คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : Chapter VIII: A Truthseeker
-------------------------------------------------------
Chapter VIII: A Truthseeker
Maybe I'm addicted,
I'm out of control,
but you're the drug
that keeps me from dying.
Maybe I'm a liar,
but all I really know is
you're the only reason I'm trying.
Addicted – Enrique Iglesias
ทว่าเมื่อไปถึงยังต้นเหตุของเสียงที่ร้องเรียกความช่วยเหลืออยู่นั้น ชาวเยอรมันกลับต้องแปลกใจ...
คนที่เขาตั้งใจจะมาช่วยไม่เพียงแต่ยังแข็งแรงสมบูรณ์ดีทุกประการเท่านั้น นอกจากนี้ยังนั่งลงกับพื้นหญ้าส่งรอยยิ้มกว้างหยีตาแบบปกติมาทางเขา...
แล้วที่เรียกเหมือนจะโดนทารุณกรรมไรซักอย่างเมื่อกี๊เพื่ออะไร?
ลุดวิก ไวร์ชมิท แทบจะยกมือกุมขมับให้กับความเป็นห่วงคนที่รู้ทั้งรู้ว่าแค่ผูกเชือกรองเท้ายังทำไม่ได้โดยไม่รู้ว่าจะโกรธตัวเองดี หรือจะโกรธคนที่เขาห่วงแทบตายดี...
ไม่น่าตีโพยตีพายเป็นห่วงไปตั้งแต่แรก... เขาน่าจะรู้ได้แล้วว่าเสียงเรียกให้ช่วยของอิตาลีไม่เคยเป็นเรื่องจริงจังร้ายแรงซักครั้ง...
ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจก่อนจะเดินเข้ามาหาชายที่นั่งอยู่ก่อน แต่ทันทีที่เขาเข้ามาใกล้ชายชาวอิตาลี เฟลิเซียโน่ วากาส ก็ลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งมาหาเขาก่อนจะ... กอด...
ลุดวิกพยายามควบคุมสติตัวเองแล้วใช้สมองส่วนเหตุผลคิดว่าการกระทำของคนตรงหน้าเขาคือวิธีการทักทายปกติของชาวอิตาเลียนที่ชอบการแตะเนื้อต้องตัว...
แม้ว่าจะหน้าแดงเล็กน้อยก็เหอะ...
“ลุดวิก! เมื่อกี๊น่ากลัวมากเลยล่ะ!”
เฟลิเซียโน่พูดพลางเอาหัวสีน้ำตาลแดงๆนั่นมาซุกอยู่ตรงอกเค้า... ชายชาวเยอรมันวางแขนตัวเองไว้ข้างลำตัวอย่างเกร็งๆ เหมือนไม่รู้จะไปวางไว้ไหนดี คิดจะยกขึ้นมาโอบคนที่กำลังกอดเขาอยู่นี่กลับแต่ก็ไม่ได้ทำ...
“ทหารฝั่งลุดวิกทั้งตัวใหญ่ ทำหน้าดุๆ เดินผ่านไปผ่านมาเต็มไปหมดเลย”
ฟังเฟลิเซียโน่ไปพลางคิดจินตนาการตามคำพูดของคนตัวเล็กกว่า... เทียบกับความจริงแล้วไม่ใช่ว่าทหารเขาจะตัวใหญ่อะไรขนาดนั้นซักหน่อย เป็นเพราะคนอิตาลีตัวเล็กเองต่างหาก...
“กว่าจะแอบเข้ามาได้ แล้วมาแอบตรงนี้เรียกให้ลุดวิกมาหา เค้ากลัวแทบแย่แหนะ!”
ทำให้ลุดวิก ไวร์ชมิท เข้าใจได้ว่าสาเหตุของการเรียกขอความช่วยเหลือเมื่อครู่มาจากอะไร...
แต่แค่ความอยากพบเขาเท่านั้นหรอ ที่เป็นสาเหตุให้คนตัวเล็กกล้าทำในสิ่งที่เสี่ยงอันตรายอย่างการเข้ามาในค่ายทหาร หรือเหตุการณ์ตอนนั้นที่กำลังค้างอยู่ในหัวรบกวนจิตใจเขาตลอดช่วงนี้ คือเหตุการณ์วันที่อิตาลีช่วยเขา ยืนขวางหน้าเขาเล็งปืนไปทางฝรั่งเศส...
“แต่ได้มาเจอลุดวิกก็ดีใจแล้วแหละ เว่~”
เฟลิเซียโน่ วากาส พูดพร้อมกับส่งสายตาจริงจังแบบที่หาได้น้อยครั้งให้เขา... มองหน้าเขานิ่งทำให้ลุดวิกอดเก็บความสงสัยไว้ไม่ได้ ต้องเอ่ยปากถาม
“นายทำแบบนี้เพื่ออะไร?”
คนถูกถามเอียงคอเล็กน้อยแสดงอาการว่าไม่เข้าใจในคำถาม
“เว่~ ทำอะไรหรอ?”
“แบบนี้... คอยมาหาฉัน ทำอะไรเพื่อฉัน ทั้งๆที่ฉันไม่เคยทำอะไรให้นายซักอย่าง”
เฟลิเซียโน่หลบสายตาเขา... หันหน้าไปมองทางอื่น
“ไม่จริงซักหน่อย... ลุดวิกก็ทำอะไรให้เค้าตั้งหลายอย่าง...”
ลุดวิกยังคงจ้องไปที่ชายชาวอิตาลีด้วยสายตาที่สื่อทั้งความสงสัยและความคาดหวังในคำตอบ...
“แต่ก็ไม่เหมือนกับที่นายทำให้ฉัน... เฟลิเซียโน่ ฉันถามจริงๆ นายทำแบบนี้เพื่ออะไร...”
ตอนนี้เขากำลังต้องการคำตอบของคำถามนี้ที่สุด... เพราะไม่เคยมีใครคนไหนทำให้เขาหมกมุ่นกับคนๆนั้นได้ขนาดนี้... ไม่เคยมีคนไหนที่ทำให้เขาสับสนได้ขนาดนี้...
แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับนิ่งเงียบ... ไม่ยอมตอบคำถาม เหมือนกำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเอง เหมือนกับกลัวว่าถ้าเอ่ยปากตอบคำถามเขามาแล้วเขาจะไม่พอใจอย่างนั้นแหละ...
“งั้นที่นายมาหาฉันตอนนี้ หรือช่วยฉันตอนที่อยู่กับฝรั่งเศส นายทำแบบนั้นทั้งๆที่บอกว่ากลัวเพื่ออะไร?”
ความเงียบก็ยังคงเป็นคำตอบจากชายชาวอิตาลี... ชายชาวเยอรมันถอนหายใจอย่างอ่อนใจ... แต่เขาจะยอมแพ้ไม่ได้... ในเมื่อคนตรงหน้าทำให้เขาสงสัยตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน จนกระทั่งถึงวันนี้...
...เขาจะต้องรู้ความจริง...
“นายจะไม่ตอบฉันก็ได้เฟลิเซียโน่... แต่อย่างน้อยช่วยอธิบายได้มั้ย ว่าที่สวนในเวนิสนายจูบฉันทำไม?”
คราวนี้เขาได้ยินเสียงตอบรับที่เขารอคอยจากคนตัวเล็กตรงหน้า...
“ตอนนั้น... ฉันเข้าใจว่าลุดวิกเป็นคนที่ฉันเคยรู้จัก”
คำตอบของชายชาวอิตาลี เป็นสิ่งที่เขาเคยสงสัย และคิดไว้ว่าตัวเองเป็นจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์... แต่ก็ไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยัน...
“ลุดวิกหน้าตาเหมือนโฮลี่โรมันมากเลยรู้มั้ย... ฉันคิดไว้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันแล้ว ว่าลุดวิกอาจจะเป็นคนที่ฉันคอยมาตลอด”
คำตอบนั้นอธิบายถึงสาเหตุที่อิตาลีชอบทำตัวแปลกๆกับเขา...
“โฮลี่โรมันคือคนรักเก่าของฉัน... คือสาเหตุของคำถามที่ลุดวิกถามเมื่อกี๊... ใช่ฉันกลัวสนามรบ กลัวสงคราม กลัวคุณพี่ฝรั่งเศส แต่ที่ฉันทำเพราะฉันกลัวเสียลุดวิกไปมากกว่า...”
อิตาลีพูดก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองเขาครั้งแรกนับตั้งแต่เขาเริ่มตั้งคำถามเริ่มต้นบทสนทนานี้
“เผื่อลุดวิกจะจำอะไรได้บ้าง...”
ส่งสายตาเหมือนคาดหวังกับคำตอบจากเขา แต่เขาคงจะให้คำตอบอย่างที่อิตาลีพอใจไม่ได้...
“ฉันจำไม่ได้...”
คำตอบทำให้อิตาลีถอนหายใจ เว้นช่วงไปเล็กน้อยเหมือนตัดสินใจจะพูดอะไรบางอย่างที่สำคัญ...
“ลุดวิกคือจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ใช่มั้ย... พี่ชายบอกฉันมาว่าลุดวิกคือจักรวรรดิ์โรมันอันศักดิ์ทธิ์”
แม้ว่าจะเหมือนรู้อยู่ก่อนแล้ว แต่ลุดวิกก็ยังอดตกใจไม่ได้เมื่ออิตาลีพูดว่าเขาคือโฮลีโรมัน... เขาไม่มีความทรงจำตอนเป็นโฮลีโรมันเลย... เขาจะเป็นโฮลีโรมันไปได้ยังไง?
“ฉันไม่ใช่จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์”
ถึงคำตอบนั้นจะทำให้อิตาลีชะงักไปเล็กน้อย แต่ชายชาวอิตาลีก็ยังดื้อเถียง
“ก็โฮลีโรมันไปสงครามครั้งสุดท้ายกับปรัสเซีย พี่ชายของลุดวิกคือปรัสเซียใช่มั้ย”
เยอรมันขมวดคิ้ว... ใช่ พี่ชายเขาคือกิลเบิร์ต แต่ก็ไม่เห็นจะเกี่ยวตรงไหน โฮลีโรมันอาจจะตายไปแล้วเขาอยู่แถวๆนั้น กิลเบิร์ตเลยเก็บมาเลี้ยงก็ได้...
“ใช่กิลเบิร์ตคือพี่ชายฉัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่กิลเบิร์ตเก็บมาเลี้ยงคือโฮลี่โรมัน”
เฟลิเซียโน่เริ่มขมวดคิ้วออกอาการหงุดหงิดกับคำตอบของเขา... อาจจะเพราะเขาไปขัดใจ ไม่ยอมเชื่อตามที่อิตาลีบอกงั้นหรอ... ก็เขาไม่ใช่โฮลีโรมันจริงๆนิ่...
“แต่ว่าพี่ชายรู้มาจากสเปน... สเปนรู้มาจากปรัสเซีย แสดงว่ามันต้องเป็นความจริงสิ”
เฟลิเซียโน่จ้องหน้าเขาอย่างยืนกรานในความคิดของตัวเอง... ทำให้ลุดวิกส่ายหน้าก่อนจะเอ่ย
“เฟลิเซียโน่... ฉันไม่ใช่โฮลีโรมัน...”
“แต่...”
“ฉันคือเยอรมัน นายก็รู้นิ่”
“แต่ลุดวิกเคยเป็...”
“ไว้ถามกิลเบิร์ตมั้ยล่ะ”
ชายชาวเยอรมันตัดสินใจตัดปัญหา เขาขี้เกียจเถียงหรืออธิบายให้เฟลิเซียโน่ฟังว่าเขาไม่ใช่โฮลีโรมัน... เพราะถึงอธิบายไปยังไงเฟลิเซียโน่ก็คงจะยืนยันในความคิดของตัวเอง... ถึงแม้ว่าประโยคสุดท้ายของเขาจะทำให้อิตาลีทำหน้าเหมือนเด็กโดนขัดใจก็เถอะ...
