[SNSD] ด้วยรัก (TaeNy) - [SNSD] ด้วยรัก (TaeNy) นิยาย [SNSD] ด้วยรัก (TaeNy) : Dek-D.com - Writer

    [SNSD] ด้วยรัก (TaeNy)

    ความรักของคนสองคนบางครั้งแค่รักมันอาจจะไม่พอ......

    ผู้เข้าชมรวม

    2,051

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    2.05K

    ความคิดเห็น


    6

    คนติดตาม


    13
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  26 ส.ค. 56 / 15:48 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น


    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ฉันรู้ว่าการที่เราจะรักใครสักคนหนึ่งมันเกิดจากองค์ประกอบหลายๆอย่าง เริ่มแรกแม้แต่ตัวเราเองก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องรักคนๆนี้ทั้งๆที่มีคนมากมายเข้ามาในชีวิต แต่ก็ต้องเป็นคนนี้เท่านั้นที่เราจะเลือก ไม่ต่างอะไรจากฉันที่รักเธอ รักเธอตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ ทั้งๆที่หาเหตุผลไม่ได้ รู้แค่ว่ามีความสุขที่จะรักเพราะเหตุนี้มั้งเมื่อไรก็ตามที่เกิดคำถามขึ้นในใจ ฉันก็แค่ตอบตัวเองว่า เพราะฉันรักเธอ เหตุผลของฉันก็แค่รักเธอ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้น ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่เกิดความคิดแบบนี้ขึ้น แค่ความรักอย่างเดียวมันจะเพียงพอที่จะเป็นเหตุผลหรือเปล่า หรือเพราะตัวฉันเองกำลังเปลี่ยนไป?

      “ตอนอยู่ไทยไม่มีสัญญาณโทรศัพท์หรือไงถึงไม่ติดต่อกันบ้าง?”

      “แทยุ่งมากๆเลยต่างหากล่ะ ฟานี่เข้าใจกันหน่อยสิ” ฉันในตอนนี้ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรา ทำไมถึงได้น่าอึดอัดและน่าเบื่อขนาดนี้

      “ฟานี่เข้าใจแทเสมอ แต่แทเองมากกว่าที่ไม่เข้าใจอะไรเลย” พักหลังๆมาทิฟฟานี่มักจะพูดด้วยประโยคแนวนี้เสมอเวลาทะเลาะกัน ใช่! ช่วงนี้เราทะเลาะกันบ่อยมากโดยที่ฉันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องทะเลาะกันด้วยในเมื่อเรื่องที่เป็นประเด็นมันไม่ได้ใหญ่โตอะไรเลย

      “แทมีเวลาเล่นอินสตราแกรม แต่ไม่มีเวลาคุยกับฟานี่ แม้แต่ข้อความสั้นๆส่งมาบอกกันสักหน่อยว่าถึงแล้วปลอดภัยดี ก็ไม่มี ฟานี่รู้ว่าแทถึงประเทศไทยเพราะรูปที่แฟนคลับโพสต์ แล้วจะให้ฟานี่คิดยังไง?” เธอพูดไปน้ำตาใสๆที่คลอเอ่อก็เริ่มไหลออกมา ฉันไม่ชอบเลยที่เห็นเธอร้องไห้ ไม่ชอบเลยเสียงประชดประชันของเธอแบบนั้น แต่ตอนนี้ฉันกลับรู้สึกว่าอยากออกไปจากตรงนี้เหลือเกิน ไปไหนก็ได้ที่ไม่ใช่หอพัก ไปไหนก็ได้ที่จะไม่เห็นหน้าของทิฟฟานี่ในตอนนี้

      “แทมีงานอย่างอื่นที่ต้องทำ” ฉันพูดแค่นั้นเพราะไม่อยากให้เธอต่อความให้มาก ฉันเดินออกมาจากห้องที่ครั้งหนึ่งฉันเคยคิดว่ามันจะเป็น “ห้องของเรา” แต่ตอนนี้ฉันกลับไม่อยากนั่งอยู่ในนั้นแม้แต่วินาทีเดียวเลย ฉันเดินออกมาก็เห็นซูยองและยุนอานั่งดูทีวีอยู่ข้างนอก ทั้งสองมองมาที่ฉันแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร คงจะได้ยินเสียงฉันกับทิฟฟานี่ที่เถียงกันในห้องแล้วล่ะ เพราะงั้นสองคนนั้นจึงไม่เอ่ยอะไรกับฉัน

