มันแทงลงไปคงจะบาดกับเกร็ดน้ำแข็งพวกนี้(เห็นเป็นเกร็ดเล็กๆแต่มันคมนะครับ พุ่งไปอาจนิ้วส้นได้เลยด้วยซ้ำ)

    ไอ้ป้องเบ้ปากเบะก่อนจะลองขยับนิ้วข้างนั้นขึ้นลงดู ผมเห็นคิ้วมันกระตุกตอนลองขยับดู

    คงจะเคล็ดจริงๆแหะ...

    ผมกำลังจะเดินไปถามแล้วครับว่าเป็นไงบ้าง แต่ไอ้เด็กนั้นไวกว่าผม...

    "โทษนะครับพี่ป้อง เจ็บหน่อยนะครับ"

    มันจับมือไอ้ป้องก่อนจะพูดขออนุญาต ไอ้ป้องพยักหน้าตกลงก่อนมันจะดึงนิ้วไอ้ป้องดัง'กร็อบ'ผมเห็นมันเบ้ปากน้ำตาเล็ด

    ไอ้อยู่ใกล้แล้วช่วยนะ ไม่ใช่เรื่องแปลก

    แต่จับมือไอ้ป้องเกิน5นาที่แล้วเนี้ย...คืออะไร?

    "ปล่อยมือเพื่อนกูได้แล้วมั่ง"

    ผมบอกต้องตาว่าเดี่ยวมาก่อนจะเดินไปใกล้ๆแล้วพูดลอยๆแต่จงใจกระแทกแดกดัน ไอ้แสงแสยะยิ้มใส่ผม แต่ก็ยอมปล่อยมือแต่โดยดี

    "ผมก็แค่'เป็นห่วง'พี่ป้องนะครับ"

    มันพูดยิ้มๆกลั่วเสียงหัวเราะ

    "ขอบใจนะน้อง แต่เพื่อนสนิทกู กูดูแลได้ครับ"

    ผมยิ้มหวานพูดตอบเอื้อมแขนไปโอบไหล่มันหลวมๆก่อนจะเดิน(ลากไอ้ป้อง)ไปนั่งรอตรงเก้าอี้พลาสติก

    "มึงเนี้ยนะ..."

    ผมจุ๊ปากบ่นมัน ไอ้ป้องเอียงคอนิดๆก่อนจะถาม

    "กูทำไมว่ะ..."

    มันทำหน้าเหมือนเด็กเล็กๆที่ไม่เข้าใจคำถามของผม ในหน้าเปื้อนแป้งมันเม้มปากนิดๆ

    นอกจากหน้าจะจืดแล้วยังดูเอ๋อๆอีกต่างหาก

    แต่ก็น่ารักไปอีกแบบล่ะนะ...

    "เอาเป็นว่า นั่งรอกูตรงนี้ก่อน แล้วนิ้วหายเคล็ดยัง"

    "รู้ด้วยเหรอว่านิ้วเคล็ด?"

    "รู้ดิก็มอ..."

    กึก...

    ก็จะให้บอกไปยังไง...

    ว่าสายตามันพาลมองอยู่เรื่อยๆ

    ทั้งๆที่ไม่ใช่จุดพักสายตาเหมือนในห้อง แต่สายตาเจ้ากรรมดันทรยศ มองหาแต่คนอีกคนคอยแต่จะชำเลืองมองว่าไอ้คนยิ้มยากคนนี้จะแอบหลุดยิ้มมาตอนไหนสักตอนรึเปล่า

    ก็แค่นั้นเอง....

    "ก็อะไร"

    ผมนั่งหันหน้าไปหามันก่อนจะตอบ

    “ก็เห็นตอนไอ้ประกายแสงมันดันนิ้วให้”

    “อื้ม....”

    ไอ้ป้องรับคำผมด้วยท่าที่นิ่งๆก่อนจะคอตก...

    แล้วทำไม’อื้ม’ของมึงต้องเสือกทำเสียงเศร้าๆด้วยว่ะ...แล้วไอ้ใบหน้านั้นมันคืออะไร ทำหน้ายังหมาถูกทิ้ง....

    แล้วทำไม....ผมถึงไม่อยากเห็นหน้ามันเศร้าว่ะ....

    “ก็มองอยู่....”

    ผมพูดลอยๆ ไอ้ป้องยกคอขึ้นก่อนจะถาม

    “อะไรคือมองอยู่”

    ทำไมจะต้องให้อธิบายว่ะ....

    “ก็ที่มึงถามกูว่ารู้ด้วยเหรอที่นิ้วเคล็ดนะ ก็กู’มอง’อยู่ แล้วทำไมถึงจะไม่เห็น....”

    ใบหน้าสลดของมันแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม ไอ้ป้องยกมุมปากขึ้นนิดๆก่อนจะพูดต่อ

    “งั้นก็เสมอกันสินะ”

    “อะไรเสมอ?”


    ผมเริกคิ้วขึ้นนิดๆไม่เข้าใจคำพูดของมัน มันลุกขึ้นยืนหันหน้าไปทางอื่นก่อนจะพุดประโยคบางประโยค...


    ที่ทำให้ผม...หัวใจพองโตแปลกๆ....



    “ก็มึงมองกูเหมือนๆกับที่กูมองมึงไง....”



    From  now  on, It’s  the  beginning  of  two  hearts
    That’s  re-union  into  one.  Walk  together  with  hand  in  hand
    And  fill  the  heart  with  love  and  understand.#ปกป้อง


    TBC.
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×