“แล้วนายมาหาฉันทำไมตอนนี้”
เยอรมันเพิ่งนึกได้ว่าอิตาลีอยู่ท่ามกลางกองทัพเยอรมันกลางค่ำกลางคืนแบบนี้แล้วจะกลับยังไง... คงไม่พ้นเขาต้องไปส่งอีกตามเคย... เฟลิเซียโน่นี่ทำอะไรไม่เคยคิดก่อนจริงๆ...
“เว่~ ก็เค้าอยากมา”
ถึงแม้จะคำอุทานแปลกๆอันเป็นเอกลักษณ์ ประกอบกับสรรพนามที่เปลี่ยนจาก ฉัน ที่อิตาลีชอบใช้ตอนจริงจังมาเป็น เค้า แล้วแต่ชายชาวเยอรมันก็พอจะรู้สึกถึงความไม่พอใจที่ยังเหลืออยู่จากการจบบทสนทนาเมื่อครู่ของเขาได้จากน้ำเสียงที่ตอบเขามา...
ทำให้เยอรมันส่ายหน้าอย่างอ่อนใจกับความดื้อเงียบของชายชาวอิตาลี
“นี่ก็มาแล้วแสดงว่าหายอยากแล้วใช่มั้ย... นี่มันดึกแล้ว นายก็น่าจะกลับไปได้แล้ว”
ทันทีที่จบประโยคของเยอรมันอิตาลีก็โวยวายประท้วง
“ไม่เอา~ ไม่อยากกลับ เค้าจะอยู่กับลุดวิก”
การกระทำที่เหมือนเด็กๆทั้งๆที่จริงๆแล้วอิตาลีอายุไม่รู้กี่ร้อยปีในร่างอายุประมาณ 20 นั้น จะว่าน่ารักก็น่ารัก... แต่ลุดวิกก็มีเหตุผลที่ให้เฟลิเซียโน่ออกจากสนามรบแห่งนี้ ที่ทั้งอันตรายและน่ากลัวสำหรับคนที่ไม่เกี่ยวข้องอย่างเฟลิเซียโน่...
“แต่นี่มันดึกแล้ว นายควรจะกลับที่ของนายไปได้แล้ว พรุ่งนี้ฉันต้องเจอกับพวกฝรั่งเศสอีก”
“แต่เค้าอยากอยู่กับลุดวิกจริงๆนะ!”
หลังจากเห็นท่าทางกระตือรือร้นของชายตัวเล็กกว่าแล้วลุดวิก ไวร์ชมิท ก็อดใจอ่อนทุกทีไม่ได้... พยักหน้า ถอนหายใจอย่างอ่อนใจก่อนจะหันหลังเตรียมเดินเข้าเต้นท์ทว่ากลับถูกขัดด้วยอ้อมกอดจากชายชาวอิตาลีที่กอดเขาแน่นจากทางด้านหลัง...
“เว่~ เยอรมันใจดีมากเลย”
ชายชาวเยอรมันต้องยืนนิ่ง รู้สึกจั๊กจี้ๆ ข้างหลังเมื่ออิตาลีซบหน้าลงกับแผ่นหลังของเขา... รู้สึกได้ว่าหน้าตัวเองคงแดงมากๆ... ลุดวิก ไวร์ชมิทแกะมือของคนข้างหลังออกก่อนจะหันหน้ามาประจันหน้ากับชายชาวอิตาลี
ใบหน้าและแววตาของคนที่จ้องเขามาตอนนี้ทำให้เขานึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ที่เฟลิเซียโน่พูดว่า ใช่ฉันกลัวสนามรบ กลัวสงคราม กลัวคุณพี่ฝรั่งเศส แต่ที่ฉันทำเพราะฉันกลัวเสียลุดวิกไปมากกว่า...
ความรู้สึกที่เขาคิดกับตัวเองในช่วงที่ผ่านๆมาถึงเรื่องระหว่างตัวเขาเองกับเฟลิเซียโน่
“เฟลิเซียโน่”
เขาจ้องตอบชายชาวอิตาลีที่เงยหน้ามามองเขาอยู่ก่อนแล้ว...
“เว่~”
เพราะประโยคและการกระทำของอิตาลี รวมถึงคำอธิบายของชายตรงหน้าเขาคนนี้ ทำให้เขานึกได้... ไม่มีอะไรที่เขาสงสัยเกี่ยวกับการกระทำของชายชาวอิตาลีอีกแล้ว...
นอกจาก...
“เฟลิเซียโน่ ถ้าฉันไม่ใช่โฮลี่โรมัน... จักรวรรดิโรมันอันศักสิทธิ์คนที่นายเคยรัก... ฉันเป็นตัวแทนประเทศเยอรมัน...”
เขาเว้นช่วงเพื่อเอ่ยประโยคต่อไป...
“แต่ถ้าฉันบอกว่า ฉันรักนาย...”
“นายจะรักฉันเหมือนที่รักจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ได้มั้ย...?”
คนตรงหน้าเขาเงียบไปชั่วครูหนึ่งเหมือนกำลังประมวลผลคำพูดประโยคที่เขาเพิ่งเอ่ยไปเมื่อครู่... เยอรมันรออย่างใจเย็นจ้องไปที่อิตาลีอย่างคาดหวังกับคำตอบ...
“ได้สิ”
คือคำตอบสั้นๆ จากชายคนที่ทำให้เขาคิดถึงได้มากที่สุด... ตัวแทนประเทศเยอรมันนีเผยรอยยิ้มดีใจยกมือขึ้นโอบรอบคนตัวเล็กตรงหน้าแน่น... รู้สึกได้ว่าคนตรงหน้ายกมือขึ้นโอบเขากลับ ลุดวิก ไวร์ชมิทก้มหน้าลงเชยคางคนตัวล็กกว่าขึ้นมาแล้วก้มลงประทับริมฝีปาก...
ให้คราวนี้เขาเป็นฝ่ายเริ่มบ้าง... เมื่อคราวนี้เขารู้เหตุผลของการกระทำของคนตรงหน้าแล้ว...
ณ ตอนนี้ ความจริงว่าเขาเป็นใครก็ไม่สำคัญอีกต่อไป... เรื่องที่เขากังวลต่างๆหายไปจากหัวสมองเขาเหมือนยกอะไรหนักๆออกไปจากใจ...