      “ฉันจะออกไปข้างนอกวันนี้อาจจะไม่กลับหอฝากบอกพี่ผู้จัดการด้วย” ฉันสั่งกับทั้งสองซึ่งซูยองและยุนอาก็ทำได้แค่พยักหน้ารับเท่านั้น ฉันเดินออกมาจากหอโดยไม่หันกลับไปมองอีกเลย ตอนนี้ฉันนั่งอยู่ที่ตำแน่งคนขับบนรถสปอร์ตคันหรูที่เป็นความชอบส่วนตัวของตัวเอง ฉันขับไปโดยไร้จุดหมาย จะให้มีที่ไหนอีกนอกจากหอพักที่ฉันจะพักพิงได้เพราะฉันเป็นเด็กต่างจังหวัด ที่ๆฉันใช้พักกายและพักใจก็มีแต่หอพักเท่านั้น แต่บัดนี้มันทำให้ฉันเบื่อและอึดอัด ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเป็นเพราะสภาพแวดล้อมหรือคนกันแน่ที่ทำให้เบื่อได้ขนาดนี้

                      ฉันขับรถออกมานอกเมืองได้สักพักแล้ว ตอนนี้สองข้างทางมีแต่ต้นไม้ ฉันยังไม่อยากจะกลับหอตอนนี้หรอกนะ โทรศัพท์ที่ปกติจะเปิดตลอดบัดนี้กลับปิดเงียบสนิทฉันก็แค่ต้องการจะอยู่คนเดียวเงียบๆ คิดอะไรๆหลายๆอย่างที่ประดังเข้ามา แต่เรื่องหลักๆก็คงไม่พ้นเรื่องเธอคนนั้น แค่คิดก็ทำให้หัวคิ้วทั้งสองชนกันแล้ว ทำไมต้องรู้สึกเบื่อเธอคนนี้ขนาดนั้นด้วยในเมื่อฉันก็ยังรักเธอ ทำไมต้องอึดอัดกับเธอเวลาเธอถามคำถามที่แม้แต่ตัวเธอเองก็น่าจะรู้คำตอบ มันเกิดอะไรขึ้นกับฉันกันแน่นะ

                      ขับรถมาได้ไม่นานก็เริ่มเจอไฟสว่างบ่งบอกให้รู้ว่าเธอคงเข้ามาในเขตตัวตำบลที่ไหนสักที่แน่ๆเลย แล้วตอนนี้ท้องเจ้ากรรมก็ดันหิวซะนี่ คงต้องแวะหาอะไรข้างทางกินเสียแล้ว ออกมาไกลขนาดนี้คงไม่มีใครจำเธอได้อยู่แล้วล่ะ คิดได้ดังนั้นสายตาก็กวาดมองหาร้านอาหารข้างทางเพื่อจะบรรเทาความหิวของตัวเองในคืนนี้ ไม่นานก็เจอเข้ากับร้านบะหมี่ธรรมดาๆ จึงเลี้ยวรถแวะเข้าไป เมื่อหาที่จอดรถได้ สองเท้าจึงก้าวออกมาจากรถหรูแล้วเดินตรงมายังร้านที่เป็นเป้าหมายตั้งแต่แรก

      “ขอบะหมี่ชามนึงค่ะ”

      “จ้า รอสักครู่นะ มุนยองเอาน้ำมาเสิร์ฟพี่เขาหน่อยสิลูก” แม่ค้าที่ฉันพึ่งจะสั่งบะหมี่ร้องเรียกให้เด็กตัวน้อยที่คาดว่าจะเป็นลูกสาวของเธอเอาน้ำมาเสิร์ฟให้ฉัน ใช่เด็กน้อยเดินเอาน้ำมาเสิร์ฟแล้วมองหน้าฉันอย่างงงๆ ฉันที่เห็นสีหน้าแบบนั้นก็นึกขำ คงกำลังนึกอยู่แน่ๆว่าเคยเห็นฉันหรือเปล่า

      “พี่ใช่พี่แทยอนโซนยอชีแดหรือเปล่าคะ?”

      “ไม่ใช่หรอกจ๊ะ แค่หน้าเหมือนเท่านั้น” ฉันตอบแล้วยิ้มไป เด็กน้อยคงหายสงสัยแล้วมั้งถึงได้ยิ้มตอบฉันมาแบบนั้น เท่าที่สังเกตตอนนี้ในร้านมีฉันแค่คนเดียวที่เป็นลูกค้า จึงไม่แปลกถ้าเด็กน้อยคนนี้จะยังคงยืนมองฉันอยู่

      “มุนยองมากวนอะไรพี่เขาลูก ไปๆ ไปเอาคิมบับที่แม่ทำเสร็จไปให้พ่อไป”

      “ค่าแม่” แม่ค้าคนเดิมเดินเอาชามบะหมี่มาเสิร์ฟให้ฉันแล้วกึ่งสั่งกึ่งบอกให้หนูน้อยเอาคิมบับไปให้พ่อของเธอ ฉันมองตามเด็กน้อยไปแต่ก็ต้องตกใจ พ่อของหนูน้อยในความคิดของฉันคงจะเป็นผู้ชายที่กำลังทำงานเหนื่อยๆจนไม่มีเวลาทานข้าว แต่ไม่ใช่ เขาเป็นเพียงแค่รูปแค่รูปภาพเท่านั้นแสดงว่า......

      “พ่อของมุนยองเขาตายไปสองปีแล้วล่ะค่ะ เขาตายเพราะโรคร้าย”

      “จะว่าอะไรไหมคะ ถ้าฉันอยากจะรู้ว่าเขาตายเพราะโรคอะไร?” ฉันรู้ว่ามันไม่เป็นการสมควรเลยที่ถามไปแบบนั้น แต่อะไรไม่รู้ที่ดลใจฉันให้ถามคำถามนี้

      “เขาทำงานหนักมาก ไม่มีเวลาพักผ่อน จนสุดท้ายมาตรวจเจอว่าเป็นมะเร็งในลำไส้ก็สายเกินเยียวยา ฉันโกรธเขามาก เพราะเขาที่ทำให้ฉันและมุนยองต้องอยู่กันสองคน แต่ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วล่ะค่ะ”

      “หมายความว่ายังไงเหรอคะ?” ฉันถามออกไปเพราะอะไร? และเข้าใจอะไร หญิงสาวยิ้มตอบแล้วมองไปที่รูปของสามีที่บัดนนี้สิ้นลมแล้ว

      “เพราะว่าเขารักฉันและมุนยองมาก เขาถึงได้ทำแบบนั้น ตอนเขามีชีวิตอยู่เราทะเลาะกันทุกวันในเรื่องความบ้างานของเขา จนฉันมารู้ทีหลังว่าเขารู้นานแล้วว่าตัวเองมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน เขาใช้เวลาที่เหลือทั้งหมดพยายามทำงานและเก็บเงินเพื่อฉันกับมุนยอง” ฉันได้ฟังดังนั้นก็ถึงกับอึ้ง เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับคนเราได้จริงๆด้วยหรือ ฉันได้แต่คิดว่าเรื่องร้ายๆแบบนี้ไม่น่าเกิดกับครอบครัวนี้เลย

      “ฉันก็ได้แต่มาโทษตัวเองทีหลัง ถ้าเพียงฉันเข้าใจ เขาสักนิด ชีวิตที่เหลืออยู่ของเขาคงจะมีความสุขมากกว่านี้” ฉันมองหน้าของหญิงสาว บัดนี้ทั้งสองตาที่มีรอยยิ้มในตอนแรกก็เริ่มมีน้ำใสๆคลอเอ่อ ฉันมองเธอคนนี้แต่ใจกลับคิดถึงอีกคนที่หอพัก เหมือนฉันจะคิดออกแล้วว่าฉันลืมอะไรไป