เขาไม่ได้อยากรู้เรื่องอดีตของตัวเองแล้ว... ไม่ต้องกังวลว่าตัวเองคือโฮลีโรมันหรือไม่ และไม่ต้องสงสัยว่าอิตาลีรักใคร...
เพราะคงอีกนานกว่าทั้งเขาและเฟลิเซียโน่จะได้รู้ความจริงจากปากกิลเบิร์ต... ในเมื่อกิลเบิร์ตอยู่อีกฝั่งหนึ่งของประเทศแบบนี้...
.
.
.
กิลเบิร์ต ไวร์ชมิท รู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบจากพื้นหินและลูกกรงเหล็ก... ลืมตาขึ้นมาพบกับความมืด ขาข้างหนึ่งของเขาถูกพันธนาการด้วยแผ่นเหล็กที่มีโซ่ลากยาวติดกับลูกตุ้มเหล็ก... สภาพห้องสี่เหลี่ยมมีลูกกรงปิดทางเข้าอยู่แบบนี้... ที่นี่คงเป็นคุก...
แล้วเขามาอยู่ในคุกนี่ได้ยังไง...?
จำได้ว่าความรู้สึกสุดท้ายคืออะไรหนักๆกระแทกที่หัวตอนเขากำลังสำรวจบ้านรัสเซียอยู่...
...บ้านที่สภาพเหมือนบ้านผีสิง ไม่เคยมีคนอยู่มาก่อนเลยนั่น...
เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา...
เหตุการณ์วันนั้นไม่สามารถหยุดกิลเบิร์ตได้... ไม่สามารถห้ามให้กิลเบิร์ต ไวร์ชมิทคนนี้เข็ดจนไม่กล้ากลับมาอีกได้...
ในทางตรงข้าม มันกลับเพิ่มความสงสัยให้เขาว่าเกิดอะไรขึ้นกับรัสเซียกันแน่จนชายชาวปรัสเซียต้องมายืนอยู่ตรงนี้...
...ณ กรุงมอสโคว... ใจกลางของประเทศรัสเซีย...
ภาพผู้คนมากมายเดินขวักไขว่อยู่บนถนนแถวจตุรัส มีทหารในชุดเครื่องแบบ... รถถัง... สิ่งที่แสดงถึงการปฏิวัติ... รัสเซียในอดีตที่เขารู้จักปกครองด้วยกษัตริย์ ตอนนี้ที่นี่กำลังจะกลายเป็นอะไรไป?
ยิ่งเห็นอาการของรัสเซียตอนครั้งสุดท้ายที่สู้กันยิ่งทำให้ปรัสเซียคนที่ไม่เคยแคร์อะไรเป็นกังวล...
...เห็นอย่างนี้ก็ใช่ว่ากิลเบิร์ต ไวร์ชมิทจะเป็นคนไร้หัวใจนะ... ก็เจ้านั่นมาไอคอกแค้กทำเป็นป่วยให้เห็น ท่านกิลเบิร์ตผู้มีเมตตาก็ต้องมาสืบให้หายสงสัยเป็นธรรมดา!
ไม่เกี่ยวกับว่าจะเป็นห่วงหรือไม่เป็นห่วงหรอก... จริงๆนะ!
ปรัสเซียเดินตามถนนไปเรื่อยๆเพื่อไปยังจุดหมายคือบ้านที่ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงต้นไม้ใหญ่ตรงเข้ามายังบริเวณบ้านที่มีพื้นที่เยอะซะเปล่า ไม่ได้มีอะไรประดับตกแต่งนอกจากบ้านสร้างด้วยอิฐหลังหนึ่ง ปรัสเซียตรงเข้าไปยังประตูบ้านยกมือกดกริ่ง...
ก่อนที่ประตูจะเปิดเองอัตโนมัติ ไม่มีวี่แววของคนเปิดเลยซักนิด ไม่มีแม้แต่พ่อบ้าน... ราวกับบ้านนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่...
...เหมือนกับบ้านผีสิง...
...รัสเซียไม่รู้สึกกลัวหรือเหงาบ้างรึไงนะ... อย่างน้อยน่าจะจ้างคนทำความสะอาดก็ยังดี ดูจากหยักไย่บนเพดานแล้ว... ถึงกิลเบิร์ตจะไม่ได้เป็นคนสะอาดอะไรมากมาย จนถึงขั้นซกมกแต่บ้านแบบนี้มันน่ากลัวเกินกว่าจะอยู่จริงๆ... ไม่ใช่สิ เหงาเกินกว่าจะอยู่ต่างหาก... คนอย่างกิลเบิร์ตไม่เคยกลัวอะไรทั้งนั้น...
ปรัสเซียเดินผ่านห้องโถงใหญ่... ห้องครัว... ห้องรับแขก แต่ก็ไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิต...ไม่ได้เจออะไรอย่างอื่นนอกจาก เฟอร์นิเจอร์ธรรมดาๆ รูปถ่ายของผู้ปกครองบางคนของรัสเซีย จนมาสะดุดกับภาพๆหนึ่งซึ่งใส่กรอบอย่างดีวางอยู่บนโต๊ะในห้องรับแขก...
ในรูปมีคนอยู่ 3 คน คนแรกคือรัสเซียแน่นอน ผมสีขาวๆ หน้าตาแบบนั้น กับผู้หญิงอีกสองคน คนหนึ่งเขาพอจะได้ยินชื่อเสียงมาบ้างจากความโหดร้ายและน่ากลัวของเธอคือเบลลาลุสในชุดกระโปรงสีฟ้าน่ารักเข้ากับหน้าตาน่ารักของคนใส่... ที่ถ้าให้ไปไหนมาไหนด้วยเขาก็คงจะปฏิเสธ... กับคนสุดท้าย... ผู้หญิงตัวใหญ่ผมสั้นคนนี้เขาไม่ค่อยได้เห็นเท่าไหร่ ชื่ออะไรก็จำไม่ได้... เหมือนจะชื่อยู อะไรซักอย่าง...
ชายชาวปรัสเซียพินิจพิเคราะห์รูปอยู่นานจนไม่ได้สังเกตถึงความเคลื่อนไหวที่ปรากฏขึ้นด้านหลังของตัวเอง ชายร่างสูงค่อยๆเดินมาใกล้คนตัวเล็กกว่า ก่อนจะใช้มือทุบตรงท้ายทอยของชายชาวปรัสเซีย
นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่กิลเบิร์ต ไวร์ชมิทรู้สึกก่อนที่จะไม่รู้สึกตัว...
“รู้สึกตัวแล้วหรอครับ”
เสียงเรียกที่คุ้นเคยจากรัสเซียทำให้ปรัสเซียออกจากสถานะระลึกความทรงจำหันหน้าไปหาชายร่างสูงที่ไม่ได้อยู่ในชุดเครื่องแบบแบบปกติซึ่งกำลังเดินมาหาเขา
“นายตีหัวฉันทำไม?”
ปรัสเซียเอ่ยปากถามทันทีที่เห็นหน้าคนจับเขาขังคุกชัดๆ เขารู้นะว่าบุกรุกบ้านคนอื่นมันผิด แต่กับเจ้าของบ้านที่รู้จักคนบุกรุกนี่จะจับเขาขังคุกเพื่ออะไร
“ก็ผมคิดว่าคุณเป็นสายลับ เห็นทำลับๆล่อๆ อยู่ดีๆก็หยิบของคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต”
นี่แสดงว่ามันรู้อยู่แล้วใช่มะ ว่าเขาเข้ามาในบ้านมัน... เห็นหน้าเขาก็น่าจะรู้แล้วว่าเขาเป็นแขกมาเยี่ยม ไม่ใช่ขโมย!
...บังอาจมาจับท่านกิลเบิร์ตขังคุก...
“ฉันหานายไม่เจอก็เลยต้องเดินหา ตอนเดินก็เห็นรูปสงสัยเลยหยิบดู อย่างกะนายไม่เคยทำ”
เขาพูดพร้อมกับจ้องหน้ารัสเซียที่จ้องตอบเขาด้วยสายตาที่บรรยายไม่ถูก
“ทำ แต่อย่างน้อยผมก็มีความสามารถพอที่จะไม่ทำให้เจ้าของบ้านเห็น นอกจากจะจงใจ”
“นายว่าท่านกิลเบิร์ตคนนี้ไร้ความสามารถงั้นหรอ!”
กิลเบิร์ตพูดขณะลุกขึ้นยืน มือสองข้างกำลูกกรงเหล็กแน่น...
หนอย... เจ้ารัสเซียบังอาจท้าทายอำนาจท่านกิลเบิร์ตคนนี้อีกแล้ว...
“แล้วคุณมาทำอะไรที่นี่คุณปรัสเซีย”
ปรัสเซียชะงักจากอารมณ์ขึ้นชั่วคราว... เออ... จริงดิ... จะบอกมันว่าไงดี... เขายังไม่ได้คิดเหตุผลดีๆบอกมันเลย...
“ก็มาหานายไง!”
“ทั้งๆที่เรากำลังทำสงครามกัน ผมเป็นศัตรูคุณเนี่ยนะ?”
ปรัสเซียชักจะเริ่มหงุดหงิดกับความเสียเปรียบของตัวเอง เขาจะไม่ถูกขังอยู่ในคุกให้มันทำอะไรตามใจชอบหรอก...
“ฉันมาหานาย มายื่นข้อเสนอบางอย่าง ปล่อยฉันออกจากคุกได้แล้ว”
รัสเซียส่งรอยยยิ้มไร้เดียงสาที่ดูกวนประสาทให้เขา ก่อนจะพูดต่อ
“แล้วผมจะรู้ได้ไงว่าพอผมปล่อยคุณแล้วคุณจะไม่หนีไปแบบครั้งก่อน”
พอพูดถึงครั้งก่อน สีหน้าของปรัสเซียก็แดงขึ้นเล็กน้อย... เรียกรอยยิ้มพึงพอใจจากรัสเซียได้ชั่วครู่
“...อย่างกะฉันจะทำแบบครั้งก่อน”
ปรัสเซียบ่นอุบอิบแต่ก็ไม่ได้เล็ดลอดไปจากโสตประสาทการรับฟังของรัสเซีย... ชายชาวรัสเซียยิ้มในใจก่อนจะตัดสินใจปล่อยตัวปรัสเซียด้วยการโยนกุญแจไขกุญแจข้อเท้าไปให้ในขณะที่ตัวเองไขประตูคุก...
ความจริงแล้วรัสเซียก็ไม่ได้อยากจะจับปรัสเซียขังคุกหรอก... เขาแค่อยากเห็นสีหน้าของคนๆนี้ตอนรู้ว่าตัวเองอยู่ในคุกก็เท่านั้น...
“แล้วตกลงคุณมาหาผมทำไมปรัสเซีย”
รัสเซียพูดพร้อมกับเดินนำปรัสเซียกลับขึ้นไปยังบ้าน... สถานที่ที่สอนให้ปรัสเซียรู้ว่าอย่ามาอย่างลับๆล่อๆอีกเป็นครั้งที่สอง... เพราะนอกจากความวังเวงน่ากลัวของตัวบ้านและพื้นที่รอบๆแล้ว บ้านนี้ยังมีคุกใต้ดินอยู่ข้างล่างอีกด้วย... ไม่น่าล่ะ... ไม่จำเป็นต้องจ้างยามหรือพ่อบ้าน...
...ในเมื่อตัวเจ้าของบ้านเองน่ากลัวซะขนาดนี้...
เขาแค่พูดเปรียบเปรยเฉยๆนะ! ไม่ได้หมายความว่าเขากลัวมันจริงๆ...
...ไม่ได้กลัวจริงๆนะ...
“ปรัสเซีย?”
เสียงเรียกทำให้ชายชาวปรัสเซียสะดุ้งตกใจเล็กน้อย แต่ก็พยายามกลบเกลื่อนด้วยความคิดที่ว่าตกใจเพราะเสียงเรียกของรัสเซียมันไม่เท่เลยซักนิดก่อนจะตอบ
“อะไร?”