      “ฉันเข้าใจก็ต่อเมื่อตอนเสียเขาไปแล้ว ถ้าคุณมีคนที่สำคัญอยู่ตอนนี้ อย่าปล่อยให้เวลาล่วงเลยนะคะ คนเราคู่กันคำว่ารักคำเดียวมันไม่พอหรอกค่ะ ต้องเข้าใจในสิ่งที่คนรักเป็นด้วย” เธอมองฉันยิ้มๆก่อนจะเดินไปหาลูกสาวที่กำลังจัดเรียงจานคิมบับต่อหน้าพ่อของเธอ ฉันว่าตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว เป็นเพราะฉันคิดเองอยู่ฝ่ายเดียวว่าทิฟฟานี่ต้องเข้าใจฉัน แต่ตัวเองกลับไม่เคยเข้าใจในตัวของทิฟฟานี่เลย ฉันนี่มันน่าโดนด่าจริงๆ คิดได้ดังนั้นก็รีบทานบะหมี่ตรงหน้า ในเวลาไม่นานบะหมี่ตรงหน้าก็หมดอย่างรวดเร็ว ฉันจ่ายเงินก่อนจะเดินไปหาเด็กน้อยที่นั่งทำการบ้านอยู่ตรงโต๊ะมุมในของร้าน

      “มีกระดาษกับปากกาไหม พี่ขอยืมหน่อยสิ”

      “มีค่ะ นี่ไงคะ” เด็กน้อยยื่นกระดาษและปากกามาให้ฉัน ฉันจึงบรรจงเขียน ซึ่งเด็กน้อยคงจะงงไม่น้อยที่อยู่ดีๆฉันก็เข้ามาขอ

      “อ่ะ เสร็จละ เป็นเด็กดีนะ มุนยอง” ฉันยื่นกระดาษและปากกาคืนให้เธอก่อนจะเดินออกมาจากร้าน เด็กน้อยมุนยองมองมาที่กระดาษที่ได้รับจากพี่สาวแปลกหน้า

      มุนยอง

                      เป็นเด็กดีและตั้งใจเรียนด้วยนะ อีกอย่างดูแลแม่ดีๆด้วยหล่ะ

                                                                                                                                                     คิมแทยอน

                                                                                                                   

                      ฉันขับรถออกมาจากร้านบะหมี่นั้นได้สักพักแล้ว ตอนนี้ในใจฉันมีจุดหมายเดียวคือกลับหอพัก กลับไปหาเธอคนนั้น คนที่ฉันสมควรจะขอโทษและขอให้เธออภัยให้มากที่สุด คนที่เป็นห่วงฉันทุกครั้งที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน คนที่เฝ้ามองฉันตลอดเวลาว่าโอเคไหม คนที่ถามฉันทุกครั้งว่าเป็นอะไรในขณะที่ไม่มีใครสังเกตเห็น คนที่เฝ้ารอฉันเสมอเวลาฉันยังไม่กลับถึงหอไม่ว่าจะดึกแค่ไหนก็ตาม                                    
      คนๆนั้นคือเธอนะ
      ทิฟฟานี่

                      ฉันกดรหัสผ่านของหอพักก่อนจะเปิดประตูเข้ามา ตอนนี้ก็ยังไม่ดึกมากเพราะฉะนั้นสมาชิกบางคนจึงยังไม่นอน ฉันเห็นยุนอาและซูยองที่ยังคงนั่งดูทีวีอยู่ที่เดิม จะมีมาเพิ่มใหม่ก็เห็นจะเป็นซันนี่ที่นั่งกินอะไรอยู่ก็ไม่รู้แต่สายตายังจับจ้องที่ทีวีไม่ห่าง

      “อ้าวไหนพี่บอกไม่กลับไงวันนี้?” แล้วก็เป็นยุนอาที่เอ่ยถามฉันทำให้สิ่งมีชีวิตที่นั่งดูทีวีอยู่หันมามองตามๆกัน

      “ก็กลับมาแล้วนี่ไง ว่าแต่ฟานี่ยังอยู่ในห้องไหม” ฉันถามถึงอีกคนที่ทำให้เธอเสียใจในวันนี้

      “ยังไม่ยอมออกมาเลย นี่พี่สิก้าก็พึ่งเข้าไปตามให้ออกมากินข้าว แต่ยังไม่ออกมาเลยทั้งคู่” ยุนอาบอกแล้วมองเข้าไปในห้องของเธอ ฉันได้ยินแบบนั้นความรู้สึกผิดก็เข้ามาเหมือนพายุอีกลูก นี่เธอยังไม่ได้ทานข้าวด้วย เพราะความโง่ของฉันแท้ๆ