“มาหาผมทำไม”
ปรัสเซียนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนตอบ
“ก็มาหานายไง”
รัสเซียถอนหายใจกับความลีลาของปรัสเซีย... เขาไม่เคยต้องรู้สึกเหนื่อยใจกับใครนอกจากชายคนนี้... เพราะถ้าเป็นคนอื่น ตอนนี้มันคงไม่มีชีวิตอยู่มาต่อล้อต่อเถียงกับเขา... ทำให้เขาคิดอะไรบางอย่างออกแล้วเกิดความรู้สึกอยากแกล้งคนข้างๆ
“มาหาผมเพราะเป็นห่วงผมหรอ”
“ใช่ เฮ้ยย!! ไม่ใช่!!”
ปรัสเซียรีบส่ายหัวปฏิเสธคำตอบของตัวเอง ก่อนจะรีบพูดแก้ตัว
“ไม่ใช่จริงๆนะ ฉันฟังผิดคิดว่านายพูดอย่างอื่น”
รัสเซียแกล้งถอนหายใจเสียงดัง พูดต่อ
“เฮ้อ... น่าเสียใจจังเลยนะครับ”
เสียใจก็เรื่องของนาย... กิลเบิร์ตพยายามคิดในใจอย่างนั้นแต่ก็ไม่สำเร็จเลยพูดเสริมแบบติดๆขัดๆ...
“ปะ... เป็นห่วงก็ได้... เตือนตัวเองไว้ด้วยล่ะว่าท่านกิลเบิร์ต ไวร์ชมิทคนนี้มีเมตตาขนาดไหนที่เป็นห่วงนาย”
คำตอบของกิลเบิร์ตทำให้รัสเซียหลุดหัวเราะก่อนจะ ชะงักเปลี่ยนมาเป็นไอค้อกแค้กแทน ทำให้ ปรัสเซียหันไปดูด้วยความเป็นห่ว-... สงสัย
“พักนี้นายไม่สบายบ่อยนะรัสเซีย”
“นิดหน่อยครับ”
กิลเบิร์ตคิดอะไรบางอย่างกับตัวเองในใจก่อนจะตัดสินใจพูด
“นายอยากทำสัญญาสงบศึกมั้ย”
รัสเซียที่กำลังปิดปากไอหันหน้าไปทางกิลเบิร์ต เลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยในข้อเสนอ
“เห็นนายมีทั้งสงคราม... ทั้งสงครามกลางเมือง... สงครามกลางเมืองนายก็เกิดเพราะไม่อยากให้มีสงครามแล้วไม่ใช่หรอ...”
รัสเซียคิดคำณวนในใจ... ปกติแล้วข้อเสนอแบบนี้ประเทศผู้เสนอจะต้องหวังอะไรจากอีกฝ่าย ตอนนี้รัสเซียกำลังอ่อนแอเป็นโอกาสเหมาะในการฉวยโอกาสนั้น...
แต่ปรัสเซียคนนี้น่ะหรอ... จะมาหลอกใช้เขา...
...จะว่ารัสเซียประมาทก็ได้... แต่ตอนนี้เขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น... ถึงแม้จะเป็นแค่ความหลงช่วงวูบก็เหอะ...
...กับคนๆนี้เหมือนเขาจะพยายามหาข้อยกเว้นให้เสมอ... คนที่พักนี้ชอบทำตัวดีกับเขาบ่อยๆจนเขาเริ่มจะขาดไม่ได้...
“น่ะ... นายไม่จำเป็นต้องทำก็ได้นะรัสเซีย... ฉันแค่พูดเฉยๆ...”
ปรัสเซียเริ่มพูดติดๆขัดๆเมื่อเห็นสายตาน่ากลัวของรัสเซียที่ถึงแม้จะไม่ได้มองมาที่เขา แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าคนข้างๆยังมีอะไรลึกลับอีกมากมายที่เขายังไม่ได้เห็น...
“ผมจะทำครับ”
กิลเบิร์ตกลืนน้ำลายตัวเองอย่างอึดอัดเมื่อได้ยินน้ำเสียงมุ่งมั่นจากรัสเซียแล้ว...
“แต่ว่า... นายไม่ต้องถามอังกฤษกับเจ้าฝรั่งเศส...?”
รัสเซียเงียบไปครู่หนึ่งเหมือนกับชั่งใจว่าจะพูดดีรึเปล่าก่อนจะตอบ...
“ไม่หรอกครับ... ผมว่าตอนนี้สองคนนั้นเองก็สภาพไม่ต่างจากผมซักเท่าไหร่...”
.
.
.
ณ อีกด้านหนึ่ง...
“ฝรั่งเศส เจ้างั่ง! นายวางแผนอะไรของนาย!”
เสียงตะโกนของชายชาวอังกฤษ ดังข้ามกองทหารมายังชายผู้ซึ่งกำลังยืนชี้แผนที่เถียงกับแม่ทัพฝั่งตัวเองอย่างเคร่งเครียด เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆบ่งบอกอารมณ์ของผู้พูดได้เป็นอย่างดี ทำให้คนอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องเริ่มทยอยเดินออกจากเต้นท์ไปทีละคนสองคน
“เมื่อไหร่นายจะเลิกแพ้ซักที ถ้านายมัวแต่แพ้แบบนี้เราจะชนะกันมั้ย!!”
“บองชูว์ มิสเตอร์เคิร์กแลนด์ สบายดีมั้ยครับ คุณพี่คิดถึ๊งคิดถึง”
ทว่าคนตอบที่ได้จากคนที่ตั้งใจมาหาเหมือนจะไม่ตรงตามที่ชายชาวอังกฤษต้องการซักเท่าไหร่... ประโยคต่อมาของอาเธอร์ เคิร์กแลนด์จึงยิ่งรุนแรงขึ้น
“ไม่ต้องมากวนประสาทฉัน!”
“ชู่วว ใจเย็นก่อนสิอังกฤษ คุณพี่มีแผนนะ”
ปฏิกิริยาตอบกลับกลับเป็นตรงกันข้าม
“แผนไรนาย! ตั้งแต่รบมาฉันยังไม่เห็นนายมีแผนไรดีซักอย่าง!”
ชายชาวอังกฤษพูดก่อนกำหมัดแน่นทุบลงบนโต๊ะแล้วเท้าเอวประจันหน้าฟรานซิส
“ถ้านายยังไม่มีอะไรดีๆให้เห็นก็ยอมแพ้ไปซะ แล้วก็ไปไกลๆไม่ต้องมาให้เห็นหน้าอีก!!”
ฝรั่งเศสรู้สึกสะอึกเล็กน้อยกับคำกล่าวหาของอังกฤษ แต่ด้วยความรู้นิสัยคนตรงหน้าดีจึงเลือกใจเย็น ค่อยๆพูดปลอบอดีตศัตรูคู่แค้นกลับ
“นายโกรธอะไรคุณพี่นักหนาเนี่ย ไม่มาให้เห็นหน้าหลายวัน พอมาถึงก็มาต่อว่าคุณพี่แบบนี้ คุณพี่มีความรู้สึกนะ!”
พูดพลางบิดตัวไปมาอย่างมีจริต ไม่ได้มีท่าทีว่าจะรู้สึกสะทกสะท้านกับคำพูดของอังกฤษเมื่อก่อนหน้านี้เท่าไหร่
“โกรธเพราะนายมันไม่ได้เรื่องไง!!”
“จุ๊ๆๆ ไม่น่าใช่ มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับคุณพี่รบกวนจิตใจอยู่แน่ๆ”
ท่าทางของฟรานซิสยิ่งทำให้อาเธอร์อยากทำร้ายร่างกายคนขึ้นมา... เขาพยายามจริงจังออกขนาดนี้ยังไม่รู้สึกตัว! ไอ้ฝรั่งเศส! ไอ้ตัวกินหอยทาก! Frog! งี่เง่าที่สุด!
ท่าทางของอาเธอร์ยิ่งทำให้ฟรานซิสยิ้มขำในใจอย่างเอ็นดู... หลังจากกลับไปคิดทบทวนคำพูดตัวเองอยู่หลายวันเขาก็เริ่มสงสัยว่าครั้งสุดท้ายที่เจอกัน ประโยคไหนที่เขาพูดทำให้อาเธอร์โกรธ... แล้วก็เริ่มปะติดปะต่ออะไรบางอย่างได้...
แค่ยังไม่มั่นใจเท่านั้นแหละ...
“เอ... หรือเรื่องที่มิสเตอร์คิ้วหนาโกรธจะเป็นเพราะคำพูดของคุณพี่วันนั้นนะ...”
“ไม่ใช่!!!”
ปฏิกิริยาตอบกลับทันทีที่ฟรานซิสจบประโยคจากอาเธอร์ เคิร์กแลนด์...
“งั้นหรอ... ไม่เป็นไรหรอกนะคุณพี่เข้าใจ... คนหยิ่งในศักดิ์ศรีอย่างนายคงทำใจยากสินะพอค้นพบว่าตัวเองหลงเสน่ห์คุณพี่เข้าแล้วคงจ....”
“ฟรานซิส!! เลิกเล่นแล้วก็จริงจังได้แล้ว!! นายยังไม่รู้ใช่มั้ยว่ารัสเซียกำลังจะถอนตัว”
ฝรั่งเศสชะงัก... ใช่ เขายังไม่รู้... แต่รัสเซียทำท่าเหมือนจะถอนตัวตั้งนานแล้วเพราะสงครามกลางเมือง... ซึ่งเขาก็หาทางแก้ปัญหานั้นไว้เรียบร้อยแล้วไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง...
“อืมม ใช่ คุณพี่ยังไม่รู้ รัสเซียถอนตัวหรอ... แย่จังนะ...”
อังกฤษเริ่มนึกเสียใจที่ตัวเองมาเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศส เขาคงคิดผิดจริงๆที่คิดจะเปลี่ยนความสัมพันธ์จากคนที่เป็นศัตรูกันมานับศตวรรษให้เป็นเพื่อน...
“เซอร์เบียก็แพ้ออสเตรียกับฮังการี่แล้วด้วย...”
ฟรานซิสทำท่าลูบคางเหมือนใช้ความคิด...
“อย่างนี้ฉันคงไม่มีทางเลือก... ต้องไปขอความช่วยเหลือจากหมอนั่นจริงๆใช่มั้ย...”
อังกฤษเหมือนพูดพึมพำกับตัวเองมากกว่าพูดกับฟรานซิส ในขณะที่ฝรั่งเศสเริ่มคำณวนถึงข้อได้เปรียบเสียเปรียบในใจ...
หมอนั่นของอาเธอร์คืออเมริกาอย่างไม่ต้องสงสัย... ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกเฉยๆกับเจ้านั่น... ออกจะชอบด้วยซ้ำ... แต่การดึงอเมริกาให้เข้าร่วมจะทำให้ตัวหารผลประโยชน์มากขึ้น... แต่ถ้าไม่มีเจ้าเด็กนั่นเขาก็อาจเสี่ยงที่จะแพ้...
...และอาจจะเสี่ยงทำให้เขาเสียคนที่เขาแอบมองมาตลอดไป...
ฟรานซิสถอนหายใจอย่างเหนื่อยๆ... บางทีเขาอาจจะไม่มีทางเลือกมานัก... จำเป็นต้องปล่อยบางอย่างไป...
...อะไรที่ไม่ใช่ของเรา ยังไงมันก็ไม่ใช่ของเรา...
“นายจะเอางั้นก็ได้”
อาเธอร์หันมามองฟรานซิสอย่างสงสัยที่ฝรั่งเศสดูตกลง เห็นด้วยกับเขาง่ายผิดคาด...
“ชวนอเมริกาเข้าร่วมอ่ะนะ?”
“อืออ...”
ลากเสียงยาวตอบเหมือนไม่ได้สนใจเท่าไหร่ ก่อนจะเดินออกจากเต้นท์ไปแบบไม่บอกล่วงหน้าทิ้งให้อังกฤษยืนมองตามอย่างงงๆว่าเกิดอะไรขึ้น...