      “อืม ขอบใจมากยุน” ฉันบอกน้องรองก่อนจะทำใจแล้วเดินไปหน้าห้องของเธอ เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆประตูห้องก็ได้ยินเสียงของเจสสิก้าที่คุยกับเธออยู่ เธอคงกำลังปรับทุกข์กับเจสสิก้าเรื่องของฉันแน่ๆ ฉันเคาะประตูแล้วเปิดเข้าไปก็พบเธอที่ยังนอนอยู่บนเตียงสีชมพูที่เธอชอบ และเจสสิก้าที่นั่งอยู่ข้างๆขอบเตียง เจสสิก้าหันมามองฉันก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นแล้วเดินตรงมาทางฉัน เธอแตะที่บ่าฉันเบาๆแล้วกระซิบเหมือนต้องการให้ฉันเท่านั้นที่ได้ยิน

      “คุยกันดีๆนะ”

                      ฉันนิ่งมองเธอมาได้สักพักแล้วหลังจากเจสสิก้าเดินออกไปจากห้อง เธอไม่มองตอบฉันเลยแม้แต่น้อย แต่กลับพลิกตัวนอนหันไปด้านอื่น ฉันรู้อยู่แล้วว่าเธอต้องโกรธมากๆ ก็สมควรที่จะโดนโกรธขนาดนี้อยู่แล้วล่ะ คิมแทยอน

      “ฟานี่หลับแล้วเหรอ?” ฉันเริ่มถามด้วยประโยคที่ดูโง่ๆแปลกๆ แต่เธอไม่ตอบเอาแต่นอนนิ่งฉันจึงเดินเข้าไปที่เตียง นั่งลงข้างๆเธอที่นอนนิ่ง แล้วเริ่มต้นการง้อ

      “ฟานี่ แทขอโทษนะ” เธอยังคงนิ่งไม่พูดเหมือนเดิมแต่ฉันรู้สึกว่าแผ่นหลังของเธอไหวๆชอบกล นี่คงกำลังร้องไห้อยู่สินะ แค่คิดก็เจ็บปวดใจจะตายอยู่แล้วที่ทำคนรักร้องไห้

      “แทผิดเองที่ไม่เข้าใจฟานี่เลย ที่ผ่านมาแทคิดถึงแต่ตัวเองฝ่ายเดียวว่าอยากให้ฟานี่เข้าใจ แต่แทเองกลับไม่เคยเข้าใจฟานี่เลย แท.....ขอโทษนะ” คำพูดที่ดูธรรมดาของฉันแต่มันออกมาจากหัวใจดวงนี้จริงๆ ฉันอยากพูดคุยกับเธอเหมือนเดิม แค่ต้องการให้เธอเป็นห่วงฉันเหมือนเดิม จะขี้บ่นกว่าเมื่อก่อนห้าสิบเท่า?ฉันก็ยอม

      “ฟานี่ก็ขอโทษแทเหมือนกันนะ ที่ไม่เข้าใจแท แล้วก็เอาแต่ใจตัวเอง” เธอหันมาพูดกับฉัน คราบน้ำตาบนหน้าที่สื่อให้เห็นว่าเธอร้องไห้หนักมากๆ แต่ตอนนี้ทิฟฟานี่ยิ้มและมองมาที่ฉัน ฉันมองหน้าคนรักให้ชัดเจนอีกครั้งแล้วค่อยๆเกลี่ยน้ำตาที่คลออยู่รอบๆดวงตาให้เธอ ฉันนี่มันงี่เง่าจริงๆที่ทำให้ผู้หญิงคนนี้ร้องไห้      ทิฟฟานี่ของฉันเหมาะกับการยิ้มมากว่าร้องไห้