ฝรั่งเศสเดินไปเรื่อยๆอย่างไม่มีจุดหมาย ไม่รู้ตัวว่าตัวเองเดินไปถึงไหน ในใจคิดแต่เรื่องระหว่างตัวเองกับอังกฤษ...
ตลอดระยะเวลาหลายศตวรรษที่ผ่านมา เขาอยู่กับคนๆนึงมาตลอด คนๆนั้นคืออังกฤษ ประเทศเพื่อนบ้านที่คอยแข่งขันกัน ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ... เป็นศัตรูตัวฉกาจที่เขาเคยคิดอยากกำจัดทิ้ง แต่ก็เป็นหุ้นส่วนที่ดีที่สุดเมื่อมีประเทศอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องแย่งผลประโยชน์... ต่างคนต่างพยายามเอาชนะอีกฝ่ายให้ได้ ความคิดไม่เคยตรงกันซักเรื่อง...
แต่ก็ตลกดี... คนที่รู้จักเขาดีที่สุดกลับเป็นศัตรูคนนี้ ขณะเดียวกันเขาก็คิดว่าตัวเองรู้จักเจ้านั่นดีที่สุด...
ยิ่งได้มาอยู่ฝั่งเดียวกันครั้งแรกในรอบหลายร้อยปี... ได้ทำงานด้วยกันทั้งๆที่ปกติจะอยู่คนละฝ่าย คอยคิดว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน ตอนนี้กลับต้องมาวางแผนด้วยกัน...
...ทำให้เขาไขว้เขว... และเริ่มคิดว่าบางทีปรัสเซียอาจจะพูดถูก...
...ถ้าคนอื่นรู้คงหัวเราะเยาะเขาแย่ ในเมื่อประเทศแห่งความรัก คนที่คอยให้คำปรึกษาเรื่องความรักกับคนอื่นกลับมามีปัญหาที่แก้ไม่ได้ซะเองแบบนี้...
ฝรั่งเศสคิดอะไรเรื่อยเปื่อยก่อนจะคิดได้ว่าตัวเองเดินเลยมาถึงบริเวณใกล้ๆแนวหน้า ที่ๆมาทีไรเขาจะต้องเจอกับเยอรมัน...
จะว่าไปคดีเก่าครั้งก่อนที่เขาแกล้งเยอรมันไว้ยังไม่ได้ชำระ... ซึ่งนั่นอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เยอรมันกระหน่ำบุกเขาอยู่ขณะนี้ ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือเขาควรจะเดินกลับ เดินหนีให้ห่างจากโอกาสที่จะเจอคนผมบลอนด์นั่นให้มากที่สุด...
...แต่ดูเหมือนจะไม่ทันแล้วในเมื่อเขาหันหลังกลับมาพบกับชายคนที่เขาพยายามจะหนี...
“จะรีบไปไหนฝรั่งเศส”
ฝรั่งเศสส่งยิ้มให้พร้อมกับควานหาปืนตรวจดูว่าพกมาด้วยรึเปล่าก่อนตอบ
“คุณพี่ไม่ได้รีบไปไหนขนาดนั้นหรอก... แต่นี่ก็เย็นแล้วว่ามั้ย นายไม่ทำสงครามตอนกลางคืนไม่ใช่หรอ”
พูดพลางมองหน้าชายชาวเยอรมันซึ่งวันนี้ดูมั่นใจและอารมณ์ดีผิดปกติ... จนฝรั่งเศสต้องรีบทักเพื่อหาทางเอาตัวรอด
“นายดูอารมณ์ดีนะวันนี้ แบบนี้เกี่ยวอะไรกับอิตาลีรึเปล่า โฮะๆๆ”
คนตรงข้ามเขาหน้าแดงเล็กน้อยจากประโยคเมื่อครู่ทำให้ฝรั่งเศสรู้สึกโล่งใจ... เดินอ้อมมายังทางกลับค่ายฝั่งตัวเอง...
อารมณ์ดีก็ดี... อย่างน้อยแสดงว่าวันนี้เยอรมันอาจจะยังไม่อยากฆ่าใคร...
“นายจะอยากรู้ไปทำไม”
ทั้งหน้าแดง ทั้งไม่ปฏิเสธ... คุณพี่ชักเริ่มรู้สึกว่าตัวเองใจร้ายแล้วแฮะ... ในเมื่อแผนสำรองที่ดูเหมือนว่าจำเป็นจะต้องใช้ตอนนี้เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของสองคนนั้น...
“โฮะๆๆ ความรักนี่ดีจังเลยน้า”
คำพูดของฝรั่งเศสยิ่งทำให้เยอรมันหน้าแดงเข้าไปใหญ่... ขณะเดียวกันก็สร้างความลังเลให้ฝรั่งเศสว่าควรจะเตือนเยอรมันก่อนดีรึเปล่า... เดี๋ยวจะหาว่าเขาใจร้ายเกินไป... ทำอะไรไม่บอกให้ทำใจล่วงหน้า...
“แต่ระวังนะเยอรมัน... ถ้ามัวแต่หลงกับมันมากไปจะไม่ทันตั้งตัว...”
ทิ้งท้ายไว้ให้ชายร่างสูงชาวเยอรมันยืนนิ่งอย่างอึ้งๆก่อนจะรีบหายพร้อมกับแสงอาทิตย์ที่ริบหรี่ลงเรื่อยๆลับขอบฟ้า...
ปล่อยให้ชายชาวเยอรมันยืนงงสับสันกับคำพูดเมื่อครู่ของฟรานซิส... และระแวงถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น...
...อะไร... ทำไมเขาถึงจะไม่ทันตั้งตัว?...
...ความรัก... หลง?... อะไรที่เกี่ยวกับอิตาลี?!...
เขาไม่ได้จะจบปัญหานึงเพื่อที่จะมาเจอกับอีกปัญหานึงนะ!
ลุดวิก ไวร์ชมิทได้แต่คาดเดาไปต่างๆนานา... โดยไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์ข้างหน้าที่จะเกิดขึ้นนั้นจะส่งผลกระทบกับตัวเองร้ายแรงแค่ไหน...
.
.
.
ความคิดเห็น