      “ไม่เป็นไรนะฟานี่ ต่อไปนี้เราจะเข้าใจซึ่งกันและกัน แทจะไม่ปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเราอีกแทสัญญา” ฉันพูดให้คำสัญญาก่อนจะดึงทิฟฟานี่เข้ามากอด เธอไม่ร้องไห้แล้วแต่ตอนนี้เธอยิ้ม เรายิ้มให้กัน เฮ้อออ เห็นทิฟฟานี่ยิ้มแบบนี้แล้วน่ารักเป็นบ้า ฉันเลยขโมยหอมแก้มเธอไปฟอดใหญ่ ชื่นใจที่สุด

      “ทีฉันเข้ามาตามไปกินข้าวนี่ร้องไห้อย่างกับจะตาย แฟนเข้ามาง้อหน่อยนี่หน้าบานเชียวนะยะ” เจสสิก้าที่เปิดประตูเข้ามาเห็นคนสองคนกอดกันก็ออกอาการหมั่นไส้

      “รู้แล้วล่ะน่า แทคะเราออกไปทานข้าวกันเถอะ”

      “แททานมาแล้วล่ะ แต่แทจะออกไปด้วย แทอยากจะไปป้อนข้าวให้ฟานี่” แล้วก็จัดการอ้อนคุณแฟนสาวทันที ทิฟฟานี่ก็เขินไปตามระเบียบ ส่วนเจสสิก้านะเหรอ คงจะไปหาที่อ้วกที่ไหนสักที่ในตอนนี้

      “แทบ้า แต่แบบนี้ก็...น่ารัก” ทิฟฟานี่พูดเบาๆก่อนจะออกไปนอกห้องเพื่อทานข้าวกับสมาชิกคนอื่นๆที่รอนานแล้ว ส่วนแทยอนก็นั่งอมยิ้มสักพักก่อนจะเดินตามคนรักไป

      ฉันเข้าใจแล้วว่าคนเราจะรักกันได้ไม่ใช่แค่เหตุผลว่ารักเท่านั้น ต้องมีความเข้าใจซึ่งกันและกันด้วย ไม่ใช่เรียกร้องแต่จะให้คนรักของเราเข้าใจเราอย่างเดียว ตัวเราเองนั่นแหล่ะต้องเอาใจเขามาใส่ใจเราด้วย ฉันเข้าใจแล้วหล่ะ คิมแทยอนคนนี้เข้าใจแล้ว

      Special

      “แม่คะ คนเมื่อกี๊เขาไปแล้วเหรอคะ” เด็กน้อยมุนยองวิ่งออกมาจากในตัวร้านน่าตาตื่น ผู้เป็นแม่เห็นดังนั้นก็จัดผมและเสื้อผ้าของเด็กน้อยแล้วอมยิ้มตอบ

      “เขาไปแล้วลูก มีอะไรกับเข้าหรือเปล่าหืม มุนยอง?”

      “พี่เขาคือโซนยอชีแดค่ะแม่ เขาคือพี่แทยอนจากโซนยอชีแด” เด็กน้อยพูดจาดูตื่นเต้นกับแม่ แล้วเอากระดาษที่แทยอนยื่นให้ผู้เป็นแม่ดู หญิงสาวยิ้มแล้วบอกคำตอบที่แม้แต่ลูกสาวของเธอก็คงต้องงง

      “แม่รู้นานแล้วล่ะ อิอิ”

      ขอโทษนะมุนยอง แต่แม่มีเรื่องหนึ่งที่ยังไม่เคยบอกลูกเลย คือแม่น่ะ

      .

      .

      .

      .

      .

      .

      เป็นสาวกแทนี่ ^3^

       

      คุยกับไรเตอร์หน่อยนะ

      อันนี้เป็นเรื่องสั้นที่แต่งไว้นานแล้วแต่ปรับเปลี่ยนเนื้อเรื่องนิดหน่อย

      สุดท้ายคุณแม่ก็คือสาวกแทนี่ นี่เอง ฮ่าๆๆ หนูน้อยมุนยองมีเงิบ

      ตอนนี้มีเรื่องยาวของ YoonSic อีกเรื่องยังไงก็ฝากด้วยนะจ๊ะ อิอิ

      สุดท้าย อ่านแล้วช่วยกันเม้นด้วยนะ ให้กำลังใตไรเตอร์ด้วย จะได้มีกำลังใจสร้างผลงานออกมาให้อ่านกัน

      รักรีดเดอร์ทุกคน จุ๊บๆๆ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×